เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 |
ความนำ
14 ตุลาคม 2516 เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองยุคใหม่ของไทยที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นการลุกฮือ ของประชาชนนับแสนๆคน เพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร เป็นการเปิดประวัติศาสตร์บทบาทใหม่ทางการเมือง ไทยในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475สภาพสังคม
ในช่วง พ.ศ.2503-2513 ประเทศไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรมากถึงร้อยละ 38.4 หรือเฉลี่ยปีละ 1 ล้านคน ซึ่งถือว่าสูงมาก การเพิ่มขึ้นของประชากรส่งผลกระทบทางสังคมหลายประการ เช่น การอพยพย้ายถิ่นเข้ามา อาศัยอยู่ในเขตเมืองมากขึ้น เกิดกลุ่มอาชีพและกลุ่มชนชั้นกลางทางเศรษฐกิจมากขึ้นอันรวมไปถึง การเพิ่มของ ชนชั้นแรงงาน ยิ่งรัฐมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการศึกษามากขึ้นเท่าไร ปัญหาที่ตามมาก็คือ การเกิดภาวะ คนว่างานมากขึ้นเท่านั้นเหตุเพราะรัฐบาลไม่สามารถหาแหล่งงานรองรับผู้จบการศึกษาได้เพียงพอแม้จะมีการลงทุนทาง อุตสาหกรรมอยู่ในระดับสูง แต่โรงงานที่เกิดขึ้นมักมีความต้องการแรงงานในระดับต่ำเพราะเป็นโรงงาน ที่ใช้เครื่อง จักรกลเป็นส่วนใหญ่ การเพิ่มขึ้นของประชากรประกอบกับการส่งเสริมการศึกษาและมีการลงทุนใน ภาคอุตสาหกรรม มาขึ้นทำให้เกิดชนชั้นใหม่ที่มีอิทธิพล ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง กล่าวคือ
กลุ่มหนึ่ง กลุ่มนักธุรกิจทั้งในภาคการธนาคาร สถาบันการเงินและอุตสาหกรรมการบริการ เป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐเน้นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจผนวกกับการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับการใช้จ่ายเงินของสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามทำให้เกิดภาวะพลวัตในระบบเศรษฐกิจไทยและ นำไปสู่ การเกิดชนชั้นกลางและเศรษฐีใหม่ขึ้นแม้อำนาจทางการเมืองจะอยู่ในกลุ่มของผู่บริหารบ้านเมือง
กลุ่มที่สอง กลุ่มผู้ใช้แรงงานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและบริการ เพราะรัฐมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมทำให้แรงงานในชนบทหลั่งไหลเข้ามาทำงานในเขต เมืองซึ่งเป็น ที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม
กลุ่มที่สาม กลุ่มนิสิตนักศึกษาและนักเรียนอาชีวะ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากมายเนื่องจากนโยบาย ขยายการศึกษา อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำให้มีผู้สำเร็จการศึกษา ในระดับมหาวิทยาลัยและ อาชีวเป็นจำนวน มากผลที่ตามมาก็คือการไม่สามารถรองรับผู้จบการศึกษา เข้าทำงานได้อย่างเพียงพอจน เป็นสาเหตุของการว่างงานและกลายเป็นกระแสความไม่พอใจ ในหมู่ผู้ที่กำลังศึกษาและผู้ที่ว่างงาน
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองภายหลังการปฏิวัติตังเองของจอมพลถนอม เช่นกลุ่มที่สนับสนุนพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิวงค์ ที่รอเวลาและโอกาสในการโค่นล้มกลุ่มของจอมพลถนอม
สภาพเศรษฐกิจ
การพัฒนาเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่รัฐบาลของจอมพงสฤษดิ์ ธนะรัช เป็นต้นมารัฐส่งเสริมเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรมที่เน้นการส่งออกสินค้าเกษตรกรรม ซึ่งก็คือ เกษตรกรหันไปปลูกพืชไร่ เพื่อส่งออกแต่พืชไร่มความไวต่อระบบราคาและต้องใช้ความรู้ในการผลิต การจัดการและการตลาดมากว่าการเกษตร เพื่อยังชีพ เศรษฐกิจแบบเกษตรกรรมมีผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจทางการเมืองประกอบกับภาคอุตสาหกรรม
ที่มุ่งส่งเสริม การลงทุนในรูปแบบอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า โดยรัฐฐาลให้สิทธิพิเศษกับนายทุนต่างชาติ ที่เข้ามาลงทุน ในประเทศ เช่นการยกเว้นภาษี การอนุญาติให้นายทุนต่างชาติสามารถถือครองที่ดินได้เป็นต้น ทำให้ประเทศไทย เริ่มมีการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมโรงงานเพื่อส่งออกและเพิ่มปริมาณมากขึ้น ยิ่งเมื่อประเทศไทย มีนโยบายการพัฒนา จากอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้าสู่อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือ การอพยพแรงงาน จากชนบทเข้าสู่เมือง อันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองในระยะต่อมา
สภาพการเมือง
จอมพล ถนอม กิตติขจร ดำรงตำแหน่งนายยกรัฐมนตรีคนที่ ๑๐ ของประเทศไทยเมื่อ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๑ บริหารประเทศได้เพียงเก้าเดือนเศษก็ลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการปฏิวัติ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ เพื่อขึ้นเป็นนายยกรัฐมนตรีคนที่ ๑๑ ของประเทศเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ไม่เรียบร้อย
จอมพลสฤษดิ์อยู่ตำแหน่งนายกฯ นานสี่ปีกว่าจึงถึงแก่ อสัญกรรม ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวของประเทศ ที่เสียชีวิตในขณะที่อยู่ในตำแหน่ง เมื่อจอมพล สฤษดิ์ ถึงแก่ อสัญกรรม จอมพล ถนอม กิตติขจร ก็ได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|
|
ปัจจัยการเกิดเหตุการณ์
รัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร รับช่วงบริหารประเทศตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๐๒ สืบต่อจากรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๐๖ มาจนถึงปี ๒๕๑๑ จึงประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็น กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างมาตั้งแต่สมัย รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์เมื่อปี๒๕๐๒ นับเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาร่างยาวนานมาก และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการร่างมาก ที่สุดยิ่งกว่าธรรมนูญฉบับใด ๆ ที่เคยมีมาในประเทศไทย ( จ่ายเป็นเงินเดือนสมาชิกสภาร่าง ฯ )
เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว จึงกำหนดให้วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จอมพลถนอมตั้งพรรค สหประชาไทย เพื่อส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยตัวเองรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค มีจอมพล ประภาส จารุเสถียร ซึ่งขณะนั้นยังมียศเป็นพลเอก และนายพจน์ สารสินเป็นรองหัวหน้าพรรค พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เป็นเลขาธิการพรรค ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคของจอมพลถนอมได้ที่นั่งในสภา ๗๕ ที่นั่งขณะ ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ ๕๐ กว่าที่นั่ง นอกนั้นเป็น ส.ส. สังกัดพรรคเล็กพรรคน้อย และ ส.ส.อิสระที่ไม่สังกัดพรรค การเมืองใด
หลังการเลือกตั้ง จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เข้าบริหารประเทศในบรรยากาศ ประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งอยู่นานสองปีกว่าจึงตัดสินใจปฏิวัติรัฐบาลของ ตัวเองเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ โดยอ้างเหตุผลถึงภัยจากต่างชาติบางประเทศที่เข้ามาแทรกแซงและยุยง ส่งเสริมให้ผู้ก่อการร้ายกำเริบเสิบสานในประเทศ นอกจากนั้นสถานการณ์ ภายในประเทศก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง นานาประการ ซึ่งคณะปฏิวัติเห็นว่าหากปล่อยให้มีการแก้ไขไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญแล้ว จะเป็นการล่าช้า จึงตัดสินใจปฏิวัติเพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ของประเทศได้ผลอย่างรวดเร็ว
เมื่อทำการปฏิวัติแล้ว จอมพลถนอมได้จัดตั้งสภาบริหารคณะปฏิวัติขึ้นเพื่อปกครองประเทศ โดยจอมพลถนอม ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาบริหารคณะปฏิวัติ มีผู้อำนวยการสี่ฝ่ายคือ ๑. พล.อ. ประภาส จารุเสถียร เป็นผู้อำนวยการ ฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ ๒. นายพจน์ สารสิน เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและ การคลัง ๓. พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเกษตรและคมนาคม และ พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศึกษาและสาธารณสุข
ในการปฏิวัติ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ นี้ พ.อ. ณรงค์ กิตติขจร ลูกชายจอมพลถนอมและเป็นลูกเขย จอมพลประภาส ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขาธิการคณะปฏิวัติ เมื่อการปฏิวัติเสร็จสิ้นลง เขาได้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิวัติราชการ ( กตป. ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจมากมาย
ในการตรวจตราการปฏิบัติงานของข้าราชการในช่วงที่คณะปฏิวัติขึ้นบริหารประเทศนั้น ตลอดเวลาได้มีเสียง เรียกร้องจากประชาชนอยู่เสมอ ให้คณะปฏิวัติรีบประกาศใช้รับธรรมนูญและจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ให้ถูกต้องตามขั้นตอน ประจวบกับในปี ๒๕๑๕ เป็นปีที่สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ ซึ่งมีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษาขึ้นสมเด็จพระบรมโอรสสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารฯ จึงจำเป็นต้องมีรัฐบาลให้ถูกต้อง ตามธรรมเนียมนิยม เพราะจะจัดให้มีพระราชพิธีในขณะที่ประเทศชาติบ้านเมืองยังอยู่ในระหว่างการ
ปกครองของคณะปฏิวัติไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแห่งราฃอาณาจักรเมื่อ วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ ซึ่งมีบทบัญญัติทั้งสิน ๒๓ มาตรา รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้มี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพียงสภาเดียว โดยประกอบด้วยสมาชิกมีสิทธิ์ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลได้ แต่ห้ามอภิปรายหรือซักถามเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ สมาชิกไม่มีอำนาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ส่วนรับมนตรีนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดว่าห้ามเป็นสมาชิก สภานิติบัญญัติ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับนี้มีมติเลือก พล.ต. ศิริ สิริโยธิน เป็นประธานสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า แต่งตั้งจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี
แม้จอมพลถนอมจะเปลี่ยนฐานะจากหัวหน้าคณะปฏิวัติมาเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่มีประกาศพระบรมราชโองการ แต่งตั้ง ก็ตาม ก็ไม่ได้ช่วยให้วิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคลายความตึงเครียดลงไปแต่อย่างใด ในทางการเมืองเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจต่าง ๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจกับกลุ่มของจอมพลถนอมและจอมพลประภาสซึ่งเหตุการณ์ที่ชี้ให้เห็นความขัดแย้งกัน อย่างรุนแรงก็คือ กรณีการบุกพังป้อมตำรวจ ซึ่งข่าวลือระบุว่าเป็นการกระทำของคนของ พ.อ. ณรงค์ กิตติขจร นอกจากนั้นยังไม่มีการต่ออายุราชการให้พล.ต.อ. ประเสริฐ เมื่อครบเกษียณแล้วทั้งที่ก่อนหน้านั้น ได้มีการต่ออายุ ราชการให้จอมพลถนอม
ในทางเศรษฐกิจ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจอมพลถนอมไม่สามารถ บำบัดทุกข์บำรุงสุข ของประชาชนได้ คือ การขาดแคลนข้าวสารจนถึงขนาดประชาชนต้องเข้าแถวรอคิวกันอย่างยาวเหยียดตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อซื้อข้าวสาร ปันส่วนที่ทางราชการนำมาจำหน่ายในราคาควบคุมและซื้อได้คนละไม่เกิน ๑๐ กิโลกรัม มิหนำซ้ำตามมาด้วยขาดแคลน น้ำตาลทรายอีก
นอกจากนี้ได้เกิดกรณีเฮลิคอปเตอร์ตกที่ทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี คณะนายทหารและนายตำรวจ ชั้นผู้ใหญ่พากันเข้าไปล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่ฯ โดยใช้อาวุธในราชการสงครามทั้งปืน เอ็ม. ๑๖ รถจี๊ป แม้กระทั่งเฮลิคอปเตอร์ เป็นอุปกรณ์ในการล่าสัตว์ ความได้แตกขึ้นในเที่ยวกลับ เฮลิคอปเตอร์หนึ่งในสองลำเกิดอุบัติเหตุตกลงกลางทุ่งนา อำเภอบางเลน จังหวัด นครปฐม ซากสัตว์ป่าที่บรรทุกมากระจายเกลื่อนทุ่ง เรื่องจึงเป็นข่าวฉาวโฉ่ขึ้น มีการวิพากษ์ วิจารณ์ให้มีการสอบสวนเอาผิดกับคณะบุคคลดังกล่าว แต่เนื่องจากในระยะนั้นนายพลเนวิน ประธานสภาปฏิวัติของ ประเทศพม่า เดินทางมาเยือนประเทศไทย จอมพลประภาส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น จึงพูดใน ทำนองว่าคณะบุคคลดังกล่าวไม่ได้เข้าไปล่าสัตว์ หากแต่เข้าไปราชการลับเพื่อให้การอารักขาแก่นายพลเนวิน
เหตุการณ์ล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่ฯนี่เอง ที่ทำให้เรื่องราวเลยเถิดออกไปจนถึงการคัดชื่อนักศึกษามหาวิทยาลัย รามคำแหงจำนวนเก้าคนออกจากบัญชีนักศึกษา เหตุเพราะพวกเขาได้รวมกลุ่มกันออกหนังสือของชมรมคนรุ่นใหม่ชื่อ มหาวิทยาลัยที่ยังไม่มีคำตอบ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยรามคำแหงตั้งข้อหาพวกเขาว่า ตั้งชมรมโดยไม่ได้รับอนุญาต จามหาวิทยาลัย ใช้ สถานที่ในมหาวิทยาลัยเป็นชุมนุมเป็นครั้งคราวโดยพลการ เขียนหนังสือก้าวร้าวผู้อื่นด้วยถ้อยคำ อันหยาบคาย กล่าวถึงมหาวิทยาลัยรามคำแหงในทางที่ทำให้ผู้อื่นเกลียดชัง ตำหนินักศึกษาที่ตั้งหน้าเล่าเรียน ว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวด้วยเหตุนี้ ดร. ศักดิ์ ผาสุขนิรันดร์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยรามคำแหงขณะนั้นจึงสั่งลบชื่อ นักศึกษาจำนวนเก้าคนออก ทั้ง ๆ ที่สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้นักศึกษาเก้าคนถูกลบชื่อออก ก็ คือข้อความลอย ๆ สี่บรรทัดในหน้า ๖ ของหนังสือที่ว่า
สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่ฯ มีมติให้ต่ออายุสัตว์ป่าอีก ๑ ปี เนื่องจากสถานการณ์ภายในและภายนอกเป็นที่ไม่ไว้ใจ
ข้อความลอย ๆ ดังกล่าวนี้เองทื่ถือว่าเป็นการถากถางรับบาลขณะนั้นต่อกรณีล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่ฯ และการต่ออาย ุราชการของจอมพลถนอม ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุด และจอมพลประภาส ในบานะผู้บัญชาการทหารบกอีกคนละหนึ่งปี โดยที่จอมพลถนอมนั้นเคยได้รับการอายุมาก่อนหน้านั้นครั้งหนึ่งแล้ว
จากกรณีลบชื่อนักศึกษาออกนี่เอง ที่ทำให้นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงรวมตัวประท้วงคำสั่งของ ดร. ศักดิ์ ผาสุขนิรันดร์ อธิการบดี และศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยได้เข้าร่วมสนับสนุนด้วย การประท้วงจึงมีนิสิต นักศึกษาทุกสถาบันประมาณ ๕ หมื่นคนเข้าร่วมขบวนประท้วงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ ๒๑๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๖ การเรียกร้องในระยะแรกเพียงต้องการให้มหาวิทยาลัยรามคำแหงรับนักศึกษาทั้งเก้าคนเข้าเป็นนักศึกษาดังเดิม และเรียกร้องให้อธิการบดีลาออก แต่ต่อมาได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลคืนอำนาจการปกครองแก่ประชาชน และ เรียกร้อง ให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญภายในหกเดือนผลลงเอยที่ฝ่ายนักศึกษาชนะ โดยนักศึกษาทั้งเก้าคนได้กลับเข้าเรียนตามปกติ ดร. ศักดิ์ ผาสุขนิรันดร์ ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี แต่ข้อเรียกร้องของศูนย์ฯ ที่ต้องการให้มีรัฐธรรมนูญ ภายในหกเดือนนั้นไร้ผล
จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้กลุ่มผู้นำของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาฯ ตลอดจนอาจารย์มหาวิทยาลัยและผู้สนใจ ร่วมกันก่อตั้ง กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ขึ้น นำทีมโดย นายธีรยุทธ บุญมี โดยแบ่งระดับของสมาชิกกลุ่มไว้สองระดับ ระดับที่ ๑ เรียกว่า ผู้เห็นด้วยกับการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งขั้นต้นมีอยู่ ๑๐๐ คน ระดับที่ ๒ เป็นกลุ่มปฏิบัติการ ซึ่งมีตัวเขาเองเป็นผู้ประสานงาน และในวันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญได้นัดสื่อมวลชน เพื่อแถลงข่าวเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การดำเนินงานของกลุ่ม ว่าต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดยเร็วที่สุดด้วยสันติวิธี ให้การศึกษาทางการเมืองเกี่ยวกับเรื่องรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยแก่ประชาชน และเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความสำนึกและหวงแหนในสิทธิเสรีภาพของตน โดยจะใช้เวลาติดต่อกันสองเดือน ในการรณรงค์ และในระยะแรกจะแจกหนังสือและใบปลิวตามย่านชุมชนต่าง ๆ ตลอดเวลาสองวัน
พล.ต.ท. ประจวบ สุนทรางกูร รองอธิบดีกรมตำรวจ ฝ่ายกิจการพิเศษ ได้แถลงว่า หากการเรียกร้องครั้งนี้ ทำให้เกิดการการเดินขบวนขึ้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการจับกุมทันทีเพราะเป็นการผิดกฎหมาย คณะปฏิวัติที่ห้ามการชุมนุมทางการเมืองในสาธารณะเกินห้าคน ในขณะเดียวกัน พ.อ. ณรงค์ กิตติขจร ได้ให้ สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า มีอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักการเมืองบางคนกำลังดำเนินการให้นักศึกษาเดินขบวนในเร็ว ๆ นี้ และหากมีการให้นักศึกษาเดินขบวนแล้วไม่ผิดกฎหมายอีก ผมก็จะนำทหารมาเดินขบวนบ้าง เพราะทหารก็ไม่อยาก จะไปรบเหมือนกัน
หน้าที่1 : หน้าที่2 : หน้าที่3 : หน้าที่4
จัดทำโดย NeoFreeEnergy Group
Last changed: มกราคม 24, 2546