Wine Station
Wine Station
Main Page | Wine Test 01 | Wine Test 02 | Wine Test 03 | Wine Test 04 | Wine Test 05 | Wine Test 06 | Wine Test 07 | Wine Test 08

ศิลปะการ......ชิมไวน์

คงกล่าวไม่ผิดถ้าจะบ่งบอกว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีค่าที่สุดของมนุษย์ เป็นศิลปะกรรมชั้นเยี่ยมที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด จนเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจบุคคลทุกชนชั้น เมื่อไวน์ถูกเสกสรรขึ้นมาอย่างละเมียดละไมล้ำค่า การดื่มไวน์ การเก็บไวน์ การเสิร์ฟไวน์จึงเต็มไปด้วยพิธีรีตอง และกรรมวิธีมากมายเช่นกัน การเรียนรู้เรื่องไวน์ให้ถ่องแท้จึงควรพิจารณาดังนี้

  • ศิลปะการเตรียมไวน์
  • ศิลปะของการเปิดขวดไวน์
  • ศิลปะของการคัดเลือกแก้วไวน์
  • ศิลปะในการรินและเสิร์ฟไวน์
  • ปัจจัยที่ไวน์ชั้นดีต้องมี
  • How to Host a Wine Tasting

    ศิลปะการเตรียมไวน์ ไวน์แดงเยี่ยมยอดของโลกที่มาจากแคว้นเบอร์กันดี แคว้นบอร์โดซ์ของฝรั่งเศส หรือมาจากหุบเขานาปามลรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐฯ ที่มีราคาแพงเป็นหมื่นๆ บาท หากถูกเปิดออกมาดื่มอย่างไร้กฎเกณฑ์ถูกต้อง เข้มงวด และไม่มีศิลปะแล้ว ความหอมนุ่มนวล กลมกล่อมละมุนละไม และความหลากหลายของกลิ่นรสที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำเมรัยอย่างลึกซึ่ง ย่อมจะด้อยค่าลงอย่างถนัด จนไม่อาจฝังอยู่ในใจผู้ดื่มให้แนบแน่นเท่าที่ควรเป็น ศิลปะในการเตรียมไวน์ เปิดจุกไวน์เทน้ำไวน์ลงในภาชนะอื่นคัดแก้วไวน์ รินไวน์ และเสิร์ฟไวน์ จึงเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุด การเตรียมไวน์สำหรับเสิร์ฟนั้น เบื้องต้นคือการรู้จักคัดไวน์นำไปแช่เย็น หรือทำให้อุณหภูมิอยู่ ในระดับที่เหมาะสมแก่การดื่ม แนะนำอย่างง่ายๆและตรงไปตรงมาดังนี้

    1.ไวน์ขาวประเภทหวาน (Sweet White Wines)ไวน์ประเภทนี้จะต้องแช่ให้เย็นค่อนข้างมาd คืออยู่ในอุณหภูมิ 6-8 องศาเซลเซียส

    2.ไวน์แชมเปญ (Champagne) ทุกประเภท ไม่ว่าจะหวานหรือไม่หวานก็ตาม ก็จะต้อง เตรียมให้พร้อมที่อุณหภูมิ6-8 องศาเซลเซียส

    3.ไวน์ประเภทมีฟอง จะต้องเตรียมไว้ที่อุณหภูมิ 6-8 องศาเซลเซียส

    4.ไวน์สีชมพู ไวน์ประเภทนี้หมายถึงไวน์สีชมพูประเภท Still Wines คือไวน์สีชมพู ประเภทไม่มีฟอง จะต้องเตรียมที่อุณหภูมิ 8-12 องศาเซลเซียส เป็นไวน์สีชมพูประเภทมีฟองก็จะต้องไปเข้ากฎเกณฑ์ข้อ 3

    5.ไวน์ขาวประเภทไม่หวาน เตรียมที่อุณหภูมิ 8-12 องศาเซสเซียส

    6.ไวน์แดงที่ผลิตจากผลไม้ทั่วไป โดยไวน์แดงชนิดนี้ไม่ได้ผลิตมาจากผลองุ่น แต่ผลิต จากผลไม้ชนิดอื่นๆ จะต้องเตรียมที่อุณหภูมิ 12-14 องศาเซลเซียส

    7.ไวน์แดง (Red Wines) ไวน์แดงประเภทนี้หมายถึงไวน์แดงที่ผลิตจากองุ่นแดง ปกติ โดยทั่วไปจะไม่แช่เย็น แต่จะดื่มในห้องที่ปรับอุณหภูมิอยู่ที่ 15-18 องสาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้ไวน์ที่ดื่มเลิศรสมาก ไวน์แดงไม่ต้องแช่เย็นจะมีเฉพาะไวน์แดงจากเขตโบโฌเล่ส์ (Beaujolais) จากแคว้นเบอร์กันดีของฝรั่งเศสที่ ผลิตจากองุ่นพันธ์กาเมย์ (Gamey) เท่านั้นที่ต้องแช่เย็น

    ศิลปะของการเปิดขวดไวน์และการเสิร์ฟ

    การ.. เปิดขวดไวน์ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นยวดยิ่ง เคล็ดลับต้องเปิดบนโต๊ะที่เตรียมไว้โดยเฉพาะ ห้ามเปิดบนโต๊ะที่อยู่กลางแจ้งมีแสงแดดตะวันส่องหรือใกล้เครื่องทำความร้อน แต่ควรเปิดในห้องที่มีอุณหภูมิ 10-15 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะไวน์ยี่ห้อดังๆ เช่น โรมาเน่-กองดี ชาโต้ลาฟิต-รอธส์ชีลด์(Chateau-Lafite Rothschild) ชาโต้ มาร์โกซ์ (Chateau Margaux) ช่าโต้ โอต์-บรี ออง(Chateau Haut-Brion)

    การ... เปิดควรใช้เครื่องเปิดไวน์เฉพาะ ทำด้วยโลหะมีเกลียวเป็นสกรูห้ามใช้มีดงัดแงะอย่างเด็ดขาด อย่าทำให้จุกก๊อกที่ปิดขวดฉีกหรือเสียหายยับเยินจนหมดสภาพ การ เสิร์ฟไวน์ที่ถูกต้อง ผู้เสิร์ฟจะต้องวางจุกก๊อกที่เปิดใหม่ๆ และยังมีรอยเปื้อนไวน์อยู่เปียกๆ ไว้บนถาดที่ใช้เครื่องเปิดไวน์เปิดจุกก๊อก เมื่อเปิดจุกก๊อกเสร็จแล้วต้องใช้ผ้าขาวทำความสะอาดปากขวดอย่างระมัดระวังอีกครั้งหนึ่ง

    ศิลปะของการคัดเลือกแก้วไวน์

    แก้วไวน์.. ที่ใช้ มักจะใช้แก้วทรงทิวลิป ซึ่งสามารถกักฟอง กักความหอม อุณหภูมิและรสชาติของเหล้าให้อยู่ในแก้วได้นานที่สุด โดยไม่เพริดกระจายไปกับอากาศ แม้แก้วเหล้าจะแตกหลากออกไปสารพัดชนิดตามสุราแต่ละประเภทจนไม่มีแก้วสุราชนิดใดเหมือนกันเลย ที่เหมือนกันคือแก้วสุราทุกใบจะต้องบาง ไม่มีสีและใสเรียบ ไม่มีลอนคลื่น

    ไม่มี.. ตามดหรือตาคางคกแทรกอยู่ในเนื้อแก้ว เพื่อจะโชว์น้ำสุราภายในแก้วให้ปรากฏออกมาเด่นชัด สำหรับแก้วไวน์นั้นยังต้องมีก้านยาวๆไว้สำหรับจับ ไม่ให้นิ้วมือของผู้ดื่มไปสัมผัสเนื้อแก้วที่มีน้ำเหล้าบรรจุอยู่ภายใน เพราะอุณหภูมิจากมือจะทำให้อุณหภูมิของน้ำสุราเปลี่ยนไปค่อนข้าวเร็ว ยังผลให้เมรัยแก้วนั้นเสียรสชาติ

    ศิลปะในการรินและเสิร์ฟไวน์

    ทุกคนล้วนสามารถเป็นนักรินไวน์และนักเสิร์ฟไวน์ที่ถูกต้องได้ หากปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

    1. อย่ายกขวดไวน์อยู่เหนือแก้วจนเกินไป จนเวลารินจะทำให้เหล้ากระเซ็น

    2. อยากให้ปากขวดไวน์กระทบหรืออยู่ติดกับขอบแก้ว

    3. วิธีรินที่ถูกให้ปากขวดไวน์อยู่เหนือขอบแก้วประมาณหนึ่งนิ้ว แล้วรินให้ต่อเนื่องรวด เดียว 2 ใน 3 ส่วนของแก้ว

    4. การจับขวด ห้ามใช้มือจับที่ฉลาก แต่ต้องจับด้านตรงข้ามและโชว์ฉลากให้แก่ผู้ดื่มได้ เห็น เพื่อผู้ดื่มจะได้รู้ว่าไวน์อะไร ระดับไหน ปีอะไร ฯลฯ

    5. การรินนั้น หยดสุดท้ายจะต้องระวังเป็นพิเศษ ห้ามหวดลงพื้นโต๊ะ วิธีการก็คือ จะต้อง บิดมือหมุนขวดให้ปากขวดเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว

    6. เช็ดปากขวดด้วยผ้าขาวสะอาดก่อนรินไวน์ในแก้วต่อไป

    7. คนรินไวน์จะไขว้แขนซ้ายพาดอยู่ข้างหลังมือขวารินไวน์ เขาทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นท่า อวดภูมิหรือแสดงให้ดูหยิ่งผยอง แต่ต้องการซ่อมมือไม่ให้ไปเกะกะหรือไปสัมผัสถูกใครขณะรินไวน์

    ข้อแนะนำพิเศษในการเสิร์ฟไวน์

    1. ระหว่างการเสิร์ฟในงานเลี้ยงที่ใช้เวลานาน เพราะผู้ดื่มเพลิดเพลินกับกาคุย พยายาม รักษาอุณภูมิของไวน์ขวดดังกว่างให้คงที่เสมอ

    2. ไวน์แดงต้องเสิร์ฟในห้องแอร์ที่เครื่องปรับอากาศควบคุมอุณหภูมิ

    3. การเสิร์ฟไวน์ต้องเสิร์ฟไวน์ขาวก่อน ชนิด Dry ต้องมาก่อน Sweet ต่อด้วยไวน์แดง ไวน์มีคุณภาพต่ำก่อนต่อด้วยไวน์มีคุณภาพสูง เสิร์ฟปีอายุเก็บยังน้อยๆ ก่อน แล้วไล่ไปหาไวน์เก่าแก่

    4. การรินไวน์ ต้องรินให้แก่ Maitre หรือผู้อาวุโสชิมก่อน เมื่อMaritre พยักหน้าจึงรินให้ คนอื่นๆ

    ปัจจัยที่ไวน์ชั้นดีต้องมี

    นักดื่มไวน์... ประเภทมือใหม่หัดดื่ม ก่อนการที่จะได้สัมผัสรสละมุนลิ้นของไวน์ได้ดีและสามารถแยกได้ว่า ไวน์ขวดไหนดีกว่าขวดไหน ไวน์ขวดไหนรสชาติแสนประเสริฐ หรือขวดไหนแสนจะยอดแย่ เพราะชิมกี่ขวดต่อกี่ขวดก็เป็นเหล้าองุ่น เมาเหมือนกันทุกขวด เราจึงต้องอาศัยความรู้เรื่องการดื่มไวน์ เบื้องต้นจากท่านที่เป็นเซียนไวน์คอฉมังที่ได้ทำการวิเคราะห์ ส่วนประกอบสำคัญที่ไวน์ที่ดีชั้นเยี่ยมต้องมี จะช่วยให้ได้ไวน์คุณภาพที่หนักแน่น เต็มปากเต็มคำ

    ปัจจัยที่ 1. ไวน์ดีต้องมีอะซิดิตี้ (Acidity) ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของไวน์ด่านแรก ที่คุณจะติดสินใจว่าจะรักไวน์ขวดนี้จะมีความสุขกับมัน หรือจะต้องเทไวน์ขวดดังกล่าวนี้ทิ้ง Acidity ไวน์นั้นจะต้องยังสด มีชีวิต ยังไม่ตาย ยังไม่พิการ ซึ่งตรวจสอบได้ทั้งการดู การดม การชิม การดูไวน์ที่มีชีวิต นั้น สีของไวน์จะต้องสดใส และถูกต้องตามอายุของไวน์แดง อายุน้อยก็จะ แดงอมม่วง ไม่ใช่เป็นสีน้ำตาลเข้มขุ่นหรือมีอะไรเจือปน สีของไวน์จะต้องมีความแวววาว ดูมีชีวิตชีวากระฉับกระแฉง การดมไวน์ที่ยังมีชีวิต นั้น ไวน์จะโชยกลิ่นรสของผลไม้ที่สดใสและรสที่จับใจอื่น ๆ ที่บ่งบอกถึงความสด ถ้าไวน์ขวดไหนขาด Acidity คือไวน์ที่จะหมดอายุแล้ว การชิมไวน์ที่ยังมีชีวิต แม้ไวน์จะราคาถูกเพียงใด ก็ให้มีรสความสดชื่นจับใจไร้ขอบเขต มีรสชาติของผลไม้ที่เด็ดจากต้นใหม่ ๆ นำมาปรุงเสร็จหยก ๆ เป็นสาวที่ยังบริสุทธิ์ ไม่ใช่รสเหมือนอาหารที่ค้างคืน

    ปัจจัยที่ 2. ไวน์ดีต้องมีอโรมา (Aroma) อโรมาเป็นน้ำไวน์ คือ กลิ่นรสแท้ของเหล้าองุ่นที่เกิดจากผลพวงของพันธุ์องุ่นไวน์ตัวไหนจะถูกระบุว่าเป็นไวน์ดีอันดับแรก กลิ่นอโรมาจะต้องตรงสเป็กกับพันธุ์องุ่นได้อย่างแท้จริง เช่น ไวน์แดง ที่ผลิตจากพันธุ์องุ่นพันธุ์ Cabernet Frane หรือ คาแบร์เน่ต์ ฟรอง ผสมอยู่ค่อนข้างมาก เช่น ยี่ห้อ CHATEAU CHEVAL จากเขต BLANE Saint - Emilion ก็ต้องมีอะไรมาเป็นกลิ่นหญ้าสด กลิ่นดิน กลิ่นขี้กบเหลาดินสอ หรือไวน์แดงที่ผลิตจากองุ่นพันธุ์ปิโนต์ นัวส์ (Pinot Noir) ก็จะต้องมีอโรมา เป็นกลิ่นฟางแห้ง กลิ่นไร่องุ่น กลิ่นใบไม้แห้ง เป็นต้น หรือ บุคลิกของไวน์ทีเกิดจากพันธุ์องุ่นที่นำมาผลิต ถ้ากลิ่นเหล่านี้ผิดเพี้ยนจากพันธุ์องุ่นที่นำมาซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่ไวน์ดีแล้ว

    ปัจจัยที่3.ไวน์ดีต้องมีความสมดุล (Balance) คอไวน์เมืองไทยมักเข้าใจผิดกันค่อนข้างมากว่า ความสมดุลในน้ำเหล้าองุ่นนั้นเป็นอย่างไร ความสมดุลหรือ Balance ในน้ำไวน์ ก็เปรียบเหมือนเสาบ้านทั้งสี่ต้น หรือ ขาเก้าอี้ทั้งสี่ขา ซึ่งต้องสั้นยาวเท่า ๆ กัน คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหรือคนที่นั่งเก้าอี้จึงจะมีความสุขไม่กลิ้งตก ซึ่งความสมดุลของน้ำไวน์ประกอบไปด้วย

    1.Acid หรือ ความเป็นกรด ในน้ำไวน์จะต้องมีความแหลมคมอย่างเหมาะเจาะ ไม่มาก จนเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด หรือขาดหายไปจนเป็นไวน์ด้าน

    2.Tanin หรือความฝาด ที่เกิดจากเปลือกองุ่น เมล็ดองุ่นหรือการบ่มจากโอ๊ก ไวน์จะต้อง ไม่ฝาดจนหลอกหลอน หรือ แก่โอ๊กจนกลายเป็นไวน์ดัดจริต หรือขาดแทนนินจนกลายเป็นน้ำหวาน ส่วนจะมีแทนนินเท่าใดจึงจะเหมาะสมกับประเภทของไวน์แล้วต้องมีปัจจัยมาร่วมแจมอีก 3 ปัจจัย ที่จะกล่าวต่อไป

    3.มีแอลกอฮอล์ที่เหมาะเจาะ การที่ไวน์จะมีแอลกอฮอล์ ที่เหมาะเจาะนั้น ขึ้นอยู่กับน้ำ ตาลในผลองุ่นที่เก็บเกี่ยวมาทำไวน์ ไวน์ดีนั้นความเป็นกรดและแทนนินต้องมีความสมดุลกันด้วย แต่ถ้ามีแอลกอฮอล์สูงลูกเดียว ไวน์ขวดนั้นจะกระด้างไม่น่าดื่ม

    4.Fruity หรือมีกลิ่นของรสผลไม้อย่างเหมาะเจาะรวมกับ 3 ตัว ประกอบข้างต้นอย่าง ดิบดี คือ ไวน์มีความเป็นกรด มีความฝาด มีแอลกอฮอล์ และกลิ่นรสของผลไม้เหมาะเจาะกันดีแล้ว ก็จะทำให้ไวน์เกิด Potential ที่ดีด้วย เมื่อไวน์มี Potential ก็ถือเป็น จอม Balance

    ปัจจัยที่ 4. ไวน์ดีต้องมี Bodied ไวน์ที่จะมีบอดี้นั้นจะต้องเป็นไวน์ที่เก็บเกี่ยวจากองุ่นที่มีคุณภาพ ซึ่งหมายถึง องุ่นที่สุกได้ที่ มีความหวานในผลองุ่นอย่างเหมาะเจาะ ได้รับแดดรับฝนมาตลอดปีครบถ้วนตามหลักการ ไวน์ที่มีบอดี้นั้นเรียกว่า Full - Bodied ถัดลงมาคือ Medium - bodied และจบท้ายด้วย Light - Bodied ไวน์ซึ่งบอดี้ดีก็จะทำให้ผู้ดื่มรู้สึกว่าไวน์นั้นมีตัวตน ใช้ลิ้นควานน้ำไวน์ที่อยู่ในปากก็จะรู้สึกถึงความอวบอั๋น เข้มข้นจนแทบติดลิ้น ติดฟัน และติดเหงือก กลืนลงคือแต่ละคำ ก็เหมือนกลืนสิ่งที่มีตัวตนลงไป

    ปัจจัยที่ 5. ไวน์ดีต้องมี Bouquet จงจำไว้ว่าความหมายของ บูเกต์ ในน้ำไวน์แตกต่างจากความหมายของอโรมาโดยสิ้นเชิง อโรมา หมายถึง กลิ่นรสประจำกายของไวน์แต่ละตัว ที่ได้มาจากพันธุ์องุ่น ที่นำมาผลิต หรือกลิ่นแท้ของวัตถุดิบที่นำมาผลิตไวน์ แต่บูเกต์ เป็นกลิ่นพิเศษที่เกิดจากการพัฒนาการของไวน์ หรือกลิ่นรสที่ได้จากกระบวนการผลิตเช่น มีการนำไวน์ไปบ่มในถังไม้โอ๊ก ใหม่ของฝรั่งเศสที่เรียกว่า บาร์รัก (Barrique) นทำให้เกิดกลิ่นวานิลลา กลิ่นขนมปังปิ้ง กลิ่นเมล็ดกาแฟที่กำลังถูกคั่วใหม่ ๆ กลิ่นครีม กลิ่นยาสูบ และกลิ่นหนังสัตว์ เป็นต้น ดังนั้น ปัจจัยนี้จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะไวน์แต่ละขวดที่จะมีราคาแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ก็จะชนะขาดกันตรงที่มีกลิ่นบูเกต์ที่ล้ำเลิศ ประเสริฐศรีกว่ากันนี่แหละ

    ปัจจัยที่ 6. ไวน์ดีต้องมี Complexity ความหมายของ Complexity ก็คือ "มีความสลับซับซ้อนอย่างหลากหลายของกลิ่นรส" ยิ่งไวน์ดียิ่งมีกลิ่นซับซ้อนให้ค้นหามากเท่าใด ยิ่งถือเป็นสุดยอดแห่งไวน์

    ปัจจัยที่7.ไวน์ดีต้องมีหางเครื่อง (Finish) หรือเรียกว่า "รสชาติที่ตกค้างหลังการ ดื่มหรือไคลแม็กซ์แห่งการดื่ม" ว่าไวน์แต่ละวินเทจแต่ละยี่ห้อ จะมีรสชาติที่ตกค้างอยู่ยาวนานไกลกว่ากัน

    ปัจจัยที่ 8. ไวน์ดีต้องมี Mololactic ที่ดี โดยการหมักองุ่นเป็นไวน์นั้นการหมักครั้งแรก (First Fermentation) เป็นการหมักแบบ Lactic Acid เพื่อให้เชื้อยีสต์ที่มีอยู่ ตามผิวองุ่นแปรธาตุน้ำตาลในองุ่นให้เป็นแอลกอฮอล์ แล้วนำน้ำไวน์ที่หมักได้ครั้งแรกไปบ่มโอ๊กจนเหมาะเจาะแล้วทำการบรรจุขวด ไวน์ที่ บรรจุใส่ขวด ถือเป็นไวน์ที่มี "น้ำที่มีชีวิต" ที่มีการ Ferment ไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ ซึ่งการ Ferment ครั้งนี้เรียกว่า Secondary Fermentation โดยไวน์จะมีการพัฒนาคุณภาพของกลิ่นรสสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขึ้น Peak ดังนั้นไวน์ที่ดีจะมี Malolactic ที่ดี

    ปัจจัยที่ 9. ไวน์ดีต้องมี Nose ซึ่งไม่ใช่หมายถึงจมูกแน่ ๆ แต่หมายถึงกลิ่นรสของ ไวน์ที่ชวนใจอย่างซาบซึ้ง ให้อยากลิ้มลอง

    ปัจจัยที่ 10. ไวน์ดีต้องมี Tanin ที่ดี แทนนินที่ดีก็คือ ความฝาดที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำไวน์ โดยเกิดจากเปลือกองุ่น เมล็ดองุ่น และกิ่งก้านของใบองุ่น และเกิดจากการบ่มในถังโอ๊ก ไวน์ที่ดีจะต้องมีความฝาดที่เหมาะเจาะ เป็นความฝาดที่อ่อนโยนน่ารัก น่าอัศจรรย์ ไม่ใช่ความฝาดที่แกร่งกระด้างจนด้าน

    ปัจจัยที่ 11. ไวน์ดีต้องมี Terrior ปัจจัยตัวนี้เป็นการแยกไวน์ธรรมดากับแยกไวน์ อมตะคนดื่มไวน์ทั้งหลายแยกกันที่ "แตร์ฮัวร์" นี่แหละ คำว่า "แตร์ฮัวร์" เป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งไม่ได้หมายถึงแต่กลิ่นรสจากใต้ภิภพ ที่ซุกซ่อนอยู่ในเหล้าองุ่นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความลงตัวของแสงแดด สายลม อากาศ เฉพาะถิ่น ความเหมาะเจาะของน้ำฝนความแห้งแล้ง ความผกผัน ของอุณหภูมิในไร่องุ่น การระบายความชื้นในใต้ดิน และรากองุ่นที่ทิ้งลงไปใต้ดิน จนสามารถดูดสารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ ขึ้นมาสู่ผลองุ่นจนมันกลายมาเป็นไวน์ที่อัศจรรย์ จึงสรุปได้ว่าปัจจัยที่จำเป็นเบื้องต้นที่นักดื่มไวน์ จะต้องเรียนรู้ให้เชี่ยวชาญ เกิดควาชำนาญเมื่อทำการพิสูจน์รสชาติไวน์แล้วก็จะได้เป็นเซียนไวน์อย่างเต็มตัว สามารถบอกได้ว่า ไวน์ตัวไหนดี หรือแย่ ได้อย่างแน่นอน

    เฌอแตม/Winestation


    เนื่องจากผู้จัดทำมีภาระเรื่องเวลาและการเดินทาง การUpdated ข้อมูลจึงขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาส แต่ข้อมูลจะมาจากทุกหนแห่งทั่วโลก แล้วแต่โอกาสจะอำนวย ในโลกของวิทยาการยุคนี้ปลายนิ้วและสมองคือความสำเร็จของชีวิต /Thanks for all pictures and details from many websites and books that suported this website