ข้อกฎหมายจากคำพิพากษาฎีกาและคำชี้ขาดความเห็นแย้ง
ลักบัตรเอทีเอ็มไปเบิกเงิน
ผิดหลายกรรม
คำพิพากษาฎีกาที่ 9/2543
-การที่จำเลยเอาบัตร เอ.ที.เอ็ม. ไปจากผู้เสียหาย แล้วนำบัตร
เอ.ที.เอ็ม. ดังกล่าวไปลักเอาเงินของผู้เสียหายโดยผ่านเครื่อง
ฝากถอนเงินนั้น ทรัพย์ที่จำเลยลักเป็นทรัพย์คนละประเภท
และเป็นความผิดสำเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระ
การลักเอาบัตรเอ.ที.เอ็ม. ไป กับการลักเงินจึงเป็น
ความผิดหลายกรรม การที่จำเลยลักเอาบัตรเอ.ที.เอ็ม.
ของผู้เสียหายไปนั้นเป็นความผิดทั้งฐานเอาไปเสีย
ซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 188 ซึ่งเป็นบท
ที่มีโทษหนักกว่าความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334
ต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 188 บัตรเอ.ที.เอ็ม.
ของผู้เสียหาย 2 ใบ เป็นบัตรต่างธนาคารกัน และเงินฝาก
ของผู้เสียหายที่ถูกลักไปก็เป็นเงินฝากในบัญชีต่าง
ธนาคารกันด้วย เจตนาในการกระทำผิดของจำเลยจึง
แยกจากกันได้ตามความมุ่งหมายในการใช้บัตรแต่ละใบ
การกระทำของจำเลยที่ใช้บัตรเอ.ที.เอ็ม. 2 ใบของผู้เสียหาย
แล้วลักเอาเงินฝากของผู้เสียหาย ต่างบัญชีกันแม้จะทำต่อ
เนื่องกันก็เป็นความผิดสองกรรม
รับสินค้าเครื่องประดับไปขายแล้วนำไปจำนำเป็นฉ้อโกง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 91,341
-ผู้ต้องหาได้รับเครื่องเพชร เครื่องประดับ อัญมณีไปจากผู้เสียหาย โดยมีข้อตกลงให้นำสินค้า
ไปขายให้ลูกค้าตามราคาที่กำหนด ผู้เสียหายได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ในสมุดบันทึก
จำนวน 2 เล่ม โดยมีสำเนาคู่ฉบับให้แก่ผู้ต้องหา ในครั้งแรกๆผู้ต้องหาจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้า
ครั้นเช็คถึงกำหนดชำระก็สามารถเรียกเก็บเงินได้หลายครั้ง ต่อมาระหว่างวันที่
27 มิ.ย.2539 ถึง
วันที่ 22 ต.ค.2539 ผู้ต้องหาได้มารับเครื่องประดับฯจากผู้เสียหายอีกจำนวน
17 ครั้ง รวม 43
รายการ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 7,786,915 บาท โดยมีข้อตกลงเช่นเดิม ต่อมาผู้ต้องหาได้แจ้งแก่ผู้
เสียหายว่าได้ขายเครื่องเพชร เครื่องประดับดังกล่าวให้กับลูกค้า และออกเช็คของธนาคาร
เอเชีย จำกัด สาขาอัมรินทร์พลาซ่า ลงวันที่สั่งจ่ายล่วงหน้าจำนวน 38 ฉบับ
มอบให้แก่ผู้เสียหาย
ซึ่งผู้เสียหายก็ทำเช็คหายไป 3 ฉบับ คงเหลือเช็ค 35 ฉบับที่ผู้เสียหายเรียกเก็บเงินซึ่งปรากฏว่า
ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ โดยมีฉบับที่ 8850229 ลงวันที่
9 ก.ย.2539 สั่ง
จ่ายเงินจำนวน 550,000 บาท ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่าย
ส่วนฉบับอื่น ธนาคารฯปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย
และผู้ต้องหารับ
ว่าเมื่อรับเครื่องประดับจากผู้เสียหายไปแล้วมิได้ขายเครื่องประดับดังกล่าวแก่ผู้อื่นตามที่อ้าง
แต่
นำไปจำนำไว้บางส่วน และให้ผู้อื่นนำเครื่องประดับบางส่วนไปจำนำด้วย พฤติการณ์ของผู้
ต้องหาที่รับเอาเครื่องเพชร เครื่องประดับจากผู้เสียหายแล้วนำไปจำนำทันทีเป็นการหลอกลวง
ในการเอาเครื่องเพชร เครื่องประดับ จากผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาจะไปขายให้แก่ลูกค้า
แล้ว
เอาเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอีกฐานหนึ่ง นอกเหนือจากผิดตาม
พ.ร.บ.ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ
ดูหมิ่นซึ่งหน้า
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 393 บัญญัติว่า
"ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า หรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
คำชี้ขาดความเห็นแย้งตามหนังสืออัยการสูงสุดที่
อส(สฝอส.4)0015/4645 ลง10 เม.ย.43
-แม้ถ้อยคำของผู้ต้องหาที่ด่าพยานและผู้เสียหาย จะให้การแตกต่างกัน แต่ประโยคว่า
"อีสัตว์ มึงเสือกอะไร" "อีสัตว์
มึงอย่าเสือก" "อีกสัตว์เล็ก อย่าเสือก" "อีกสัตว์เล็ก
มึงเสือกอะไร" นั้นทุกประโยคล้วนแต่มีความหมายเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายทั้งสิ้น
เมื่อผู้เสียหายและพยานทุกปากยืนยันว่า ขณะผู้ต้องหาด่าประโยคดังกล่าวออกมานั้น
ได้ชี้นิ้วมาทางผู้เสียหาย เช่นนี้แล้วถ้อยคำดังกล่าว จึงถือเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้าตาม
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 แล้ว
-เช่นเดียวกับ ฉบับ/13614 ลง 13 ก.ย.43 ที่ด่าว่า"ไอ้เหี้ย
ไอ้สัตว์ ไอ้เย็ดแม่"
เป็นดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าเช่นกัน
พรากผู้เยาว์
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
317 บัญญัติว่า
"ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา
ผู้ปกครอง
หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวเด็กซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับ
ผู้พรากนั้นถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร
ผู้กระทำต้องระวาง
โทษจำคุกตั้งแต่
ห้าปีถึงยี่สิบปี และ ปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 544/2543 ว่า
ผู้เสียหายอายุ 13 ปีเศษ หลบหนีออกจากบ้านมาอยู่กับจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบิดา
จำเลยพา
ผู้เสียหายไปห้องอาหาร ใส่ชุดว่ายน้ำเพื่อออกไปเดินโชว์ จำเลยจะมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารหรือไม่
ผู้เสียหายหลบหนีออกจากบ้านมาอยู่กับจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบิดา แต่ขณะเกิดเหตุผู้
เสียหายมีอายุเพียง 13 ปีเศษ อยู่ในอำนาจปกครองของบิดา จำเลยได้พาผู้เสียหายไปตามห้อง
อาหารต่าง ๆ โดยบิดาผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วย เป็นการล่วง อำนาจปกครองของบิดาผู้เสียหาย
แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจยินยอมไปกับจำเลย ก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจาก
บิดา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน
15 ปี ไปเสียจากบิดาแล้ว ทั้งการเดินโชว์ ชุดว่ายน้ำของเด็กหรือการต้องยอมให้แขกผู้ชายที่มาเที่ยวจับหน้าอกในห้องอาหารต่าง
ๆ ถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กไป โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร
ประมาทหรือเหตุสุดวิสัย คำชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุดที่
83/2535
(ป.อาญา เหตุสุดวิสัย ประมาท ม.59 ประมาทตายม.291)
-การวิ่งตัดหน้ารถยนต์ที่ขับมาในระยะกระชั้นชิด จึงชนถึงแก่ความตาย เป็นเหตุสุดวิสัยที่จะห้ามล้อ
ได้ทัน ยังไม่ผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
หมายเหตุ - เมื่อเป็นเหตุสุดวิสัย ย่อมไม่เป็นการประมาท
เหตุสุดวิสัยมีหลักการคำนวณตามหลัก
นิติเวชที่จะต้องพิจารณา3 ประการ คือระยะตัดสินใจ,ระยะห้ามล้อ และระยะหยุด
่-1.ระยะเวลาตัดสินใจ หมายถึงวิถีประสาทและสมองของมนุษย์
เมื่อรับรู้ข้อมูลก็ตัดสินใจหยุด
รถโดยบอกไปยัง ศูนย์บังคับการเคลื่อนไหวตอนกลางสมอง ซึ่งต่อไปยังกระดูกสันหลังจนถึง
กล้ามเนื้อขา ระยะเวลาที่เห็นจนถึงเหยียบห้ามล้อกินเวลา 3 ใน 4 ของวินาที
ในคนปกติ และจะช้า
ขึ้นไปอีกในคน ที่ดื่มสุราแล้วมาขับรถมีสูตรการคำนวณ ดังนี้ ความเร็วรถ
30กม./ชม.จะเสีย
ระยะทาง 6.25 มความเร็วรถ 60 กม./ชม. จะเสียระยะทาง 12.50 ม. ความเร็วรถ
80กม./ชม
.จะเสียระยะทาง 16.66 ม.ความเร็วรถ 90 กม./ชม. จะเสียระยะทาง 18.85 ม.
-2.ระยะห้ามล้อ เมื่อเหยียบห้ามล้อ(เบรก)แล้ว
รถจะไม่สามารถหยุดในทันที หากเบรก 40-49 %
ถือว่าพอใช้ 50-59 % ถือว่าดี 60 % ขึ้นไป ถือว่าดีมากในมาตรฐาน 40 % ความเร็วรถ
30 กม./ชม.
ระยะทางห้ามล้อ 8.84 ม. ความเร็วรถ 60 กม./ชม. ระยะทางห้ามล้อ 35.43 ม.ความเร็วรถ
80กม./ชม
ระยะทางห้ามล้อ 62.92 ม. ความเร็วรถ 90 กม./ชม. ระยะทางห้ามล้อ 79.97 ม.
ความเร็วรถ
100 กม./ชม.ระยะทางห้ามล้อ 98.31 ม.
-3.ระยะหยุด จึงหมายถึงระยะตัดสินใจบวกระยะห้ามล้อ
-พฤติการณ์แต่ละเรื่อง จะเป็นเหตุสุดวิสัยหรือประมาท
ดูฎีกาเหล่านี้ประกอบคือ 136/2461,399,
400,490/2496,104/2494,1345/2498,1012/2507,717/2509,2904/2519
ออกเช็คแลกเงินสดไม่ผิดอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 1521/2535
(ป.อาญา การใช้กฎหมาย ม.2 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ
ม.4)
-จำเลยออกเช็คพิพาทแล้วแลกเงินสดไปจากโจทก์
การออกเช็คแลกเงินสดดังกล่าวย่อมเป็นความผิด
ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม.3 แต่การกระทำดังกล่าวมิใช่เป็นการ
ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมาย อันจำเป็นความผิดตามนัย
ม.4 แห่ง พ.ร.บ
ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ซึ่งเป็นบทบัญญัติกฎหมายที่บัญญัติขึ้นในภายหลังที่จำเลย
ออกเช็คแลกเงินสด การกระทำของจำเลย ไม่เป็นความผิดอีกต่อไป
จำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดอาญา ตามป.อาญา ม.2 วรรคสอง
(ดูคำชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสูดที่ 10/2539
ออกเช็คที่ระบุในสัญญายืมว่าเพื่อชำระหนี้
และเป็น ประกันด้วย เป็นการใช้เช็คในทางแพ่งเพื่อบีบลูกหนี้ในทางอาญา จึงไม่ผิดทางอาญา)
กรรมเดียวหรือหลายกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่880/2535
(ป.อาญา ความผิดหลายกรรม ม.91)
-จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 2 ชุด ชุดแรกยิง 3 นัดติดๆกัน กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่
1 จำนวน
1 นัด ผู้เสียหายที่ 1 ล้มลง ผู้เสียหายเข้าไปประคองผู้เสียหายที่ 1 จำเลยจึงยิงผู้เสียหายที่
2 ไปใน
ชุดหลัง 3 นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ 2 เพียง 1 นัด แสดงว่าการยิงปืนแต่ละชุดความประสงค์
และ
จุดมุ่งหมายของจำเลยแยกจากกันว่าชุดใดจำเลยยิงผุ้เสียหายคนใด เจตนาฆ่าผู้เสียหาย
ทั้งสองในขณะลงมือกระทำความผิดจึงแยกจากกัน การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิด
หลายกรรมต่างกัน
เจตนาให้เกิดความผิดหลายฐานเป็นหลายกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 1131/2535
(ป.อาญา กระทำผิดหลายกรรม พยายามข่มขืนกระทำชำเรา
พรากผู้เยาว์ ม.91,277,317)
-จำเลยพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย และพรากผู้เสียหายไปจากมารดาผู้เสียหายในคราว
เดียวกัน อันเป็นความผิดต่อผู้เสียหายและความผิดต่อมารดาผู้เสียหายถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำ
ความผิดให้เกิดผลกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรม
หมายเหตุ-การพิจารณาว่าการกระทำเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน
มิใช่จะพิจารณาแต
่เพียงว่า ถ้าเป็นการกระทำความผิดหลายฐานในคราวเดียวแล้ว จะต้องเป็นกรรมเดียวเสมอไป
การกระทำผิดหลายฐานในครั้งคราวเดียวกันอาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้ หากผู้กระทำมีเจตนา
ที่จะให้เกิดผลต่างกัน หรือประสงค์ให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐาน
ลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 1592/2535
( ป.อาญา ความผิดหลายกระทง ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์
ม.91,335,340)
-จำเลยกับพวกโกรธผู้เสียหาย ที่ไม่ยอมให้จำเลยกับพวกนั่งข้างๆ ในรถยนต์โดยสาร
จึงเกิดการ
โต้เถียงกันขึ้น พวกจำเลยชกต่อยผู้เสียหาย และดึงแว่นตาของผู้เสียหายออกจนหล่นพื้นเพื่อจะแกล้ง
ผู้เสียหาย มิได้คิดจะลักแว่นตามของผู้เสียหายไปแต่ต้น เมื่อทำร้ายผู้เสียหายเสร็จแล้วก่อนจะ
หนีไปจำเลยกับพวกจึงลักเอาแว่นตาและเศษสตางค์ของผู้เสียหายที่หล่นจากกระเป๋าไปในภายหลัง
การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายกระทงหนึ่ง และฐานลักทรัพย์อีก
กระทงหนึ่ง มิใช่ความผิดฐานชิงทรัพย์
ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
คำชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุด
ที่ 10/2536
( ป.อาญา ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ม.136 )
-การที่ผู้ต้องหากล่าวขณะมีการตกลงค่าเสียหายในคดีรถชนกัน โดยกล่าวว่าร้อยเวรว่า"หมวดทำอย่างนี้
ระวังจะโดนร้อง หมวดระวังตัวให้ดีจะโดนร้อง อย่างนี้ไม่ให้ความเป็นธรรม
ผมเอา หมวดแน่"
ยังไม่เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เนื่องจากเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงความรู้สึกไม่พอใจในการปฏิบัติงาน
ในหน้าที่ของผู้เสียหาย(ร้อยเวร) และเรียกร้องขอความเป็นธรรม จึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย
หมายเหตุ-ลักษณะถ้อยคำอย่างไร จึงจะถือว่าเป็นการดูหมิ่น
ซึ่งมีลักษณะดูถูก เหยียดหยามทำ
ให้อับอาย บางครั้งพิจารณายากเหลือเกิน บางครั้ง ต้องเอาถ้อยคำพูดและกิริยาท่าทาง
และพฤติการณ์ที่แสดงออก มาประกอบด้วย
มาดูคำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ ไม่เป็นดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท
1)การกล่าวถ้อยคำที่เป็นการปกป้องตนเอง โดยเชื่อโดยสุจริตใจว่าถูกกลั่นแกล้ง
2)ระหว่างตำรวจ ผู้ต้องหาในคดีรถชนกันและผู้เสียหาย มีการประนีประนอมค่าเสียหาย
ต่างพูดเถียงกันผู้เสียหายพูดว่า "ผู้กองพูดอย่างนี้ เอากฎหมายมาพูด ไม่มีศีลธรรม"
เป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท
1)มึงหมาหรือคน ตำรวจอะไร ตำรวจชาติหมา
2)คุณแกล้งจับผม มีเจตนาร้ายเกินไป จับโดยไม่ยุติธรรม
3)กล่าวต่อตำรวจที่จับกุมว่า ลื้อชุ่ยมาก แกล้งจับกันนี่หว่า
4)ชี้หน้าว่า"ปลัดนิกรบ้าหรืออย่างไร มาขัดขวางกลั่นแกล้งเลือกที่รักมักที่ชัง
ไม่ให้ความเป็นธรรม
5)เมื่อไปถึงสถานีตำรวจแล้วพูดกับตำรวจว่า"ลื้อจับแบบนี้แกล้งจับอั๊ว
จากตัวอย่างข้างต้นการกล่าวว่าตำรวจไม่ยุติธรรม
นี้เป็นการทำลายภาพพจน์ตำรวจผู้นั้นว่าไม่ดี
บริหารงานยุติธรรมไม่ตรงไปตรงมา ลักษณะไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎร เป็นการกระทบถึง
การปฏิบัติงานของตำรวจ ถือเป็นถ้อยคำรุนแรงในสภาพของการเป็นเจ้าพนักงานในกระบวนการ
ยุติธรรม เช่นนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะพิจารณาว่าเป้นการพูดโดยการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจ
หรือไม่ต้องดูพฤติการณ์อื่นประกอบด้วยดังกล่าวมาแล้ว
ป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
5758/2537
(ป.อาญา ป้องกัน สำคัญผิดในข้อเท็จจริง ม.68,62
, ป.วิอาญา เหตุยกห้อง ม.185 และ พ.ร.บ.
อาวุธปืนฯ ม.8 ทวิ)
-ผู้ตายกับพวกถือสิ่งของคล้ายอาวุธปืน เดินเข้ามาหาจำเลยในเขตนากุ้งของจำเลยในเวลาค่ำคืน
จำเลยร้องห้ามให้วางสิ่งของดังกล่าว แล้วผู้ตายกับพวกกลับจู่โจมเข้ามาใกล้ในระยะ
23 เมตร
ย่อมมีเหตุให้จำเลยอยู่ในภาวะเข้าใจได้ว่าผู้ตายกับพวก จะเข้ามาทำร้ายและมีอาวุธ
ถือได้ว่า
เป็น ภยัน ตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงไปทางผู้ตายกับพวกในภาวะและ
์พฤติกาณดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมายและพอสมควรแก่เหตุ
การที่ จำเลย นำอาวุธปืนของกลางซึ่งจำเลยได้รับอนุาตจากนายทะเบียนถูกต้องไปเฝ้านากุ้งของ
จำเลยเอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนของกลางไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร แต่ถือว่าเป็นการพา
ไปโดย ไม่มีเหตุจำเป็นหรือเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยจึงไม่ผิด
ตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ
ผู้เสียหายยินยอมแต่สนับสนุนผู้อื่นข่มขืนกระทำชำเรา
คำพิพากษาฎีกาที่
2073/2537
(ป.อาญา ผู้สนับสนุน ข่มขืนกระทำชำเรา ม.86,276
วรรค แรก)
จำเลยที่ 1 ร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายยินยอม จึงไม่ผิด แต่จำเลยทั้งสองได้สมคบ
ร่วมคิดกันมาก่อนว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายแล้วออกจากห้องไปให้เปิดประตู
ไว้ให้จำเลยท 2 เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เช่นนี้ถือว่าเป็นการช่วยเหลือ
ให้ความ
สะดวกแก่จำเลยที่ 2 ใน การกระทำความผิด จำเลยที่ 1 ย่อมผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่
2
ในการกระทำความผิดฐานข่มขืน กระทำชำเรา หญิงซึ่งมิใช่ภรรยาตน
ของกลางคดีมวยตู้
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่2792/2538
( ป.อาญา ริบทรัพย์ ม.33 พ.ร.บ.การพนันฯ ม.10)
- การที่ผู้ชมรายการถ่ายทอดสดชกมวยทางโทรทัศน์ ท้าพนันผลแห่งการชกมวย หาทำให้เครื่องรับ
โทรทัศน์ เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการเล่นการพนัน ตาม พ.ร.บ.การพนันฯไม่
และเป็นปัญหาข้อ
กฎหมาย แม้จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง เมื่อศาลเห็นว่าทรัพย์ดังกล่าวมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำ
ความผิดย่อมมีอำนาจสั่งไม่ริบได้
หมายเหตุ-คดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเครื่องรับโทรทัศน์
เป็นเครื่องรับสัญญาณภาพจากสถานีส่ง เพื่อ
ให้คนชมรายการข่าวหรือรายการบันเทิง การที่ผู้ชมมาท้าพนันผลการชกมวย เครื่องรับโทรทัศน์จึง
ไม่ใช่เครื่องมือเครื่องใช้ในการ เล่นพนันชกมวย(ภาษาชาวบ้านเรียกว่ามวยตู้)
แต่ถ้าท้าพนันกันว่า
หากเปิดเครื่องรับโทรทัศน์เครื่องนี้มีมวยทันทีหรือไม่เป็นข้อแพ้ชนะ ก็จะเป็นเครื่องใช้ในการ
เล่นการพนันกันได้ เช่นเดียวกับเสื่อที่ใช้นั่งเล่นการพนันไพ่ ศาลฎีกาไม่ริบ
เพราะไม่ใช่เครื่องมือ
เครื่องใช้ในการเล่นการพนัน มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าเล่นบนอะไรก็ริบสิ่งนั้น
แต่ถ้าหากพนันกัน
ว่าเสื่อผืนนี้ห่อตัวผู้ท้าพนันมิดหรือไม่ เป็นข้อแพ้ชนะพอถือได้ว่าเสื่อนั้น
เป็นเครื่องมือเครื่อง
ใช้ในการเล่นการพนัน เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุม ควรที่จะพิจารณาอย่างรอบคอบ
ในการยึดของ
ดังกล่าวด้วย มิฉะนั้นจะเป็นการกระทำโดยมิชอบ
(ดูฎีกาที่ 788/2542 เพิ่มเติม)
อ้างว่ารับเพราะถูกตำรวจซ้อม
คำพิพากษาฎีกาที่
672/2539
( ป.วิ อาญา ม.227,พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ม.7,15,66)
- พยานโจทก์ทุกปากเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติการตามกฎหมาย
ไม่ปรากฏว่า
เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย
พยาน
ผู้ร่วมจับกุมต่างเบิกความสอดคล้อง ต้องกันในเรื่องธนบัตรของกลางที่ให้สายลับใช้ล่อซื้อ
เฮโรอีน
จากจำเลย มีการถ่ายภาพและลงประจำวัน เกี่ยวกับคดีซึ่งเป็นเอกสารของทางราชการไว้
ก่อนส่ง
มอบให้สายลับไปดำเนินการ เมื่อสายลับล่อซื้อเฮโรอีนมาได้ พยานผู้ร่วมจับกุมได้ตรงปยังบ้าน
จำเลยทันที ทำการตรวจค้นและพบธนบัตรดังกล่าว ที่ตัวจำเลย ขั้นตอนต่างๆเป็นไป
ในระยะ
เวลากระชั้นชิดต่อเนื่องกัน จำเลยรับว่าธนบัตรของกลางตำรวจค้นได้จากกระเป๋า
กางเกงของจำเลย
ที่สวมใส่อยู่จริงขะถุกตรวจค้น จึงเจือสมกับคำให้การของโจทก์และพยานผู้ร่วมจับ
ทั้งจำเลย
ก็รับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นระยะเวลากระชั้นชิดกับจำเลยถูกจับกุม
คำรับของจำเลยจึงมีน้ำหนักในการรับฟังประกอบพยานหลักฐานโจทก์ได้ การที่จำเลย
ให้การ
ชั้นศาลว่าที่รับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นการอ้างมาลอยๆ ปราศจากพยาน
หลักฐาน จึงรับฟังไม่ได้ มีหลักฐานลงโทษจำเลยได้ตามฟ้อง
ขายก๋วยเตี๋ยวใส่กัญชา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
2322/2539
(พ.ร.บ.ยาเสพติดม.26วรรคแรก,76 วรรคสอง)
-การที่จำเลยขายก๋วยเตี๋ยวที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมก็เท่ากับได้จำหน่ายกัญชานั้นให้แก่ผู้ซื้อก๋วยเตี๋ยว
จากจำเลยด้วย
รถขับแข่งเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
2380/2539
(ป.อาญา ม.33 อนุ 1 พ.ร.บ.จราจรฯ ม.134 วรรคแรก,160
ทวี,พ.ร.บ.รถยนต์ม.11,60)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร
เจ้าพนักงานตำรวจ
จับกุม พร้อมยึดรถยนต์ดังกล่าวเป็นของกลาง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริง
จึงฟังเป็น
ที่ยุติตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยว่ารถยนต์เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด
ศาลมีอำ
นาจพิพากษาริบไดตาม ป.อาญา ม.33 (1)
คำให้การของผู้ตายก่อนตายรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 4113/2539
(ป.อาญา ฆ่าผู้อื่น ม.288 ป.วิอาญา พยานหลักฐาน
ม.227)
- การที่ผู้ตายซึ่งถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก วิ่งมาขอความช่วยเหลือพยาน
อ. และบอก
พยาน อ. ถึงคนที่ทำร้ายตนในโอกาสแรกแล้วเงียบเสียงไปพูดไม่ได้อีก และถึงแก่ความตายในคืน
นั้น เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้ตายรู้ตัวว่าจะต้องตาย และผู้ตายคงไม่มีเวลาที่คิดจะปรักปรำผู้อื่น
โดยไม่เป็นความจริง คำพูดของผู้ตายที่บอกก่อนตายจึงมีน้ำหนักรับฟังได้
ขึ้นคล่อม
บีบคอ ถอดเสื้อกางเกงเป็นพยายามข่มขืนแล้ว
ชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุด
(ป.อาญา ม.80,276)
-การกระทำที่ผลักหญิงล้มลง บีบคอแล้วขึ้นคล่อมตัว ต้องการจะทำชำเรา โดยดึงเสื้อหญิงขึ้นและ
พยายามถอดกางเกงหญิงออก จนหญิงบอกว่ายอมแล้ว พอปล่อยหญิงจึงถีบและใช้ไม้ท่อนตีจนมี
คนมาช่วยเป็นการพยายามข่มขืนกระทำชำเราแล้ว
ขับขี่รถจักรยานยนต์แซงเบียดตามช่องประมาท
คำชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุด
ที่ 126/2540
(ป.อาญา ประมาท ม.59 ประมาท สาหัส ม.390 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ)
- การที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปตามช่องว่างของทางเดินรถที่เหลืออยู่ในขณะรถยนต์
คันต่างๆ จอดรอเพราะรถติดกันมากนั้น ย่อมเป็นการไม่สมควร และเอาเปรียบผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง
ถือว่าได้เป็นการขับรถแซงขึ้นไปโดยขาดความระมัดระวัง และมักจะเบียดรถที่จอดรออยู่เสมอ
เมื่อมีการชนกับประตูรถยนต์อื่นที่จอดรอและเปิดออกมา ถือว่าผู้ต้องหาที่
2 มีความประมาทร่วม
อยู่ด้วย จะว่าคนเปิดประตูรถยนต์ประมาทเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะการแซงลักษณะดังกล่าว
ย่อมเป็นการหวาดเสียวและประมาทอยู่ในตัวเอง เมื่อมีคนได้รับบาดเจ็บกระดูกนิ้วมือข้างขวาแตก
มีแผลเปิด รักษาประมาณ 1 เดือน จึงเป็นอันตรายสาหัส
หมายเหตุ- บางตัวอย่างที่ผู้ขับยวดยานไม่อาศัยความชำนาญตามสภาพของตน
ถือว่าเป็นประมาท
เช่น ขับรถสวนกันโดยเร็ว หักหลบในระยะกระชั้นชิด, ขับรถเร็วเกินกำหนด แซงกันแย่งผู้โดยสาร,
ขับรถขึ้นสะพานเครื่องยนต์ดับถอยหลังตกสะพาน เพราะห้ามล้อไม่ดี ,บรรทุกของมาก
จนมองข้างหลังไม่เห็น,ขับรถตัดหน้าผู้อื่นในระยะกระชั้นชิด,ขับรถผ่านทางแยกโดยเร็วไม่ชลอรถ,
และรวมถึงรถจักรยานยนต์ที่ขับแซงซิกแซก หรือฉวัดเฉวียน เหล่านี้ถือว่าประมาททั้งสิ้น
เกินสมควรแก่เหตุและจำเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
223/2540
- จำเลยลงจากรถจักรยานยนต์ไปยืนพูดจาเพื่อปรับความเข้าใจกับผู้ตาย ซึ่งมีอาการมึนเมาสุรา
แต่ไม่สำเร็จ และผู้ตายใช้มีดฟันจำเลยก่อนแต่ไม่ถูกซึ่งหากจำเลยเพียงแต่ใช้อาวุธปืน
ที่พกติดตัว
มาออกมาขู่หรือยิงขู่ผู้ตาย ผู้ตายก็ไม่น่าจะกล้าฟันทำร้ายจำเลยอีกต่อไป
การที่ ี่จำเลยใช้อาวุธปืน
ยิงผู้ตายถูกบริเวณลำคอและช่วงบนจนถึงแก่ความตาย แม้ยิงเพียงนัดเดียว ก็เป็นการกระทำที่เกิน
กว่ากรณีและการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตน จึงไม่เป็นการป้องกันที่ชอบด้วยกฎหมาย
น้ำหนักพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 362/2540
(ป.วิ อาญาฯ ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ม.227)
- ผู้เสียหายถูกทำร้ายอยู่เป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที ผู้เสียหายรู้จักจำเลยทั้งสามมาก่อน
ในบริเวณที่เกิดเหตุก็มีแสงสว่างจากไฟฟ้า ผู้เสียหายย่อมเห็นหน้าคนร้ายชัดเจน
ผู้เสียหาย
มีบาดแผลที่ศรีษะ ไหล่ และที่หลังตรงตามที่ผู้เสียหายเบิกความว่าว่าถูกฟัน
ส่วนน.พยานโจทก์
อีกปากหนึ่งแม้ไม่ได้เบิกความว่าจำเลยคนใดถืออาวุธ แต่ก็ยังยืนยันว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันทำร้าย
ผู้เสียหายและตามคำให้การชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 รับว่าใช้มีดฟันผู้เสียหาย
จำเลยที่ 2
รับว่าเข้าไปชกผู้เสียหายนอกจากนี้มารดาจำเลยที่ 1 บิดาจำเลยที่ 2 และ
3 ยังได้บันทึกตกลง
ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย พยานหลักฐานดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยทั้งสาม
ร่วมกันกระทำผิดฐานทำ
ร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตราย สาหัส
น้ำหนักพยานโจทก์
์ คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 120/2541
( ป.วิ อาญา ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ม.227)
- การที่พยานโจทก์ทั้งสองตรวจท้องที่มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ เห็นจำเลยถือถุงกระดาษเดิน
สวน
ทางมาท่าทางเป็นพิรุธ เมื่อตรวจค้นถุงกระดาษที่จำเลยถือ พบเฮโรอีนของกลาง
โดยพยาน
ทั้งสองปากไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ขณะนั้นจำเลยเป็น
หญิงตั้งครรภ์
8 เดือน หากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง พยานทั้งสองคงไม่มีจิตใจ
โหดร้ายพอที่จะปรักปรำและ
ใส่ร้ายจำเลยขนาดนั้น โดยเฉพาะพยานคนหนึ่งเป็นนายตำรวจ สัญญาบัตร คงจะมีความรู้สำนึก
ในมโนธรรม และที่เกิดเหตุก็เป็นที่สาธารณะ เป็นที่เปิดเผย ต่อสาธารณะชน
ไม่มีเหตุผลและ
ความจำเป็นที่พยานทั้งสองจะเสี่ยงกระทำ พยานหลักฐานโจทก์ ์จึงกอปรด้วยเหตุผลมีน้ำหนัก
น่ารับฟัง ส่วนพยานจำเลยมีเพียงมารดาจำเลย ซึ่งถึงอย่างไรมารดา ย่อมต้องรักห่วงบุตรยิ่งกว่าชีวิต
พยานปากอื่นของจำเลยเบิกความขัดกันและมีข้อพิรุธน่าสงสัย พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง
พอแก่การหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ จำเลยมีความผิดตามฟ้อง
ควรรู้ว่ารับซื้อรถที่ลักมา
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 187/2541
(ป.อาญา รับของโจร ม. 357 ป.วิ อาญา พยานหลักฐาน
ม.227)
- รถยนต์กระบะของกลางมีสภาพใหม่ ผู้เสียหายซื้อมาก่อนเกิดเหตุประมาณ 5
เดือน ราคา 335,000 บาท แต่ขณะจำเลยรับซื้อรถกระบะของกลางมาไม่มีกุญแจ
ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน และป้ายวงกลม
หลักฐาน การทำประกันภัยก็ไม่มี ในชั้นจับกุมจำเลยให้การว่ารับซื้อมาในราคา
80,000 บาท
ดังนี้ตามพฤติการณ์พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อรถกระบะของกลาง
โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์
ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร
ตามฟ้อง
เจตนาล่อลวงหญิง
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 210/2541
( ป.อาญา จัดพาหญิงไปเพื่อการอนาจารหรือสำเร็จความใคร่ผู้อื่น
โดยใช้อุบายหลอกลวง
พรากผู้เยาว์ ม.283,318 )
- การที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาผู้เสียหายไปทำงานในร้านอาหาร แต่กลับพาไป
เพื่อให้ค้าประเวณี จะนับว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยไม่ได้ เพราะผู้เสียหายไม่ได้เต็มใจไป
ค้าประเวณีแต่ต้น แต่ที่ไปกับจำเลยเพราะจำเลยหลอกลวงว่าจะพาไปทำงานที่ร้านขายอาหาร
ของน้องสาวจำเลยการกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาที่จะล่อลวงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร
และ เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นโดยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายตามฟ้อง
ว่าเป็นเมียน้อยหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 97/2541
( ป.อาญา หมิ่นประมาท ม.326)
- จำเลยกับผู้เสียหายเคยมีความขัดแย้งกันในเรื่องเงินกู้มาก่อนประกอบกับพฤติการณ์ของ
ผู้เสียหายเมื่อไปถึงหน้ารั้วบ้าน ของจำเลยได้เรียกจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ให้ออกมาพูดนอกรั้วบ้าน
อันถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติจำเลย ทำให้จำเลยโกรธผู้เสียหาย และการที่จำเลยร้องด่าผู้เสียหายว่า
"มึงเป็นเมียน้อยสารวัตร ศ. มึงอย่ามาทำใหญ่ให้กูเห็นนะ"
ต่อหน้า พ.ซึ่งมากับผู้เสียหาย เป็นการทำ
ให้ผู้เสียหายถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังจาก พ. จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น
เจ้าของห้องเช่าบุกรุกห้องเช่าของตนเอง
คำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ 4477/2531
( ป.อาญา บุกรุก
ม.362 )
-เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าและครอบครองอาคารพิพาทค้างชำระค่าเช่า หากจำเลยประสงค์
ฟ้องขับไล่ ก็ชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมาย จำเลยไม่มีอำนาจกระทำโดยพลการ
ด้วย
การใช้กุญแจพร้อมโซ่เหล็กคล้องและปิดประตูเหล็กอันเป็นทางเข้าออกอาคารพิพาท
ทำให้โจทก์เข้าไปในอาคารพิพาทไม่ได้ เป็นการลุกร้ำเข้าไปในอำนาจการครอบครองของโจทก์
ถือได้ว่าจำเลยเข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์
โดยปกติสุข ตาม ป.อาญา มาตรา 362 แล้ว จึงมีความผิดฐานบุกรุก
ลักทรัพย์ หรือฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกา ประชุมใหญ่ ที่ 6892/2542
( ป.อาญา ลักทรัพย์ ฉ้อโกง
ม.334,341 )
-การกระทำที่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นโดยพลการ และโดย
ทุจริต มิใช่ได้ทรัพย์ไปเพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้เนื่องจากถูกหลอกลวง การที่จำเลยเอาป้าย
ราคาโคมไฟตั้งโต๊ะของกลาง ซึ่งติดราคาไว้ 1,785 บาท ออก แล้วนำป้ายราคาอื่นซึ่งติดราคา
134 บาท มาติดแทน แล้วมอบให้พวกของจำเลยไปชำระราคาแก่พนักงานเก็บเงินของผู้เสียหาย
จึงมิใช่เอาโคมไฟตั้งโต๊ะไปโดยพลการโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
แต่หากเป็นการ
หลอกลวงพนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายโดยทุจริต โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
ว่าราคา
โคมไฟตั้งโต๊ะมีราคาเพียง 134 บาท พนักงานเก็บเงินของผู้เสียหายหลงเชื่อ
จึงยินยอมมอบโคมไฟ
ตั้งโต๊ะของกลาง ให้จำเลยโดยรับเงินจากจำเลยเพียง 134 บาท การกระทำของจำเลย
จึงเป็น
ความผิดฐานฉ้อโกง
ยกประโยชน์ให้จำเลย
คำพิพากษาฎีกาที่
617/2542
(ป.วิอาญา ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน
ม.227)
-เจ้าพนักงานตำรวจให้สายลับไปล่อซื้อยาบ้าจากจำเลย
1 เม็ด แต่การล้อซื้อนั้น
สายลับไปล่อซื้อเพียงลำพัง ไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปเฝ้าดูแต่อย่างใด
และจากการตรวจค้นที่บ้านจำเลยก็ไม่พบยาบ้าอีก แม้จะค้นพบธนบัตรของกลาง
จากกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่แขวนไว้ที่ฝาบ้านก็ตาม ก็ยังฟังไม่ถนัดนักว่า
จำเลยรับธนบัตรมาจากการล่อซื้อขายยาบ้า อาจเป็นการรับจากสายลับโดยประการ
อื่นก็เป็นได้ โดยเฉพาะคำบอกเล่าของสายลับต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง
ทั้งการที่จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนนั้น จำเลยต่อสู้ว่าถูก
เจ้าพนักงานตำรวจบังคับให้รับสารภาพ และยังถูกหลอกว่าเพียงมีโทษแค่ปรับ
สถานเดียว จำเลยจึงยอมรับสารภาพ เมื่อโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็น
เหตุการณ์โดยตรงมาเบิกความ มีแต่เพียงพยานบอกเล่าเท่านั้นจึงยังไม่อาจฟังว่า
มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะทำให้เชื่อโดยสนิทใจว่าจำเลยกระทำผิด คดีจึงมีเหตุอันควรสงสัย
ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้
จำเลยตาม ป.วิอาญา ม.227 วรรคสอง
การใช้ธนบัตรปลอม
ต้องรู้ว่าเป็นธนบัตรปลอมจึงจะผิด
คำพิพากษาฎีกาที่
476/2542
(ป.อาญา ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ม.244,247)
ตัวอย่างคดีตามคำชี้ขาดความเห็นแย้ง
-ธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท มีสี เนื้อกระดาษลวดลาย ความชัดเจน ตลอดจนลักษณะ
ตำหนิพิเศษทั้งด้านหน้าและด้านหลังแตกต่างจากธนบัตรที่แท้จจริงอย่างมาก
นอกจากนี้ธนบัตรของกลางทุกฉบับที่ยึดจากตัวผู้ต้องหาก็มีหมายเลข และหมวด
อักษรเหมือนกันหมด ผู้ต้องหาบรรลุนิติภาวะและกำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี
เมื่อเห็นและหยิบธนบัตรของกลางในเวลากลางวันย่อมรู้ว่าเป็นของปลอม ประกอบ
กับพฤติกรรมของผู้ต้องหาที่นำธนบัตรไปใช้ซื้อสินค้าในเวลากลางคืน เพื่อให้ยาก
แก่การตรวจสอบ และได้ให้การรับสารภาพในช้นจับกุม พยานหลักฐานจึงฟัง
ได้ว่าผู้ต้องหาได้ธนบัตรของกลางมาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมแล้วนำออกใช้ จึงมี
ความผิดฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรอันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอม
อำนาจของผู้ทรงเช็ค
คำพิพากษาฎีกาที่
1084/2542
(ป.วิอาญา ข้อเท้จจริงแตกต่างจากฟ้อง ม.192 วรรคสอง
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ม.4)
-การที่โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินที่ธนาคารแล้วธนาคาร
ปฏิเสธการใช้เงินตามเช็คนั้น โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย ซึ่งไม่ว่าโจทก์จะนำเช็ค
ไปเข้าบัญชีของโจทก์เองหรือเข้าบัญชีของผู้อื่นเพื่อเรียกเก็บเงินแทน ก็เป็น
เพียงรายละเอียดในการนำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินเท่านั้น ข้อแตกต่าง
ดังกล่าวจึงมิใช่ข้อแตกต่างในสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง
เงินล่อซื้อยาเสพติดหาย
คำพิพากษาฎีกาที่
1436/2542
(ป.วิอาญา ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ม.227)
-เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลย ได้แอบไปซุ่มดูจำเลยในระยะใกล้ ในเวลา
กลางวัน ทั้งเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธอย่างไร เจ้าพนักงาน
ตำรวจผู้จับกุมได้จดบันทึกไปตามนั้น กรณีจึงไม่มีเหตุที่ระแวงว่าพยานโจทก์
ผู้จับกุมจะเลยจะเบิกความปรักปรำจำเลย เมื่อพนักงานสอบสวนพาจำเลย
ไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ จำเลยก็ยังคงนำชี้ตามคำรับสารภาพ
ซึ่งหากจำเลยไม่ได้กระทำผิดย่อมปฏิเสธได้เพราะเป็นเจ้าพนักงานต่างคนกัน
และจดบันทึกในเวลาที่ต่างกัน ฟังได้ว่าอีเฟรดีนของกลาง 587 เม็ด เป็นของ
จำเลย สำหรับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 3,100 บาท แม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้
ว่าหายไปได้อย่างไรก่อนที่จำเลยจะถูกจับกุมก็หาเป็นสาระสำคัญไม่ เพราะ
พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมานับว่ามั่นคงพอที่รับฟังได้อยู่แล้วว่าจำเลย
กระทำผิดตามฟ้อง
ลักครีมตัวอย่างในห้าง
ชี้ขาดความเห็นแย้ง
-การที่ผู้ต้องหาเตรียมกระปุกขนาดเล็กติดตัวมา และได้นำตลับครีม
ตัวอย่างเดินไปในที่ลับตาแล้วล้วงเอาครีมตัวอย่างออกมาใส่กระปุก
ของตนเสียครึ่งกระปุก เหลือเนื้อครีมติดอยู่ที่ตลับครีมตัวอย่างเพียง
เล็กน้อย โดยไม่ใช้ครีมตัวอย่างทดลองทาผิวของตนขณะอยู่ภายใน
ร้าน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเห็นเจตนาอันแท้จริงของผู้ต้องหาที่จะ
ลักเอาครีมตัวอย่างไปใช้ มิใช่ทดลองใช้เพียงเล็กน้อยแต่อย่างใด
ที่ผู้ต้องหาอ้างว่านำครีมไปทดลองใช้ที่บ้านจึงฟังไม่ขึ้น
ผู้ต้องหามี
ความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน
ร่วมกันทำร้ายร่างกายและหน่วงเหนี่ยวกักขัง
ชี้ขาดความเห็นแย้ง
-ผู้เสียหายและประจักษ์พยานยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุผู้ต้องหาที่ 2 ได้เข้า
ช่วยผู้ต้องหาที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายด้วยการผลักตัวผู้เสียหาย
เข้าไปในบ้านของผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้ใช้เชือกมัดตัว
ผู้เสียหาย แล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายต่อไปโดย
ผู้ต้องหาที่ 2 ยืนคุมเชิงอยู่ค้าง ๆ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่บ้านผู้ต้อง
หาที่ 1 ผู้ต้องหาที่ 2 ยังได้ช่วยผู้ต้องหาที่ 1 ด้วยการดึงตัวผู้เสียหายให้
เข้าไปในบริเวณห้องนั่งเล่น พฤติการณ์ของผู้ต้องหาที่ 2 นี้ แสดงว่า
ผู้ต้องหาที่ 2 มีความประสงค์ที่จะช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ 1 ในการทำร้าย
ร่างกายและหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพ
ในร่างกาย การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับ
ผู้ต้องหาที่ 1
ใช้อาวุธปืนยิงเป็นการทำร้ายร่างกาย
ไม่เป็นพยายามฆ่าเสมอไป
ชี้ขาดความเห็นแย้ง
-การกระทำของผู้ต้องหาไม่เป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
เพราะผู้ต้องหายิงผู้เสียหายในระยะที่ห่างกันเพียงประมาณ
2 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่ใกล้มาก ผู้ต้องหาสามารถเลือกยิงผู้เสียหาย
ได้ แต่กระสุนถูกผู้เสียหายที่บริเวณก้น ซึ่งไม่ใช่ส่วนอวัยวะ
สำคัญที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ผู้ต้องหายิงผู้เสียหายเพียงนัด
เดียว โดยไม่ได้ยิงซ้ำอีก ทั้งๆที่มีโอกาสยิงซ้ำได้ เพราะยัง
มีกระสุนปืนเหลืออยู่ในกระบอกปืนอีก 8 นัด อีกทั้งเรื่องที่
เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ผู้ต้องหาไม่ยอมให้ผู้เสียหายจอดรถ แล้ว
เกิดมีปากเสียงกันขึ้น เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
รุนแรงถึงขนาดต้องฆ่าทำลายล้างกัน และการกระทำของ
ผู้ต้องหาไม่ใช่เป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย
เพราะผู้เสียหายไม่ได้กระทำสิ่งใดอันพอจะถือได้ว่าเป็น
ภยันตรายที่ใกล้จะถึงเป็นภัยต่อผู้ต้องหา การกระทำของ
ผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมาย
อาญามาตรา 295 (บาดแผลของผู้เสียหายรักษาประมาณ
15 วัน หาย)
ลงชื่อในกระดาษเปล่ามาฟ้องบังคับตามสัญญากู้
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่
7428/2543)
-โจกท์ฟ้องว่าจำเลยได้ยืมเงินไป
25,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 บาทต่อปี กำหนดชำระ
คืนในหนึ่งเดือน แต่ปรากฏว่าเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระจำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้เงินต้น
และดอกเบี้ยติดต่อกันถึง 7 ปี 11 เดือน ฟ้องบังคับชำระเป็นเงิน 54,375
บาท
-จำเลยให้การว่ากู้เงินจากโจทก์จริงเพียง 25,000 บาท ไม่ได้ทำสัญญากู้เงินไว้
เพียง
ลงชื่อในกระดาษเปล่า ไม่มีการกรอกข้อความเป็นสัญญาเงินกู้ โจทก์เรียกดอกเบี้ยเป็น
รายเดือนเดือนละ 1,250 บาท จำเลยชำระดอกเบี้ยทุกเดือน สัญญากู้ที่โจทก์นำมาเป็น
หลักฐานการฟ้องร้องบังคับคดี โจทก์กรอกตัวเลขและข้อความเอาเองโดยไม่ได้รับความ
ยินยอมจากจำเลยจึงเป็นสัญญาปลอมทั้งฉบับ โจทก์ไม่มีสิทธินำมาฟ้อง ทั้งเงินที่กู้ไป
จำเลยก็ชำระจนหมดหลังจากการกู้ไปเพียง 3 ปี เมื่อชำระหนี้หมดแล้วได้ทวงถามสัญญา
โจทก์บอกว่าหายไปหาไม่พบ
-ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญากู้นั้นเป็นเอกสารปลอม
ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
-ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริง
จำเลยยังคงค้างชำระตามฟ้อง พิพากษากลับให้จำเลยชำระหนี้ 54,375 บาท พร้อมดอก
เบี้ยร้อยละ 15 ของต้นเงิน 25,000 บาท จำเลยฎีกา
-ศาลฎีกา วินิจฉัยว่า ตามคำให้การของจำเลยฟังได้ความว่า
จำเลยรับแล้วว่าได้กู้ยืมเงิน
โจทก์ไปจริงตามฟ้อง โดยจำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษที่ไม่มีการกรอกข้อความไว้
แม้
หากข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามคำให้การของจำเลยว่า มีการกรอกข้อความโดยไม่ได้รับ
ความยินยอมจากจำเลยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้กรอกจำนวนเงินกู้ตามความเป็นจริง
อัตราดอกเบี้ยก็ไม่เกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนดหรือที่ได้ตกลงกันไว้ การกู้ยืมเงิน
ครั้งนี้ จึงเป็นการกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
และลงลายมือชื่อผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง แล้ว จำเลยจะต้องรับผิด
ชอบ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่จำเลยโต้เถียงขึ้นมา จำเลยต้องรับผิด
ชอบชดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็น
พ้องด้วยในเหตุผล พิพากษายืน
พ.ต.ท.สมศักดิ์ ณ โมรา
รอง ผกก.(สส.)สภ.อ.สุไหงปาดี
รวบรวมแต่ 25 มกราคม 2544
ถึงวันที่ 29 มกราคม 2546
|