:: See Angkor & Smile ::
: ออกเดินทาง
: ถนนสายหมอก
: บ้านเล็กในป่าใหญ่
: ตะวันหลังอังกอร์
: บรมวิษณุโลก ๑
: บรมวิษณุโลก ๒
: บรมวิษณุโลก ๓
: บรมวิษณุโลก ๔
: จากนครวัด สู่นครธม
: กำแพงแบบบายน
: หน้าบายน

: ปราสาทรอบพระนคร
: End of Day
: บันทายเสรย
: ตะวันลับขอบฟ้า

:: ฮ. โฮม

 



     
“ อรุณซัวสเดย ซกสบายเต๊ “

คำทักทายที่ได้จากคู่มือท่องเที่ยวเขมรของ อ.พิษณุ ศุภ เป็นสิ่งที่ผมท่องจำ
เอาไว้ก่อนออกเดินทางไปยังเขมร นอกจากประโยคนี้แล้วยังมีอีก 2 – 3 ประโยค
ที่เคยได้ยินเพื่อนฝูงชาวสุรินทร์พูดกัน

      “ โฮบบาย ชงัลเต๊ “ กินข้าวอร่อยไหม

    นอกจากนั้นก็จะเป็นคำ ๆ ไปอย่าง ลออ คือ สวย ขะเมา คือ ดำ
เอาล่ะ หากรอภาษาเขมรให้คอมพลีท ชาตินี้คงไม่ได้ไปเป็นแน่ ผมตัดสินใจ
เปลี่ยนแผนการเดินทาง จากเดิมกะว่าจะไปเวียดนาม 5-14 ธ.ค. เปลี่ยนมาเป็น
ไปเขมรแทนเพราะต้องกลับไปรับปริญญาใจ
    วันพ่อแห่งชาติ ผมออกจากห้องจ้างตุ๊ก ๆ ไปส่งที่ด่าน 20 บาท เดินผ่านด่าน
ทำเรื่องผ่านแดนเรียบร้อย จากนั้นก็เมียงมองหา สถานที่ที่จะทำวีซาได้ เดินปะปนไปกับ
ชาวเขมรเรื่อย ๆ รู้สึกได้ถึงความกลมกลืน เพราะไม่มีชาวเขมรมารุมล้อมอย่างที่คิดเอาไว้
ที่ด่านตรวจ ปอยเปต เห็นป้ายเล็ก ๆ เท่าฝ่ามือตั้งบอกว่า ทำวีซา เข้าไปถามดูเจ้าหน้าที่กำลัง
ยืนคุยกับอาซิ่ม 3 ท่าน คงจะรอทำวีซาเหมือนกัน เจ้าหน้าที่จัดการเรื่องให้ วีซาใบนี้ 1200 บาท
เยอะกว่าที่คิดไว้แฮะ เพราะถามเจ้าหน้าที่ไทยบอกว่าพันกว่า ๆ เอง

    ปอยเปต จังหวัดชายแดนของกัมพูชา เป็นเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและฝุ่นผง
ปะปนกับกลิ่นเหม็นคาวปลา ที่สุดทน ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่นี่เขาทนอยู่กับฝุ่นเหล่านี้ได้
อย่างไร กระจุกหนึ่งของความเสื่อมโทรมมีอาคารหลายหลัง ที่เป็นแหล่งรวมตัวกัน ของ
เหล่านักพนัน ทั้งหัวแดง หัวดำ ไม่เว้นหัวหงอก หากใครอยากเห็นเขมรอพยพ สามารถมา
ดูได้ที่ด่านปอยเปตนี่ล่ะ เพราะแปดโมงเช้าและห้าโมงเย็นของแต่ละวัน จะเห็นฝูงชน เขมร
ข้ามแดน ภาพที่เห็นเหมือนกับว่ากำลังมีจลาจลเกิดขึ้น
    ผมเดินสวนทางกับชาวเขมรที่กำลังข้ามมาฝั่งไทย สายตามองหารถ ที่จะไปเสียมเรียบ
ผ่านรถบัสที่จอดเรียงกันอยู่ไป ไม่มีใครให้สอบถามเลยเดินไปต่อ เมื่อไม่เจอเลยเดินเข้าไปถาม
ลุงเขมรที่กำลังนั่งอยู่ข้างรั้ว แค่บอกว่า ปิ๊กอัพ- เสียมเรียบ แค่นี้ก็สื่อกันได้ ผมเดินไปยังทิศที่
ลุงแกชี้มือไป เห็น ปิ๊กอัพ หลายคันจอดเรียงกันที่ริมรั้ว และทันทีที่ผ่านไป ได้ยินเสียงร้องเรียก
ไล่หลังมา

        “ Mister ๆ ๆ ๆ ... เสียมเรียบ ๆ “

    ผมหยุดหันไปมอง คุยกันได้ความว่า ค่ารถ 200 นั่งหลัง 500 นั่งหน้า 350 หลังคนขับ
ผมเลือกที่นั่งท้ายรถ เพราะถูกที่สุดแล้ว แต่เท่าที่รู้ค่ารถ 150 บาทนะ จ่อรองยังไงก็ไม่ยอมลด
ตอนแรกกระโดดขึ้น นึกว่าจะไม่มีอะไรเพิ่มอีก แต่ทันใดนั้นก็มี แตงโมหลายต่อหลายกระสอบ
มาพร้อมกับขนุนลูกเขื่อง ๆ ที่นั่งที่ดูจะว่างตอนแรกไม่เหลือแล้ว ผมนึกในใจว่า จะเปลี่ยนดีไหม
ต่อรองราคา ที่ 300 ได้ก็จะนั่งหน้า (หลังคนขับ) พูดคุยกับไอ้หนุ่มที่ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของรถ
(ที่จริงไม่ใช่หรอก) เขาบอกราคา 350 ไม่ยอมรถ ผมก็ว่าโอเค หาก 350 ผมก็เลือกนั่งหลังดีกว่า
จะด้วยความละโมบของผมหรือของเขาก็ไม่รู้ เขาบอกราคา 340 แล้วก็ลดลง 330 แต่ผมก็ไม่สน
ไม่ทำท่าสนใจแล้วด้วย แล้วก็เลิกต่อรองไป แล้วอีก 5 นาที ต่อมาผมก็แวะเข้าไปต่อราคาอีกรอบ
320 ขาดตัว (ข้อเสนอสุดท้ายที่ผมยกให้) กิโลเมตรละ 2 บาทถือว่าแพงแล้วนะ จะขูดรีดกันไปถึงไหน
ยูได้จากไอ วันนี้ยูก็ไปนานถ่างขาเล่นที่บ้านได้เลย
        ตกลงผมได้ที่นั่ง 320 หลังคนขับ ข้าง ๆ เป็นแตงโมนับสิบลูกที่ทะลักมาจากท้ายกระบะ
แล้วเจ้าหนุ่มจอมตื้อ ได้คืบอยากเอาศอกก็พยายามเข้ามางอนง้อ ให้ผมไปนั่งข้างหน้า 500 พอผมบอกว่า
ไม่ อย่างเด็ดขาดแกก็ บอกว่าขออีก 10 บาทได้ไหมเพื่อ มิตรภาพ

        “ เป็นเพื่อนนะ 10 บาท “

ผมอยากจะด่ากลับไปเป็นภาษาเขมรเสียจริง ทำไมมันถึงอยากได้ขนาดนั้น ขนาดเอาคำว่าเพื่อน
มาพูดมันไม่คันปากบ้างหรือไง ยังไงผมก็ไม่ยอมอีกแม้แต่
เรียล เดียว
เมื่อท้ายรถเต็มไปด้วยแตงโมและขนุน คนขับก็ประจำที่ คงจะประมาณ 9 โมงเช้าแล้วล่ะ
มี 4-5 คนนั่งอยู่ท้ายรถ ข้างซ้ายของผมเป็นแตงโม ข้างขวาเป็นสาวเจ้าของแตงโม ท่าทางคุยกันได้
เพราะอยากจะรู้ว่านั่ง รถกระบะ แล้วเป็นยังไง ถึงลงเอยแบบนี้



ส.