เมื่อกลับถึงเมืองไทยก็ได้ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์
ด้วยการสอนภาษาอินเดียและสันสกฤตแก่ครูอาจารย์ในสถาบันต่าง ๆ และสอนภาษาไทยแก่ชาวต่างประเทศที่อาศรมวัฒนธรรมไทย-ภารตะ
เมื่ออินเดียเป็นเอกราชและเปิดความสัมพันธ์กับไทย
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็เข้าทำงานในสถานกงสุลอินเดีย ซึ่งต่อมากลายเป็นสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย
ในตำแหน่งล่าม พนักงานแปล และประชาสัมพันธ์
จากนั้นก็ลาออกมาทำงานหนังสือพิมพ์
เป็นบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ ของหนังสือพิมพ์ รายวัน "เสถียรภาพ"
ซึ่งมีสังข์ พัธโนทัย เป็นบรรณาธิการ
ระหว่างทำงานอยู่สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย
เคยเดินทางไปปฏิบัติภารกิจลับ เป็นทูตใต้ดินของรัฐบาลจอมพล ป.
พิบูลสงคราม เดินทางไปเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน และเมื่อทำงานหนังสือพิมพ์ก็ได้เดินทางไปกับคณะผู้แทนการค้าอีกครั้ง
เมื่อกลับมายังประเทศไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ช่วงเวลาเดียวกับที่จอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงถูกจับขังคุกลาดยาวข้อหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
และกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร
ติดคุกอยู่ ๘ ปีเศษ
ระหว่างที่ถูกจำกัดอิสรภาพ
ได้แปลหนังสือหลายเล่ม และเมื่อได้รับอิสรภาพก็ไปทำงานหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯ
วิจารณ์
ส่วนใหญ่ทำงานร่วมกับเรืองอุไร
ผู้เป็นภรรยา ส่วนใหญ่เป็นงานด้านภารตวิทยา
ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เข็มและใบประกาศเกียรติคุณจากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และล่าสุดได้รับรางวัลศรีบูรพา