|
- เป็นอวัยวะหลักในการทำลายสารต่างๆ
รวมทั้งยา
ให้หมดฤทธิ์
แล้วจึงขับ
ส่งออกจากร่างกาย
เปรียบเหมือนโรงงานฟอกน้ำเสีย
- ดังนั้นถ้าเป็นโรคตับ
ไต
ยาจะถูกสะสมภายในร่างกายนานขึ้น
จึงจำต้องลดขนาดยาลง
หรือ
เลือกยาที่มีผลต่อตับ
ไต น้อยที่สุด
|
|
- หัวใจ
เปรียบเหมือนกับปั๊มน้ำ
ซึ่งจะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
ผู้ที่เป็นโรคหัวใจส่วนใหญ่
พบว่า
การทำงานของหัวใจแย่ลง
หรือรับภาระทำงานมากเกินไปอยู่แล้ว
- ดังนั้น
ถ้ามียาที่ไปกระตุ้นหัวใจ
ก็ย่อมเป็นการซ้ำเติมต่อสภาพหัวใจเข้าไปอีก
- ยาที่เห็นกันบ่อยๆ
และใช้กันบ่อย
และมีผลต่อหัวใจ คือ
ยาแก้หวัดที่ผสมยาแก้คัดจมูก
ได้แก่ Actifed, Dimetapp, Decolgen, Tiffy, Nuta
|
|
- ต่อมธัยรอยด์
มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนธัยรอกซิน
ซึ่งควบคุมการเผาผลาญอาหาร
- ดังนั้นยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นการเผาผลาญ
จึงต้องหลีกเลี่ยง
- ยาที่ห้าม
หรือควรหลีกเลี่ยง
คล้ายกับยาที่ควรหลีกเลี่ยงกับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
เช่นกัน
|
|
- เป็นโรคที่เกี่ยวกับระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป
- ยาที่ห้าม
หรือควรหลีกเลี่ยงได้แก่
- ยาที่จะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้น
ได้แก่ ยาแก้หวัด
เช่นเดียวกับยาที่ห้ามในโรคหัวใจ
ธัยรอยด์ และยา
สเตียรอยด์
- ยาที่บดบังอาการแสดงออกเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป
ได้แก่
ยาแก้โรคหัวใจบางชนิด
เช่น Propanolol
โดยยาจะระงับอาการใจสั่น
มือสั่น
เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป
คนไข้จึงอาจจะช็อกได้โดยไม่มีอาการเตือนก่อน
|
|
ผู้ป่วยโรคนี้
มักมีเสมหะที่เหนียวข้นอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงต้องระวังในการใช้ยาที่ทำให้เสมหะเหนียวมากขึ้น
ที่เห็นชัดมาก คือ
ยาแก้แพ้รุ่นแรก
ถึงแม้จะแก้แพ้ได้ก็ตาม |
|
โรคที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษ
คือ โรคโลหิตแข็งตัวช้า
ซึ่งผู้ป่วยประเภทนี้จะต้องใช้ยารักษาอย่างต่อเนื่อง
และยาที่ใช้อยู่มักจะมีปฏิกิริยากับยาอื่นๆได้ง่าย
โดยมักทำให้ยาที่ใช้มีผลการรักษามากเกินไป |
|
เป็นโรคเกี่ยวกับเลือดอย่างหนึ่ง
คือเม็ดเลือดจะแตกได้ง่ายมาก
เมื่อมีการกระตุ้นโดยอะไรหลายๆอย่าง
รวมทั้งยาบางชนิดด้วย |
|
โรคเลือดจางที่เกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของเม็ดเลือด
ทำให้เม็ดเลือดถูกทำลายมากเกินไป
ผู้ป่วยโรคนี้เป็นเลือดจาง
แต่ไม่ได้ขาดเลือด
ดังนั้นการเสริมแร่เหล็ก
จึงทำให้เกิดโทษในผู้ป่วยโรคนี้ |