ผู้บังคับบัญชา
  บทความ
  แจ้งเบาะแสอาชญากรรม
  เหตุด่วน...เหตุร้าย
  สถิติอาชญากรรม
  บัญชีหมายจับ
  ข่าวการจับกุมคดีสำคัญ
  ตรวจสอบรถถูกยึด
  ภาพกิจกรรมตำรวจปาด
  กต.ตร.สภ.อ.สุไหงปาดี
  การ์ตูนตำรวจ
  เครื่องแบบเฮฮา
  รู้ไว้ได้ประโยชน์
  ฎีกาน่ารู้
  เที่ยวสุไหงปาดี,นราธิวาส
  กฎหมายไทย600ฉบับ
  คู่มือประชาชน
  หลักการจำคนร้าย
  วิธีป้องกันรถหาย
  แนะวิธีอดบุหรี่
  สถานบำบัดยาภาคใต้
  อ่านข่าว,ฟังข่าวไทย
  ท่องเที่ยวทั่วไทย (sabuy)
  หางานทำ (jobsdb)
  ค้นหาเว็บกับsiamguru
  ค้นหาเว็บกับgoogle
  Web site อื่นๆน่าสนใจ
ลงสมุดเยี่ยม Guestbook
Webmaster
ระฆังห่วงใย จากใจ นายกรัฐมนตรี

 

 

......ชาวสุไหงปาดี ร่วมใจกันต่อต้านภัยยาเสพติด........ เหตุด่วนเหตุร้ายทุกท้องที่ โทร.191 .....ดับเพลิงทุกท้องที่ โทร.199 .....ดับเพลิง อำเภอสุไหงปาดี โทร.0-7365-1184 .....รถหายแจ้ง ศปร.ตร.โทร.1192....ตำรวจทางหลวง โทร.1193.... ศปร.ภ.จว.นราธิวาสโทร.073-511028...

 

 
 
สถานีตำรวจภูธรอำเภอสุไหงปาดี เลขที่ 414 ถ.สุขาภิบาล 6 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จว.นราธิวาส 96140

 

 

 

 

บทความเรื่องการจับกุมและการควบคุมผู้ต้องหาของตำรวจฉบับที่ 2
  • บทความ ว่าด้วยการจับภาค ๒
    โดย พ.ต.ท.สมศักดิ์ ณ โมรา รอง ผกก.(สส.)สภ.อ.สุไหงปาดี
    เมื่อ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
    +++++++++++++++++++++
  • หลังจากผู้เขียนได้เขียนบทความฉบับที่ ๑ ลงในโฮมเพจของ สภ.อ.สุไหงปาดี ไปแล้ว ยังไม่พบข้อขัดข้องในการปฏิบัติ จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ เวลา
    ๒๐.๐๐ น. ได้เกิดเหตุ นายอดิศักดิ หะยีมามะ ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทง
    ถึงแก่ความตาย สืบสวนสอบสวนในเบื้องต้นได้ความว่าคนที่ทำให้นายอดิศักดิ์ฯถึงแก
    ่ความตายคือนายอาบีดีน มามะ อายุ ๑๖ ปี จึงได้จัดกำลังออกติดตามจับกุมทันที ทั้งคืน
    ก็ไม่พบตัว จึงไม่สามารถจับกุมตัวได้ จนกระทั่งต่อมาในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ นายอาบีดีนฯได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนแจ้งความประสงค์เข้ามอบตัวต่อพนักงาน
    สอบสวนแจ้งว่าเป็นคนใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงนายอดิศักดิ์ฯจริงแต่กระทำไปเพื่อป้อง
    กันตัวเองโดยชอบด้วยกฎหมาย และตนเองได้รับบาดเจ็บจากถูกผู้ตายใช้มีดฟันมือตนด้วย ผู้เขียนจึงได้นำตัวนายอาบีดีนฯส่งโรงพยาบาลสุไหงปาดีให้แพทย์ทำแผลให้จนเรียบร้อย
    และให้แพทย์ลงความเห็นในรายงานชันสูตรบาดแผลไว้ โดยยังไม่ได้ควบคุม หรือแจ้งข้อ
    หาแต่อย่างใด ได้รวบรวมพยานหลักฐานประกอบด้วยคำให้การพยานบุคคล ๑ ปาก บันทึก
    การตรวจที่เกิดเหตุ แผนที่เกิดเหตุ ภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ รายงานชันสูตรพลิกศพ ราย
    งานชันสูตรบาดแผลและเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งถือว่ามีหลักฐานตามสมควรว่า ผู้นั้นน่าจะได้กระทำความผิดอาญาร้ายแรงที่มีอัตราโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ ตามนัย
    (๑) แห่งวรรค ๒ ของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๓๗ มีเหตุอันควรออกหมายจับได้ แต่ผู้ต้องหา
    ได้เดินทางมาพบและมอบตัวด้วยตนเอง (โดยยังไม่ได้แจ้งข้อหาและควบคุมตัวแต่อย่างใด
    ซึ่งยังไม่ถือว่าได้จับ) ซึ่งไม่จำเป็นต้องขอให้ศาลออกหมายจับ จึงได้เห็นว่าน่าจะมีช่องทางที่จะแจ้งข้อหาและควบคุมตัวนายอาบีดีนฯได้โดยอาศัยอำนาจ
    ของศาล ตามรัฐธรรมนูญฯมาตรา ๒๓๗ วรรคแรกที่บอกว่าการจับกุมหรือคุมขังบุคคลใดจะ
    กระทำมิได้เว้นแต่ (๑)มีคำสั่ง หรือ(๒)หมายของศาล หรือ(๓)ผู้นั้นได้กระทำผิดซึ่งหน้า หรือ(๔)มีเหตุจำเป็นอย่างอื่นให้จับได้ตามกฎหมายบัญญัติ กรณีนี้ผู้เขียนในฐานะที่เป็น
    นักกฎหมายคนหนึ่งจึงได้ตีความว่าเป็นกรณีที่สามารถออกหมายจับได้ ตาม(๑)ของวรรคสอง
    ดังกล่าวจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งเพราะเป็นช่องทางหนึ่งที่รัฐธรรมนูญเขียน
    ไว้ว่าศาลสามารถดำเนินการได้อย่างใดอย่างหนึ่งคือ มีคำสั่ง หรือ มีหมายของศาล(หมายถึง
    หมายจับและหมายขัง)แต่ศาลได้ยกคำร้องโดยอ้างว่าไม่มีเหตุที่จะออกคำสั่ง ท่านได้เรียกขึ้นพบและชี้แจงให้ฟังว่าพนักงานสอบสวนสามารถรับมอบตัว และแจ้งข้อ
    กล่าวหา และสอบสวนปากคำเช่นเป็นผู้ต้องหาได้ และกรณีนี้ผู้ต้องหาไม่ได้หลบหนีไม่มี
    เหตุที่จะออกหมายจับ จึงไม่มีเหตุที่จะขอให้ศาลออกคำสั่ง ท่านได้แจ้งเพิ่มเติมว่า คำว่ามี
    คำสั่งตามรัฐธรรมนูญดังกล่าว ใช้กับกรณีนี้ไม่ได้ จะเป็นกรณีศาลมีคำสั่งว่าให้ขังผู้ต้องหา
    กี่วันตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขัง ๑๒ วัน ในที่สุดท่านก็ยกคำร้อง และ
    กล่าวว่าตำรวจมักตีความไม่ให้ตัวเองทำงานได้ ซึ่งเป็นการกลัวเกินเหตุ ซึ่งด้วยความเคารพ
    ต่อศาล ผู้เขียนไม่เห็นด้วย เพราะตัวอย่างที่กล่าวถึงนี้เข้ากรณีเข้าหลักเณฑ์มีหลักฐานตาม
    สมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำความผิด ซึ่งมีเหตุที่จะออกหมายจับได้ ศาลก็สามารถมีคำสั่ง
    ให้ควบคุมผู้ต้องหาได้ แต่กรณีนี้โชคดีที่ผู้ต้องหามีอายุเพียง ๑๖ ปี ผู้เขียนได้เตรียมทางหนี
    ทีไล่ไว้แล้วด้วยการจัดทำบันทึกรับมอบตัวผู้ต้องหา และทำหนังสือนำส่งตัวไปยังสถานพินิจ
    และคุ้มครองเด็กจังหวัดนราธิวาส จึงได้นำตัวส่งสถานพินิจฯได้ในทันทีและจะได้ทำหนังสือนัด
    หมาย พนักงานอัยการ,นักสังคมสงเคราะห์และทนายความ แจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวน
    ปากคำผู้ต้องหาในโอกาสต่อไป ผู้เขียนไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหากผู้ต้องหานี้อายุ ๑๘ ปี
    แล้วผู้เขียนสามารถบันทึกรับมอบตัว แจ้งข้อกล่าวหา ควบคุมตัวไว้ ๔๘ ชั่วโมง แล้วนำตัว
    ไปยื่นขอฝากขังตามกระบวนการปกติได้หรือไม่ วานผู้รู้ช่วยตอบที และเราจะมีวิธีปฏิบัติที่
    ถูกต้องอย่างไร กรุณาอีเมล์ไปบอกผู้เขียนด้วยจักเป็นพระคุณอย่างสูง ที่
    snamora@hotmail.com

    ก่อนออกจากห้องผู้พิพากษา ด้วยความเมตตาของผู้พิพากษาท่านหนึ่ง (คนละท่านกับที่
    ได้พิจารณาคำร้องของผู้เขียน) ได้มอบเอกสารให้ผู้เขียน ๒ แผ่น เกี่ยวกับ
  • มติที่ประชุมร่วมของอธิบดีผู้พิพากษา เรื่องการออกหมายจับและหมายขังในคดีอาญา
    เมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ซึ่งเชื่อแน่ว่าพนักงานสอบสวนในจังหวัดนราธิวาส
    ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบ เพื่อจะได้ทราบและเป็นแนวทางปฏิบัติ ผู้เขียนขอเผยแพร่เนื้อหา
    โดยไม่ได้ตัดตอนดังนี้
  • ๑.กรณีผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน โดยที่ยังมิได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหา
    ไว้นั้น พนักงานสอบสวนจะควบคุมผู้นั้นได้หรือไม่

    เมื่อผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน โดยที่ยังไม่ได้มีการออกหมายจับ พนักงาน
    สอบสวนมีอำนาจแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาได้ และโดยลำพังการแจ้งข้อหานั้น ยังไม่ถือเป็นการจับ
    ๒.ในกรณีมีการเข้ามอบตัว และพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ระหว่างสอบสวน จะต้องสอบสวนคดีให้เสร็จภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
    มาตรา ๑๑๓ หรือไม่ และถ้าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวง พนักงานสอบสวนจะต้องขอผัดฟ้องต่อศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา ๗ หรือไม่

    เมื่อพนักงานสอบสวนได้ควบคุมผู้ต้องหาไว้ในช่วง ๔๘ ชั่วโมง พนักงานสอบสวนย่อมมี
    อำนาจสั่งปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหานั้นได้ ไม่ว่าจะให้มีประกันหรือมีประกันและหลักประกันหรือไม่
    ๒.๑ สำหรับคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาหรือศาลจังหวัด หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่งคราว พนักงานสอบสวนไม่ต้องนำผู้ต้องหามาร้องขอฝากขังต่อศาลในช่วงเวลาที่ได้รับการปล่อยชั่วคราว แต่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๓ แต่ถ้าผู้ต้องหาไม่ได้รับ
    การปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนจะต้องร้องขอฝากขังภายในระยะเวลา ๔๘ ชั่วโมง นับแต่
    ควบคุมผู้ต้องหา
    ๒.๒ คดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวง ไม่ว่าผู้ต้องหาจะได้รับการปล่อยชั่วคราวหรือไม่ พนักงานสอบสวนต้องนำผู้ต้องหามาร้องขอผัดฟ้องต่อศาลภายใน ๔๘ ชั่วโมง นับแต่เวลา
    ที่ควบคมผู้ต้องหา ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา ๗
    ๓.ในกรณีผู้ต้องหาเข้ามอบตัวและพนักงานสอบสวนมิได้ใช้อำนาจควบคุมผู้ต้องหา
    ถ้าเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาหรือศาลจังหวัด พนักงานสอบสวนไม่จำเป็นต้องร้อง
    ขอฝากขัง ต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๗ และไม่ต้องร้องขอผัดฟ้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา
    ๗ ในกรณีที่เป็นคดีซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวง
    ๔.เด็กที่ถูกควบคุมอยู่ในสถานพินิจ จะถือเป็นการขังตาม มาตรา ๒๓๗ แห่งรัฐธรรมนูญฯ หรือไม
    วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว มิใช่มุ่งลงโทษเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิด
    แต่มุ่งบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กแลเยาวชนที่กระทำผิดให้กลับตัวเป็นคนดี ทั้งกฎหมาย
    ยังบัญญัติสนับสนุนหลักการดังกล่าวด้วยว่า เด็กที่หลบหนีออกจากสถานพินิจฯ มิให้ถือเป็นความผิด การควบคุมเด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จึงเป็นการดำเนินการเพื่อ
    บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ดังนั้น การควบคุมตัวเด็กและเยาวชนดังกล่าว จึงไม่เป็นการขัง ที่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๓๗ (๑) และ (๒)
    แต่ศาลควรใช้ดุลพินิจในการปล่อยชั่วคราวให้ยืดหยุ่น เป็นคุณแก่เด็กและเยาวชนให้มากที่สุด
    ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าข้อเขียนนี้เป็นประโยชน์ต่อพนักงานสอบสวน ของ ภ.จว.นราธิวาส
    บ้างตามสมควร โดยเฉพาะมติที่ประชุมร่วมของอธิบดีผู้พิพากษา ได้ทำให้ผู้เขียนคลายข้อ
    สงสัยตามบทความของผู้เขียนฉบับที่ ๑ ไปมากทีเดียว

 

 
 
 
If you have comments or questions regarding this web site, please send E-mail to
theSungaipadee Police Department at the following: padee3@yahoo.com Unless otherwise noted,
all material is copyright @ 2000. The Sungaipadee Police Department. All rights reserved.