ระบบสื่อสาร
ในระบบสื่อสารไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตาม
แผนผังพื้นฐานมักเหมือนกับรูปที่ 1 ซึ่ง
ระบบสื่อสาร โดยพื้นฐานประกอบด้วย อุปกรณ์อินพุท
( input device) เครื่องส่ง ช่องทางสื่อสาร
( communication channel ) หรือแชนแนล
ซึ่งมักจะมีนอยส์มารบกวนเครื่องรับ
และอุปกรณ์เอาต์พุต ( output device )
รูปที่ 1
ระบบสื่อสารพื้นฐาน
1. อุปกรณ์อินพุต
และเอาต์พุต
ความจริงอุปกรณ์อินพุตก็คือ
อุปกรณ์ที่แปลงข่าวสารเป็นสัญญาณไฟฟ้า
ส่วนอุปกรณ์เอาต์พุตก็คือ
อุปกรณ์ที่แปลงสัญญาณไฟฟ้ากลับมาเป็นข่าวสารนั่นเอง มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปแล้วแต่การใช้งาน
เช่น ในระบบวิทยุกระจายเสียง
อุปกรณ์อินพุตอาจเป็นไมโครโฟน
และอุปกรณ์เอาต์พุตจะเป็นลำโพง
สำหรับไมโครโฟนทำหน้าที่แปลงคลื่นเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า
และส่วนลำโพงทำหน้าที่แปลงสัญญาณไฟฟ้ากลับเป็นคลื่นเสียง
ในทำนองเดียวกัน
ในระบบแพร่ภาพทางโทรทัศน์
อุปกรณ์อินพุตก็คือกล้องถ่ายโทรทัศน์ ซึ่งเปลี่ยนพลังงานแสง
(จากภาพ ) ไปเป็นสัญญาณไฟฟ้า
และอุปกรณ์เอาต์พุตก็คือหลอดภาพโทรทัศน์ซึ่งเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้ากลับคืนเป็นพลังงานแสง
อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุตของระบบสื่อสารยังมีอีกมากมาย
เช่น คันเคาะโทรเลข เครื่องโทรพิมพ์
เครื่องโทรสาร เครื่องโทรมาตร ( telemetry )
ฯลฯ
อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุตจะต่อเข้ากับเครื่องส่งและเครื่องรับเสมอ
ข่าวสารที่รับหรือส่งระหว่างกัน แบ่งออกเป็น
3 พวกใหญ่ คือ
- เสียงหรือออดิโอ ( audio)
ได้แก่ เสียงพูดในระบบโทรศัพท์
เสียงพูด เสียงเพลง หรือเสียงดนตรี
ซึ่งต้องการคุณภาพเสียงดีในระบบวิทยุกระจายเสียง
- ภาพ ( picture )
ได้แก่ ภาพนิ่งในระบบโทรสาร (
facsimile) และระบบส่งภาพระยะไกล(telephoto
) ภาพยนต์ในระบบโทรทัศน์
- ข้อมูล ( data )
ส่วนใหญ่ส่งมาเป็นรหัสให้แก่เครื่องยนต์
เครื่องจักร เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
ได้แก่ ข้อมูลและคำสั่งในระบบโทรมาตร
ตัวอักษรในระบบโทรพิมพ์ หรือโทรเลข
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ในระบบสื่อสารคอมพิวเตอร์
2.
เครื่องส่ง
เครื่องส่งทำหน้าที่รับสัญญาณไฟฟ้าจากอุปกรณ์อินพุต
แล้วทำการมอดูเลตลงบนคลื่นพาหะความถี่สูง
เครื่องส่งประกอบด้วยแหล่งกำเนิดสัญญาณความถี่สูง
( เรียกว่า ออสซิลเลเตอร์) กับมอดูเลต
เครื่องส่งส่วนใหญ่มักมีภาคขยายอีกเพื่อให้สัญญาณที่ส่งออกอากาศมีกำลังแรง
ทำให้สื่อสารกันได้ไกลขึ้น
3.
ช่องทางสื่อสาร
ช่องทางสื่อสาร
ในที่นี้ ได้แก่ บรรยากาศ อวกาศว่าง
(free space ) หรือสาย ฯลฯ
แต่ในที่นี้เราจะกล่าวถึงเฉพาะระบบวิทยุเท่านั้น
ช่องทางสื่อสารของระบบวิทยุอาศัยการแผ่คลื่นวิทยุออกไป
โดยผ่านบรรยากาศซึ่งเป็นตัวกลาง (medium)
ซึ่งคลื่นเดินทางจากเครื่องส่งผ่านไปยังเครื่องรับ
4.
ความถี่และความยาวคลื่น
เรานิยมแบ่งคลื่นวิทยุออกเป็นย่านความถี่ต่าง
ๆ โดยมีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ ( Hertz )
ในประวัติศาสตร์การวิทยุ
เราแบ่งคลื่นวิทยุตามความยาวคลื่น ( Wavelengh)
ความสัมพันธ์ระหว่างความถี่และความยาวคลื่นเป็นไปตามสูตรดังนี้
ในที่นี้
l คือ
ความยาวคลื่นมีหน่วยเป็นเมตร
V คือ ความเร็วของคลื่นวิทยุในอากาศ
เท่ากับความเร็วของแสง = 3 * 108
เมตรต่อวินาที
f คือ ความถี่มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ ( Hz
)
ตารางที่ 1 แสดงย่านความถี่ ความถี่
และความยาวคลื่น
ย่านความถี่ |
ความถี่ |
ความยาวคลื่น |
Very Low Frequency (VLF) |
ต่ำกว่า 30 kHz |
ยาวกว่า 10 km |
Low Frequency(LF) |
30-300 kHz |
10-1 km |
Medium Frequency(MF) |
300-3000 kHz |
1000-100 m |
High Frequency (HF |
3-30 MHz |
100-10 m |
Very High Frequency (VHF) |
30-300 MHz |
10-1 m |
Ultra High Frequency (UHF) |
300-3000 MHz |
100-10 cm |
Super High Frequency (SHF) |
3-30 GHz |
10-1 cm |
Extremely High Frequency (EHF) |
30-300 GHz |
10-1 mm |
5.
นอยส์ (
noise)
เป็นสัญญาณที่เข้ามาแทรกแซงหรือรบกวน
( interfere )
นอยส์ที่รับเข้ามาได้ แบ่งออกได้ 4
ประเภท คือ
- นอยส์บรรยากาศ (
atmospheric noise )
เกิดขึ้นจากความแปรปรวนของบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก
เช่น ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า
ก่อให้เกิดคลื่นวิทยุแผ่กระจายออกไปรอบโลก
นอยส์บรรยากาศเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
แม้จะไม่มีพายุฝนฟ้าคะนองก็ตาม
- นอยส์จากอวกาศ (
space noise)
เกิดจากดวงอาทิตย์และดวงดาวนับล้าน
ๆ ดวงในจักรวาล
ดวงอาทิตย์เป็นวัตถุที่มีขนาดมหึมาและมีความร้อนสูงถึง
6,000 องศาเซลเซียสที่ผิวดวงอาทิตย์
ฉะนั้น
ดวงอาทิตย์จะแผ่พลังงานออกมามีสเปกตรัมความถี่กว้างมาก
พลังงานนี้ปรากฎออกเป็นนอยส์คงที่
อย่างไรก็ตามที่ผิวดวงอาทิตย์ยังมีความแปรปรวนอื่น
ๆ อีก เช่น จุดบนดวงอาทิตย์ (sun spot
) การลุกโชติช่วง (solar flare )
ซึ่งก่อให้เกิดนอยส์เพิ่มขึ้นอีก
นอกจากนี้ดวงอาทิตย์บางดวงที่ไกลออกไปจากระบบสุริยจักรวาลก็มีคุณสมบัติเหมือนดวงอาทิตย์
คือ
มีความร้อนสูงและสามารถกำเนิดนอยส์มายังโลกได้
- นอยส์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ( man-made
noise )
ได้แก่
นอยส์จากมอเตอร์ไฟฟ้าเช่น
พัดลม ที่เป่าผม เครื่องดูดฝุ่น
นอกจากนี้ก็ยังมีนอยส์
จากระบบจุดระเบิดของรถยนต์
การรั่วของสายไฟแรงสูง
หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ ฯลฯ
- นอยส์ภายในตัวอุปกรณ์ในเครื่องรับ ( internal noise )
แยกเป็น 2 ประเภท คือนอยส์อุณหภูมิ (
thermal noise ) และช็อตนอยส์( shot noise )
นอยส์อุณหภูมิเกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในตัวอุปกรณ์
บางครั้งเรียกว่า จอห์นสันนอยส์ ( Johnson noise
)
ส่วนช็อตนอยส์เกิดขึ้นในอุปกรณ์แอกตีฟ
(active device ) ทุกชนิด
เนื่องจากการรวมตัวของอิเล็กตรอนกับโฮล
( hole ) เช่น ในทรานซิสเตอร์
ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ
6.
เครื่องรับ
เมื่อรับสัญญาณจากเครื่องรับ
สัญญาณจะมีกำลังอ่อนลงและยังมีนอยส์เข้ามาแทรกแซงสัญญาณที่ต้องการจะรับอีกด้วย
ดังนั้นการรับสัญญาณอ่อน ๆ เช่นนี้
เครื่องรับจึงต้องมีความสามารถพิเศษในการเลือกรับและขยายเอาเฉพาะสัญญาณความถี่ที่ต้องการ
พร้อมทั้งต้องมีกรรมวิธีในการกำจัดนอยส์หรือต่อสู้เอาชนะนอยส์ที่รบกวน
สัญญาณที่รับได้จะผ่านการดีมอดเพื่อแปลงสัญญาณข่าวสารที่
เข้ามอดูเลตกลับมา
กรรมวิธีนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อนพอสมควร