Executive Orders

บทที่ 1 เริ่มตอนนี้

ศูนย์บัญชาการฉุกเฉินของเอฟบีไอบนชั้นห้าของอาคารฮูเวอร์เป็นห้องรูปร่างประหลาด เป็นสามเหลี่ยมหยาบๆและเล็กเกินคาด ด้วยเนื้อที่พอสำหรับคนประมาณสิบห้าคนเข้าไปแออัดกันได้ คนที่สิบหกที่พึ่งมาถึงในชุดธรรมดาไม่ผูกไทคือรองผู้ช่วยผู้อำนวยการแดเนียล อี. เมอเรย์ เจ้าหน้าที่ประจำเวรอาวุโสเป็นเพื่อนเก่าของเขา ผู้ตรวจแพท โอ'เดย์ ((Inspector)) ชายร่างใหญ่บึกบึนผู้ทำฟาร์มเลี้ยงวัวที่บ้านเขาในเวอร์จิเนียตอนเหนือเป็นงานอดิเรก นาย 'คาวบอย' คนนี้เกิดและศึกษาในนิว แฮมเชียร์ แต่รองเท้าบู้ทของเขาเป็นแบบสั่งตัด โอ'เดย์มีโทรศัพท์แนบหู และห้องก็เงียบอย่างน่าประหลาดสำหรับห้องรับสถานการณ์ฉุกเฉินในสภาวะที่มีสถานการณ์เกิดขึ้นจริงๆ เขาพยักหน้านิดหนึ่งและยกมือทักทายเมอเรย์ ซึ่งรอจนโอ'เดย์พูดโทรศัพท์เสร็จ

"เป็นไงมั่ง แพท?"

"ผมพึ่งคุยกับทางฐานทัพอากาศแอนดรูวส์ พวกนั้นมีเทปจากเรดาร์แล้วก็อะไรอื่นอีก ผมให้คนจากสำนักงานภาคสนามประจำวอชิงตันไปสอบสวนคนที่หอบังคับการบิน คณะกรรมการควบคุมความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ ((National Transportation Satety Board - NTSB)) จะส่งคนไปช่วยด้วย เท่าที่รู้ตอนนี้ ดูเหมือนเครื่อง 747 แจแปนแอร์ไลน์ทำตัวเป็นกามิกาเซ่ ทางแอนดรูวส์บอกว่านักบินแจ้งเหตุฉุกเฉินว่าเป็นเที่ยวบินของเคแอลเอ็ม แล้วก็บินข้ามรันเวย์ไป ขยับซ้ายนิดนึง แล้วก็...นั่นแหละ..." โอ'เดย์ยักไหล่ "WFO ส่งคนไปเริ่มสืบสวนที่รัฐสภาแล้วตอนนี้ ผมเดาว่าเรื่องนี้ตามตำราจะเป็นการก่อการร้าย นั่นทำให้เรามีอำนาจในการสืบสวนคดี" ((WFO อันนี้ไม่ทราบจริงๆว่าย่อมาจากอะไรครับ ใครทราบช่วยแนะนำด้วย))

"เอดีไอซีอยู่ไหน?" เมอเรย์ถาม หมายถึงผู้ช่วยผู้อำนวยการที่อยู่ในหน้าที่ ((Assistant Director in Charge-ADIC)) ประจำสำนักงานเอฟบีไอวอชิงตัน ตั้งอยู่ที่บัซซาร์ดส พอยท์ริมฝั่งแม่น้ำโปโตแม

Saint Lucia's Beach

"อยู่ที่เซนท์ ลูเซียกับแองจี้ ไปพักร้อน โชคร้ายสำหรับโทนี่" ((St. Lucia เป็นประเทศเกาะในหมู่เกาะเวสท์ อินดีส)) โอ'เดย์บอก โทนี่ คารูโซพึ่งไปเมื่อสามวันก่อน "วันที่โหดร้ายสำหรับหลายคน ยอดผู้เสียชีวิตน่าจะสูงมากนะ แดน แย่กว่าเหตุการณ์ที่โอคลาโฮมาเยอะ ผมแจ้งเตือนทางผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชแล้ว เละแบบนี้เราคงต้องระบุชื่อด้วยดีเอ็นเอ อ้อ พวกทีวีถามว่าเรื่องนี้เป็นไปได้แค่ไหนที่กองทัพอากาศมีส่วนรู้เห็นด้วย" เขาสรุปพร้อมกับส่ายหน้า โอ'เดย์ต้องการระบายใส่ใครสักคน และนักข่าวทีวีก็เป็นเป้าหมายที่ดึงดูดใจที่สุดในโอกาสนี้ และต้องมีอีกแน่ในเวลาอันควร แต่ทั้งคู่หวังว่าเอฟบีไอจะไม่เป็นหนึ่งในนั้น

"เรารู้อะไรอีกมั้ย?"

แพทสั่นหน้า "ไม่มี คงต้องใช้เวลาอีกนะ แดน"

"ไรอันล่ะ?"

"ไปรัฐสภามาแล้ว ตอนนี้น่าจะกำลังไปทำเนียบขาว พวกทีวีถ่ายเขาไว้ได้ ท่าทางเขาสะเทือนใจมาก พวกหน่วยคุ้มกันเพื่อนเราก็เจอคืนโหดเหมือนกัน คนที่ผมคุยด้วยเมื่อสิบนาทีก่อนเกือบสติแตก เราอาจจะเจอกับปัญหาแย่งอำนาจสืบสวนก็ได้"

"เยี่ยมมาก" เมอเรย์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ "เราปล่อยให้อัยการสูงสุดจัดการเรื่องนั้น-" แต่ตอนนี้ไม่มีอัยการสูงสุดแล้ว และก็ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกด้วย

โอ'เดย์ไม่จำเป็นต้องทบทวน กฏหมายกลางบัญญัติไว้ให้อำนาจหน่วยคุ้มกันเป็นหน่วยงานหลักในการสืบสวนการทำร้ายประานาธิบดี แต่ยังมีกฏหมายกลางอีกข้อให้อำนาจสืบสวนกับเอฟบีไอในกรณีการก่อการร้าย และแน่นอน กฏหมายท้องถิ่นในเรื่องคดีฆาตกรรมยังทำให้ตำรวจนครบาลวอชิงตันมีส่วนร่วมด้วย แล้วยังมีคณะกรรมการควบคุมความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติอีก เพราะนอกจากพิสูจน์ได้เป็นอื่น เรื่องนี้ก็ยังแค่เป็นอุบัติเหตุการบินที่ร้ายแรงมาก และนี่ยังแค่เริ่มต้น ทุกหน่วยงานมีอำนาจและความชำนาญ หน่วยคุ้มกันถึงจะเล็กกว่าและมีทรัพยากรน้อยกว่าเอฟบีไอ แต่ก็มีผู้สืบสวนที่เยี่ยมยอดและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ดีที่สุดอยู่บ้างด้วย เอ็นทีเอสบีรู้เรื่องเครื่องบินตกมากที่สุดในโลก แต่เอฟบีไอต้องเป็นผู้นำในการสอบสวนครั้งนี้ ไม่จริงหรือ? เมอเรย์คิด นอกจากว่าผู้อำนวยการชอว์ตายไปแล้ว และตอนนี้ไม่มีเขาจะดึงเอาอำนาจมา...

พระเจ้า เมอเรย์คิด เขาและบิลเรียนในสถาบันฝึกของเอฟบีไอมาด้วยกัน ทำงานในเป็นเจ้าหน้าที่สนามระดับเข้าใหม่ด้วยกันในแถบริมแม่น้ำในฟิลาเดลเฟีย ไล่ตามโจรปล้นธนาคาร...

แพทอ่านสีหน้าเขาแล้วผงกศีรษะ "ต้องใช้เวลาตั้งตัวหน่อยจริงมั้ยแดน เราโดนควักไส้พุงออกเหมือนกับปลายังไงยังงั้น" เขายื่นกระดาษที่มีลายมือเขียนชื่อผู้เสียชีวิตเท่าที่รู้ตอนนี้ให้แดน

ต่อให้โดนนิวเคลียร์ถล่มก็ไม่หนักขนาดนี้ เมอเรย์นึกขณะอ่านรายชื่อ วิกฤตการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นจะส่งสัญญาณเตือนในภาพรวมมากพอ และอย่างเงียบๆ ช้าๆ เจ้าหน้าที่ระดับสูงจะออกจากวอชิงตันไปยังที่ปลอดภัย หลายคนจะรอด ถ้าเป็นไปตามที่ผู้วางแผนคาดไว้ และหลังจากการโจมตีจะมีกลไกรัฐบางส่วนที่จะกอบกู้สิ่งที่เสียไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น

.

.

ไรอันเคยมาที่ทำเนียบขาวนับพันครั้ง เพื่อเยี่ยมชม เพื่อบรรยายสรุป เพื่อร่วมประชุมทั้งที่สำคัญและไม่สำคัญ และครั้งหลังสุดเพื่อทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ต้องแสดงบัตรประจำตัวแล้วเดินผ่านเครื่องตรวจโลหะ หรือที่จริงแล้ว เขาเดินผ่านไปเครื่องหนึ่งด้วยความเคยชิน แต่เมื่อสัญญาณเตือนดังขึ้น เขาแค่เดินต่อไปโดยไม่ได้ล้วงกุญแจของเขาออกมา ท่าทางของหน่วยคุ้มกันก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เหมือนกับคนอื่นๆ พวกเขารู้สึกสบายขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย และถึงแม้ว่าประเทศนี้พึ่งจะได้รับอีกบทเรียนว่า "ความปลอดภัย" เป็นสิ่งลวงตาขนาดไหน แต่สิ่งนั้นก็เหมือนจริงพอจะให้มืออาชีพที่ฝึกมาอย่างดีรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นภายในม่านของภาพลวงนั้น พวกเขาเก็บปืนใส่ซอง กลัดกระดุมเสื้อคลุม และถอนหายใจยาวเมื่อขบวนมาถึงประตูทิศตะวันออก

เสียงจากในใจแจ๊คบอกกับเขาว่าตอนนี้ที่นี่เป็นบ้านของเขา แต่เขาไม่อยากจะเชื่อ บรรดาประธานาธิบดีชอบเรียกที่นี่ว่าบ้านของประชาชน ใช้คำพูดเชิงการเมืองเพื่อถ่อมตัวเองอย่างหลอกๆในการเรียกสถานที่นี้ที่ซึ่งพวกเขาบางคนยอมเหยียบไปบนร่างลูกของเขาเองแล้วบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าคำโกหกทำให้กำแพงเปื้อนได้ แจ๊คคิด ตึกหลังนี้คงจะได้ชื่อที่แตกต่างไปจากนี้แล้ว แต่ที่นี่มีความยิ่งใหญ่เหมือนกัน ซึ่งดูน่าเกรงขามกว่าเรื่องการเมืองเล็กๆน้อยๆนั่น ที่นี่เจมส์ มอนโรได้ประกาศหลักของมอนโรและผลักดันให้ประเทศนี้ก้าวเข้าสู่โลกเชิงยุทธศาสตร์เป็นครั้งแรก ((James Monroe ประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 5, Monroe Doctrine กล่าวถึงบทบาทของอเมริกาในการต่อต้านการขยายอาณานิคมยุโรปในเขตทวีปอเมริกา)) ที่นี่ลินคอล์นรวมประเทศไว้ด้วยพลังความมุ่งมั่นของเขา ((Abraham Lincoln ประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 16)) ที่นี่เท็ดดี้ รู้สเวลท์ ทำให้อเมริกามีบทบาทในเวทีโลกเป็นครั้งแรก และส่งเกรทไวท์ฟลีทของเขาข้ามโลกไปเพื่อประกาศชื่ออเมริกา ((Theodore Roosevelt ประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 26 - Great White Fleet กองเรือรบของอเมริกาที่เดินทางรอบโลกใน ค.ศ. 1907-1909)) ที่นี่ญาติห่างๆของเท็ดดี้ ((หมายถึง Flanklin D. Roosevelt ประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 32)) ได้กู้ประเทศจากความวุ่นวายภายในและความสิ้นหวัง ด้วยสิ่งอื่นอีกเล็กน้อยนอกจากเสียงขึ้นจมูกและที่กรองบุหรี่แบบชี้ขึ้น ที่นี่ไอเซนฮาวเออร์ใช้อำนาจของเขาอย่างชำนาญเสียจนแทบไม่มีใครสังเกตได้ว่าเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง ((Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 34)) ที่นี่เคนเนดี้เผชิญหน้ากับครุชเชฟแต่ไม่มีใครสนใจว่าการทำแบบนั้นได้แก้ไขข้อผิดพลาดมากมายขนาดไหน ((John F. Kennedy ประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 35 - Nikita Krushchev รัฐบุรุษโซเวียต)) ที่นี่เรแกนได้วางแผนโค่นศัตรูที่อันตรายที่สุดของอเมริกา แต่กลับโดนโจมตีว่าเอาเวลาไปนอนเสียส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือความสำเร็จ หรือเรื่องสกปรกเล็กน้อยที่ปิดไว้ของเหล่าบุรุษที่แม้ไม่ดีพร้อม แต่ได้ก้าวข้ามความอ่อนแอของตนไปชั่วระยะเวลาสั้นๆ? และก้าวนั้นเองสร้างประวัติศาสตร์ที่คงอยู่ ในขณะที่สิ่งอื่นถูกลืมเลือนไป ยกเว้นโดยนักรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้นึกถึงความจริงที่ว่าคนเราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง

Great White Fleet

แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่บ้านของเขา

ทางเข้าเป็นเหมือนกับอุโมงค์อะไรสักอย่าง ที่ทอดยาวไปใต้ปีกตะวันออกของอาคาร ที่เป็นห้องทำงานสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ซึ่งไม่กี่นาทีก่อนยังเป็นแอนน์ เดอร์ลิ่ง ตามกฏหมายสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งไม่ใช่ตำแหน่งเป็นทางการ เรื่องประหลาดสำหรับผู้ที่มีคณะทำงานของตัวเองซึ่งรัฐต้องจ่ายค่าแรง แต่ในความเป็นจริงหน้าที่ของเธอมักจะสำคัญอย่างใหญ่หลวง ถึงจะไม่เป็นทางการขนาดไหนก็ตาม ผนังที่นี่เป็นเหมือนกับผนังพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่ผนังบ้าน ในขณะที่คณะของแจ๊คเดินผ่านโรงหนังภายในทำเนียบขาว ที่นี่ประธานาธิบดีสามารถดูหนังพร้อมกับเพื่อนสนิทได้อีกนับร้อยคน มีรูปปั้นมากมายโดยมากเป็นผลงานของเฟรเดอริค เรมิงตัน ((Frederic Remington (1861-1909) จิตรกร ประติมากร และนักเขียนชาวอเมริกัน)) แนวศิลปโดยรวมเน้นที่ความเป็นอเมริกัน "แท้" มีรูปวาดของประธานาธิบดีคนก่อนๆ ไรอันสบสายตากับคนในภาพ สายตาปราศจากชีวิตเหล่านั้นเหมือนกับกำลังมองดูเขาด้วยความสงสัยเคลือบแคลงใจ เหล่าชายผู้ซึ่งได้มาถึงจุดนี้ก่อนหน้าเขา ทั้งดีและเลว ไม่ว่านักประวัติศาสตร์จะตัดสินอย่างดีพวกเขาหรือไม่ ทั้งหมดกำลังจ้องมองดูเขา-

ฉันเป็นนักประวัติศาสตร์ ไรอันบอกตัวเอง ฉันเขียนหนังสือสองสามเล่มแล้ว ฉันตัดสินการกระทำของผู้อื่นจากความห่างที่ปลอดภัยของทั้งระยะทางและเวลา ทำไมเขาไม่เคยมองเห็น สิ่งนี้? ทำไมเขาไม่ทำ อย่างนั้น? ตอนนี้เขารู้ดีแต่มันสายเกินไปแล้ว เขาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ และมองจากภายในมันดูแตกต่างกันมาก จากภายนอกคุณมองเข้ามาได้ มองรอบๆโดยรวมก่อนเพื่อรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เมื่อมันดำเนินไป หยุดมันไว้ถ้าคุณอยาก หรือแม้แต่ย้อนกลับหลัง เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้น ใช้เวลาของคุณทำให้มันถูกต้องที่สุด

แต่จากภายในไม่ได้เป็นแบบนั้น ที่นี่ทุกสิ่งพุ่งตรงเข้าใส่คุณเหมือนกับขบวนรถไฟขบวนแล้วขบวนเล่า จากทุกทิศทางในเวลาเดียวกัน ดำเนินไปตามจังหวะเวลาของมันเอง เหลือที่ให้คุณหลบหลีกหรือไตร่ตรองเพียงเล็กน้อย ไรอันรู้สึกอย่างนั้นได้แล้ว และบุคคลในภาพเหล่านั้นโดยหลักมาถึงจุดนี้ด้วยจำนวนมากมายของเวลาที่จะวางแผนขั้นตอนการขึ้นสู่อำนาจของพวกเขา ด้วยจำนวนมากมาย ของที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ และของเจตนาอันดี เหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบที่เขาไม่มี แต่สำหรับนักประวัติศาสตร์แล้ว เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ควรค่าไปกว่าการเอ่ยถึงอย่างผ่านๆในย่อหน้าหนึ่ง หรืออาจจะเป็นหน้าหนึ่งทั้งหน้า ก่อนที่ผู้เขียนจะดำเนินการวิเคราะห์อย่างไร้ความปรานีต่อไป

แจ๊ครู้ดีว่า ทุกสิ่งที่เขาพูดหรือทำ จะตกอยู่ใต้สายตาที่จะมองย้อนกลับไปอย่างละเอียดลออ และไม่เพียงต่อจากเวลานี้เท่านั้น ผู้คนจะจ้องไปที่อดีตของเขาเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขา ความเชื่อของเขา การกระทำของเขาไม่ว่าดีหรือร้าย ตั้งแต่วินาทีที่เครื่องบินพุ่งชนอาคารรัฐสภา เขาก็คึอประธานาธิบดี และทุกลมหายใจที่เขาสูดเข้าไปนับจากนั้นจะตกอยู่ภายใต้การตรวจสอบของไฟที่ปราศจากความเมตตาใดๆดวงใหม่ที่จะส่องไปอีกนานเท่านาน ชีวิตประจำวันของเขาจะไม่มีความเป็นส่วนตัวเหลือ หรือแม้แต่ความตายก็ไม่อาจทำให้เขาพ้นจากการสอดส่องจากผู้คนที่ไม่แม้จะนึกว่าแค่การก้าวเข้าสู่ที่อาศัยบวกที่ทำงานบวกพิพิธภัณฑ์ขนาดมโหฬารนี้จะเป็นอย่างไร หรือรู้ว่านี่จะเป็นคุกของคุณไปตลอดกาล บางทีลูกกรงอาจมองไม่เห็นแต่นั่นกลับยิ่งทำให้เหมือนคุกจริงๆมากกว่าเดิมเสียอีก

ชายมากมายปรารถนาตำแหน่งนี้ เพียงเพื่อจะได้พบว่ามันเลวร้ายขนาดไหน แจ๊ครู้เรื่องนี้จากการศึกษาประวัติศาสตร์ และจากการได้เห็นชายสามคนที่เคยครองห้องทำงานรูปไข่ในที่นี้อย่างใกล้ชิด อย่างน้อยเขาเหล่านั้นมาที่นี่ด้วยตาที่คงเปิดกว้าง และบางทีพวกเขาอาจผิดที่มีจิตใจน้อยกว่าความยึดถือตัวเขาเอง แล้วจะเลวร้ายอีกขนาดไหนสำหรับคนที่ไม่เคยหวังตำแหน่งนี้เลย? และด้วยเหตุนี้ ประวัติศาสตร์จะตัดสินไรอันด้วยความปรานีขึ้นหรือไม่? คิดพร้อมเป่าลมอย่างไม่พอใจ ไม่ เขามาที่ทำเนียบนี้ในเวลาที่ประเทศชาติต้องการ และถ้าเขาสนองความต้องการนั้นไม่ได้ เขาจะโดนสาปแช่งในฐานะผู้ล้มเหลวไปตลอดกาล ถึงแม้เขาจะได้รับตำแหน่งนี้ด้วยอุบัติเหตุ รับทำงานที่หลายคนกระหายอยากได้ต่อจากชายผู้ซึ่งตายไปแล้ว

สำหรับหน่วยคุ้มกัน นี่เป็นเวลาผ่อนคลายได้เล็กน้อย พวกนั้นโชคดี ไรอันคิด ปล่อยให้ความขมขื่นคืบคลานเข้าในใจไม่ว่าจะถูกหรือไม่ เป็นงานของพวกเขาที่ต้องปกป้องแจ๊คกับครอบครัว และเป็นงานของแจ๊คที่ต้องปกป้องพวกนั้นกับครอบครัวของพวกเขาและของคนอื่นอีกนับล้าน

"ทางนี้ค่ะท่านประธานาธิบดี" ไพรซ์เลี้ยวซ้ายสู่ทางเดินชั้นล่าง ที่นี่ไรอันเห็นคณะทำงานของทำเนียบขาวเป็นครั้งแรก ยืนอยู่เพื่อดูหน้านายใหม่ของพวกเขา คนที่พวกเขาจะต้องทำงานให้อย่างสุดความสามารถ เหมือนกับคนอื่นๆ พวกเขาเพียงยืนและจ้องดูโดยไม่รู้จะพูดอะไร ด้วยสายตาที่พยายามประเมินแจ๊คและไม่แสดงสิ่งที่พวกเขาคิดออกมา แม้แน่นอนว่าพวกเขาจะแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างลับๆในห้องล็อคเกอร์หรือห้องอาหารทันทีที่เป็นไปได้ ไทของแจ๊คยังยัดอยู่ใต้คอเสื้อ และเขายังใส่เสื้อคลุมของหน่วยดับเพลิงอยู่ ละอองน้ำจับตัวแข็งที่ผมของเขาทำให้ดูแก่เกินจะเป็น แต่กำลังละลายในตอนนี้ คนหนึ่งในคณะทำงานรีบพาตัวหายไประหว่างที่กลุ่มของแจ๊คเคลื่อนไปตามตะวันตก เขากลับมาอีกครั้งในนาทีต่อมาแล้วแทรกตัวผ่านพวกคุ้มกันไปยื่นผ้าเช็ดตัวให้แจ๊

"ขอบใจ" แจ๊คกล่าวด้วยความประหลาดใจ เขาหยุดยืนแล้วเริ่มเช็ดศีรษะให้แห้ง เขาเห็นช่างภาพวิ่งถอยหลังเล็งกล้องมาที่เขาแล้วถ่ายภาพอย่างสนุก หน่วยคุ้มกันไม่ได้กันเขาออกไป แจ๊คคิด นั่นแสดงว่าหมอนี่เป็นคนหนึ่งในคณะทำงาน ช่างภาพประจำทำเนียบขาวซึ่งมีหน้าที่เก็บภาพทุกอย่างไว้ ยอด คนของฉันคอยสอดแนมฉํนเอง! แต่ไม่ใช่เวลาจะแทรกแซงเรื่องอะไร

"เรากำลังจะไปไหน แอนเดรีย?" แจ๊คถามขณะที่พวกเขาเดินผ่านอีกภาพของประธานาธิบดีและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ทั้งคู่จ้องมาที่เขา...

Oval Office

"ผมคิดว่าคงเป็นโอวัลออฟฟิศ..." ((Oval Office ห้องทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาว))

"ห้องสถานการณ์" ((Situation Room)) ไรอันหยุดชะงักทั้งกำลังเช็ดศีรษะ "ผมยังไม่พร้อมสำหรับห้องนั้น เข้าใจมั้ย?"

"แน่นอนค่ะท่านประธานาธิบดี" พวกเขาเลี้ยวซ้ายอีกครั้งที่สุดทางเดินกว้างเข้าสู่ห้องพักรอเล็กๆแต่งผนังด้วยไม้ระแนงที่ดูไม่มีราคา แล้วออกมานอกห้องอีกครั้งเพราะไม่มีทางเดินจากทำเนียบขาวไปปีกตะวันตกโดยตรง ก็เลยไม่มีใครเอาเสื้อคลุมของเขาไป แจ๊คตระหนัก

"กาแฟ" แจ๊คสั่ง อย่างน้อยบริการอาหารที่นี่ก็ยังเยี่ยม ห้องรับประทานอาหารของทำเนียบขาวมีนาวิกโยธินเป็นคนบริการ และกาแฟสำหรับประธานาธิบดีแก้วแรกของเขาก็รินจากกาเงินลงสู่ถ้วยกาแฟลวดลายงดงาม โดยทหารเรือด้วยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพและจริงใจ และผู้ซึ่งก็สงสัยในตัวนายใหม่ของเขาเหมือนกับคนอื่น แจ๊คเกิดความคิดว่าเขาเหมือนกับสัตว์ในสวนสัตว์ที่น่าสนใจชวนให้ดู แล้วเขาจะปรับตัวเข้ากับกรงใหม่นี่อย่างไร?

ห้องเดิมแต่เก้าอี้ตัวใหม่ ประธานาธิบดีนั่งกึ่งกลางโต๊ะเพื่อบรรดาผู้ช่วยจะได้นั่งทั้งสองข้างของเขา ไรอันเลือกที่นั่งแล้วนั่งลงอย่างปกติ ยังไงมันก็เป็นเพียงแค่เก้าอี้ เครื่องประดับอำนาจที่ว่ากันไป เป็นเพียงสิ่งของ ส่วนอำนาจก็เป็นแค่ภาพลวงตา เพราะอำนาจนั้นมักจะมาพร้อมกับพันธะที่ยิ่งหนักหนายิ่งไปกว่า คุณเห็นและใช้สิ่งแรกได้ แต่อีกสิ่งหนึ่งคุณรู้สึกได้เท่านั้น พันธะเหล่านั้นอยู่ในบรรยากาศ ที่ดูเหมือนเครียดขึ้นทันทีในห้องที่ไม่มีหน้าต่างนี้ แจ๊คจิบกาแฟของเขาและมองไปรอบๆ นาฬิกาที่ผนังบอกเวลา 11:14 PM แปลว่าเขาเป็นประธานาธิบดีมาแล้ว...เท่าไหร่นะ? เก้าสิบนาที? นานพอกับเวลาที่เขาขับรถจากบ้านมาที่...บ้านใหม่นี้...ถ้าการจราจรเอื้ออำนวย

"อาร์นี่อยู่ไหน?"

"อยู่นี่ครับท่านประธานาธิบดี" อาร์โนลด์ แวน แดมม์พูดขณะเดินผ่านประตูเข้ามา เขาเป็นหัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดีมาแล้วสองคน และทำสถิติตลอดกาลสำหรับการเป็นตำแหน่งเดิมอีกเป็นครั้งที่สาม ประธานาธิบดีคนแรกของเขาลาออกอย่างเสื่อมเสีย คนที่สองตายไปแล้ว สิ่งที่มาเป็นที่สามนี้มักจะเป็นเรื่องดี หรือว่าเรื่องร้ายมักจะมาสามครั้งติดต่อกัน? เป็นภาษิตสองบทที่อ้างขึ้นด้วยกันและมีความหมายเฉพาะสำหรับกรณีนี้ร่วมกัน สายตาของไรอันจับที่เขาพร้อมกับถามคำถามที่ไม่อาจเอ่ยได้ ตอนนี้ฉันจะทำยังไงดี?

"คุณกล่าวในทีวีได้ดี ทำได้ถูกแล้ว" เขานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ท่าทางเงียบๆและมีอำนาจเหมือนเช่นเคย แต่ไรอันไม่ได้คิดถึงว่าต้องใช้ความพยายามขนาดไหนให้ดูเป็นแบบนั้นจะหนักขนาดไหนสำหรับคนที่เสียเพื่อนไปมากกว่าไรอันเสียอีก

"ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพูดบ้าอะไรไป" แจ๊คตอบ ค้นหาความทรงจำที่หายไปแล้วในสมองของเขา

"เรื่องปกติสำหรับการพูดที่ไม่มีบทครับ" แวนแดมม์ยอมรับ "ยังไงก็ดีมาก ผมคิดเสมอว่าสัญชาติญาณของคุณดี คุณจะต้องใช้มันอีกแน่"

"อย่างแรกคืออะไร?" แจ๊คถาม

"สั่งปิดธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานกลางให้หมดจนกว่าจะสิ้นสัปดาห์นี้ บางทีอาจนานกว่านั้น เราต้องวางแผนรัฐพิธีฝังศพของโรเจอร์กับแอนน์ ไว้อาลัยทั่วประเทศหนึ่งสัปดาห์ อาจลดธงครึ่งเสาซักเดือน มีเอกอัครราชทูตอยู่ในนั้นเยอะด้วย นั่นหมายถึงการดำเนินงานการทูตอีกเป็นตันนอกเหนือจากสิ่งอื่นๆอีก เราจะเรียกพวกนั้นว่างานดูแลบ้าน -ผมรู้" แวนแดมม์พูดพร้อมยกมือขึ้น "ขอโทษที คุณก็คงต้องเรียกแบบอื่น"

"แล้วใคร-"

"เรามีสำนักพิธีการที่นี่นะแจ๊ค" แวนแดมม์ชี้แจง "พวกนั้นอยู่ในซอกของตัวเองแล้วและกำลังทำงานนี้สำหรับคุณอยู่ เรามีทีมนักเขียนสุนทรพจน์ พวกนี้จะเตรียมร่างคำกล่าวทางการของคุณ พวกสื่อมวลชนจะต้องการเห็นคุณ - สิ่งที่ผมหมายถึงก็คือคุณต้องปรากฏตัวต่อสาธารณะ คุณต้องทำให้พวกเค้าแน่ใจอีกครั้ง คุณต้องสร้างความมั่นใจ-"

"เมื่อไหร่?"

"อย่างช้าที่สุดตอนช่วงรายการทีวีภาคเช้า ทั้งซีเอ็นเอ็นและเครือข่ายอื่น ผมแนะนำให้เราออกทีวีภายในหนึ่งชั่วโมง แต่เราไม่จำเป็นต้องทำงั้น เราบอกได้ว่าคุณกำลังยุ่ง คุณจะต้องยุ่งแน่" อาร์นี่ให้สัญญา "คุณจะต้องฟังสรุปว่าอะไรที่คุณพูดได้และไม่ได้ก่อนออกทีวี เราจะตั้งกฏให้พวกนักข่าวว่าจะถามอะไรได้และห้ามถามอะไรบ้าง สำหรับกรณีอย่างนี้พวกเขาจะให้ความร่วมมือ คงทำดีกับคุณซักอาทิตย์ นั่นเป็นช่วงฮันนีมูนกับนักข่าวสำหรับคุณ และมันจะจบลงแค่นั้น"

"แล้วหลังจากนั้นล่ะ?" แจ๊คถาม

"แล้วหลังจากนั้นคุณก็เป็นประธานาธิบดีแหงซิ และคุณต้องเริ่มทำตัวให้เป็นเหมือนอย่างนั้น แจ๊ค" แวนแดมม์พูดตรงๆ "คุณไม่จำเป็นต้องรับตำแหน่ง จำได้มั้ย?"

ประโยคนั้นทำให้ศีรษะของแจ๊คกระตุกไปข้างหลังในขณะที่หางตาของเขาเห็นสายตาของคนอื่นในห้องที่จ้องเขม็งมาที่เขา ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มกัน เขาเป็นนายใหม่ และขณะนี้สายตาของพวกเขาก็ไม่ต่างไปจากสายตาของรูปภาพที่เขาเดินผ่านในปีกตะวันออก พวกเขาคาดหวังให้แจ๊คทำสิ่งที่ควร พวกเขาจะสนับสนุน ปกป้องแจ๊คจากคนอื่นและตัวเขาเอง แต่เขาต้องทำหน้าที่ของตัวเอง และพวกเขาก็ไม่ปล่อยให้แจ๊ควิ่งหนีไปเหมือนกัน หน่วยคุ้มกันรับหน้าที่ปกป้องเขาจากอันตรายทางร่างกาย อาร์นี่ แวนแดมม์พยายามปกป้องเขาจากอันตรายทางการเมือง คณะทำงานคนอื่นจะรับใช้และปกป้องด้วย ฝ่ายดูแลงานบ้านจะจัดหาอาหารให้ รีดเสื้อผ้าให้ และชงกาแฟให้ แต่ไม่มีใครจะยอมให้ไรอันวิ่งหนีไป ไม่ว่าจากที่หรือจากความรับผิดชอบของเขา

ที่นี่คือคุก

แต่สิ่งที่อาร์นี่พึ่งพูดไปเป็นความจริง เขาปฏิเสธไม่รับตำแหน่งก็ได้ หรือไม่ได้ - ไม่ ไรอันคิด มองดูพื้นโต๊ะโอ๊คขัดเงา แล้วเขาก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขลาดไปตลอดกาล - แย่ยิ่งกว่านั้น ใจของเขาคงสาปแช่งตัวเองเช่นเดียวกัน เพราะเขามีจิตสำนึกที่อาจเป็นศัตรูที่อันตรายได้มากกว่าคนอื่นคนใด เป็นปกติของเขาเมื่อมองในกระจกแล้วไม่เกิดความพอใจ ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวเองว่าดีขนาดไหน แต่เขาก็ยังดีไม่พอ ผลักดันด้วย -อะไรหรือ? คุณค่าที่เขาเรียนรู้มาจากพ่อแม่ ครู เหล่านาวิกโยธิน ผู้คนมากมายที่เขาได้พบ อันตรายที่เขาได้เผชิญ? คุณค่านามธรรมพวกนั้น เขาใช้สิ่งเหล่านั้น หรือคุณค่าเหล่านั้นใช้เขา? อะไรที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้? อะไรที่ทำให้เขาเป็นอย่างที่เป็น อะไรที่เป็นจอห์น แพทริค ไรอันจริงๆ? เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆห้อง สงสัยว่าพวกนั้นคิดว่าเขาเป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน ตอนนี้แจ๊คเป็นประธานาธิบดี ผู้ออกคำสั่งที่พวกเขาต้องปฏิบัติตาม ผู้กล่าวคำปราศรัยที่คนอื่นจะวิเคราะห์หาความหมาย ชายผู้ตัดสินใจว่าสหรัฐอเมริกาควรทำอย่างไร แล้วเป็นเป้าการวิเคราะห์วิจารณ์ของคนอื่นที่ไม่ได้รู้แม้แต่น้อยว่าจะทำสิ่งที่พวกเขาไม่เห็นด้วยได้อย่างไร แต่นั่นไม่ใช่บุคคล นั่นเป็นคำบรรยายลักษณะงาน ภายในนั้นต้องมีชาย หรือในไม่ช้า จะมีหญิง ที่มองได้ทะลุปรุโปร่งและพยายามทำสิ่งที่ถูกที่ควร และสำหรับไรอัน เมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงสามสิบนาทีก่อน สิ่งที่ควรก็คือการสาบานตัวรับตำแหน่งและพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ การตัดสินของประวัติศาสตร์ในที่สุดแล้วสำคัญน้อยกว่าสิ่งที่เขาตัดสินตัวเอง เมื่อเขามองเห็นความไม่ดีพอในกระจกทุกเช้า คุกที่แท้จริงอย่างที่มันเป็นอยู่เสมอ ก็คือตัวเขาเอง

บ้าจริง

.

.

ไฟดับลงแล้ว หัวหน้าหน่วยดับเพลิงแมคกิลสังเกต คนของเขาต้องระวังอย่างมาก ยังมีจุดที่ไฟยังคุกรุ่นอยู่ ที่ซึ่งไฟดับแล้วไม่ใช่เพราะน้ำแต่เป็นเพราะไม่มีออกซิเจนให้เผาผลาญ แต่ยังรอโอกาสจะลุกขึ้นมาอีกครั้งเพื่อจู่โจมและฆ่าพวกที่ไม่ระมัดระวัง แต่คนของเขาระวังอยู่ และไฟที่ประสงค์ร้ายเล็กน้อยนั้นก็ไม่สำคัญในภาพโดยรวมของที่นี่ เจ้าหน้าที่กำลังเก็บสายส่งน้ำ และบางส่วนก็ขับรถกลับไป เขาดึงส่วนดับเพลิงมาทั้งเมืองเพื่อดับไฟที่นี่ และเขาก็ต้องส่งส่วนใหญ่กลับไปไม่งั้นถ้ามีไฟไหม้เกิดขึ้นอีกจะรับเหตุการณ์ไม่ทันแล้วคนมากขึ้นจะต้องตายไปโดยไม่จำเป็น

เขาโดนคนอื่นๆล้อมอยู่ตอนนี้ ทั้งหมดสวมเสื้อแจ๊คเก็ตไวนิลชั้นเดียวพร้อมตัวหนังสือสีเหลืองบอกว่าพวกเขาเป็นใคร มีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ อีกคนจากหน่วยคุ้มกัน ตำรวจนครบาลวอชิงตัน คนจากเอ็นทีเอสบี จากสำนักงานควบคุมแอลกอฮอล์ ยาสูบและอาวุธปืน ของกระทรวงการคลัง และคณะสอบสวนจากหน่วยดับเพลิงของเขาเอง ทั้งหมดกำลังมองหาคนที่รับผิดชอบเพื่อพวกเขาจะได้ยึดอำนาจควบคุมไว้เอง แทนที่จะคุยกันเป็นไม่เป็นทางการแล้วตั้งสายการบังคับบัญชาขึ้นเองต่างหาก พวกเขายืนรวมเป็นกลุ่มเล็กๆ เหมือนกับรอให้คนอื่นบอกว่าใครเป็นคนจัดการสิ่งต่างๆ แมคกิลส่ายหน้าแล้วคิดว่า เขาเคยเห็นแบบนี้มาแล้ว

การนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาทำได้เร็วขึ้นในตอนนี้ และจะนำไปเก็บไว้เป็นการชั่วคราวที่คลังสรรพาวุธเขตโคลัมเบียซึ่งอยู่ห่างไปทางเหนือของรัฐสภาหนึ่งไมล์ ติดกับรางรถไฟ แมคกิลไม่อิจฉาคณะพิสูจน์ศพเลยถึงเขาจะยังไม่ได้ถ่อลงไปในหลุมระเบิด - เขาเรียกมันแบบนี้ไปก่อน- เพื่อดูว่าสิ่งต่างๆโดนทำลายไปมากขนาดไหน

"หัวหน้าใช่มั้ยครับ?" เสียงเรียกเขาจากข้างหลัง แมคกิลหันกลับไป

"ใช่ ว่าไง?"

"เรามาจากเอ็นทีเอสบี เราจะเริ่มค้นหาบันทึกการบินได้รึยังครับ?" ชายคนนั้นชี้ไปที่แพนหางเครื่องบิน ถึงแม้ส่วนหางแทบจะหลุดเป็นชิ้นๆ แต่ก็ยังบอกได้ว่ามันเคยเป็นอะไร และกล่องดำอันโด่งดัง ซึ่งที่จริงพ่นด้วยสีส้ม ก็จะอยู่ที่ไหนที่หนึ่งตรงนั้น ที่จริงบริเวณนั้นค่อนข้างโล่ง เศษอิฐเศษปูนส่วนใหญ่กระจายไปทางตะวันตก พวกเขามีโอกาสค้นมันพบสูง

"ตกลง" แมคกิลผงกศีรษะแล้วชี้ให้หน่วยดับเพลิงสองคนไปกับทีมค้นหา

"คุณสั่งห้ามลูกน้องคุณอย่าให้ชิ้นส่วนเครื่องบินได้มั้ยครับ? เราต้องการลำดับเหตุการณ์และมันช่วยได้มากถ้าทุกอย่างยังอยู่ที่เดิม"

"คน - ศพผู้เสียชีวิตต้องมาก่อน" แมคกิลชี้แจง เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางพยักและทำหน้านิ่ว ไม่ใช่เรื่องสนุกไม่ว่าสำหรับใคร

"ผมเข้าใจ" เขาชะงัก "ถ้าคุณพบลูกเรือ อย่าเคลื่อนศพแม้แต่นิดเดียวนะ เรียกเราแล้วเราจะจัดการเอง ตกลงมั้ยครับ?"

"เราจะรู้ได้ไง?"

"เสื้อขาว มีแถบบนอินทรนู แล้วก็เป็นคนญี่ปุ่น น่าจะเป็น"

ฟังดูบ้า แต่ไม่ใช่ แมคกิลรู้ดีว่าศพจากเครื่องบินตกอาจคงอยู่ในสภาพภายนอกที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ จนคนที่ฝึกมาอย่างดีสามารถมองเห็นจุดที่บาดเจ็บได้ทันทีในการตรวจพิสูจน์ครั้งแรก มันมักเขย่าขวัญพลเรือนที่โดยทั่วไปเป็นคนแรกที่มาถึงที่เกิดเหตุ เป็นเรื่องประหลาดที่ร่างกายของคนเราดูจะแกร่งเกินกว่าชีวิตที่มันห่อหุ้มอยู่ ซึ่งเป็นความกรุณา เนื่องจากคนที่ยังรอดจะได้ไม่ต้องผจญกับความยากลำบากในการชันสูตรเศษเนื้อที่ไหม้และฉีกขาดเป็นชิ้นๆ แต่ความกรุณานั้นก็เสมอกับความโหดร้ายที่ต้องพิสูจน์หน้าคนที่พูดตอบกลับไม่ได้ แม็คกิลส่ายหน้าอีกครั้งแล้วให้ลูกน้องคนหนึ่งที่มีอาวุโสไปถ่ายทอดคำสั่งพิเศษนั้นต่อไป

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงข้างล่างได้รับคำสั่งพิเศษมากพอแล้วตอนนี้ คำสั่งพิเศษแรก แน่นอนคือค้นหาและเก็บร่างของประธานาธิบดีโรเจอร์ เดอร์ลิ่ง ทุกอย่างนอกนั้นเป็นเรื่องรอง และมีรถพยาบาลพิเศษรอรับศพของเขาโดยเฉพาะ แม้แต่สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แอนน์ เดอร์ลิ่งยังต้องรอสามีของเธออีกเล็กน้อย เป็นครั้งสุดท้าย รถปั้นจั่นของผู้รับเหมากำลังเข้ามาทางด้านตรงข้ามของอาคาร เพื่อยกหินสี่เหลี่ยมที่ทับบริเวณแท่นปราศรัยราวกับกองเศษบล็อคไม้ของเด็กเล่น ซึ่งในแสงสว่างจ้าแล้วสิ่งที่ขาดไปก็เพียงตัวเลขหรือตัวหนังสือข้างบล็อคเท่านั้นก็จะดูเหมือนเช่นนั้นจริงๆ

.

.

ผู้คนหลั่งไหลเข้ามายังหน่วยงานต่างๆของรัฐบาล โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูง น้อยครั้งที่ช่องจอดรถบุคคลสำคัญจะเต็มตอนเที่ยงคืน แต่คืนนี้เป็นอย่างนั้น และที่กระทรวงการต่างประเทศก็เช่นกัน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ถูกเรียกมาด้วยเพราะการโจมตีหน่วยงานรัฐบาลหนึ่งก็เท่ากับโจมตีทั้งหมด และถึงแม้รูปแบบการโจมตีรัฐบาลจะไม่ทำให้การเรียกคนถืออาวุธปืนเข้ามามีประโยชน์สักเท่าใด แต่ก็ไม่สำคัญ เมื่อเหตุการณ์ ก เกิดขึ้น ผลที่ได้คือ ข เพราะว่าได้กำหนดไว้ที่ไหนสักแห่งแล้วว่า ข คือสิ่งที่คุณต้องทำ พวกเจ้าหน้าที่ติดอาวุธมองหน้ากันและกันแล้วก็ส่ายหน้า รู้ดีว่าพวกเขาจะได้รับค่าล่วงเวลา ดีกว่าพวกตัวใหญ่ๆที่กรูกันมาจากบ้านในเชฟวี่เชสและนอกเมืองเวอร์จิเนีย รีบร้อนขึ้นไปข้างบน แล้วจากนั้นก็แค่คุยกัน

คนหนึ่งในพวกแบบนั้นเข้ามาจอดรถที่ช่องของเขาในชั้นใต้ดิน แล้วใช้คีย์การ์ดของเขาขึ้นลิฟท์สำหรับบุคคลสำคัญไปชั้นเจ็ด สิ่งที่เขาแตกต่างจากคนอื่นคือเขามีภารกิจสำหรับคืนนี้ แม้ว่าเป็นเรื่องที่เขาแคลงใจมาตั้งแต่ออกจากบ้านที่เกรทฟอลส์ ((Great Falls น้ำตกสูง 10.6 เมตรของแม่น้ำโปโตแมค อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของวอชิงตันดีซี)) มันเป็นเรื่องที่เขาเรียกว่าการทดสอบความกล้า ถึงคำนี้จะใช้แทบไม่ได้ในกรณีนี้ แต่เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เขาเป็นหนี้บุญคุญเอ๊ด เคลตี้ในทุกอย่าง หน้าตาของเขาในวงสังคมวอชิงตัน อาชีพของเขาที่กระทรวงการต่างประเทศ อื่นๆอีกมากมาย ตอนนี้ชาติต้องการคนอย่างเอ็ด ดังนั้นเอ็ดจึงบอกกับเขา หว่านล้อมด้วยเหตุผลอย่างหนักแน่น และสิ่งที่เขาเองกำลังทำอยู่ก็คือ... อะไรล่ะ? เสียงกระซิบจากในรถบอกว่านั่นคือการกบฎ แต่ ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่า "กบฎ" เป็นอาชญากรรมเดียวที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าเป็นการให้ "ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวก" กับศัตรูของชาติ แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เอ๊ด เคลตี้กำลังทำ เขาย่อมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน จริงไหม?

สิ่งสำคัญที่สุดคือความภักดี เขาเป็นคนของเอ๊ด เคลตี้ เหมือนกับคนอื่นมากมาย ความสัมพันธ์เริ่มขึ้นที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด กับเบียร์ นัดคู่ และสุดสัปดาห์ที่บ้านของเขา ช่วงเวลาสนุกในวัยหนุ่มอันสดใส เขาได้เป็นแขกจากชนชั้นทำงานของครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ครอบครัวหนึ่งของอเมริกา -ทำไมหรือ? เพราะเอ๊ดหนุ่มถูกใจเขา แต่ทำไมเป็นอย่างนั้น? เขาไม่รู้ ไม่เคยถาม และคงไม่มีทางจะได้รู้ นั่นคือความเป็นเพื่อน มันแค่เกิดขึ้น และในอเมริกาเท่านั้นที่เด็กจากครอบครัวชั้นต่ำ ผู้ตะกายเข้าฮาวาร์ดได้ด้วยทุนการศึกษา จะเป็นเพื่อนกับลูกของครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ เขาอาจไปได้ดีด้วยตัวเขาเอง ไม่มีใครนอกจากพระเจ้าประทานความฉลาดให้กับเขา ไม่มีใครนอกจากพ่อแม่ที่สนับสนุนให้เขาพัฒนาพรที่ได้มานั้นและสอนเขาเรื่องกิริยามารยาทและ...หลักประจำใจ ความคิดนั้นทำให้เขาปิดตาลงขณะที่ประตูลิฟท์เปิดออก เอาล่ะ ความภักดีเป็นหนึ่งในหลักนั้น ไม่ใช่หรือ? ถ้าปราศจากความอุปถัมภ์ของเอ๊ด อย่างมากเขาคงจะได้เป็นแค่ดีเอเอส รองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ((DAS - Deputy Assistant Secretary of State)) แต่นานแล้วที่คำแรกหายไปจากชื่อตำแหน่งของเขาซึ่งเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือสีทองบนประตูห้องทำงาน ในโลกที่ถูกต้อง เขาควรอยู่ระหว่างการดึงคำต่อมาออกจากชื่อตำแหน่งของเขาด้วย เพราะเขาก็เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศพอกับคนอื่นบนชั้นเจ็ดไม่ใช่หรือ? ใช่ เขาเป็นอย่างนั้นแน่นอน และนั่นคงไม่เป็นจริงขึ้นมาถ้าเขาไม่ใช่คนของเอ๊ด เคลตี้ ถ้าไม่มีงานเลี้ยงที่เขาได้พบปะพูดคุยเพื่อกรุยทางไปสู่ตำแหน่งสูงสุด และเงิน เขาไม่เคยรับเงินสินบนไม่ว่ารูปแบบใด แต่เพื่อนของเขาคนนี้แนะนำเขาอย่างชาญฉลาด (คำแนะนำมาจากที่ปรึกษาของเขาเอง แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ) เรื่องการลงทุน ทำให้เขาเป็นอิสระเรื่องเงิน และสามารถซื้อบ้านเนื้อที่ห้าพันตารางฟุตที่เกรทฟอลส์ ส่งลูกเรียนฮาวาร์ด ไม่ใช้ทุนการศึกษา เพราะคลิฟตัน รัทเลดจ์ที่ 3 เป็นลูกชายของใครบางคน ไม่ใช่ลูกพวกใช้แรงงาน สิ่งที่เขาทำด้วยตัวเองทั้งหมดไม่อาจนำเขามาสู่จุดนี้แน่ และความภักดีคือการตอบแทน ไม่ใช่เหรอ?

ความคิดนั้นทำให้รู้สึกดีขึ้นสำหรับคลิฟตัน รัทเลดจ์ที่ 2 (ที่จริงสูติบัตรของเขาแจ้งไว้เป็น คลิฟตัน รัทเลดจ์ จูเนียร์ แต่ "Jr." ไม่ใช่คำต่อท้ายชื่อที่เหมาะสำหรับตำแหน่งระดับเขา) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเรื่องกิจกรรมการเมือง

ที่เหลือเป็นเรื่องของจังหวะเวลา ชั้นเจ็ดมียามเฝ้าเสมอ และตอนนี้ยิ่งมีมากขึ้น แต่ยามทั้งหมดต่างรู้จักเขา เพียงแค่เขาทำท่าเหมือนกับรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ นรก รัทเลดจ์บอกตัวเอง เขาอาจล้มเหลว นั่นอาจเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด -"เสียใจนะเอ๊ด มันไม่อยู่ที่นั่น..." เขาสงสัยว่าความคิดนั้นอาจไม่เหมาะกับตอนนี้ที่เขากำลังยืนอยู่ข้างประตูห้องทำงานของเขา คอยฟังเสียงฝีเท้าที่ดังเป็นจังหวะเดียวกับการเต้นหัวใจของเขา ตอนนี้มียามสองคนอยู่ชั้นนี้ เดินแยกกันไป ไม่จำเป็นต้องรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดมากนักในสถานที่อย่างนี้ ไม่มีใครมาที่กระทรวงโดยไม่มีเหตุผล แม้แต่ในเวลากลางวัน เมื่อมีผู้มาเยือน จะมีคนคุมให้ไปที่ที่พวกเขาต้องไป ในเวลากลางคืนอย่างนี้ ก็ยิ่งกวดขันขึ้นทุกอย่าง ลดจำนวนลิฟท์ที่ใช้งานได้ลง ต้องใช้คีย์การ์ดตั้งแต่ชั้นล่างขึ้นไปถึงชั้นบนสุด และมียามคนที่สามประจำหน้าลิฟท์เสมอ ดังนั้นเป็นแค่เรื่องจังหวะ รัทเลดจ์ดูนาฬิกาเพื่อจับเวลาการเดินแต่ละรอบหลายครั้ง และพบว่าช่วงเวลาทุกรอบคงที่ ห่างกันไม่เกินสิบวินาที ดี เขาแค่ต้องรอรอบต่อไป

"หวัดดี วอลลี่"

"สวัสดีครับ" ยามตอบ "คืนที่เลวร้าย"

"ช่วยอะไรเราหน่อยได้ไหม?"

"อะไรเหรอครับ?"

"กาแฟน่ะ ไม่มีเลขาฯคอยจัดการเครื่องชง คุณช่วยลงไปร้านอาหารข้างล่างแล้วให้ใครสักคนเอาหม้อกาแฟขึ้นมาบนนี้ได้ไหม? ให้ตั้งไว้ที่ห้องประชุมหน้าห้องโถงนะ เราจะมีประชุมอีกไม่กี่นาที"

"ได้ครับ เดี๋ยวนี้เลยรึเปล่า?"

"ถ้าได้จะดีมากเลยวอลลี่"

"จะกลับมาในห้านาทีครับ คุณรัทเลดจ์" ยามเดินออกไปอย่างมีจุดหมาย เลี้ยวขวาที่ยี่สิบหลาต่อมาแล้วหายไปจากสายตา

รัทเลดจ์นับถึงสิบแล้วเดินไปอีกทาง ประตูสองชั้นเข้าห้องทำงานรัฐมนตรีไม่ได้ล็อค รัทเลดจ์เดินผ่านประตูชุดแรก และชุดที่สอง พร้อมกับเปิดไฟไปด้วย เขามีเวลาสามนาที ใจส่วนหนึ่งหวังให้เอกสารนั้นถูกล็อคไว้ในห้องนิรภัยในห้องทำงานของเบรท แฮนสัน ถ้าเป็นกรณีนั้นเขาก็ล้มเหลวแน่นอน เพราะเบรท เลขาฯสองคนของเขา และหัวหน้ายามเท่านั้นที่รู้รหัสเปิด และห้องนั้นมีสัญญาณเตือนการงัดแงะด้วย แต่เบรทเป็นสุภาพบุรุษ สุภาพบุรุษเลินเล่อเสียด้วย มักไว้ใจทุกอย่างไม่ก็ขี้ลืม คนแบบที่ไม่ล็อครถหรือแม้แต่บ้านตัวเอง นอกจากภรรยาบังคับให้ทำ ถ้าไม่ได้เก็บไว้ มันก็ต้องอยู่ในที่หนึ่งที่ใดในสองแห่ง รัทเลดจ์ดึงลิ้นชักกลางของโต๊ะทำงานและเจอดินสอ ปากกาถูกๆ (เขามักทำหายเสมอ) และที่หนีบกระดาษ เหมือนปกติ หนึ่งนาทีผ่านไป รัทเลดจ์รื้อโต๊ะอย่างระมัดระวัง เกือบจะโล่งใจ จนกระทั่งเขาตรวจบนโต๊ะแล้วเกือบจะหัวเราะออกมา ตรงที่สมุดจดบันทึกประจำวัน มีซองจดหมายสีขาวจ่าหน้าถึงรัฐมนตรีสอดไว้ที่ขอบหนัง แต่ไม่มีตราประทับ รัทเลดจ์เอามันออกมาจากที่ จับที่ขอบซอง ไม่ได้ปิดผนึก เขาเปิดปากซองออกแล้วดึงกระดาษแผ่นเดียวที่อยู่ข้างในออกมา มีข้อความพิมพ์สองย่อหน้า ถึงตอนนี้เองที่รัทเลดจ์รู้สึกขนลุก การกระทำทุกอย่างเป็นไปตามหลักการจนถึงจุดนี้ เขาอาจเอามันกลับที่เดิม ลืมว่าเขาเคยมาที่นี่ ลืมเรื่องโทรศัพท์ ลืมให้หมดทุกอย่าง สองนาทีแล้ว

เบรทลงใบรับไว้หรือเปล่า? คงไม่ อีกครั้งที่เขาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ เขาคงไม่ดูหมิ่นเอ๊ดอย่างนั้น เอ๊ดทำสิ่งที่มีเกียรติโดยการลาออก และเบรทก็ควรตอบสนองอย่างมีเกียรติเช่นกัน ไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะจับมือเอ๊ดด้วยสายตาที่แสดงความเสียใจ แล้วก็เท่านั้น สองนาทีสิบห้าวินาที

ตกลงใจ รัทเลดจ์สอดซองลงในกระเป๋าเสื้อนอกแล้วก้าวไปที่ประตู ปิดไฟ กลับไปที่ทางเดิน แล้วหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงานตัวเอง รอที่นั่นอีกครึ่งนาที

"หวัดดี จอร์จ"

"สวัสดีครับคุณรัทเลดจ์"

"ผมพึ่งให้วอลลี่ลงไปเอากาแฟข้างล่าง"

"ดีครับ คืนนี้แย่ จริงรึเปล่าที่-"

"สงสัยจะใช่ เบรทคงตายพร้อมกับคนอื่นๆ"

"บ้าจริง"

"น่าจะล็อคห้องทำงานเขาไว้ ผมพึ่งตรวจดูประตูแล้ว-"

"ครับ" จอร์จ อาร์มิเทจดึงพวงกุญแจของเขาออกมา หาดอกที่ถูกจนเจอ "เขามักจะ-"

"ผมรู้" รัทเลดจ์พยักหน้า

"คุณรู้มั้ย สองอาทิตย์ก่อนผมเจอห้องนิรภัยของเขาเปิดทิ้งไว้ เหมือนกับว่าเขาหมุนลูกบิดแต่ลืมหมุนรหัส" ส่ายหน้า "ผมว่าเขาคงไม่เคยโดนปล้น ว่ามั้ย?"

"นั่นแหละปัญหาของการรักษาความปลอดภัย" รัทเลดจ์กล่าวเห็นพ้อง "พวกคนใหญ่คนโตไม่เคยสนใจ จริงไหม?"

.

.

ช่างสวยงามเหลือเกิน ใครเป็นคนทำนะ? มีคำตอบอย่างหยาบๆสำหรับคำถามนี้ พวกนักข่าวทีวีซึ่งไม่มีอย่างอื่นทำ คอยย้ำบอกแต่ให้กล้องจับไปที่ท่อนหางเครื่อง เขาจำสัญลักษณ์นั้นได้ดีเพราะเคยร่วมในปฏิบัติการที่ระเบิดเครื่องบินที่มีสัญลักษณ์หงส์แดงบนแพนหางดิ่งมาแล้ว ตอนนี้เขาเกือบรู้สึกเสียใจ แต่ว่าความอิจฉากั้นเอาไว้ มันเป็นเรื่องความเหมาะสม ในฐานะผู้ก่อการร้ายระดับแนวหน้าคนหนึ่ง -เขาใช้คำว่าผู้ก่อการร้ายเฉพาะภายในใจของเขา และชอบมันถึงแม้เขาจะใช้คำนี้ที่อื่นไม่ได้- เหตุการณ์อย่างนี้ควรเป็นผลงานของเขา ไม่ใช่ของมือสมัครเล่นคนหนึ่งเหมือนกับที่เป็น มือสมัครเล่นที่เขาจะรู้ชื่อในเวลาที่เหมาะสมเช่นเดียวกับคนอื่นในโลก คือจากข่าวโทรทัศน์ เป็นเรื่องตลกร้ายอย่างแรง ตั้งแต่วัยหนุ่มที่เขาอุทิศชีวิตเรียนรู้และฝึกฝนการใช้ความรุนแรงทางการเมือง เรียนรู้ ไคร่ครวญ วางแผน - และปฏิบัติอย่างนั้น ขั้นแรกในฐานะผู้ร่วมทำงาน จากนั้นก็เป็นผู้นำ/ผู้ออกคำสั่ง แล้วตอนนี้ล่ะ? มือสมัครเล่นตัดหน้าเขา ตัดหน้าทั้งโลกใต้ดินที่เขาเป็นส่วนหนึ่งอยู่ คงเป็นเรื่องที่น่าอายถ้าไม่ใช่เพราะความสวยงามของเหตุการณ์นี้เอง

สมองที่ถูกฝึกอย่างดีของเขาคิดความเป็นไปได้ทั้งหมดและผลวิเคราะห์ก็ออกมาอย่างรวดเร็ว คนคนเดียว อาจจะสอง น่าจะหนึ่ง เหมือนเช่นเคย เขาคิดพร้อมพยักหน้าเม้มปาก คนเดียวที่พร้อมจะตาย เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อเหตุผลอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ทำให้เขาน่าหวาดหวั่นมากกว่าทหารทั้งกองทัพ ในกรณีนี้ คนที่ว่านี้มีความชำนาญพิเศษและสามารถใช้พาหนะพิเศษ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายได้อย่างดี

นั่นเป็นโชค เหมือนกับที่เรื่องนี้เป็นการกระทำของคนคนเดียว ง่ายที่คนคนเดียวจะเก็บความลับ เขาส่งเสียงในลำคออย่างเห็นด้วย เขามักจะพบกับปัญหาเรื่องนั้น ส่วนที่ยากจริงๆก็คือหาคนที่เหมาะสม คนที่เขาไว้ใจได้ คนที่ไม่โม้หรือระบายกับคนอื่น คนที่สำนึกความสำคัญของภารกิจเช่นเดียวกับเขา คนที่มีวินัยในตัว และคนที่ยินดีเสี่ยงชีวิตตนเองอย่างแท้จริง สิ่งสุดท้ายเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับการเข้าร่วม สิ่งนี้เคยสร้างได้ง่าย แต่ตอนนี้มันหาได้ยากขึ้นมากในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ บ่อน้ำที่เขาตักตวงขึ้นมากำลังแห้งลง และไม่มีประโยชน์จะไม่ยอมรับความจริงนั้น เขาจะหาคนที่ยอมอุทิศชีวิตแทบไม่ได้อีกต่อไป

ด้วยความฉลาดกว่าและมองการไกลกว่าคนรุ่นเดียวกัน เขาจำเป็นต้องเข้าร่วมในปฏิบัติการจริงถึงสามครั้ง และถึงเขาแกร่งพอจะทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่ก็ไม่อยากทำมันซ้ำอีก ถึงอย่างไรมันก็อันตรายเกินไป ไม่ใช่ว่าเขากลัวผลจากการกระทำของตัวเอง แต่เป็นเพราะผู้ก่อการร้ายที่ตายแล้วก็ไม่มีค่าอะไรอีกเหมือนกับเหยื่อของเขานั่นเอง คนตายทำภารกิจต่อไปไม่ได้ การสละชีวิตเป็นสิ่งที่เขาพร้อมจะเสี่ยง แต่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง ยังไงเขาอยากชนะ เพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์จากสิ่งที่ทำ เพื่อให้คนอื่นยอมรับว่าเป็นผู้ชนะ ผู้ปลดปล่อย ผู้ครอบครอง เพื่อได้มีชื่ออยู่ในหนังสือที่คนรุ่นหลังอ่านและไม่ใช่แค่เป็นหมายเหตุท้ายเล่ม อย่างมากภารกิจสำเร็จที่อยู่ในทีวีห้องนอนของเขาจะถูกระลึกถึงในฐานะสิ่งที่เลวร้ายเท่านั้น ไม่ใช่การกระทำของคน แต่เหมือนกับภัยธรรมชาติ เพราะถึงแม้ว่ามันจะสวยงาม แต่ไม่เกิดประโยชน์ทางการเมืองใดๆ นั่นเป็นปัญหาของการกระทำด้วยความบ้าของคนที่ยอมตายเพียงคนเดียว โชคยังไม่เพียงพอ ต้องมีเหตุ และผล การทำอย่างนั้นจะสำเร็จจริงๆถ้ามันนำไปสู่อย่างอื่น ซึ่งนี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ เป็นสิ่งที่แย่เกินไป เพราะไม่บ่อยที่-

ไม่ ชายคนนั้นเอื้อมไปหยิบน้ำส้มมาจิบก่อนใช้ความคิดต่อไป ไม่บ่อยเหรอ? สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หรือไม่จริง? นั่นเป็นคำถามด้านปรัชญาเสียมากกว่า เขาอาจมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์แล้วบอกได้ว่ามือลอบสังหารสามารถล้มหรืออย่างน้อยก็เด็ดส่วนหัวของรัฐบาลได้ แต่ในตอนนั้นงานที่ต้องทำก็แค่กำจัดคนคนเดียว และสำหรับการปฏิบัติการอย่างยอมเยี่ยมของคณะผู้แทนของป้อมบนยอดเขานั้น โลกสมัยใหม่ซับซ้อนเกินไปมากแล้ว การฆ่าประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่กษัตริย์ที่ยังคงมีอยู่ในบางประเทศ ก็จะมีคนอื่นก้าวมาแทนตำแหน่งที่ว่างลง เหมือนกับที่เห็นได้ชัดในกรณีนี้ แต่กรณีนี้แตกต่างไป คนใหม่ในที่นี้ไม่มีคณะรัฐมนตรีจะหนุนหลังหรือแสดงความจริงจัง ตั้งใจ และต่อเนื่องบนใบหน้าโกรธเกรี้ยวของพวกเขา ถ้าเพียงแค่มีสิ่งอื่นอีก สิ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญเตรียมพร้อมไว้ตอนที่เครื่องบินนั่นปักหัวลงมา สิ่งสวยงามนี้ก็จะยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก แต่นั่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว แต่เช่นเดียวกับเหตุการณ์แบบเดียวกัน มีมากมายที่จะได้เรียนรู้จากสิ่งที่มันทำสำเร็จและล้มเหลว และผลของมันไม่ว่าจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ ก็ยังเป็นจริงแท้และแน่นอน

ในแง่นั้นมันเป็นเรื่องเศร้า ด้วยโอกาสที่สูญเสียไป ถ้าแม้เขาได้รู้ก่อน ถ้าเพียงคนที่ขับเครื่องบินนั่นไปสู่จุดหมายสุดท้ายของมันได้บอกให้คนอื่นรู้ถึงแผนการ แต่การยอมสละชีพเพื่อสิ่งที่เชื่อย่อมไม่เป็นแบบนั้น จริงมั้ย? พวกโง่นั่นต้องคิดคนเดียว ทำคนเดียว และตายคนเดียว และในความสำเร็จของตัวคนเดียวนั้นก็มีความล้มเหลวอันยิ่งใหญ่ หรืออาจจะไม่ เพราะผลของการกระทำนั้นยังคงอยู่...

.

.

"ท่านประธานาธิบดีครับ?" เจ้าหน้าที่หน่วยคุ้มกันได้รับโทรศัพท์ ซึ่งปกติเป็นหน้าที่ของจ่าทหารเรือที่เป็นเสมียน แต่หน่วยคุ้มกันยังขวัญผวาเกินกว่าจะให้ใครเข้ามาในห้องสถานการณ์ "จากเอฟบีไอครับท่าน"

ไรอันยกหูโทรศัพท์จากแป้นใต้โต๊ะ "ว่าไง?"

"แดน เมอเรย์พูดครับ" แจ๊คเกือบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย และเป็นเสียงที่เป็นมิตรด้วย เขาและเมอเรย์รู้จักกันมานานมาก ที่ปลายสายอีกข้างหนึ่ง เมอเรย์ต้องอยากพูด หวัดดี แจ๊ค แน่ๆ แต่เขาคงไม่ - ไม่สามารถทำตัวสนิทแบบนั้นได้นอกจากได้รับอนุญาต และถึงแม้แจ๊คสนับสนุนได้ทำ เขาคงรู้สึกไม่สะดวกใจจะทำอย่างนั้น เพราะคงเสี่ยงมากขึ้นที่จะถูกคนอื่นในองค์กรของเขาหาว่าเป็นพวกสอพลอ อุปสรรคอีกอย่างของการพยายามทำตัวเป็นปกติ แจ๊คคิด ตอนนี้แม้แต่เพื่อนของเขาก็ทำตัวห่างเหิน

"มีอะไรเหรอ แดน?"

"ขอโทษที่ต้องรบกวน แต่เราต้องการคำชี้ว่าใครจะเป็นคนจัดการสอบสวน มีคนเป็นร้อยอยู่ที่รัฐสภาตอนนี้และ-"

"เอกภาพการสั่งการ" แจ๊คกล่าวอย่างหงุดหงิด ทุกคนในระดับล่างลงไปที่ตัดสินใจเรื่องนี้ได้ต่างก็เสียชีวิตหมดแล้ว "กฏหมายว่าไงบ้างเรื่องนี้?"

"ไม่มีเลย จริงๆ" เมอเรย์กล่าว น้ำเสียงอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ต้องการกวนคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนเขา และอาจยังเป็นอยู่ ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการมากกว่านี้ แต่นี่เป็นกิจธุระที่จำเป็นต้องทำให้ลุล่วงไป

"อำนาจสอบสวนซ้อนกันเหรอ?"

"อย่างสุดขั้วเลยครับ" เมอเรย์ยืนยันพร้อมพยักหน้าแม้ไม่มีใครเห็น

"ผมว่ามันเป็นการก่อการร้าย เรามีธรรมเนียมในเรื่องนั้น คุณกับผม ไม่ใช่เหรอ?" แจ๊คถาม

"เรื่องนั้นใช่ครับท่าน"

ครับท่าน แจ๊คคิด เฮงซวย แต่เขามีเรื่องต้องตัดสินใจก่อน แจ๊คมองไปรอบห้องก่อนจะตอบ

"เอฟบีไอเป็นหน่วยงานหลักคุมเรื่องนี้ คนอื่นทุกคนให้รับคำสั่งจากคุณ เลือกคนเก่งสักคนมาจัดการ"

"ครับท่าน"

"แดน?"

"ครับท่านประธานาธิบดี?"

"ใครเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงบ้างที่เอฟบีไอ?"

"ผู้ช่วยผู้อำนวยการคือชัค ฟลอยด์ เขาลงไปกล่าวปราศรัยที่แอตแลนต้าและ-" และก็บรรดาผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทุกคนอาวุโสกว่าเมอเรย

"ผมไม่รู้จักเขา แต่ผมรู้จักคุณ คุณรักษาการณ์เป็นผู้อำนวยการจนกว่าผมจะสั่งอย่างอื่น" คำสั่งนั้นเขย่าปลายสายอีกด้าน แจ๊ครู้สึกได้

"เอ้อ แจ๊ค ผม-"

"ผมชอบชอว์เหมือนกันนะ แดน คุณรับตำแหน่งนี้ไป"

"ครับท่านประธานาธิบดี"

ไรอันวางหูแล้วอธิบายสิ่งที่เขาทำไป

ไพรซ์คัดค้านเป็นคนแรก "ท่านคะ การโจมตีใดๆต่อประธานาธิบดีอยู่ในอำนาจสอบสวนของ-" ไรอันพูดสวนขึ้น

"พวกเขามีแขนขามากกว่า แล้วก็ต้องมีใครซักคนเป็นคนสั่งการ ผมต้องการให้เรื่องนี้เรียบร้อยเร็วที่สุด"

"เราต้องมีคณะกรรมาธิการพิเศษ"

"ใครเป็นประธานล่ะ?" ไรอันถาม "สมาชิกศาลฏีกา? วุฒิสมาชิกกับ ส.ส.? ยังไงเมอเรย์ก็เป็นมืออาชีพ เลือกใครที่ดี -ใครก็ได้ที่เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับสูงในแผนกอาชญากรรมกระทรวงยุติธรรมมาดูแลการสอบสวน แอนเดรีย หาเจ้าหน้าที่สอบสวนที่ดีที่สุดในหน่วยคุ้มกันไปเป็นหัวหน้าผู้ช่วยของเมอเรย์ เราไม่มีคนนอกให้ใช้ ใช่มั้ย? เราจัดการเรื่องนี้กันภายใน หาคนที่ดีที่สุดแล้วให้เขาทำงานไป ทำเหมือนกับเราวางใจหน่วยงานที่จะทำงานนี้" เขาหยุดครู่หนึ่ง "ผมต้องการให้การสอบสวนนี่ทำอย่างเร็ว เข้าใจมั้ย?"

"ค่ะท่านประธานาธิบดี" ไพรซ์ผงกศีรษะ และไรอันเห็นอาร์นี่ แวน แดมม์ ก้มศีรษะเห็นด้วย บางทีเขากำลังทำบางอย่างถูก แจ๊คคิด ความพอใจเกิดขึ้นสั้นๆ ขณะที่ผนังอีกด้านของห้องมีจอโทรทัศน์ชุดหนึ่ง ทั้งหมดแสดงภาพเดียวกันในตอนนี้ และแสงแฟลชของช่างภาพดึงสายตาของประธานาธิบดี เขาหันไปเห็นภาพเดียวกันสี่ภาพของถุงบรรจุศพซึ่งถูกลำเลียงออกมาทางบันไดซีกตะวันตกของอาคารรัฐสภา อีกศพหนึ่งที่ต้องชันสูตร ไม่ว่าร่างใหญ่หรือเล็ก ชายหรือหญิง สำคัญหรือไม่ ไม่อาจเห็นได้จากผ้ายางของถุงนั้น มีแค่ใบหน้าเคร่งเครียด ด้านชา และเศร้าสร้อยของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ยกร่างเคราะห์ร้ายนั้นอยู่ และเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของช่างภาพหนังสือพิมพ์นิรนามและกล้องและแฟลชของเขา ซึ่งนำท่านประธานาธิบดีกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เขาหวาดหวั่น กล้องทีวีหมุนตามร่างสามร่าง สองคนเป็น หนึ่งคนตาย ลงไปตามขั้นบันไดสู่รถพยาบาลกับประตูที่เปิดอ้าให้เห็นกองถุงแบบเดียวกัน ส่วนถุงที่พวกเขาหิ้วอยู่ถูกส่งต่อไปอย่างนุ่มนวล ด้วยเหล่ามืออาชีพแสดงความกรุณาและห่วงใยร่างซึ่งลาจากโลกนี้ไปแล้ว ห้องสถานการณ์เงียบลงขณะที่สายตาทุกคู่มองที่ภาพเดียวกัน บางคนหายใจยาว ส่วนดวงตาทั้งหมดยังเยือกเย็นหรือตระหนกเกินกว่าจะมีน้ำตา ทีละคู่หันกลับมาที่พื้นโต๊ะไม้โอ๊คขัดเงา ถ้วยกาแฟกระทบส่งเสียงกับจานรอง เสียงเบาๆกลับทำให้ความเงียบดูเลวร้ายลงไปเพราะไม่มีใครไม่มีคำพูดจะเอ่ยออกมา

"มีอะไรต้องทำอีกบ้าง?" แจ๊คถาม ความอ่อนล้าของช่วงเวลานี้ตกที่เขาอย่างแรง การเต้นถี่รัวของหัวใจในขณะเผชิญหน้ากับความตายและด้วยความเป็นห่วงครอบครัวของเขาและด้วยความทรมานจากการสูญเสียก่อนหน้านี้ส่งผลต่อเขาแล้วในตอนนี้ เขารู้สึกกลวงในอก แขนขาหนักอึ้งราวกับแขนเสื้อของเขาทำด้วยตะกั่ว และเหมือนในทันทีนั้นที่เขาต้องใช้พยายามเพียงเพื่อตั้งศีรษะตรง เวลาตอนนี้ 11.35 น.หลังจากเริ่มวันที่ 4.10 น.ในตอนเช้า เวลาส่วนใหญ่กับการสัมภาษณ์เกี่ยวกับตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่เป็นเวลาแปดนาทีก่อนได้รับการเลื่อนขึ้นในทันใด แรงกระตุ้นจากอะดรีนาลีนที่ให้กำลังกับเขาได้หายไปหมดแล้ว ช่วงเวลาสองชั่วโมงทำให้เขารู้สึกเหนื่อยเพลียเพราะระยะเวลานานของมัน เขามองไปรอบๆพร้อมกับคำถามที่ดูจะสำคัญ

"คืนนี้ผมจะนอนที่ไหน?" ไม่ใช่ที่นี่ ไรอันตัดสินใจทันที ไม่ใช่บนเตียงของคนที่ตายไปแล้ว บนผ้าปูที่นอนของคนที่ตายไปแล้ว ห่างจากลูกของคนที่ตายไปแล้วเพียงไม่กี่ฟุต เขาต้องการเห็นลูกตัวเอง ซึ่งอาจจะหลับไปแล้วตอนนี้เพราะเด็กๆหลับได้ไม่ว่าจะเกิดอะไร จากนั้นก็รู้สึกถึงแขนของภรรยาที่โอบรอบเขา เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่คงที่ในโลกของไรอัน สิ่งเดียวที่เขาไม่ยอมให้เปลี่ยนไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่คร่าชีวิตที่เขาไม่เคยต้องการหรือคาดหวังให้เกิด

เหล่าเจ้าหน้าที่คุ้มกันมองหน้ากันด้วยความงุนงงพอๆกัน ก่อนที่แอนเดรีย ไพรซ์จะพูดขึ้น เข้าควบคุมสถานการณ์เหมือนกับที่เป็นธรรมชาติของเธอและตอนนี้เป็นงานของเธอ

"ค่ายนาวิกโยธิน? ถนนแปดและหนึ่งหรือคะ?"

ไรอันพยักหน้า "ใช้ได้สำหรับตอนนี้"

ไพรซ์พูดลงในไมค์วิทยุของเธอซึ่งติดอยู่ที่คอเสื้อนอก "นักดาบกำลังจะออกไป เอารถมาที่ทางเข้าด้านตะวันตก" ((Swordman นักดาบ เป็นชื่อรหัสของแจ๊ค ใช้ในหน่วยคุ้มกัน))

หน่วยคุ้มกันลุกขึ้นยืนแล้วปลดกระดุมเสื้อคลุมพร้อมเพรียงเหมือนกับเป็นคนเดียวกัน และเอื้อมมือจับด้ามปืนพกขณะที่พวกเขาเดินออกประตูไป

"เราจะเขย่าคุณตื่นตอนตีห้า" แวน แดมม์บอก และเสริมว่า "อย่าลืมนอนให้เต็มที่" ไรอันมองตอบชั่วขณะด้วยสายตาที่ว่างเปล่าพร้อมกับเดินออกจากห้อง เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูของทำเนียบขาวคลุมเสื้อคลุมให้เขา ซึ่งแจ๊คไม่คิดจะถามว่าเป็นของใครหรือเอามาจากไหน เขาก้าวขึ้นเบาะหลังเชฟวี่ซับเบอร์บาน และมันเคลื่อนออกไปทันทีกับรถแบบเดียวกันหนึ่งคันนำหน้าและตามหลังอีกสามคัน แจ๊คหันหน้าหนีภาพเบื้องหน้าได้ แต่หนีจากเสียงไม่ได้เพราะเสียงไซเรนที่ดังโหยหวนผ่านกระจกกันกระสุนเข้ามา และคงเป็นความขี้ขลาดถ้ามองหนีไปทางอื่นไม่ว่ากรณีใด แสงเรืองของไฟหายไปแล้ว แทนที่ด้วยแสงวับวาบจากหลังคารถต่างๆ บางคันกำลังวิ่ง แต่ส่วนใหญ่อยู่กับที่ที่รัฐสภาหรือบริเวณรอบๆ ตำรวจยังปิดถนนในเมืองไว้ทำให้ขบวนรถประธานาธิบดีผ่านไปทางตะวันออกได้อย่างรวดเร็ว สิบนาทีต่อมาขบวนก็มาถึงค่ายนาวิกโยธิน ทุกคนที่นี่ตื่นเต็มที่และแต่งเครื่องแบบเรียบร้อย ทหารทุกคนที่อยุ่ในสายตาพกปืนไรเฟิลหรือปืนพกอย่างเปิดเผย และทำความเคารพอย่างแข็งแรง

บ้านพักผู้บัญชาการนาวิกโยธินสร้างตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 และเป็นหนึ่งในอาคารรัฐบาลไม่กี่หลังที่ไม่โดนพวกอังกฤษเผาในปี ค.ศ. 1814 แต่ผู้บัญชาการเสียชีวิตไปแล้ว เขาเป็นพ่อม่ายส่วนลูกของเขาโตกันหมดแล้ว เขาอยู่ที่นี่คนเดียวจนถึงคืนนี้ ตอนนี้พันเอกคนหนึ่งยืนอยู่บนระเบียงบ้านในเครื่องแบบรีดเรียบร้อย มีเข็มขัดซองปืนคาดเอวและทหารหนึ่งหมวดกระจายกำลังรอบบ้าน

"ท่านประธานาธิบดีครับ ครอบครัวของท่านอยู่ชั้นบนและปลอดภัยทุกคนครับผม" พันเอกมาร์ค พอร์ทเตอร์รายงานทันที "เรามีกองร้อยปืนเล็กยาวหนึ่งกองร้อยรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณรอบๆ อีกกองร้อยกำลังเดินทางมาครับผม"

"พวกสื่อมวลชนล่ะ?" ไพรซ์ถาม

"ผมไม่ได้รับคำสั่งเรื่องนั้นครับ คำสั่งคือปกป้องแขกของเรา ใครก็ตามที่อยู่ภายในระยะสองร้อยเมตรเป็นคนของที่นี่เท่านั้นครับ"

"ขอบคุณ ผู้การ" ไรอันกล่าว ไม่สนใจเรื่องสื่อมวลชน แล้วเดินไปที่ประตู ทหารชั้นจ่าเปิดประตูออก ทำความเคารพตามแบบนาวิกโยธิน จ่าอีกคนที่ยศสูงกว่าชี้ทางไปที่บันได ทำความเคารพเช่นกัน ไรอันแน่ใจในทันทีว่าเขาจะไปไหนคนเดียวไม่ได้แล้ว ไพรซ์กับหน่วยคุ้มกันอีกคนและนาวิกโยธินสองนายตามเขาขึ้นบันไดไป ทางเดินชั้นสองมีหน่วยคุ้มกันสองคนและทหารอีกห้านาย ในที่สุด เวลา 11.54 น. เขาก้าวเข้าไปในห้องนอนและพบภรรยาของเขานั่งรออยู่

"หวัดดี"

"แจ๊คคะ" เธอหันหน้ามา "ทั้งหมดนั่นจริงรึเปล่า?"

เขาพยักหน้า ลังเลสักครู่ก่อนนั่งลงข้างแคธี่ "เด็กๆล่ะ?"

"หลับไปแล้วค่ะ" ชะงักไปแล้วพูดเสริม "พวกเด็กๆไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆหรอก ฉันว่าเราทั้งสี่คนเลย"

"ห้า"

"ท่านประธานาธิบดีตายแล้วเหรอคะ?" แคธี่หันมาเห็นสามีของเธอผงกศีรษะ "ฉันแทบไม่รู้จักเขา"

"เขาเป็นคนดี ลูกๆเขาอยู่ที่ทำเนียบ หลับอยู่ ผมไม่รู้ว่าผมควรทำอะไรก็เลยมาที่นี่" ไรอันเอื้อมมือขึ้นคลายคอเสื้อและไทออกด้วยความพยายามอย่างมาก อย่ากวนพวกเด็กๆดีกว่า เขาตัดสินใจ แต่เดินไปไกลขนาดนั้นคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเหมือนกัน

"แล้วตอนนี้ล่ะ?"

"ผมต้องนอนก่อน พวกนั้นจะปลุกผมตอนตีห้า"

"เราต้องทำอะไรต่อไปคะ?"

"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" แจ๊คถอดเสื้อผ้าออกในที่สุด หวังว่าวันใหม่จะมีคำตอบบางอย่างที่ความมืดของกลางคืนซ่อนเอาไว้


By Kaii


This page hosted by Get your own Free Home Page