ชั้นและตำบลที่ตั้งวัด
วัดพนัญเชิง
เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดวรวิหาร
ตั้งอยู่ตำบลคลองสวนพลู
ริมลำน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก
ในเข อำเภอพระนครศรีอยุธยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เขตและอุปจารวัด
เขตและอุปจารของวัด
ทางทิศเหนือจดลำน้ำเจ้าพระยา
ทิศใต้จดคันคู
ซึ่งติดต่อกับวัดมณฑป (วัดร้าง)
ทิศตะวันออกติดต่อกับที่ของนายเขียน
มีเสาหินปักไว้เป็นเขต
ทิศตะวันตกติดต่อกับวัดรอ
(วัดร้าง) เนื้อที่วัดทั้งหมด 82
ไร่ 3 งาน 30 วา โดยรวมวัดรอ, วัดโคก,
วัดมณฑป, วัดขอม (วัดร้าง)
เข้าด้วยในปัจจุบัน
ผู้สร้างวัด
วัดนี้เป็นวัดมีมาแต่โบราณ
ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง
และได้สร้างแต่ครั้งไร
ในพระราชพงศวดารเหนือ
กล่าวว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้ง(ตามศักราชซึ่งปรากฎในพระราชพงศวดารเหนือ
นับว่าก่อนพระรามาธิบดีที่ 1
หรือ
พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างพระนครศรีอยุธยา
317 ปี อยู่ระหว่างสมัยศรีวิชัย
กับสมัยลพบุรี) ทรงสร้าง
และได้พระราชทานนามไว้แต่เดิมว่า
"วัดเจ้าพระนางเชิง"ดัง
ตำนานพระราชพงศวดารเหนือ
(ฉบับของโรงพิมพ์วัชรินทร์บริษัท
เมื่อรัตนโกสินทรศก 113)
ตอนหนี่งว่า
"ขณะนั้นพระเจ้ากรุงจีนได้บุตรบุญธรรม
ในจั่นหมากเอามาเลี้ยงไว้ให้นามชื่อว่านาง
สร้อยดอกหมาก
ครั้นวัฒนาการจำเริญขึ้นจึงให้โหรมาทำนายว่า
ลูกคนนี้จะคู่ควรด้วยกษัตริย์เมืองใด
โหรพิเคราะห์ดูหาเห็นว่าจะอยู่แห่งใดไม่
เห็นอยู่แต่ทิศตะวันตกแห่งกรุงไทย
มีบุญญาภิสัง ขารมากนัก
เห็นจะควรกับพระราชธิดา
จึงกราบทูลว่า
จะได้กับพระเจ้ากรุงไทยเป็นแน่
พระเจ้ากรุงจีนให้แต่งพระราชสานส์เข้ามาจึงสั่งให้เบิกทูตานุทูตเข้าไปเฝ้า
ในพระราชสานส์นั้นว่าพระเจ้า
กรุงจีนให้มาเป็นพระราชไมตรีถึงพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
ด้วยเราจะยกพระราชธิดาให้เป็นพระอัครมเหสี
ให้เสด็จออกมารับโดยเร็ว
ครั้นได้แจ้งให้พระราชสานส์ดังนั้นก็ดีพระทัยจึงตรัสว่าเดือน
12 จะยกออกไป
ให้ตอบแทนข้าวของไปเป็นอันมาก
ทูตทูลลาออกไป
จึงสั่งให้เรือเอกชัยเป็นกระบวนพยุหะ
จุลศักราช 375 ปีมะเมีย เบญจศก
ครั้น ณ วัน เดือน 12 แรม 11 ค่ำ
ได้ศุภวารฤกษ์ดีจึงยกพยุหะไปทางชลมารคพร้อมด้วยเสนาบดีเสด็จมาถึงแหลมวัดปากคลองพอน้ำขึ้นจึงประทับพระที่นั่ง
อยู่หน้าวัด
จึงทอดพระเนตรเห็นผึ้งจับอยู่ที่อกไก่ใต้ช่อฟ้าหน้าบัน
จึงทรงดำริว่าจะขอนมัสการพระพุทธปฏิมากรเดชะบุญญาภิสังขารของเรา
เราจะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์
ด้วยกัน เสร็จ
ขอให้น้ำผึ้งย้อยหยดลงมากลั้วเอาเรือรีบขึ้นไปประทับบนกำแพงแก้วนั้นเถิด
พอตกพระโอษฐ์ลงดังนั้น
น้ำผึ้งก็ย้อยลงกลั้วเอาเรือพระที่นั่งขึ้นไปถึงที่
ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเห็นประจักษ์
แก่ตาแล้วเสด็จนมัสการ
จึงเปลื้องเอาพระภูษาทรงสักการบูชาพระพุทธปฏิมากรนั้นเสร็จแล้ว
เสด็จลงเรือพระที่นั่งก็ถอยลงมาที่เดิม
พระสงฆ์สมภารลงมาถวายชัยมงคลว่า
มหาบพิตรพระราช
สมภารจะสำเร็จความปรารถนา
จะครองไพร่ฟ้าอยู่เย็นเป็นสุขทั่วทิศ
จึงถวายพระนามว่า
พระเจ้าสายน้ำผึ้ง
ครั้นน้ำหยุดจะลงพระองค์ก็สั่งให้ท้าวพระยาพฤฒามาตย์ทั้งหลายและเสนามนตรี
กลับขึ้นไปรักษาพระนคร
แต่พระองค์เสด็จไปทรงเรือพระที่นั่งเอกชัยลำเดียว
ด้วยอำนาจพระราชกุศลที่ได้สร้างมาแต่หนหลัง
ก็เสด็จไปสะดวกจนถึงเขาไฟ
พอจีนทั้งหลายเที่ยวอยู่ในท้องทะเล
นั้นเห็นเป็นอัศจรรย์นัก
จึงนำเอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้ากรุงจีน
พระเจ้ากรุงจีนก็สะดุ้งตกใจนัก
จึงสั่งให้เสนาผู้ใหญ่ไปดูว่าจะมีบุญจริงหรือ
หรือประการใดให้ประทับสองแห่งที่อ่าวนาคคืนหนึ่ง
ครั้นเพลาค่ำจึงให้คนสอดแนมดูว่า
จะเป็นประการใด
ครั้นไปฟังดูได้ยินเสียงดุริยางค์ครึกครื้นไป
จึงเอาเนื้อความนั้นกราบทูล
จึงสั่งให้เชิญมาอยู่ที่อ่าวเสือคืนหนึ่ง
จึงแต่งการรับครั้นเพลาราตรี
กาลเทพยดาบันดาลดุริยางค์ดนตรี
ครั้นรุ่งขึ้นจึงพระเจ้ากรุงจีนแต่งการกระบวนแห่รับพระเจ้าสายน้ำผึ้งเข้ามาในพระราชวัง
จีนทั่วประเทศสรรเสริญบุญไปทั่ว
พระเจ้ากรุงจีนให้ราชาภิเษก
นางสร้อยดอกหมาก
เป็นพระอัครมเหสีพระเจ้าสายน้ำผึ้ง
พระเจ้ากรุงจีนแต่งสำเภาห้าลำ
พร้อมเครื่องอุปโภรบริโภคเป็นอันมากให้จีนมีชื่อห้าร้อยคนเข้ามาด้วย
จึงพระเจ้ากรุงจีนให้เชิญพระเจ้า
สายน้ำผึ้งไปเฝ้า ตรัสว่า
บ้านเมืองหามีผู้รักษาไม่
และเกือบจะมีศึกมาย่ำยี
ให้พากันกลับไปพระนครเถิดพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ถวายบังคมลา
พามาลงเรือสำเภาสิบห้าวันก็ถึงแดนพระนคร
ขุนนาง
ผู้ใหญ่ผู้น้อยกับพระราชาคณะราษฎรเทพนิกร
ก็โสมนัสยินดีทั่วไป
จึงแต่งกายรับเสด็จพระราชาคณะฐานานุกรมร้อยห้าสิบไปรับที่เกาะ
จึงเรียกว่าเกาะพระแต่นั้นมาและก็เชิญเสด็จมาท้ายเมือง
ที่ปากน้ำแม่เบี้ยและเสนาบดี
ราชาคณะ
จึงเชิญเสด็จเข้าพระราชวัง
สั่งให้จัดที่ตำหนักซ้ายขวาสำเร็จ
แล้วจึงให้เถ้าแก่กับเรือพระที่นั่งลงมารับนาง
นางจึงตอบว่า
มาด้วยพระองค์โดยยากมาถึง
พระราชวังแล้ว
เป็นไฉนจึงไม่มารับถ้าพระองค์ไม่มารับแล้วไม่ไป
เถ้าแก่เอาเนื้อความกราบทูลทุกประการ
พระองค์แจ้งดังนั้นก็ว่าเป็นการหยอกเล่น
มาถึงนี่แลัวจะอยู่ที่นั่นก็ตามเถิดนางรู้ความ
ดังนั้นสำคัญว่าจริง
ยิ่งเศร้าพระทัยนัก
ครั้นรุ่งเช้าแต่งกระบวนแห่มารับ
จึงเสด็จพระราชดำเนิน มาด้วย
ครั้นถึงเสด็จไปบนสำเภารับนาง
นางตัดพ้อว่าไม่ไป
พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงสัพยอกว่า
ไม่ไปแล้วก็อยู่ที่นี่
พอตกพระโอฐลงนางก็กลั้นใจตาย
พวกจีนไทยร่ำรักแซ่ไป จุลศักราช
406 ปีมะโรง ฉอศก
จึงเชิญศพมาพระราชทานเพลิงที่แหลมบางกะจะสถาปนาเป็นพระอาราม
ให้นามชื่อว่า
วัดเจ้าพระนางเชิงตั้งแต่นั้นมา"