บทความเรื่องการจับกุมและการควบคุมผู้ต้องหาของตำรวจฉบับที่
2
|
- บทความ ว่าด้วยการจับภาค
๒
โดย พ.ต.ท.สมศักดิ์ ณ โมรา รอง ผกก.(สส.)สภ.อ.สุไหงปาดี
เมื่อ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
+++++++++++++++++++++
- หลังจากผู้เขียนได้เขียนบทความฉบับที่
๑ ลงในโฮมเพจของ สภ.อ.สุไหงปาดี ไปแล้ว ยังไม่พบข้อขัดข้องในการปฏิบัติ
จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ เวลา
๒๐.๐๐ น. ได้เกิดเหตุ นายอดิศักดิ หะยีมามะ ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทง
ถึงแก่ความตาย สืบสวนสอบสวนในเบื้องต้นได้ความว่าคนที่ทำให้นายอดิศักดิ์ฯถึงแก
่ความตายคือนายอาบีดีน มามะ อายุ ๑๖ ปี จึงได้จัดกำลังออกติดตามจับกุมทันที
ทั้งคืน
ก็ไม่พบตัว จึงไม่สามารถจับกุมตัวได้ จนกระทั่งต่อมาในวันที่ ๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๔๕ นายอาบีดีนฯได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนแจ้งความประสงค์เข้ามอบตัวต่อพนักงาน
สอบสวนแจ้งว่าเป็นคนใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงนายอดิศักดิ์ฯจริงแต่กระทำไปเพื่อป้อง
กันตัวเองโดยชอบด้วยกฎหมาย และตนเองได้รับบาดเจ็บจากถูกผู้ตายใช้มีดฟันมือตนด้วย
ผู้เขียนจึงได้นำตัวนายอาบีดีนฯส่งโรงพยาบาลสุไหงปาดีให้แพทย์ทำแผลให้จนเรียบร้อย
และให้แพทย์ลงความเห็นในรายงานชันสูตรบาดแผลไว้ โดยยังไม่ได้ควบคุม
หรือแจ้งข้อ
หาแต่อย่างใด ได้รวบรวมพยานหลักฐานประกอบด้วยคำให้การพยานบุคคล
๑ ปาก บันทึก
การตรวจที่เกิดเหตุ แผนที่เกิดเหตุ ภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ รายงานชันสูตรพลิกศพ
ราย
งานชันสูตรบาดแผลและเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งถือว่ามีหลักฐานตามสมควรว่า
ผู้นั้นน่าจะได้กระทำความผิดอาญาร้ายแรงที่มีอัตราโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ
ตามนัย
(๑) แห่งวรรค ๒ ของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๓๗ มีเหตุอันควรออกหมายจับได้
แต่ผู้ต้องหา
ได้เดินทางมาพบและมอบตัวด้วยตนเอง (โดยยังไม่ได้แจ้งข้อหาและควบคุมตัวแต่อย่างใด
ซึ่งยังไม่ถือว่าได้จับ) ซึ่งไม่จำเป็นต้องขอให้ศาลออกหมายจับ
จึงได้เห็นว่าน่าจะมีช่องทางที่จะแจ้งข้อหาและควบคุมตัวนายอาบีดีนฯได้โดยอาศัยอำนาจ
ของศาล ตามรัฐธรรมนูญฯมาตรา ๒๓๗ วรรคแรกที่บอกว่าการจับกุมหรือคุมขังบุคคลใดจะ
กระทำมิได้เว้นแต่ (๑)มีคำสั่ง หรือ(๒)หมายของศาล หรือ(๓)ผู้นั้นได้กระทำผิดซึ่งหน้า
หรือ(๔)มีเหตุจำเป็นอย่างอื่นให้จับได้ตามกฎหมายบัญญัติ กรณีนี้ผู้เขียนในฐานะที่เป็น
นักกฎหมายคนหนึ่งจึงได้ตีความว่าเป็นกรณีที่สามารถออกหมายจับได้
ตาม(๑)ของวรรคสอง
ดังกล่าวจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งเพราะเป็นช่องทางหนึ่งที่รัฐธรรมนูญเขียน
ไว้ว่าศาลสามารถดำเนินการได้อย่างใดอย่างหนึ่งคือ มีคำสั่ง หรือ
มีหมายของศาล(หมายถึง
หมายจับและหมายขัง)แต่ศาลได้ยกคำร้องโดยอ้างว่าไม่มีเหตุที่จะออกคำสั่ง
ท่านได้เรียกขึ้นพบและชี้แจงให้ฟังว่าพนักงานสอบสวนสามารถรับมอบตัว
และแจ้งข้อ
กล่าวหา และสอบสวนปากคำเช่นเป็นผู้ต้องหาได้ และกรณีนี้ผู้ต้องหาไม่ได้หลบหนีไม่มี
เหตุที่จะออกหมายจับ จึงไม่มีเหตุที่จะขอให้ศาลออกคำสั่ง ท่านได้แจ้งเพิ่มเติมว่า
คำว่ามี
คำสั่งตามรัฐธรรมนูญดังกล่าว ใช้กับกรณีนี้ไม่ได้ จะเป็นกรณีศาลมีคำสั่งว่าให้ขังผู้ต้องหา
กี่วันตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขัง ๑๒ วัน ในที่สุดท่านก็ยกคำร้อง
และ
กล่าวว่าตำรวจมักตีความไม่ให้ตัวเองทำงานได้ ซึ่งเป็นการกลัวเกินเหตุ
ซึ่งด้วยความเคารพ
ต่อศาล ผู้เขียนไม่เห็นด้วย เพราะตัวอย่างที่กล่าวถึงนี้เข้ากรณีเข้าหลักเณฑ์มีหลักฐานตาม
สมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำความผิด ซึ่งมีเหตุที่จะออกหมายจับได้
ศาลก็สามารถมีคำสั่ง
ให้ควบคุมผู้ต้องหาได้ แต่กรณีนี้โชคดีที่ผู้ต้องหามีอายุเพียง
๑๖ ปี ผู้เขียนได้เตรียมทางหนี
ทีไล่ไว้แล้วด้วยการจัดทำบันทึกรับมอบตัวผู้ต้องหา และทำหนังสือนำส่งตัวไปยังสถานพินิจ
และคุ้มครองเด็กจังหวัดนราธิวาส จึงได้นำตัวส่งสถานพินิจฯได้ในทันทีและจะได้ทำหนังสือนัด
หมาย พนักงานอัยการ,นักสังคมสงเคราะห์และทนายความ แจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวน
ปากคำผู้ต้องหาในโอกาสต่อไป ผู้เขียนไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหากผู้ต้องหานี้อายุ
๑๘ ปี
แล้วผู้เขียนสามารถบันทึกรับมอบตัว แจ้งข้อกล่าวหา ควบคุมตัวไว้
๔๘ ชั่วโมง แล้วนำตัว
ไปยื่นขอฝากขังตามกระบวนการปกติได้หรือไม่ วานผู้รู้ช่วยตอบที
และเราจะมีวิธีปฏิบัติที่
ถูกต้องอย่างไร กรุณาอีเมล์ไปบอกผู้เขียนด้วยจักเป็นพระคุณอย่างสูง
ที่
snamora@hotmail.com
ก่อนออกจากห้องผู้พิพากษา ด้วยความเมตตาของผู้พิพากษาท่านหนึ่ง
(คนละท่านกับที่
ได้พิจารณาคำร้องของผู้เขียน) ได้มอบเอกสารให้ผู้เขียน ๒ แผ่น
เกี่ยวกับ
- มติที่ประชุมร่วมของอธิบดีผู้พิพากษา
เรื่องการออกหมายจับและหมายขังในคดีอาญา
เมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ซึ่งเชื่อแน่ว่าพนักงานสอบสวนในจังหวัดนราธิวาส
ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบ เพื่อจะได้ทราบและเป็นแนวทางปฏิบัติ ผู้เขียนขอเผยแพร่เนื้อหา
โดยไม่ได้ตัดตอนดังนี้
- ๑.กรณีผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน
โดยที่ยังมิได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหา
ไว้นั้น พนักงานสอบสวนจะควบคุมผู้นั้นได้หรือไม่
เมื่อผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน โดยที่ยังไม่ได้มีการออกหมายจับ
พนักงาน
สอบสวนมีอำนาจแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาได้ และโดยลำพังการแจ้งข้อหานั้น
ยังไม่ถือเป็นการจับ
๒.ในกรณีมีการเข้ามอบตัว และพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ระหว่างสอบสวน
จะต้องสอบสวนคดีให้เสร็จภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๑๓ หรือไม่ และถ้าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวง พนักงานสอบสวนจะต้องขอผัดฟ้องต่อศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ
มาตรา ๗ หรือไม่
เมื่อพนักงานสอบสวนได้ควบคุมผู้ต้องหาไว้ในช่วง ๔๘ ชั่วโมง พนักงานสอบสวนย่อมมี
อำนาจสั่งปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหานั้นได้ ไม่ว่าจะให้มีประกันหรือมีประกันและหลักประกันหรือไม่
๒.๑ สำหรับคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาหรือศาลจังหวัด หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่งคราว
พนักงานสอบสวนไม่ต้องนำผู้ต้องหามาร้องขอฝากขังต่อศาลในช่วงเวลาที่ได้รับการปล่อยชั่วคราว
แต่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๓ แต่ถ้าผู้ต้องหาไม่ได้รับ
การปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนจะต้องร้องขอฝากขังภายในระยะเวลา
๔๘ ชั่วโมง นับแต่
ควบคุมผู้ต้องหา
๒.๒ คดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวง ไม่ว่าผู้ต้องหาจะได้รับการปล่อยชั่วคราวหรือไม่
พนักงานสอบสวนต้องนำผู้ต้องหามาร้องขอผัดฟ้องต่อศาลภายใน ๔๘ ชั่วโมง
นับแต่เวลา
ที่ควบคมผู้ต้องหา ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา ๗
๓.ในกรณีผู้ต้องหาเข้ามอบตัวและพนักงานสอบสวนมิได้ใช้อำนาจควบคุมผู้ต้องหา
ถ้าเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาหรือศาลจังหวัด พนักงานสอบสวนไม่จำเป็นต้องร้อง
ขอฝากขัง ต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๘๗ และไม่ต้องร้องขอผัดฟ้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ
มาตรา
๗ ในกรณีที่เป็นคดีซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวง
๔.เด็กที่ถูกควบคุมอยู่ในสถานพินิจ จะถือเป็นการขังตาม
มาตรา ๒๓๗ แห่งรัฐธรรมนูญฯ หรือไม่
วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว มิใช่มุ่งลงโทษเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิด
แต่มุ่งบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กแลเยาวชนที่กระทำผิดให้กลับตัวเป็นคนดี
ทั้งกฎหมาย
ยังบัญญัติสนับสนุนหลักการดังกล่าวด้วยว่า เด็กที่หลบหนีออกจากสถานพินิจฯ
มิให้ถือเป็นความผิด การควบคุมเด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
จึงเป็นการดำเนินการเพื่อ
บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ดังนั้น การควบคุมตัวเด็กและเยาวชนดังกล่าว
จึงไม่เป็นการขัง ที่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ
มาตรา ๒๓๗ (๑) และ (๒)
แต่ศาลควรใช้ดุลพินิจในการปล่อยชั่วคราวให้ยืดหยุ่น เป็นคุณแก่เด็กและเยาวชนให้มากที่สุด
ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าข้อเขียนนี้เป็นประโยชน์ต่อพนักงานสอบสวน
ของ ภ.จว.นราธิวาส
บ้างตามสมควร โดยเฉพาะมติที่ประชุมร่วมของอธิบดีผู้พิพากษา ได้ทำให้ผู้เขียนคลายข้อ
สงสัยตามบทความของผู้เขียนฉบับที่ ๑ ไปมากทีเดียว
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
If you have comments
or questions regarding this web site, please send E-mail to
theSungaipadee Police Department at the following: padee3@yahoo.com
Unless otherwise noted,
all material is copyright @ 2000. The Sungaipadee Police Department.
All rights reserved.
|