หน้าที่ ๗ : หมวดสมถกรรมฐาน : กรรมฐาน ๔๐ : กสิณ ๑๐
กสิณ ๑๐

สิณ แปลว่า นิมิต ในบางที่บางแห่ง แปลว่า สะดึง เป็นนิมิตสำหรับจับ กสิณนี่เป็นกรรมฐานหยาบ มีสภาวะจับได้ง่าย คือมีการทรงฌาน ๔ ทั้งหมด แล้วก็กสิณทั้งหมดเป็นพื้นฐานของอภิญญาสมาบัติ

การปฏิบัติในกสิณ ๑๐

กสิณทั้ง ๑๐ แบ่งออกเป็น ๒ พวกด้วยกัน กสิณพวกหนึ่งเป็น กรรมฐานกลางจริตทั้งหมดทำได้โดยไม่ต้องเลือก นี่จุดหนึ่ง อีกพวกหนึ่งเป็นกรรมฐานเฉพาะจริต สำหรับกสิณที่เป็นกรรมฐานกลางนี่มี ๖ อย่างคือ ปฐวีกสิณ เตโชกสิณ อาโปกสิณ วาโยกสิณ อากาสกสิณ และอาโลกสิณ ทั้ง ๖ นี้เป็นกสิณกลาง สำหรับจริต บรรดาพุทธบริษัททุกจริตทำได้โดยไม่ต้องเลือก เพราะเป็นของกลางๆ จะเป็นคนมีจริตไหนก็ตามใช้ได้ทั้งหมด นี่เรื่องกรรมฐานกับจริตนี่มีความสำคัญมาก ต้องจำให้ดี ถ้าจำพลาดไปทำขวางกันเข้า มันไม่ค่อยเดิน มันไปเหมือนกัน แต่ไปช้าๆ ไปขวางๆ

สำหรับกสิณอีก ๔ อย่างคือ โลหิตกสิณ นีลกสิณ ปีตกสิณ โอทาตกสิณ ทั้ง ๔ อย่างนี้เป็นกสิณที่เป็นคู่ปรับกับ โทสะจริต คนที่โมโหโทโสมาก โกรธง่าย เจริญกสิณ ๔ อย่างนี่ อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อกสิณเกิดขึ้นเป็นฌานแล้ว อารมณ์ของโทสะก็จะคลายสลายตัวไป การเจริญกรรมฐานให้เหมาะสมกับจริต คำว่าจริตแบบไหนมันนำหน้า เราก็คว้าแบบนั้นทำเสียก่อน ทำลายใ้ห้พินาศไป แล้วผลที่จะพึงได้ก็คือจิตสบาย


๑. ปฐวีกสิณ
ปฐวีกสิณ คือการเพ่งดินเป็นอารมณ์ ศัพท์ว่า "ปฐวี" แปลว่า "ดิน" กสิณแปลว่า "เพ่ง" รวมความแล้วได้ว่า "เพ่งดิน"
ปฐวีกสิณนี้ มีดินเป็นอุปการณ์ในการเพ่ง จะเพ่งดินที่เป็นพื้นลานดิน ที่ทำให้เตียนสะอาดจากผงธุลี หรือจะทำเป็นสะดึงยกไปมาได้ก็ใช้ได้ทั้งสองอย่าง ดินที่จะเอามาทำเป็นดวงกสิณนั้น ท่านให้ใช้ดินสีอรุณอย่างเดียว ห้ามเอาดินสีอื่น มาปน ถ้าจำเป็นหาดินสีอรุณไม่ได้มาก ท่านให้เอาดินสีอื่นรองไว้ข้างล่าง แล้วเอาดินสีอรุณทาทับไว้ข้างบน

ดินสีอรุณนี้ ท่านโบราณาจารย์ ท่านว่าหาได้จากดินขุยปู เพราะปู ขุดเอาดินสีอรุณขึ้นไว้ ปากช่องรูที่อาศัย เมื่อหาดินได้ครบแล้ว ต้องทำสะดึงตามขนาดดังนี้ ถ้าทำเป็นลานติดพื้นดิน ก็มีขนาดเท่ากัน อย่างใหญ่ท่านให้ทำไม่เกินเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ คืบ ๔ นิ้ว อย่างเล็ก ไม่เล็กกว่าขอบขัน ระยะนั่งเพ่งบริกรรม ท่านให้นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลกว่า ๒ คืบ ๔ นิ้ว ตั่งที่รองวงกสิณ ท่านให้สูงไม่เกิน ๒ คืบ ๔ นิ้ว ท่านว่าเป็นระยะที่พอเหมาะพอดี เพราะจะได้ไม่มองเห็นรอยที่ปรากฏบนดวงกสิณ ที่ท่านจัดว่าเป็นกสิณโทษ เวลาเพ่งกำหนดจดจำ ท่านให้มุ่งจำแต่สีดิน ท่านไม่ให้คำนึงถึงขอบ และริ้วรอยต่าง ๆ

เมื่อจัดเตรียมอุปการณ์เรียบร้อยแล้ว ท่านให้ชำระร่างกายให้สะอาด แล้วนั่งขัดสมาธิที่ตั่งสำหรับนั่ง หลับตาพิจารณาโทษของกามคุณ ๕ ประการตามนัยที่กล่าวไว้ในอสุภกรรมฐาน ต้องการทราบละเอียด โปรดเปิดไปที่บทว่าด้วยอสุภกรรมฐานจะทราบละเอียด เมื่อพิจารณาโทษของกามคุณจนจิตสงบจากนิวรณ์แล้ว ให้ลืมตาขึ้นจ้องมองภาพกสิณ จดจำให้ดีจนคิดว่าจำได้ ก็กลับตาใหม่ กำหนดภาพกสิณไว้ในใจภาวนาเป็นเครื่องผูกใจไว้ว่าปฐวีกสิณัง เมื่อเห็นว่าภาพกสิณเลือนไปก็ลืมตาดูใหม่ เมื่อจำได้แล้วก็หลับตาภาวนากำหนดจดจำภาพนั้นต่อไป ทำอย่างนี้บ่อยๆ หลายร้อยหลายพันครั้งเท่าใดไม่จำกัด จนกว่าอารมณ์ของใจ จะจดจำภาพกสิณไว้ได้เป็นอย่างดี

กสิณโทษ
ในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า พึงกระทำดวงกสิณด้วยดินแดงอันบริสุทธิ์ มีสีงาประดุจดังว่าพระอาทิตย์เมื่อแรกอุทัย กระทำให้ปราศจากกสิณโทษ ๔ ประการ คืออย่าเอาดินสีเขียวเจือ ดินสีเหลืองเจือ ดินสีแดงเจือ และดินสีขาวเจือ อย่ากระทำในท่ามกลางวิหารอันเป็นที่สัญจร พึงกระทำในเงื้อมแลบรรดาศาลา อันเป็นที่ลับที่กำบัง


อุคคหนิมิต
เมื่ออารมณ์ของใจ จดจำภาพกสิณไว้ได้เป็นอย่างดี จะเพ่งมองดูหรือไม่ก็ตาม ภาพกสิณนั้นก็จะติดตาติดใจ นึกเห็นภาพกสิณ ได้ขัดเจนทุกขณะที่ปรารถนา จะเห็นติดตาติดใจตลอดเวลาอย่างนี้ ท่านเรียกว่า อุคคหนิมิต แปลว่านิมิตติดตา

เห็นดินต้นกสิณ เห็นดินถมท่วมขึ้นมาอัดเต็ม

อุคคหนิมิตนี้ ท่านว่ายังมีกสิณโทษอยู่มาก คือภาพที่เห็นเป็นภาพดินตามที่ทำไว้ และ ขอบวงกลมของสะดึงย่อมปรากฏ ริ้วรอยต่าง ๆ เมื่อเข้าถึงอุคคหนิมิตแล้ว ท่านให้เร่งระมัดระวัง รักษาอารมณ์สมาธิ และ นิมิตนั้นไว้จนกว่าจะได้ปฏิภาคนิมิต


ปฏิภาคนิมิต
ปฏิภาคนิมิตนั้น รูปและสีของกสิณเปลี่ยนจากเดิม คือกสิณทำเป็นวงกลม ด้วยดินแดงนั้น จะกลายเป็นเสมือนแว่นแก้ว มีสีใสสะอาดผ่องใสคล้ายน้ำที่กลิ้งอยู่ในใบบัว ฉะนั้น รูปนั้นบางท่านกล่าวว่า คล้ายดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆหมอกปิดบัง เอากันง่าย ๆ ก็คือ เหมือนแก้วที่สะอาดนั้นเอง รูปคล้ายแว่นแก้ว จะกำหนดจิตให้เล็กโตสูงต่ำได้ตามความประสงค์ อย่างนี้ ท่านเรียกปฏิภาคนิมิต

เปลี่ยนเป็นแว่นแก้วขาวใสสะอาด

เมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วท่านให้นักปฏิบัติเก็บตัว อย่ามั่วสุมกับนักคุยทั้งหลาย จงรักษาอารมณ์รักษาใจให้อยู่ในขอบเขตของสมาธิเป็นอันดี อย่าใส่ใจอารมณ์ของนิวรณ์แม้แต่น้อยหนึ่ง เพราะแม้นิดเดียวของนิวรณ์ อาจทำอารมณ์สมาธิที่กำลังจะเข้าสู่ระดับฌานนี้สลายตัวได้โดยฉับพลัน ขอท่านนักปฏิบัติจงระมัดระวังอารมณ์ รักษาปฏิภาคนิมิตไว้ คล้ายกับระมัดระวังบุตรสุดที่รักที่เกิดในวันนั้น


๒. อาโปกสิณ
อาโปกสิณ อาโป แปลว่าน้ำ กสิณ แปลว่าเพ่ง อาโปกสิณ แปลว่าเพ่งน้ำ กสิณน้ำมีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้ ท่านให้เอาน้ำที่สะอาด ถ้าได้น้ำฝนยิ่งดี ถ้าหาน้ำฝนไม่ได้ท่านให้เอาน้ำที่ใส แกว่งสารส้มก็ได้ อย่าเอาน้ำขุ่นหรือสีต่าง ๆ มา ท่านให้ใส่น้ำในภาชนะเท่าที่จะหาได้ ใส่ให้เต็มพอดี อย่าให้พร่อง การนั่ง หรือเพ่งมีอาการอย่างเดียวกับปฐวีกสิณจนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิต เมื่อถึงปฏิภาคนิมิต แล้วจงเจริญต่อไปให้ถึงจตุตถฌาน บทภาวนา ภาวนาว่าอาโปกสิณัง

กสิณโทษ
น้ำ ๔ ประการคือ น้ำสีดำ สีเหลือง สีแดง สีขาวนั้น เป็นน้ำอันกอปรด้วยกสิณโทษ


อุคคหนิมิต
ปรากฏเหมือนน้ำไหวกระเพื่อม ๆ ถ้าน้ำนั้นกอปรด้วยกสิณโทษ คือเจือไปด้วยปุ่มเปือกและฟองนั้นก็ปรากฏในอุคคหนิมิตได้

น้ำ น้ำ น้ำ


ปฏิภาคนิมิต
ปรากฏเหมือนพัดใบตาลแก้วมณี หรือดวงแว่นแก้วใส มีประกายระยิบระยับ

พัดใบตาลแก้วมณี เปลี่ยนเป็นแว่นแก้วบ้าง


๓. เตโชกสิณ
เตโชกสิณ เตโช แปลว่าไฟ กสิณเพ่งไฟเป็นอารมณ์ กสิณนี้ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้จุดไฟให้ไฟลุกโชนแล้วเอาเสื่อหรือหนังมาเจาะทำเป็นช่องกว้าง ๑ คืบ ๔ นิ้ว แล้ววางเสื่อหรือหนังนั้นไว้ข้างหน้า ให้เพ่งพิจารณาไปตามช่องนั้น การนั่ง สูง หรือระยะไกลใกล้ เหมือนกันกับปฐวีกสิณ การเพ่ง อย่งเพ่งเปลวไฟที่ไหวไปมา ให้เลือกเพ่งแต่ไฟที่มีแสงหนาทึบที่ปรากฏตามช่องนั้นเป็นอารมณ์ ภาวนาว่าเตโชกสิณัง ๆ ๆ ๆ หลายๆ ร้อยพันครั้งจนกว่านิมิตจะเป็นอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วท่านจงพยายามทำให้ถึงจตุตถฌานเถิด ผลที่ตั้งใจไว้จะได้รับสมความปรารถนา

กสิณโทษ
อย่าพิจารณาไม้และหญ้าที่อยู่เบื้องต่ำ เปลวเพลิงที่วับขึ้นไป ในเบื้องบนนั้น ก็อย่าพิจารณาเอาเป็นอารมณ์ ให้พิจารณาเอาแต่เปลวเพลิงที่หนาทึบ อย่าพิจารณาสีว่า เพลิงนี้สีเขียว สีเหลือง สีหมอง สีแดง อย่าพิจารณาลักษณะที่ร้อน พึงรวมสีกับเปลวที่ทึบนั้นเข้าด้วยกัน เล็งแลด้วยจักษุ ด้วยอาการอันเสมอเหมือนอย่าง พิจารณาปฐวีกสิณ


อุคคหนิมิต
ปรากฏเป็นดวงเพลิงตามปกติ หากพิจารณาจากกองเพลิง จะปรากฏภาพถ่านฟืนที่เพลิงติด หรือกองถ่านเพลิง

เริ่มเห็นไฟพร้อมสิ่งแวดล้อม แล้วเห็นไฟอย่างเดียวไม่มีสิ่งแวดล้อม กลายเป็นไฟลุกท่วม


ปฏิภาคนิมิต
ปรากฏรูปคล้ายผ้าแดงผืนหนา หรือคล้ายกับพัดใบตาลที่ทำด้วยทอง หรือเสาทองคำที่ตั้งอยู่ในอากาศ

เปลี่ยนเป็นธง ๑ ผื่นโบกพริ้วอยู่ แล้วเปลี่ยนเป็นธงหลายๆ ผื่นพริ้วเป็นจังหวะเดียวกัน (หากสังเกตุในเปลวไฟก็จะเห็นคล้ายกับว่ามีธงสีแดงเล็กๆ โบกพริ้วร้อยอยู่ด้วยกันกันเต็มไปหมด) บางคนเห็นเป็นพัดใบตาลทองคำ


๔. วาโยกสิณ
วาโยกสิณ แปลว่า เพ่งลม การถือเอาลมเป็นนิมิตนั้น ท่านกล่าวว่าจะถือเอาด้วยการเห็น หรือจะถือเอาด้วยการกระทบ ก็ได้การกำหนดถือเอาด้วยการเห็น ท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดถูกต้องปลายหญ้า หรือปลายไม้เป็นอารมณ์เพ่งพิจารณา การถือด้วยการถูกต้อง ท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดมากระทบตัวเป็นอารมณ์ สมัยนี้ การถือเอาลมกระทบจะให้พัดลมเป่าแทนลมพัด หรือถือเอาการเห็นต้นหญ้า ต้นไม้ที่ไหวเพราะลมพัด จะใช้ลมเป่าให้ไหวแทนลมธรรมชาติก็ได้ เมื่อเพ่งพิจารณาอยู่ให้ภาวนาว่าวาโยกสิณัง ๆ ๆ ๆ อาการอื่นนอกนี้เหมือนปฐวีกสิณ

กสิณโทษ
-


อุคคหนิมิต
ปรากฏว่ามีการไหว ๆ คล้ายกับกระไอแห่งการหุงต้ม ที่มีไอปรากฏมากระทบจักษุ พูดให้ชัดเข้าก็คือมีปรากฏการณ์ คล้ายตามองเห็นไอน้ำที่ต้มเดือด

ลมพัดทุ่งหญ้าทุ่งข้าว ลมพัดใบไม้แกว่งเป็นจังหวะคงที แล้วเปลี่ยนเป็นไอหมอกลอยเอื่อย


ปฏิภาคนิมิต
ปรากฏภาพเหมือนไอน้ำที่ลอยขึ้น แต่ไม่เคลื่อนไหวหรือคล้ายกับก้อนเมฆบาง ที่ลอยอยู่คงที่

ไอข้นขึ้นใสขึ้นกลายเป็นก้อนน้ำแข็งมีแสงแดดส่องประกายระยับ


๕. นีลกสิณ
นีลกสิณ แปลว่า เพ่งสีเขียว ท่านให้ทำสะดึงขึงด้วยผ้า หรือหนังกระดาษก็ได้ แล้วเอาสีเขียวทา หรือจะเพ่งพิจารณาสีเขียวจากใบไม้ ดอกไม้ เป็นต้นว่า ดอกนิลุบล ดอกอัญชัน ที่นำมาประดับลงในฝา กล่อง เสมอขอบปากก็ได้ ทำเช่นเดียวกับปฐวีกสิณ เพ่งภาวนาว่านีลกสิณังๆ ๆ ๆ

กสิณโทษ
หากใช้ดอกไม้หรือใบไม้ จะปรากฏภาพเกสร แลก้านหว่างกลีบนั้น


อุคคหนิมิต
ปรากฏเป็นรูปสีเขียวที่เพ่ง

สีเขียวชัดแน่นเต็มเป็นดวง ถ้าใบไม้เป็นต้นกสิณจะได้อย่างนี้


ปฏิภาคนิมิต
ปรากฏเหมือนพัดใบตาลแก้วมณี หรือดวงแว่นแก้วใส มีประกายระยิบระยับ

พัดใบตาลแก้วมณี กลายเป็นแว่นแก้ว


๖. ปีตกสิณ
ปีตกสิณ แปลว่า เพ่งสีเหลือง การปฏิบัติทุกอย่างเหมือนนีลกสิณ บทภาวนา ภาวนาว่าปีตกสิณัง ๆ ๆ

กสิณโทษ
เหมือนนีลกสิณ


อุคคหนิมิต
ปรากฏเป็นรูปสีเหลืองที่เพ่ง

ต้นกสิณสีเหลือง พระพุทธรูปทองคำ


ปฏิภาคนิมิต
ปรากฏเหมือนนีลกสิณ

พัดใบตาลแก้วมณี กลายเป็นแว่นแก้ว


๗. โลหิตกสิณ
โลหิตกสิณ แปลว่า เพ่งสีแดง บทภาวนา ภาวนาว่าโลหิตกสิณัง ๆ ๆ ๆ นิมิตที่จัดหามาเพ่งจะเพ่งดอกไม้สีแดงหรือเอาสีแดงมาทาทับกับสะดึงก็ได้

กสิณโทษ
เหมือนนีลกสิณ


อุคคหนิมิต
ปรากฏเป็นรูปสีแดงที่เพ่ง

ดวงกสิณสีแดง ดอกไม้สีแดง


ปฏิภาคนิมิต
ปรากฏเหมือนนีลกสิณ

พัดใบตาลแก้วมณี กลายเป็นแว่นแก้ว


๘. โอทากสิณ
โอทากสิณ แปลว่า เพ่งสีขาว บทภาวนา ภาวนาว่าโอทาตกสิณัง ๆ ๆ ๆ สีขาวที่จะเอามาเพ่งนั้น จะหาจากดอกไม้หรืออย่างอื่นก็ได้ตามแต่จะสะดวก หรือจะทำเป็นสะดึงก็ได้

กสิณโทษ
เหมือนนีลกสิณ


อุคคหนิมิต
ปรากฏเป็นรูปสีขาวที่เพ่ง

ต้นกสิณสีขาว พระพุทธรูปสีขาว


ปฏิภาคนิมิต
ปรากฏเหมือนนีลกสิณ

พัดใบตาลแก้วมณี กลายเป็นแว่นแก้ว


๙. อาโลกสิณ
อาโลกสิณ แปลว่า เพ่งแสงสว่าง ท่านให้หาแสงสว่าง ที่ลอดมาตามช่องฝา หรือช่องหลังคา หรือเจาะเสื่อลำแพน หรือหนังให้เป็นช่องเท่า ๑ คืบ ๔ นิ้ว ตามที่กล่าวในปฐวีกสิณ แล้วภาวนาว่าอาโลกสิณัง ๆ ๆ ๆ อย่างนี้ จนอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ปรากฏ แล้วต่อไป ขอให้นักปฏิบัติ จงพยายามทำให้เข้าถึงจตตุถฌาน เพราะข้อความ ที่จะกล่าวต่อไป ก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในปฐวีกสิณ

กสิณโทษ
-


อุคคหนิมิต
ปรากฏเป็นแสงสว่างที่เหมือนรูปเดิมที่เพ่งอยู่

ต้นกสิณแสง ต้นกสิณแสงที่ตกกระทบผนังมีความเข้มมาก ดวงแก้วก็จัดว่าเป็นอาโลกสิณ


ปฏิภาคนิมิต
ปรากฏเป็นแสงสว่างหนาทึบ เหมือนกับ เอาแสงสว่าง มากองรวมกันไว้ที่นั่น

ดวงสว่างเข้ม ปฏิภาคนิมิตของดวงแก้ว


๑๐. อากาศกสิณ
อากาสกสิณ แปลว่า เพ่งอากาศ อากาสกสิณนี้ ภาวนาว่าอากาสกสิณัง ๆ ๆ ท่านให้ทำเหมือนในอาโลกกสิณคือ เจาะช่องฝาเสื่อหรือหนังหรือ มองอากาศ คือความว่างเปล่าที่ลอดมาตามช่องฝา หรือหลังคา หรือตามช่องเสื่อหรือผืนหนัง โดยกำหนดว่าอากาศ ๆ ๆ จนเกิออุคคหนิมิต

กสิณโทษ
-


อุคคหนิมิต
ปรากฏเป็นช่องตามรูปที่กำหนด

ดูอากาศผ่านช่องหน้าต่าง เจาะช่องวงกลมดูอากาศบนท้องฟ้าปลอดเมฆ


ปฏิภาคนิมิต
ปรากฏคล้ายอุคคหนิมิต เป็นอากาศเปล่า ไม่มีช่องฝา แต่มีพิเศษที่บังคับให้ขยายออกให้ใหญ่เล็ก สูงต่ำได้ตามความประสงค์

ดวงนิมิตภาพอากาศเหมือนภาพต้นกสิณ

(โปรดรักษาน้ำใจกันด้วยการไม่ขโมยงานของคนอื่นไปเป็นงานของตนเอง)

(ภาพประกอบเหล่านี้เกิดจากการฝึกเองปฏิบัติเองได้ผลเองแล้วจึงนำมาให้ศึกษากัน)

(บางภาพอาจไม่ตรงตามความเป็นจริงทั้งหมดเพราะหาภาพที่ใกล้เคียงนิมิตได้ยาก จึงทำได้เพียงหาหรือสร้างให้คล้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้)

สรุปจากหนังสือ พระวิสุทธิมรรค และ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

จิตระดับฌานในกสิณ ๑๐


เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว จิตก็เข้าระดับฌาน อารมณ์ของฌานในกสิณทั้ง ๑๐ อย่าง นั้นมีอารมณ์ดังนี้ ฌานในกสิณนี้ท่านเรียก ฌาน ๔ บ้าง ฌาน ๕ บ้าง เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิด ขออธิบายฌาน ๔ และฌาน ๕ ให้เขาใจเสียก่อน

ฌาน ๔

ฌาน ๔ ท่านเรียกว่า จตุตถฌาน ท่านถืออารมณ์อย่างนี้
๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๓ คือละ วิตก และวิจารณ์เสียได้ คงดำรงอยู่ในองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
๓. ตติยฌาน มีองค์ ๒ คือละ วิตก วิจาร ปีติ เสียได้ ดำรงอยู่ใน สุข กับ เอกัคคตา
๔. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือละ วิตก วิตาร ปีติ สุข เสียได้ คงทรงอยู่ใน เอกัคคตา กับเพิ่ม อุเบกขา เข้ามาอีก ๑

ฌาน ๔ หรือที่เรียกว่ากสิณทั้งหมดทรงได้ถึงฌาน ๔ ท่านจัดไว้อย่างนี้ สำหรับในที่บางแห่งท่านว่ากสิณทั้งหมดทรงได้ถึงฌาน ๕ ท่านจัดไว้ดังต่อไปนี้

ฌาน ๕

๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๔ คือละ วิตก เสียได้ คงทรง วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๓. ตติยฌาน มีองค์ ๓ คือละ วิตก วิจาร เสียได้ คงทรง ปีติ สุข เอกัคคตา
๔. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือละ วิตก วิจาร ปีติ เสียได้ คงทรง สุข กับ เอกัคคตา
๕. ปัญจมฌาน หรือที่เรียกว่าฌาน ๕ มีองค์เหมือนกันคือ ละ วิตก วิจาร ปีติ สุข เสียได้ คงทรงอยู่ใน เอกัคคตา และเพิ่ม อุเบกขา เข้ามาอีก ๑

เมื่อพิจารณาดูแล้วฌาน ๔ กับฌาน ๕ ก็มีสภาพอารมณ์เหมือนกัน ผิดกันนิดหน่อยที่ฌาน ๒ ละองค์เดียว ฌาน ๓ ละ ๒ องค์ ฌาน ๔ ละ ๓ องค์ มาถึงฌาน ๕ ก็มีสภาพเหมือนฌาน ๔ ตามนัยนั่นเอง อารมณ์ฌานมีอาการเหมือนกันในตอนสุดท้าย กสิณนี้ถ้าท่านผู้ปฏิบัติทำให้ถึงฌาน ๔ หรือฌาน ๕ ซึ่งมีอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ และอุเบกขารมณ์ไม่ได้ ก็เท่ากับท่านผู้นั้นไม่ได้เจริญในกสิณนั้นเอง

เมื่อได้แล้วก็ต้องฝึกการเข้าฌานออกฌานให้คล่องแคล่ว กำหนดเวลาเข้า เวลาออกให้ได้ตามกำหนด จนเกิดความชำนาญ เมื่อออกเมื่อไร ได้ตามใจนึก การเช้าฌานต้องคล่อง ไม่ใช่เนิ่นช้าเสียเวลาแม้แต่ครึ่งนาที พอดิดว่าเราจะเข้าฌานละ ก็เข้าได้ทันที ต้องยึดฌาน ๔ หรือฌาน ๕ คือ เอาฌานที่สุดเป็นสำคัญ เมื่อเข้า ฌานคล่องแล้ว ต้องฝึก นิรมิต ตามอำนาจกสิณให้ได้คล่องแคล่วว่องไว จึงชื่อว่าได้กสิณกองนั้น ๆ

ถ้ายังทำไม่ได้ถึงไม่ควรย้ายไปปฏิบัติในกสิณกองอื่น การทำอย่างนั้นแทนที่จะได้ผลเร็วกลับเสียผล คือของเก่าไม่ทันได้ ทำใหม่ เก่าก็หาย ใหม่ก็ไม่ปรากฏผล ถ้าชำนาญช่ำชองคล่องแคล่วในการนิรมิต อธิษฐาน แล้วเพียงกองเดียว กองอื่นทำไม่ยากเลย เพราะอารมณ์ในการฝึกเหมือนกัน ต่างกันแต่สีเท่านั้น จะเสียเวลาฝึกกองต่อ ๆ ไปไม่เกินกองละ ๗ วัน หรือ ๑๕ วัน เป็นอย่างสูง จะนิรมิตอธิษฐานได้สมตามที่ตั้งใจของนักปฏิบัติ จงอย่าใจร้อน พยายามฝึกฝน จนกว่าจะได้ผลสูงสุดเสียก่อน จึงค่อยย้ายกองต่อไป

องค์ฌานในกสิณทั้ง ๑๐ กอง

ปฐมฌาน

มีองค์ ๕ คือ วิตก มีอารมณ์จับอยู่ที่ปฏิภาคนิมิต กำหนดจิตจับภาพปฏิภาคนิมิตนั้นเป็นอารมณ์ วิจาร พิจารณาปฏิภาคนิมิตนั้นคือพิจารณาว่า รูปปฏิภาคนิมิตสวยสดงดงาม คล้ายแว่นแก้วที่มีคนชำระสิ่งเปรอะเปื้อนหมดไป เหลือไว้แต่ดวงเก่าที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจารธุลีต่าง ๆ ปีติ ๕ ปรากฏอาการ สุข มีอารมณ์เป็นสุขเยือกเย็น ในขณะที่พิจารณาปฏิภาคนิมิต เอกัคคตา มีจิตเป็นอารมณ์เดียว คือมีอารมณ์จับอยู่ในปฏิภาคนิมิตเป็นปกติไม่สอดส่ายอารมณ์ออกนอกจากปฏิภาคนิมิต

ทั้ง ๕ อย่างนี้เป็น ปฐมฌาน มีอารมณ์เหมือนกับฌานในกรรมฐานอื่น ๆ แปลก แต่กสิณมีอารมณ์ยึดนิมิตเป็นอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ให้พลาดจากนิมิต จนจิตเข้าสู่ จตุตถฌาน หรือ ปัญจมฌาน

ทุติยฌาน

มีองค์ ๓ คือตอนนี้จะเว้นจากการภาวนาไปเอง การกำหนดพิจารณารูปกสิณจะยุติลง คงเหลือแต่ความสดชื่นด้วยอำนาจ ปีติ อารมณ์สงัดมาก ภาพปฏิภาคนิมิตจะสดสวยงามวิจิตรตระการตามากกว่าเดิม มีอารมณ์เป็น สุข ประณีตกว่าเดิม เอกัคคตา มีอารมณ์จิตแนบสนิทเป็นสมาธิมากกว่า

ตติยฌาน

มีองค์ ๒ คือ ตัดความสดชื่นทางกายออกเสียได้ เหลือแต่ความ สุข แบบเครียด ๆ คือมีอารมณ์ดิ่งแห่งจิต คล้ายใครเอาเชือกมามัดไว้มิให้เคลื่อนไหว ลมหายใจอ่อนระรวยน้อยเต็มที ภาพนิมิตดูงามสง่าราศีละเอียดละมุนละไม มีรัศมีผ่องในเกินกว่าที่ประสบมา เอกัคคตา อารมณ์ของจิตไม่สนใจกับอาการทางกายเลย

จตุตถฌาน

ทรงไว้เพียง เอกัคคตา กับ อุเบกขา คือ เอกัคคตา มีอารมณ์ดิ่ง ไม่มีอารมณ์รับความสุขและความทุกข์ใด ๆ ไม่รู้สึกในเวทนาทั้งสิ้น มี อุเบกขา วางเฉย ต่ออารมณ์ทั้งมวลมีจิตสว่างโพลงคล้ายใครเอาประทีปที่สว่างมาก หลาย ๆ ดวงตั้งไว้ในที่ใกล้ ไม่มีอารมณ์รับแม้แต่เสียง ลมหายใจสงัด รูปกสิณเห็นชัดคล้ายดาวประกายพรึก ฌานที่ ๔ เป็นฌานสำคัญชั้นยอด ควรกำหนดรู้แบบง่าย ๆ ไว้ว่าเมื่อมีอารมณ์จิตถึงฌาน ๔ จะไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ ควรกำหนดไว้ง่าย ๆ แบบนี้สะดวกดี

ท่านทำได้ถึงระดับนี้ ก็ชื่อว่าจบกิจในกสิณ ไม่ว่ากองใดก็ตาม จุดจบกสิณต้องถึงฌาน ๔ และนิมิตอะไรต่ออะไรตามอำนาจกสิณ ถ้าทำไม่ถึงกับนิมิตได้ตามอำนาจกสิณ ก็เป็นเสมือนท่านยังไม่ได้กสิณเลย

อานุภาพกสิณ ๑๐
กสิณ ๑๐ ประการนี้เป็นปัจจัยให้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้ว เมื่อบำเพ็ญปฏิบัติในกสิณกองใดกองหนึ่งสำเร็จถึงจตุตถฌานแล้ว ก็ควรฝึกตามอำนาจที่กสิณก่องนั้น ๆ มีอยู่ให้ชำนาญ ถ้าท่านปฏิบัติถึงฌาน ๔ แล้ว แต่มิได้ฝึกอธิษฐานต่าง ๆ ตามแบบ ท่านว่าผู้นั้นยังไม่จัดว่าเป็นผู้เข้าถึงกสิณ อำนาจฤทธิ์ในกสิณต่าง ๆ มีดังนี้

ปฐวีกสิณ มีฤทธิ์ดังนี้ เช่น นิรมิตคน ๆ เดียวให้เป็นคนมากได้ ให้คนมากเป็นคน ๆ เดียวได้ ทำน้ำและอากาศให้แข็งได้
อาโปกสิณ สามารถนิรมิตของแข็งให้อ่อนได้ เช่นอธิษฐานสถานที่เป็นดินหรือหินที่กันดารน้ำให้เกิดบ่อน้ำ อธิษฐานหินดินเหล็กให้อ่อน อธิษฐานในสถานที่ฝนแล้งให้เกิดฝนอย่างนี้เป็นต้น
เตโชกสิณ อธิษฐานให้เกิดเป็นเพลิงเผาผลาญ หรือให้เกิดแสงสว่างได้ ทำแสงสว่างให้เกิดแก่จักษุญาณ สามารถเห็นภาพต่าง ๆ ในที่ไกลได้คล้ายตาทิพย์ ทำให้เกิดความร้อนในที่ทุกสถานได้
วาโยกสิณ อธิษฐานจิตให้ตัวลอยตามลม หรืออธิษฐานให้ตัวเบา เหาะไปในอากาศก็ได้ สถานที่ใดไม่มีลม อธิษฐานให้มีลมได้
นีลกสิณ สามารถทำให้เกิดสีเขียว หรือทำสถานที่สว่างให้มืดครึ้มได้
ปีตกสิณ สามารถนิรมิตสีเหลือง หรือสีทองให้เกิดได้
โลหิตกสิณ สามารถนิรมิตสีแดงให้เกิดได้ตามความประสงค์
โอทาตกสิณ สามารถนิรมิตสีขาวให้ปรากฏ และทำที่มืดให้เกิดแสงสว่างได้ เป็นกรรมฐานที่อำนวยประโยชน์ในทิพยจักษุญาณ เช่นเดียวกับเตโชกสิณ
อาโลกสิณ นิรมิตรูปให้มีรัศมีสว่างไสวได้ ทำที่มืดให้เกิดแสงสว่างได้ เป็นกรรมฐานสร้างทิพยจักษุญาณโดยตรง
อากาสกสิณ สามารถอธิษฐานจิตให้เห็นของที่ปกปิดไว้ได้ เหมือนของนั้นวางอยู่ในที่แจ้ง สถานที่ใดเป็นที่อับด้วยอากาศ สามารถอธิษฐานให้เกิดความโปร่งมีอากาศสมบูรณ์เพียงพอแก่ความต้องการได้

วิธีอธิษฐานฤทธิ์


วิธีอธิษฐานจิตที่จะให้เกิดผลตามฤทธิ์ที่ต้องการท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้เขาฌาน ๔ ก่อนแล้วออกจาฌาน ๔ แล้วอธิษฐานจิต ในสิ่งที่ตนต้องการจะให้เป็นอย่างนั้น แล้วกลับเขาฌาน ๔ อีก ออกจาฌาน ๔ แล้วอธิษฐานจิตทับลงไปอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการจะปรากฏสมความปรารถนา

จากหนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

พระลูกชายนายช่างทอง

ตัวอย่างพระลูกชายนายช่างทอง ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นอัครสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู คือ พระสารีบุตร มีกุลบุตรมาบวชด้วย เป็นลูกชายนายช่างทอง เป็นคนหนุ่มและเป็นคนรวย ท่านก็มาคิดว่า คนหนุ่มคนรวยก็ดี มักจะหนักไปในความเจ้าชู้ นี่พูดแบบภาษาไทยๆ ถ้าพูดแบบภาษาธรรมะก็่ว่าเป็นคนมีราคจริต เพราะในฐานะที่คุณเธอเป็นคนโสด ก็เลยคิดอย่างนั้น ในเมื่อท่านคิดแบบนี้แล้ว ท่านก็เลยให้กรรมฐานคืออสุภกรรมฐาน และกายคตานุสสติกรรมฐาน ให้เธอเจริญ เพื่อเป็นการทำลายราคจริตคือความรักสวยรักงาม เป็นอันว่าพรรษาหนึ่งทั้งพรรษา พระลูกชายนายช่างทองจะว่าไ่ม่ได้ก็ไม่ได้ นั่งหลับตาภาวนาพิจารณาไป แต่จิตใจไม่มีอะไรเป็นผล เมื่อถึงเวลาออกพรรษาแล้ว พระสารีบุตรก็คิดว่า กุลบุตรผู้นี้ไม่ใช่วิสัยของตนที่ควรจะฝึก ควรจะเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า

ตอนนี้อาจจะไม่เข้าใจ ความจริงมีอยู่ว่า บุคคลบางคนเขาบำเพ็ญบารมีมาเพื่อพระพุทธเจ้าทรงฝึกโดยตรง อันนี้คนอื่นฝึกไม่มีผล บางคนบำเพ็ญมาให้ใครจะฝึกก็ได้ อันนี้พระสาวกฝึกได้ผล ในสมัยเวลานี้ก็เหมือนกัน คนที่มาคณะเราทุกคนจะให้เขาได้ผลเหมือนกันกับเราอย่างน้อยที่สุดเกิดสัทธาก็ไม่ได้เหมือนกัน ว่าโดยอัธยาศัยเดิม บารมีเดิมมาไม่มีมาเพื่อเราจะฝึกฝนได้ จะไปกะเกณฑ์ให้เขาได้มรรคได้ผลอันนี้ไม่ต้องพูดถึง หรือได้ฌานโลกีย์ก็ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ให้เขาเลื่อมใสสัทธามันก็ไม่มี นี่เรียกว่าไม่ใช่คนเป็นคู่ปรับกัน

เมื่อพระสารีบุตรดำริดังนั้น ก็นำพระลูกชายนายช่างทองไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลให้ทรงทราบว่า อยู่กับท่านมา ๓ เดือน คือ ๑ พรรษา สอนอสุภกรรมฐาน กับกายคตานุสสติ ในฐานะที่เป็นคนหนุ่มให้ระงับความพอใจในความสวยสดงดงาม แล้วเธอไม่ได้อะไรเลย พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้วได้ความทราบชัด คือพระพุทธเจ้าไม่ต้องนั่งเสียเวลาภาวนา เห็นเข้าก็รู้เลยว่าคนนี้ควรจะฝึกแบบไหนจึงได้ บอกพระสารีบุตร ดูก่อน สารีบุตร เธอกลับได้ กุลบุตรผู้มีสัทธาที่ตถาคตไม่สามารถจะสอนให้ได้มรรคผลนั้น ไม่มี

เมื่อพระสารีบุตรลุกไปแล้ว องค์สมเด็จพระชินสีห์ ทรงทราบว่าพระลูกชายนายช่างทองไม่ใช่เป็นคนมีราคจริต เป็นคนหนักไปในทางโทสะจริต คือเป็นคนโมโหง่าย ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงให้โลหิตกสิณแทนที่จะให้อสุภกรรมฐาน โดยทรงเนรมิตดอกบัวทองคำขึ้นมาดอกหนึ่ง มีสีแดง กสิณสีแดงนี่เขาเรียกโลหิตกสิณ แล้วก็สั่งให้พระลูกชายนายช่างทองไปนั่งที่กองทรายหน้าวิหาร เอาดอกบัวสีแดงไปปัก เอาก้านปักเข้ากับกองทราย ลืมตาจำภาพให้ได้ เวลาหลับตานึกถึงภาพแล้วนั่งภาวนาว่า สีแดงๆ ๆ ให้ภาวนาค้ำใจเข้าไว้ เกรงว่าใจมันยังจะกระสับกระส่าย คำภาวนาเป็นเครื่องโยงใจให้เข้าถึงจุด และถ้าหากว่าบังเอิญจิตใจมันฟุ้งซ่าน ภาพมันเลือนไปก็ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ จำภาพได้แล้วภาวนา สีแดง ๆ ๆ

พระลูกชายนายช่างทองก็ไปปฏิบัติแบบนั้น คือเอาก้านปักลงไปกับทราย ทำเนินทรายขึ้น ลืมตาจำภาพดอกบัว จำภาพได้แล้วก็หลับตา นึกถึงภาพว่าสีแดงๆ พอภาพนั้นมันเลือนไปจากใจก็ลืมตาไปดูใหม่ ทำอย่างนี้ ๒ ถึง ๓ ครั้ง ปรากฏว่าเธอได้ฌาน ๔ ให้ดอกบัวนั้นเป็นสีแดง แต่ถ้าเวลาหลับตาไปภาวนาไปนึกถึงภาพดอกบัว ภาพของดอกบัวกลายจากสีแดง เป็นสีเหลือง จากสีเหลืองเป็นสีขาว กลายจากสีขาวเป็นสีประกายพรึกแพรวพราว จะบังคับให้ใหญ่ก็ได้ จะบังคับให้เล็กก็ได้ ให้สูงได้ ให้ต่ำได้ อยู่ข้างหน้าอยู่ข้างหลังก็ได้ จนคล่องแคล่วดีแล้ว

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วอยู่ ณ พระมหาวิหาร สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ดำริว่า เวลานี้พระลูกชายนายช่างทองได้ฌาน ๔ แล้ว ต่อไปเป็นตอนของวิปัสสนาญาณ ถ้าเราไม่ช่วยเธอๆ จะสามารถได้บรรลุมรรคผลไหม องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราไม่ช่วยไม่ได้มรรคผลแน่ เราต้องช่วย วิธีช่วยของพระองค์ พระลูกชายนายช่างทององค์นั้นกำลังเพลิน เพลิดเพลินมีความสุขใจ จิตเป็นอุเบกขารมณ์ก็ทรงสบาย ไม่ต้องลืมตาเลย เห็นภาพดอกบัวแพรวพราว สวยสดงดงาม บังคับให้อยู่ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างหน้า ข้างหลัง นึกไปอยู่ที่ไหนก็ได้ตามความประสงค์เกิดความชื่นใจ

องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงเนรมิตดอกบัวเดิมให้มีสีเศร้าหมองเหี่ยวแห้งลงไป พระลูกชายนายช่างทองเล่นฌานจนเพลิน มีความชุ่มชื่นดีแล้วก็ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ ดูดอกบัวสีแดง คราวนี้ความสดใสของดอกบัวไม่ปรากฏ สีก็เศร้าหมอง กลีบก็เหี่ยว เกสรก็แห้ง เอ๊ะ นี่มันเป็นอย่างไรกันแน่ ท่านก็มานึกในใจว่ามันอย่างไรกันนี่ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ เอาล่ะ มันจะเหี่ยวมันจะแห้งก็ช่างมัน ก็มานึกในใจว่า ชีวิตและร่างกายของคนกับดอกบัวนี่มันมีสภาพคล้ายคลึงกัน เมื่อมีความเกิดขึ้นแล้วก็มีความเปลี่ยนแปลงไป สึกหรอ ร่อยหรอ ลงไปแบบนี้ มันหาอะไรคงที่ไม่ได้ พิจารณาแบบนี้ไปจนชื่นใจ เห็นภาพก็คงเป็นไปตามเดิม สำหรับภาพเป็นประกายตามเดิม แต่ว่าดอกบัวจริงๆ เศร้าหมอง จิตใจก็คงที่ลดลงไปจากอำนาจกิเลส

ต่อมา องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงเห็นจิตของเธอหดเหี่ยวลงไปเล็กน้อยแล้ว ชักจะหมดกำลังแล้ว เห็นว่าร่างกายมันไ่ม่เที่ยงมันเป็นทุกข์แบบนี้ มันหาอะไรทรงตัวไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้เนรมิตดอกบัวให้มีกลีบหล่น เกสรหล่น ความเหี่ยวแห้งปรากฏ ก้านค้อมลงไปจนทนไม่ไหว เรียกว่าหมดสภาพของความเป็นดอกบัว เธอพิจารณาตามปกติพอสบายใจลืมตามาดูดอกบัวใหม่ เอาแล้ว เมื่อกี้แค่เหี่ยวเท่านั้น เวลานี้กลีบก็หล่นหมดแล้วหรือนี่ เกสรก็ร่วง มันงอหงิกเหี่ยวจะตายอยู่แล้ว มันแห้งไปเสียหมดแล้ว ก็เลยหลับตาใหม่ มานั่งนึกถึงชีวิตของตัว โอหนอ ร่างกายของเรานี้ไม่ต่างกับพืชพรรณธัญญาหาร ถึงดอกบัวนี้เดิมก็ดีเป็นสาระเป็นแก่นสาร มีความแข็งแรงมาก เป็นดอกบัวทองคำ แล้วอยู่ๆ ต่อมาก็เหี่ยวแห้งลงไป เวลานี้กลีบดอกบัวทั้งหลายก็หล่นหมด เกสรก็ร่วงหมด ความแห้งปรากฏมาก ก้านที่เหี่ยวแห้งลงไป ไม่สามารถจะต้านทานแม้แต่ฝักเล็กๆ ที่เป็นของเดิมภายในก็หักลงไป

แล้วมานั่งพิจารณา่ว่าชีวิตและร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกับดอกบัว มันไม่มีอะไรเป็นของจีรังยั่งยืน ไม่มีอะไรคงที่ ทั้งนี้ก็เพราะว่ามันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ขณะที่ทรงตัวก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ดอกบัวเหี่ยว ดอกบัวไม่รู้ตัวว่ามันจะทุกข์ เพราะมันไม่มีจิตใจ แต่เราเป็นคนที่มีจิตใจ ใจจับอยู่ในกาย ไปยึดถือว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา มันก็มีความทุกข์เพราะว่าร่างกายนี้เป็นของธรรมดา มันมีความทรุดโทรมเป็นของธรรมดา เป็นเรื่องต่อไปข้างหน้า อันนี้เป็นความจริงแท้ นี่ดอกบัวกับเรามีสภาพอย่างนั้น ในเมื่อทรุดโทรมลงไปแล้ว ในที่สุดมันก็สลายตัวลงไปหมดสภาพฉันใด แม้ชีวิตและร่างกายเราก็มีสภาพเช่นนั้น คือว่ามันเกิดแล้วไม่ช้า มันก็สลาย มันก็พังลงไป

ตอนนี้ละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านก็เลยหมดอาลัยในชีวิต หมดอาลัยในร่างกาย คิดอยู่ว่านี่เรามาหลงร่างกายว่ามันเป็นเรามันเป็นของเรามันมีสภาพคงที่ แต่เนื้อแท้ที่จริง เวลาที่เราเกิดใหม่ๆ มันเกิดเป็นเด็ก เวลานี้มันโตเป็นผู้ใหญ่ มันมีการเจริญขึ้นเหมือนกับดอกบัว ที่เกิดมาใหม่ๆ มันก็เล็กเป็นตุ่มน้อย ต่อมามันก็ขยายตัว มีความเจริญถึงบานเต็มที่ บานเต็มที่แล้วก็ในที่สุดดอกบัวก็คลายตัวมาถึงความเหี่ยวแห้ง แล้วก็สลายตัว ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ร่างกายของเราก็จะมีสภาพเหมือนดอกบัวอย่างนี้ ในที่สุดก็จะล้มทับบนพื้นปฐพี เรียกว่าตาย มีประโยชน์อะไร เป็นอันว่าร่างกายของเรานี้มีสภาพใช้ไม่ได้ ไม่ควรคบ คือมันมีสภาพกลับกลอกไม่คงที่ จะบำรุงบำเรออย่างไรก็ตามที มันก็ไม่หยุดยั้งในการเสื่อมเพื่อจะสลายตัว

เมื่อท่านมาพิจารณาแบบนี้แล้วก็คิดว่า ถ้าร่างกายเกิดขึ้นมามันไม่มีประโยชน์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่มีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่างนี้คิดว่าไม่ควรจะมีกับเราอีก เพราะอาศัยอารมณ์ที่จับอยู่ในฌาน ๔ เกิดปัญญา มันเกิดมาก ความแหลมคมมาก กำลังใจมีกำลังสูง ชั่วครู่เดียวเธอก็สำเร็จอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

จบกสิณ ๑๐ แต่เพียงเท่านี้

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

ย้อนกลับไปหน้า ๗