![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
เจ้าชายอาลี บิน ชีคทรงเตรียมพร้อมจะเสด็จกลับประเทศในเครื่องบินส่วนพระองค์ เครื่องล็อคฮีด แอล-1011 ((Lockheed L-1011)) ที่แม้จะเก่าแต่ตกแต่งอย่างงดงาม เมื่อมีโทรศัพท์จากทำเนียบขาวเข้ามา สถานทูตซาอุดิอาระเบียอยู่ใกล้กับเคนเนดี้เซ็นเตอร์ดังนั้นการเสด็จไปในรถพระที่นั่งจึงใช้เวลาไม่นานนัก โดยมีหน่วยรักษาความปลอดภัยขนาดใหญ่พอ ๆ กับของไรอันพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่จากหน่วยคุ้มกันนักการทูตของอเมริกันตามเสด็จ บวกกับชุดคุ้มกันพระองค์ของเจ้าชายเอง ประกอบด้วยอดีตสมาชิกหน่วยเอสเอเอสของอังกฤษ ((SAS-Special Air Service หน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพอังกฤษ)) เหมือนเช่นเคยที่พวกซาอุใช้จ่ายเงินมากมายเพื่อแลกกับคุณภาพ เจ้าชายอาลีไม่ได้ทรงเป็นคนแปลกหน้าของทำเนียบขาว หรือต่อสก๊อต แอดเลอร์ซึ่งรอเฝ้าพระองค์ที่ประตูแล้วนำเสด็จขึ้นชั้นบนไปทางตะวันออกเข้าสู่ห้องทำงานรูปไข่
"ท่านประธานาธิบดี" เจ้าชายตรัสทักขณะทรงพระดำเนินจากห้องเลขานุการ
"ขอบพระทัยที่ทรงเสด็จมาเร็วขนาดนี้พะยะค่ะ" แจ๊คจับพระหัตถ์แล้วโบกมือเชิญประทับที่พระเก้าอี้นวมหนึ่งในสองตัวที่อยู่ในห้อง ใครคนหนึ่งที่หัวไวได้จุดไฟเตาผิงขึ้น ช่างภาพทำเนียบขาวถ่ายรูปสองสามรูปแล้วออกไป "ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าใต้ฝ่าพระบาทคงได้ทอดพระเนตรข่าวเช้าวันนี้แล้ว"
เจ้าชายอาลีแย้มพระโอษฐ์อย่างกังวล "จะพูดว่าอย่างไรนะ? เราไม่เศร้ากับการจากไปของเขา แต่ราชอาณาจักรกังวลมากทีเดียว"
"ใต้ฝ่าพระบาททรงทราบอะไรที่พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้หรือเปล่าพะยะค่ะ?"
เจ้าชายทรงส่ายพระพักตร์ "ฉันก็ประหลาดใจเช่นเดียวกับทุกคน"
ท่านประธานาธิบดีนิ่วหน้า "ใต้ฝ่าพระบาทก็ทรงทราบดีว่าจากเงินทั้งหมดที่เราใช้ใน-" เจ้าชายทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอย่างเหนื่อยล้า
"ใช่ฉันรู้ ฉันจะพูดกับคณะรัฐมนตรีของฉันแบบเดียวกันนี้เมื่อเครื่องบินของฉันกลับถึงประเทศแล้ว"
"อิหร่าน"
"ไม่ต้องสงสัยเลย"
"พวกนั้นจะเคลื่อนไหวหรือเปล่าพะยะค่ะ?"
ห้องทำงานรูปไข่เงียบลงจากนั้น มีเพียงเสียงปะทุของไม้โอ๊คเก่าในเตาผิงขณะที่ชายสามคน ไรอัน เจ้าชายอาลี และแอดเลอร์ต่างมองตากันข้ามโต๊ะกาแฟ ไม่มีใครแตะถาดและถ้วยกาแฟ แน่นอน เรื่องใหญ่คือน้ำมัน อ่าวเปอร์เซียน บางครั้งเรียกว่าอ่าวอาหรับ เป็นเหมือนนิ้วของน้ำที่ล้อมรอบหรือบางที่ก็อยู่เหนือทะเลน้ำมัน แหล่งน้ำมันส่วนใหญ่ที่รู้จักกันอยู่ที่นั่น แบ่งระหว่างราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย คูเวต อิรัค และอิหร่าน พร้อมกับสหรัฐอาหรับอีมิเรตส์ บาห์เรน และกาตาร์ที่เล็กกว่า ในบรรดาประเทศเหล่านั้น อิหร่านเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดถ้าพูดถึงจำนวนประชากร รองลงมาคืออิรัค ชาติรอบคาบสมุทรอาหรับร่ำรวยกว่า แต่พื้นดินเหนือขุมทรัพย์เหลวนั้นไม่สามารถรองรับประชากรจำนวนมากได้ และยังมีความลำบากอื่นที่ปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี 1991 เมื่ออิรัคบุกคูเวตในรูปแบบที่เหมือนกับเด็กอันธพาลเล่นงานเด็กที่ตัวเล็กกว่าในสนามโรงเรียน ไรอันเคยกล่าวหลายครั้งว่าสงครามเพื่อรุกรานไม่ผิดไปจากการปล้นแบบมโหฬาร และกรณีของสงครามอ่าวเปอร์เซียก็เป็นอย่างนั้น โดยยึดเอาข้อขัดแย้งเรื่องดินแดนกับเศรษฐกิจที่ไร้สาระพอ ๆ กันเป็นข้ออ้าง ซัดดัม ฮุสเซนพยายามเพิ่มทรัพย์แผ่นดินของประเทศเขาเท่าตัวแล้วขู่จะเกทับอีกเท่าตัวด้วยการโจมตีซาอุดิอาระเบีย ตอนนี้เหตุผลที่เขาหยุดอยู่ที่พรมแดนซาอุ-คูเวตจะไม่สามารถอธิบายได้ไปตลอดกาล สำหรับความเข้าใจอย่างง่ายที่สุด มันเป็นเรื่องของน้ำมันและความร่ำรวยที่ได้จากมัน
แต่มันยังมีมากกว่านั้น ฮุสเซน เหมือนกับเจ้าพ่อมาเฟีย มองไม่ไกลนักเกินกว่าเงินและอำนาจการเมืองที่เงินสร้างขึ้น อิหร่านมองการไกลกว่านั้นไปอีกหน่อย
ทุกชาติที่อยู่รอบอ่าวเป็นชาติอิสลาม ส่วนใหญ่เป็นอย่างเคร่งครัดด้วย มีข้อยกเว้นคือบาห์เรนกับอิรัค ชาติแรกน้ำมันได้หมดไปและประเทศนั้นซึ่งอันที่จริงเป็นนครรัฐที่แยกจากราชอาณาจักรซาอุ ฯ ด้วยถนนยกระดับสายเดียวเท่านั้น ได้พัฒนาขึ้นทำหน้าที่แบบเดียวกับเนวาดามีต่อสหรัฐอเมริกาซีกตะวันตก สถานที่ซึ่งกฏทั่วไปถูกเก็บเข้าลิ้นชักไว้ ที่ซึ่งเหล้า การพนัน และความสำราญอื่น ๆ จะมีได้ในระยะไม่ไกลจากบ้านที่เคร่งครัด สำหรับประเทศหลัง อิรัคเป็นรัฐโดดเดี่ยวที่มีศาสนาประจำชาติแต่ในกระดาษเท่านั้น ซึ่งช่วยอธิบายมรณกรรมของประธานาธิบดีของประเทศหลังจากอยู่ในตำแหน่งอย่างยาวนานและโลดโผนได้มาก
แต่กุญแจสำคัญของดินแดนนี้คือศาสนา และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ราชอาณาจักรซาอุ ฯ เป็นหัวใจของศาสนาอิสลาม ศาสดามะหะหมัดเกิดที่นั่น นครศักดิ์สิทธิ์เมกกะและเมดิน่าอยู่ที่นั่น และจากจุดกำเนิดนั้นได้กลายมาเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดศาสนาหนึ่งของโลก เรื่องสำคัญกว่าน้ำมันคือความเชื่อ ซาอุดิอาระเบียนับถือนิกายสุหนี่ ส่วนอิหร่านนับถือชีอะ ไรอันเคยฟังบรรยายสรุปเรื่องความแตกต่างระหว่างสองนิกายนั้นแล้ว แต่ในตอนนั้นมันดูเล็กน้อยเสียจนเขาไม่พยายามจะจำมัน การทำอย่างนั้นเป็นสิ่งที่โง่เขลา ท่านประธานาธิบดีบอกกับตัวเอง ความแตกต่างมีมากพอจะทำให้สองประเทศกลายเป็นศัตรูกัน และนั่นเป็นความแตกต่างอย่างที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้แล้ว มันไม่เกี่ยวกับความร่ำรวยโดยตรง มันเกี่ยวกับอำนาจแบบที่ต่างไป แบบที่เติบโตขึ้นจากจิตใจ จากนั้นกลายไปเป็นสิ่งอื่น น้ำมันกับเงินแค่ทำให้การต่อสู้ดูน่าสนใจขึ้นสำหรับคนที่อยู่วงนอกเท่านั้น
น่าสนใจขึ้นมาก โลกอุตสาหกรรมต้องอาศัยน้ำมันนั้น ทุกรัฐในอ่าวกลัวอิหร่านเพราะขนาดของประเทศ ประชากรจำนวนมากมาย และความคลั่งในศาสนาของพลเมืองนั้น สำหรับนิกายสุหนี่เป็นความกลัวถึงการละทิ้งวิถีอันแท้จริงของศาสนาอิลสาม สำหรับคนอื่น ๆ มันเป็นความกลัวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาเมื่อพวก "นอกศาสนา" มีอำนาจในดินแดนแถบนั้น เพราะอิสลามเป็นความเชื่ออย่างเป็นระบบมีขอบเขตกว้างขวาง ตั้งแต่กฏหมายแพ่งและการเมืองไปถึงกิจการรูปแบบอื่น ๆ ของมนุษย์ สำหรับชาวมุสลิมแล้วพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าคือกฏหมายศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง สำหรับชาวตะวันตกมันเป็นความอยู่รอดของเศรษฐกิจของพวกเขา สำหรับชาวอาหรับ และอิหร่านไม่ใช่ชาติอาหรับ มันเป็นปัญหาพื้นฐานที่สุด นั่นคือที่ของคนต่อพระพักตร์พระเจ้าของเขา
"ใช่แล้ว ท่านประธานาธิบดี" เจ้าชายอาลี บิน ชีค ตรัสตอบหลังจากเวลาผ่านไปชั่วขณะ "พวกนั้นจะเคลื่อนไหว"
พระสุรเสียงของพระองค์เยือกเย็นอย่างน่านับถือ ถึงไรอันจะรู้ดีกว่าภายในพระทัยนั้นพระองค์ไม่ได้ทรงรู้สึกอย่างนั้นเลย พวกซาอุ ฯ ไม่ต้องการให้ประธานาธิบดีอิรัคลงจากอำนาจแม้แต่น้อย ถึงเขาจะเป็นศัตรู ถึงเขาเป็นคนไม่มีศาสนา ถึงเขาจะก้าวร้าวอย่างไร แต่เขาก็ทำหน้าที่ในเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนบ้านของเขา อิรัคเป็นกันชนระหว่างชาติในอ่าวกับอิหร่านมานานแล้ว กรณีนี้ศาสนาต้องเป็นรองจากการเมือง ซึ่งก็อำนวยประโยชน์ทางศาสนาเช่นกัน การปฏิเสธรับสั่งของพระเจ้าทำให้ประชากรชีอะห์ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ในอิรัคถูกกันอยู่นอกวงไป และพรมแดนคู่กับคูเวตและซาอุดิอาระเบียก็เป็นเรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่ถ้าพรรคบาธหลุดจากอำนาจพร้อมกับผู้นำพรรค อาจจะทำให้อิรัคกลับไปสู่การปกครองของนิกายของคนกลุ่มใหญ่แทน นั่นทำให้ประเทศชีอะห์มีพรมแดนติดกับประเทศทั้งสอง และผู้นำนิกายชีอะห์ของศาสนาอิสลามก็คืออิหร่าน
อิหร่านจะเคลื่อนไหว เพราะอิหร่านเคลื่อนไหวอยู่แล้วนานหลายปี ศาสนาที่ศาสดามะหะหมัดก่อตั้งขึ้นได้แผ่ขยายจากคาบสมุทรอาหรับไปถึงโมรอกโกในตะวันตกและฟิลิปปินส์ในตะวันออก และพร้อมกับวิวัฒนาการของโลกสมัยใหม่ก็มีผู้นับถืออยู่ในทุกประเทศบนโลก อิหร่านได้ใช้ทรัพย์สินและประชากรจำนวนมากของประเทศเพื่อตั้งตัวเป็นชาติชั้นนำของอิสลาม ด้วยการนำพระมุสลิมมายังโคม นครศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ เพื่อศึกษา และด้วยการให้เงินสนับสนุนขบวนการทางการเมืองทั่วทั้งโลกอิสลาม และด้วยการส่งอาวุธไปยังชาวมุสลิมที่ต้องการความช่วยเหลือ ชาวมุสลิมบอสเนียในข้อนี้ และไม่ใช่แค่กลุ่มเดียวเท่านั้น
"อานชลุส" ((Anschluss โดยทั่วไปหมายถึงสหภาพการเมืองของนาซีเยอรมันกับออสเตรียที่เกิดขึ้นช่วงปี 1938 ตอนที่เยอรมันจะผนวกออสเตรียเข้ารวมเป็นอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ด้วยกัน)) สก๊อต แอดเลอร์คิดออกมาดัง ๆ เจ้าชายอาลีทรงหันมาแล้วผงกพระเศียร
"เรามีแผนอะไรจะช่วยป้องกันมันได้หรือเปล่า?" แจ๊คถาม เขารู้คำตอบดี ไม่ ไม่มีใครมี นั่นเป็นสาเหตที่สงครามอ่าวเปอร์เซียทำเพื่อเป้าหมายทางทหารที่จำกัด และไม่ใช่เพื่อล้มล้างผู้รุกราน พวกซาอุ ฯ ผู้ที่กำหนดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของสงครามตั้งแต่เริ่มแรก ไม่ยอมให้อเมริกาหรือพันธมิตรรุกถึงแบกแดด และด้วยเหตุนี้รวมทั้งความจริงที่กองทัพอิรัควางกำลังอยู่ในคูเวตและบริเวณรอบ ๆ เมืองหลวงของอิรัคจึงเปิดโล่งพอ ๆ กับคนเปลือยกายอยู่บนหาด ไรอันตั้งข้อสังเกตในตอนนั้นจากการดูพวกช่างพูดในรายการข่าวหลายสถานีว่า ไม่มีผู้ให้ความเห็นสักคนที่เห็นว่ายุทธการตามตำรานั้นอาจจะเมินคูเวต ยึดแบกแดด จากนั้นรอให้กองทัพอิรัควางอาวุธยอมจำนนได้ นั่นแหละนะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอ่านแผนที่เป็น
"ใต้ฝ่าพระบาททรงใช้อำนาจอะไรได้บ้างที่นั่นพะยะค่ะ?" ไรอันถามต่อไป
"ในทางปฏิบัติหรือ? น้อยมาก เราจะยื่นมือช่วยเหลือด้วยมิตรภาพ เสนอเงินกู้ เมื่อถึงปลายสัปดาห์เราจะขอให้อเมริกาและสหประชาชาติยกเลิกการคว่ำบาตรเพื่อส่งเสริมสภาพเศรษฐกิจ แต่..."
"ใช่พะยะค่ะ แต่" ไรอันเห็นด้วย "ใต้ฝ่าพระบาท พวกข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานข้อมูลใดที่ใต้ฝ่าพระบาทจะทรงได้มา ความมุ่งมั่นของอเมริกาต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรยังเป็นเช่นเดิมพะยะค่ะ"
เจ้าชายอาลีทรงผงกพระเศียร "ฉันจะบอกเรื่องนั้นต่อไปยังรัฐบาลของฉันให้"
"งานยอดเยี่ยม ระดับมืออาชีพ" ดิงให้ความเห็นขณะดูภาพย้อนหลังที่แต่งแล้ว "เว้นอย่างเดียว"
"ใช่ ถ้าได้เก็บเช็คจ่ายเงินก่อนพินัยกรรมของคุณได้ใช้จะดีกว่า" ครั้งหนึ่งคลาร์คเคยหนุ่มและอารมณ์ร้อนพอจะคิดในทางเดียวกับมือปืนที่เขาพึ่งเห็นการตายฉายซ้ำอีกที แต่อายุที่เพิ่มขึ้นก็มาพร้อมกับความรอบคอบ ตอนนี้เขาได้ยินว่าแมรี่ แพทอยากให้เขาพยายามอีกครั้งเพื่อเข้าทำเนียบขาว และเขาก็กำลังอ่านเอกสารบางชิ้นอยู่ พยายามจะอ่าน
"จอห์น เคยอ่านเรื่องแอสแซซซินส์มั้ย?" ((Assassins นักฆ่า)) ชาเวซถามพร้อมกดรีโมทปิดทีวี
"ฉันเคยดูหนังนั่น" คลาร์คตอบโดยไม่เงยหน้า
"พวกนั้นเป็นพวกจริงจัง ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าใช้ดาบกับมีด เราก็ต้องเข้าไปลงมือใกล้ ๆ จู่โจมอย่างฉับพลัน เหมือนที่เราเคยพูดใน พล. ร. 7 ((7th Light - 7th Infantry Division (Light) หมายถึงกองพลทหารราบ (เบา) ที่ 7))" ชาเวซยังไม่ได้รับปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เขาขอบคุณหนังสือทุกเล่มที่ศาสตราจารย์แอลเฟอร์บังคับให้เขาอ่าน เขาโบกมือไปที่ทีวี "หมอนี่เหมือนพวกนั้น ระเบิดอัจฉริยะสองขา คุณทำลายตัวเอง แต่กำจัดเป้าหมายก่อน แอสแซซซินส์เป็นรัฐก่อการร้ายแห่งแรก ผมว่าโลกยังไม่พร้อมรับแนวคิดในตอนนั้น แต่นครรัฐเล็ก ๆ นั่นชักใยดินแดนแถบนั้นทั้งหมดแค่เพราะพวกนั้นสามารถส่งคนเข้าไปใกล้พอจะเล่นงานใครก็ได้"
"ขอบใจสำหรับบทเรียนประวัติศาสตร์นะโดมิงโก แต่ว่า-"
"คิดสิ จอห์น ถ้าพวกนั้นเข้าใกล้เขาได้ พวกนั้นก็เข้าไปใกล้ใครก็ได้ ไม่มีบำนาญให้กับอาชีพผู้เผด็จการ รู้มั้ย? การรักษาความปลอดภัยรอบตัวเขาจะต้องเข้มงวดมาก ๆ แต่ใครบางคนก็ส่งมือปืนเข้าไปใกล้แล้วเป่าเขากระเด็นไปโลกหน้าได้ นั่นน่ากลัวอยู่นะ มิสเตอร์ซี"
จอห์น คลาร์คต้องเตือนตัวเองอยู่ตลอดว่าโดมิงโก ชาเวซไม่โง่ เขาอาจจะพูดเน้นการออกเสียงอย่างถูกต้อง แต่ไม่ใช่เพราะเขาฝืนทำ แต่เพราะมันเป็นธรรมชาติของเขา โดมิงโกมีพรสวรรค์เรื่องภาษาเหมือนกับคลาร์ค แล้วเขายังเชื่อมประโยคด้วยการใช้คำกับไวยากรณ์ที่ติดมาจากตอนเป็นจ่าทหารบก แต่ต้องบ้าแน่ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เรียนรู้ได้เร็วที่สุดที่จอห์นเคยพบ เขายังกำลังเรียนรู้จะควบคุมความโกรธและความรู้สึกตัวเอง - ก็เมื่อมันมีประโยชน์กับเขา จอห์นแก้ความคิดตัวเอง
"แล้วไง? วัฒนธรรมต่างกัน แรงจูงใจต่างกัน แล้ว-"
"จอห์น ผมกำลังพูดถึงความสามารถนะ ความตั้งใจทางการเมืองที่จะใช้มัน แล้วก็ความอดทน มันต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ สายลับเงียบนี่ผมรู้จัก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมือปืนเงียบ"
"อาจจะเป็นนายอะไรซักคนที่โกรธแค้นแล้ว-"
"ใครจะอยากตายล่ะ? ผมไม่คิดงั้นหรอก จอห์น ทำไมไม่เป่ามันตอนไปห้องน้ำตอนเที่ยงคืนแล้วพยายามหนีออกไปล่ะ? ไม่มีทาง มิสเตอร์ซี หมอนั่นกำลังพูดอะไรบางอย่าง ไม่ใช่คำพูดของเขาด้วย เขากำลังส่งข้อความเพื่อเจ้านายของเขาด้วย"
คลาร์คเงยหน้าขึ้นจากเอกสารสรุปแล้วคิดเรื่องนั้น ข้ารัฐการคนอื่นอาจจะปัดข้อสังเกตนั้นทิ้งไปเพราะอยู่นอกขอบเขตหน้าที่ของตน แต่ที่คลาร์คจำเป็นต้องเข้ามาทำงานให้รัฐบาลเพราะเขามองไม่เห็นขีดจำกัดของความสามารถของตัวเอง นอกจากนั้น เขายังจำตอนที่อยู่ในอิหร่าน กลางฝูงชนที่ตะโกน "อเมริกาจงพินาศ!" ใส่คนที่ถูกปิดตาซึ่งโดนจับมาจากสถานทูตอเมริกา ยิ่งกว่านั้น เขายังจำสิ่งที่คนในฝูงชนนั้นพูดได้หลังจากปฏิบัติการบลูไลท์พังไม่เป็นท่า และมันใกล้ขนาดไหน เกือบขนาดไหนที่รัฐบาลโคไมนีจะปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวออกมาแล้วเปลี่ยนความขัดแย้งที่เลวร้ายอยู่แล้วให้กลายเป็นสงคราม แม้แต่ในตอนนั้น อิหร่านก็มีส่วนร่วมในปฏิบัติการก่อการร้ายทุกรูปแบบทั่วโลก และความล้มเหลวของอเมริกาในการเตรียมรับความจริงนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้
"นั่นแหละ โดมิงโก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องการเจ้าหน้าที่ภาคสนามเพิ่มขึ้น"
หมอผ่าตัด มีอีกเหตุผลที่ไม่ชอบตำแหน่งประธานาธิบดีของสามีเธอ เธอไม่ได้เห็นเขาก่อนออกจากบ้านเป็นเรื่องหนึ่ง เขาอยู่กับใครบางคน นั่นต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเห็นในข่าวภาคเช้าแน่ และนั่นก็เป็นงาน บางครั้งเธอต้องรีบออกจากบ้านไปฮอบกิ้นส์โดยไม่รู้ล่วงหน้า แต่เธอก็ไม่ชอบแบบนั้นอยู่แล้ว
เธอมองไปที่ขบวนรถ จะเรียกเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้วกับเชฟวี่ซับเบอร์บานทั้งหมดหกคัน สามคันรับหน้าที่นำแซลลี่ (ตอนนี้มีชื่อรหัสว่าชาโดว์((Shadow))) และแจ๊คน้อย (ช็อทสต็อป((ShortStop))) ไปโรงเรียน อีกสามคันจะจัดการส่งเคที่ (แซนด์บอกซ์((Sandbox))) ไปศูนย์เลี้ยงเด็กของแก แคธี่ ไรอันยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเธอ เธอไม่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของพวกเด็ก ๆ เธอจะไม่สนับสนุนให้เปลี่ยนโรงเรียนและเพื่อนของพวกแกเพราะโชคร้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเด็ก ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของพวกแก เธอโง่พอแล้วที่เห็นด้วยกับตำแหน่งใหม่ของแจ๊คซึ่งอยู่ได้เพียงห้านาที และเช่นเดียวกับทุกสิ่งในชีวิต เราต้องยอมรับผลที่ตามมา ผลอย่างหนึ่งก็คือเวลาเดินทางไปเรียนและวาดรูประบายสีที่เพิ่มขึ้น เพียงเพื่อไม่ต้องเสียเพื่อน แต่บ้าจริง... มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง
"อรุณสวัสดิ์จ้า เคที่!" เสียงจากดอน รัสเซล นั่งลงรับการกอดและหอมจากแซนด์บอกซ์ แคธี่อดยิ้มไม่ได้ เจ้าหน้าที่คนนี้เหมือนสวรรค์ส่งมาเลย เขามีหลาน รักเด็กอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ เขากับเคที่เข้ากันได้ทันที แคธี่จูบลาลูกคนเล็กของเธอ และองค์รักษ์ประจำตัว บ้าเอามาก ๆ ที่เด็กต้องมีองค์รักษ์ประจำตัวด้วย! แต่แคธี่จำประสบการณ์ของเธอกับพวกผู้ก่อการร้ายได้ เธอจำเป็นต้องยอมรับเรื่องนั้น รัสเซลอุ้มแซนด์บอกซ์ไปนั่งในรถ รัดเข็มขัด แล้วรถสามคันขบวนแรกก็ออกไป
"ไปก่อนค่ะแม่" แซลลี่กำลังผ่านช่วงที่เธอกับแม่เป็นแค่เพื่อนกัน จึงไม่จูบลา แคธี่ยอมรับโดยไม่ได้ชอบมันเลย เช่นเดียวกับแจ๊คน้อย "แล้วเจอกันฮะแม่" แต่จอห์น แพทริค ไรอัน จูเนียร์ยังเด็กพอจะขอนั่งที่นั่งหน้า ซึ่งเขาจะได้นั่งแน่ ชุดคุ้มกันย่อยทั้งสองชุดเสริมกำลังขึ้นเพราะรูปแบบที่ครอบครัวไรอันได้เข้ามาในทำเนียบขาว ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดยี่สิบคนจัดมาคุ้มกันเด็ก ๆ ในตอนนี้ ตัวเลขนั้นจะลดลงในเดือนสองเดือน พวกนั้นบอกกับเธอ พวกเด็ก ๆ จะได้นั่งรถธรรมดาแทนที่จะเป็นซับเบอร์บานเสริมเกราะ สำหรับกรณีของหมอผ่าตัด เฮลิคอปเตอร์ของเธอกำลังรออยู่
บ้าจริง มันผุดขึ้นมาอีกแล้ว เธอกำลังตั้งท้องแจ๊คน้อย แล้วก็รู้ว่าพวกผู้ก่อการร้าย... ทำไมเธอถึงได้บ้าไปเห็นด้วยกับเรื่องนี้นะ? ความอับอายที่สุดคือเธอแต่งงานกับชายที่น่าจะทรงอำนาจที่สุดในโลก แต่เขาและครอบครัวต้องรับคำสั่งจากคนอื่น
"ผมทราบครับ หมอ" เสียงของรอย อัลท์แมน ผู้คุ้มกันหลักของเธอ "เหมือนตกนรกทั้งเป็นเลย จริงมั้ยครับ?"
แคธี่หันกลับมา "คุณอ่านใจด้วยเหรอคะ?"
"มันเป็นส่วนหนึ่งของงานครับคุณผู้หญิง ผมรู้-"
"ได้โปรดเถอะ ฉันชื่อแคธี่ แจ๊คกับฉันเป็น "ด็อกเตอร์ไรอัน" เหมือนกัน"
อัลท์แมนเกือบหน้าแดงด้วยความเขิน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งหลายคนทำตัวเหมือนเจ้านายชั้นสูงในทันทีที่สามีรับตำแหน่ง ปธน. อเมริกา และก็ไม่ใช่เรื่องสนุกนักในการคุ้มกันพวกลูก ๆ ของนักการเมือง แต่สำหรับครอบครัวไรอัน สมาชิกในชุดคุ้มกันเห็นพ้องกันว่าพวกเขาไม่เหมือนคนที่เคยต้องคุ้มกันมา ในบางแง่มันเป็นข่าวร้าย แต่ว่าก็ยากที่จะไม่ชอบพวกเขา
"นี่ครับ" เขายื่นแฟ้มกระดาษแข็งให้ มันเป็นรายการรักษาของเธอของวันนี้
"ผ่าตัดใหญ่สองครั้ง ตามด้วยผ่าตัดเสริม" เธอบอกเขา อืม อย่างน้อยเธอก็เตรียมเอกสารระหว่างอยู่บนเครื่องได้ สะดวกทีเดียว จริงไหม?
"ผมทราบครับ เราติดต่อให้ ดร. แคทซ์แจ้งข้อมูลมาที่เรา เพื่อเราจะได้พร้อมกับตารางเวลาของคุณ"
"คุณตรวจประวัติย้อนหลังของคนไข้ฉันด้วยรึเปล่าคะ?" แคธี่ถาม คิดว่าเป็นเรื่องตลก
แต่มันไม่ใช่ "ครับ เราได้ชื่อ วันเกิด หมายเลขประกันสังคมจากบันทึกโรงพยาบาล เราตรวจสอบกับศูนย์ข้อมูลอาชญากรรมแห่งชาติ ((NCIC - National Crime Information Center ของ FBI)) แล้วตรวจสอบกับแฟ้มของ เอ้อ คนที่เราจับตาอยู่"
สายตาที่เกิดขึ้นจากคำพูดนั้นไม่ค่อยเป็นมิตรนัก แต่อัลท์แมนไม่ได้คิดอะไร พวกเขาเดินกลับเข้าในอาคาร จากนั้นในไม่กี่นาทีต่อมาก็กลับออกมาแล้วไปที่เฮลิคอปเตอร์ที่รออยู่ มีกล้องข่าวคอยบันทึกเหตุการณ์ แคธี่เห็น ขณะที่ผู้พันแฮงค์ กู้ดแมนติดเครื่องยนต์ของเขา
ภายในห้องปฏิบัติการของหน่วยคุ้มกันห่างไปไม่กี่ช่วงตึก กระดานรายงานสถานะเปลี่ยนไป โพตัส (POTUS - คำย่อหมายถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา) แทนด้วยไฟสีแดงแสดงว่าอยู่ในทำเนียบขาว ส่วนโฟลตัส (FLOTUS - คำย่อหมายถึงสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา) มีเครื่องหมายแสดงว่าอยู่ระหว่างเดินทาง ชาโดว์ ช็อทสต็อป และแซนด์บอกซ์ แสดงอยู่บนอีกกระดานหนึ่ง ข้อมูลเดียวกันนี้ถูกส่งผ่านสัญญาณวิทยุดิจิตอลต่อต้านการดักฟังไปยังแอนเดรีย ไพรซ์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่นอกห้องทำงานรูปไข่ เจ้าหน้าที่อื่น ๆ อยู่ที่โรงเรียนแคธอลิคเซนต์แมรี่และศูนย์รับดูแลเด็กไจแอนท์สเต็ปส์แล้วซึ่งทั้งคู่ตั้งอยู่ใกล้แอนนาโปลิส เช่นเดียวกับโรงพยาบาลจอห์น ฮอบกิ้นส์ ตำรวจรัฐแมรี่แลนด์รู้ว่าลูก ๆ ไรอันกำลังเดินทางผ่านทางหลวงสาย 50 และส่งรถไปประจำเพิ่มในระหว่างเส้นทางเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีตำรวจอยู่ ในขณะเดียวกัน เฮลิคอปเตอร์นาวิกโยธินอีกเครื่องหนึ่งกำลังบินตามเครื่องของหมอผ่าตัด และลำที่สาม พร้อมกับชุดเจ้าหน้าที่ติดอาวุธเต็มที่กำลังบินตามเด็กทั้งสาม ถ้ามีมือสังหารอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาต้องเห็นการแสดงพลังอย่างชัดเจน เจ้าหน้าที่ในรถที่วิ่งจะตื่นตัวอยู่ในตามปกติ ตรวจดูรถ บันทึกข้อมูลไว้เผื่อว่ามีบางคันปรากฏขึ้นบ่อยไปหน่อย รถของหน่วยคุ้มกันที่ไม่มีเครื่องหมายจะวิ่งอยู่รอบ ๆ อย่างอิสระ ทำหน้าที่อย่างเดียวกันในขณะที่แกล้งทำเป็นเหมือนคนที่กำลังเดินทางไปทำธุระทั่วไป ครอบครัวไรอันจะไม่รู้จริง ๆ เลยว่าการรักษาความปลอดภัยถูกวางไว้รอบกายพวกเขามากขนาดไหน ยกเว้นแต่จะถาม และมีไม่กี่คนที่อยากจะรู้
วันตามปกติกำลังดำเนินไป
ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วตอนนี้ เธอไม่ต้องรอให้ ดร. มูดิบอก ปวดหัวมากขึ้น อ่อนล้าลง เหมือนกับหนูน้อยเบเนดิกท์ มคูซ่า เธอคิด แล้วหวังว่ามันอาจเป็นโรคมาเลเรียเก่าของเธอที่กลับมาอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่เธอชอบใจกับความคิดแบบนั้น แต่หลังจากนั้นความเจ็บปวดก็เข้ามา ไม่ใช่ในข้อต่อ แต่เริ่มจากในท้อง มันเหมือนกับเฝ้าดูพายุที่เคลื่อนเข้ามา เมฆสีขาวก้อนโตที่นำพายุกระหน่ำอย่างรุนแรง และไม่มีสิ่งใดที่เธอจะทำได้นอกจากรอและกลัวสิ่งที่กำลังมา เพราะเธอรู้ดีถึงทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งในใจเธอยังปฏิเสธมันอยู่ และส่วนอื่นพยายามซ่อนไปกับคำสวดและศรัทธา แต่เหมือนกับคนในหนังสยองขวัญ ใช้มือปิดหน้าไม่ต้องการรับรู้ แต่ตาของเธอยังแอบมองข้าง ๆ เพื่อดูว่าอะไรกำลังเข้ามา หวาดกลัวขึ้นไปอีกเพราะเธอไม่อาจหนีมันไปได้
อาการคลื่นเหียนแย่ลง ในไม่ช้าเธอจะควบคุมมันไว้ไม่ได้ ถึงแม้จะตั้งใจขนาดไหนก็ตาม
เธออยู่ในห้องส่วนตัวหนึ่งในไม่กี่ห้องของโรงพยาบาล ดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่ข้างนอก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เป็นวันที่สวยงามในฤดูร้อนผสมฤดูใบไม้ผลิที่ไม่มีสิ้นสุดของแอฟริกา เสาให้ของเหลวทางเส้นเลือดตั้งอยู่ข้างเตียงของเธอ ส่งน้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วเข้าสู่แขนของเธอ พร้อมกับยาแก้ปวดอย่างอ่อนกับสารอาหารเพื่อเสริมสร้างร่างกาย แต่ที่จริงแล้วมันเป็นเกมของการรอคอยเท่านั้น ซิสเตอร์จัง แบบติสต์ทำอะไรได้ไม่มากนอกจากรอ ร่างของเธอไม่มีแรงจากความเมื่อยล้า และเจ็บปวดจนกระทั่งการหันศีรษะไปดูดอกไม้นอกหน้าต่างต้องใช้ความพยายามนับนาที อาการคลื่นเหียนอย่างรุนแรงเกิดขึ้นอย่างน่าตกใจ แต่อย่างไรก็ตามเธอคว้าถาดอาเจียนได้ทัน เธอยังมีสติพอจะเห็นเลือดในนั้น ถึงแม้มาเรีย แมกดาเลนาจะเอาถาดออกไปเทในถังพิเศษ เพื่อนนางพยาบาลและเพื่อนชี เธออยู่ในชุดฆ่าเชื้อแล้ว สวมถุงมือยางและหน้ากากด้วย ดวงตาของเธอซ่อนความทุกข์ใจไว้ไม่ได้
"สวัสดีครับซิสเตอร์" เสียง ดร. มูดิซึ่งอยู่ในชุดเดียวกัน ตาสีเข้มกว่าของเขาเหนือหน้ากากสีเขียวเก็บความรู้สึกไว้ได้มากกว่า เขาตรวจดูชาร์ทที่แขวนไว้ปลายเตียง อุณหภูมิวัดไว้เพียงสิบนาทีก่อนและยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เทเล็กซ์จากแอตแลนตากล่าวถึงเลือดของเธอพึ่งมาถึงหลังจากนั้นอีก นำให้เขาเดินมาที่ตึกผู้ป่วยเฉพาะทันที ผิวขาวของเธอซีดอยู่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ตอนนี้มันดูแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย และแห้ง มูดิคิดจะทำให้คนไข้เย็นลงด้วยแอลกอฮอล์ บางทีน้ำแข็งด้วยในภายหลัง เพื่อสู้กับไข้ นั่นอาจจะไม่ดีสำหรับเกียรติของแม่ชี พวกเธอแต่งตัวอย่างบริสุทธิ์สะอาดเช่นเดียวกับที่ผู้หญิงควรจะแต่ง ชุดโรงพยาบาลที่เธอใส่อยู่ตอนนี้ยิ่งทำให้ความบริสุทธิ์ข้อนั้นด้อยยิ่งขึ้นอีก แต่อย่างไรก็ดี ที่แย่กว่านั้นก็คือสายตาของเธอ เธอรู้ดี แต่เขาก็ยังต้องพูดมันออกไป
"ซิสเตอร์ครับ" นายแพทย์บอกกับเธอ "การทดสอบเลือดของคุณกับอีโบลาแอนติบอดีได้ผลเป็นบวก"
พยักหน้า "ฉันเข้าใจค่ะ"
"ถ้างั้นคุณก็ต้องรู้" เขาเสริมอย่างอ่อนโยน "ว่ายี่สิบเปอร์เซนต์ของผู้ป่วยรอดจากโรคนี้ได้ คุณยังมีความหวังอยู่ ผมเป็นหมอที่ดี ซิสเตอร์แมกดาเลนานี้ก็เป็นนางพยาบาลที่เยี่ยมมาก เราจะช่วยคุณอย่างดีที่สุด ผมยังติดต่อกับเพื่อนร่วมอาชีพบางคนของผมด้วย เราจะไม่ทิ้งคุณ ผมต้องการให้คุณอย่าทิ้งตัวเอง พูดกับพระเจ้าของคุณนะครับ พระองค์ต้องทรงฟังผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์อย่างคุณแน่" คำพูดออกมาอย่างง่ายดาย เพราะอย่างไรแล้วมูดิก็เป็นหมอ และเป็นหมอที่ดีด้วย เขาแปลกใจตัวเองที่หวังครึ่ง ๆ ให้เธอรอดไปได้
"ขอบคุณค่ะคุณหมอ"
มูดิหันไปที่แม่ชีอีกคนก่อนจะออกไป "กรุณาแจ้งข่าวกับผมเรื่อย ๆ นะครับ"
"แน่นอนค่ะคุณหมอ"
มูดิเดินออกจากห้อง เลี้ยวซ้ายไปที่ประตูพร้อมกับถอดชุดป้องกันของเขาออกทิ้งลงในภาชนะที่ถูกต้อง เขาจำไว้ว่าจะต้องพูดกับผู้บริหารให้แน่ใจว่ามาตรการป้องกันได้บังคับใช้อย่างเต็มที่ เขาอยากแม่ชีคนนี้เป็นผู้ป่วยอีโบลารายสุดท้ายในโรงพยาบาลนี้ แม้ในตอนที่เขาพูด ชุดเจ้าหน้าที่จากองค์การอนามัยโลก ((WHO : World Health Organization)) ก็กำลังไปหาครอบครัวมคูซ่าเพื่อสัมภาษณ์พ่อแม่ที่กำลังโศกเศร้า พร้อมกับเพื่อนบ้านและเพื่อน ๆ ของเขา หาว่าเบเนดิกท์อาจจะติดเชื้อมาจากที่ไหนและอย่างไร การคาดเดาที่เป็นไปได้ที่สุดคือแผลลิงกัด
แต่นั่นเป็นเพียงการคาดคะเน เรารู้เรื่องของอีโบลา ซาอีร์ไม่มากนัก และส่วนที่ไม่รู้ส่วนใหญ่ก็เป็นส่วนที่สำคัญ ไม่ต้องสงสัยว่ามันมีอยู่แล้วหลายร้อยปี หรืออาจจะนานกว่านั้น แต่เป็นเพียงโรคอีกโรคในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นานา รู้จักในหมู่แพทย์แค่เป็น "ไข้ป่า" เมื่อเพียงสามสิบปีก่อน พาหะของไวรัสยังเป็นที่คาดเดากันอยู่ หลายคนคิดว่าลิงเป็นพาหะของมัน แต่ลิงชนิดไหนนั้นไม่มีใครรู้ ลิงหลายพันตัวถูกจับหรือยิงเพื่อพยายามค้นหาเรื่องนั้น แต่ไม่มีผล พวกเขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันเป็นโรคในเขตร้อน บันทึกอย่างถูกต้องของการระบาดของไข้แบบนี้ครั้งแรกเกิดในเยอรมัน และยังมีโรคคล้ายกันในฟิลิปปินส์
อีโบลาโผล่ขึ้นและหายไป เหมือนกับวิญญาณร้าย แต่มีช่วงเวลาที่เห็นได้ชัด การระบาดที่ทราบกันเกิดขึ้นทุก ๆ รอแปดถึงสิบปี โดยอธิบายไม่ได้และยังน่าสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะแอฟริกายังล้าหลังอยู่ มีเหตุผลมากมายจะเชื่อได้ว่าเหยื่อได้รับโรคแล้วตายเพราะมันภายในเวลาไม่กี่วัน โดยไม่มีเวลาจะรับการช่วยเหลือทางการแพทย์ เราเข้าใจโครงสร้างของไวรัสบ้างและอาการของมันก็รู้กันแล้ว แต่กลไกของมันยังเป็นปริศนาอยู่ นั่นเป็นปัญหากับวงการแพทย์ เพราะอีโบลา ซาอีร์มีอัตราการตายถึงประมาณแปดสิบเปอร์เซนต์ เหยื่อเพียงหนึ่งในห้าที่รอดชีวิตได้ และทำไมมันถึงเกิดขึ้นอย่างนั้นก็เป็นเพียงอีกรายการหนึ่งในช่อง "ไม่ทราบ" และด้วยเหตุผลเหล่านี้ อีโบลาจึงสมบูรณ์แบบที่สุด
สมบูรณ์แบบจนกระทั่งมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดที่มนุษย์รู้จัก ไวรัสปริมาณเพียงเล็กน้อยอยู่ในแอตแลนตา สถาบันปาสเตอร์ในปารีส และสถาบันอื่น ๆ อีกไม่กี่แห่ง ที่ที่มันถูกศึกษาภายใต้สภาวะที่เหมือนกับอยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์ แพทย์และนักทดลองในชุดอวกาศจำลอง ยังไม่มีความรู้เรื่องอีโบลามากพอจะทำวัคซีนด้วยซ้ำ สายพันธุ์ที่รู้จักสี่สาย สายที่สี่ค้นพบในเหตุการณ์แปลกประหลาดในอเมริกา แต่สายพันธุ์นั้น ในขณะที่เป็นอันตรายกับลิงเช่นกันและไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมมันไม่มีผลรุนแรงกับมนุษย์ แต่มันแตกต่างกันมากเกินไป แม้แต่ในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ในแอตแลนตาซึ่งเขารู้จักบางคน ก็กำลังส่องกล้องจุลทรรศน์อิเลคทรอนเพื่อจัดทำโครงสร้างของพันธุ์ใหม่นี้ เพื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างของสายอื่นที่รู้จักกันในภายหลัง ความคืบหน้านั้นอาจกินเวลาหลายสัปดาห์ และมันอาจจะเหมือนกับความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านั้นซึ่งไม่สามารถสรุปผลได้
จนกว่าจะค้นพบพาหะของโรค มันก็จะยังเป็นไวรัสลึกลับอยู่ เหมือนกับมาจากต่างดาว มีอันตรายถึงตายและลึกลับ สมบูรณ์แบบ
ผู้ป่วยแรก เบเนดิกท์ มคูซ่าตายไปแล้ว ร่างของเขาถูกเผาเป็นเถ้าถ่านด้วยน้ำมัน และไวรัสก็ตายไปพร้อมกับเขา มูดิมีตัวอย่างเลือดอยู่เล็กน้อย แต่มันยังไม่ดีพอ อย่างไรก็ตามซิสเตอร์จัง แบบติสท์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มูดิครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นโทรไปยังสถานทูตอิหร่านในคินชาซา ((Kinshasa เมืองหลวงของซาอีร์)) มีงานจะต้องทำ และงานที่ต้องเตรียมอีก มือของเขาหยุดอย่างไม่เต็มใจ หูโทรศัพท์หยุดอยู่กลางทางระหว่างโต๊ะกับหูของเขา แล้วถ้าพระเจ้าทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของเขาล่ะ? พระองค์อาจจะ มูดิคิด พระองค์อาจจะทรงรับฟัง เธอเป็นสตรีที่บริสุทธิ์อย่างสูงส่งผู้ใช้เวลาแต่ละวันในการสวดมนต์เหมือนกับผู้นับถือใด ๆ ในเมืองโคมบ้านเกิดของเขา เธอผู้ซึ่งศรัทธาในพระเจ้าของเธอมั่นคง และผู้อุทิศชีวิตของตนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการ นั่นเป็นสามในห้าหลักของศาสนาอิสลาม ((Islam's Five Pillars หลักพื้นฐานห้าประการของศาสนาอิสลาม ได้แก่ ศรัทธา สวดมนต์วันละห้าครั้ง ถือศีลอดในเดือนรามาดอน การให้ทาน ไปนครศักดิ์สิทธิ์เมกกะอย่างน้อยหนึ่งครั้ง)) ซึ่งเขาเพิ่มข้อที่สี่เข้าไปได้ เพราะฤดูถือบวชของคริสเตียน ((Christian Lent ฤดูถือศีลอดก่อนถึงเทศกาลอีสเตอร์)) ก็ไม่ได้ต่างไปจากเดือนรามาดอนของอิสลามนัก ((Ramadan เดือนที่เก้าในปฏิทินอิสลาม เป็นเดือนถือศีลอด)) ความคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่อันตราย แต่ถ้าองค์อัลเลาะห์ทรงรับฟังคำสวดอ้อนวอนของเขา แล้วสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำไม่ได้ถูกลิขิตไว้ และจะไม่เกิดขึ้น แล้วถ้าพระองค์ไม่ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของเขาล่ะ...? มูดิหนีบโทรศัพท์กับไหล่ของเขาแล้วกดเบอร์
"ท่านประธานาธิบดีครับ เราจะไม่สนใจมันไม่ได้แล้วครับ"
"ใช่ ผมรู้ อาร์นี่"
แปลกดีที่มันสำคัญตรงที่เทคนิควิธีการ ต้องพิสูจน์ศพให้ได้ทั้งหมด เพราะไม่มีใครตายจนกว่าจะระบุไว้อย่างนั้นในกระดาษแผ่นหนึ่ง และจนกว่าจะประกาศว่าคนคนหนึ่งเสียชีวิต ถ้าคนคนนั้นเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร ตำแหน่งของเขาหรือเธอจะยังไม่ว่างลง และไม่สามารถเลือกใครมาแทนได้ รัฐสภาจึงเป็นเพียงแค่เปลือกเปล่า ๆ ใบมรณบัตรจะออกในวันนี้ และภายในหนึ่งชั่วโมง ผู้ว่าการรัฐ "หลายรัฐ" จะโทรมาถามคำแนะนำของไรอันหรือบอกสิ่งที่พวกเขาจะทำถ้าไม่มีคำขอเป็นอย่างอื่น อย่างน้อยผู้ว่าการรัฐคนหนึ่งจะลาออกจากตำแหน่งในวันนี้แล้วได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยรองผู้ว่าการที่รับตำแหน่งต่อจากเขาเพื่อเป็นการตอบแทนทางการเมืองอย่างสวยงามแต่ก็เห็นได้ชัด ข่าวลือว่าอย่างนั้น
ปริมาณข้อมูลน่าตกใจมาก แม้แต่กับคนที่คุ้นเคยกับแหล่งข้อมูลนั้นแล้ว มันย้อนหลังกลับไปกว่าสิบสี่ปีก่อน แต่ก็น่าจะเป็นจังหวะเวลาที่ดีที่สุดแล้ว เพราะเป็นเวลาที่หนังสือพิมพ์และนิตยสารหันไปใช้สื่ออิเลคทรอนิคส์ ซึ่งสามารถนำขึ้นเครือข่ายเวิร์ลไวด์เว็บได้อย่างง่ายดาย และทำให้อาณาจักรสื่อมวลชนเก็บค่าธรรมเนียมได้บ้างแทนที่จะเก็บไว้ในห้องใต้ดินอับ ๆ หรืออย่างมากก็ขายให้กับห้องสมุดวิทยาลัยโดยแทบไม่ได้อะไรเลย เวิร์ลไวด์เว็บยังเป็นแหล่งรายได้ที่ใหม่อยู่ แต่สื่อก็พุ่งเข้าใส่มันเต็มที่ เพราะตอนนี้เป็นครั้งแรกที่ข่าวจะอยู่ได้นานกว่าที่มันเคยเป็นในอดีต มันเป็นแหล่งที่พร้อมให้นักข่าวของตัวเองใช้ สำหรับนักศึกษา สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็นเป็นส่วนตัว และสำหรับคนที่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็นในทางอาชีพโดยเฉพาะ ที่ดีที่สุดคือจำนวนคนที่ค้นหาข้อมูลจากคำที่ต้องการมีมหาศาลจนการตรวจสอบผู้ค้นหาเป็นไปไม่ได้เลย
แต่เขาก็ระมัดระวังอยู่นั่นเอง ที่จริงเป็นคนของเขามากกว่า การค้นหาในเว็บทำในยุโรปทั้งหมด โดยเฉพาะในลอนดอน ผ่านแอคเคาท์สมาชิกอินเตอร์เน็ตใหม่เอี่ยมที่มีอายุอยู่จนถึงเวลาที่ใช้ในการดึงข้อมูลเสร็จสิ้น หรือผ่านแอคเคาท์สถานศึกษาที่มีคนใช้มากมาย ใส่คำที่ใช้ค้นหา ไรอัน จอห์น แพทริค, ไรอัน แจ๊ค, ไรอัน แคโรไลน์, ไรอัน แคธี่, ลูก ๆ ไรอัน, ครอบครัวไรอัน และอื่น ๆ อีกมากมายเข้าไป จากนั้น "ผล" ที่ได้นับพัน ๆ ก็ออกมา หลายอันไม่ใช่ที่ต้องการเพราะ "ไรอัน" ไม่ใช่ชื่อที่แปลกประหลาดนัก แต่ขั้นตอนการตรวจสอบก็ไม่ได้ยากนัก
ชิ้นที่น่าสนใจจริง ๆ เริ่มเมื่อไรอันอายุสามสิบเอ็ดและเข้ามาสู่สายตาของสาธารณะในลอนดอน แม้แต่ภาพก็มีอยู่ด้วย ถึงแม้จะใช้เวลานานในการดาวน์โหลด แต่มันก็คุ้มค่าการรอคอย โดยเฉพาะภาพแรก ภาพนั้นแสดงให้เห็นชายหนุ่มนั่งอยู่บนถนน เปื้อนไปด้วยเลือด นั่นไม่มีแรงดลใจบ้างหรอกเหรอ? บุคคลหลักในภาพดูเหมือนกับตายแล้ว แต่เขารู้ดีว่าคนที่บาดเจ็บมักจะดูเป็นอย่างนั้น จากนั้นก็เป็นภาพอีกชุดของรถที่พังกับเฮลิคอปเตอร์ลำเล็ก ช่วงปีระหว่างนั้นข้อมูลของไรอันมีน้อยมากอย่างน่าแปลกใจ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องถากถางเกี่ยวกับการให้การอย่างไม่เปิดเผยของมันต่อรัฐสภาอเมริกัน มีผลการค้นหาอีกเกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีของฟาวเลอร์ ทันทีหลังจากความวุ่นวายในระยะแรก มีรายงานว่าไรอันเองได้ขัดขวางการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์...และไรอันเองก็พูดเป็นนัย ๆ เรื่องนั้นกับดาริเย...แต่เรื่องนั้นไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แล้วไรอันเองก็ไม่เคยพูดกับใคร นั่นเป็นเรื่องสำคัญ นั่นบอกได้บางอย่างเกี่ยวกับตัวหมอนั่น แต่เรื่องนั้นก็เอาไว้ทีหลังได้
เมียเขา มีข่าวมากมายเรื่องเธอเหมือนกัน รวมทั้งในบทความหนึ่งมีเบอร์โทรศัพท์ที่ทำงานของเธอที่โรงพยาบาล ศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ ดีทีเดียว ข่าวชิ้นเร็ว ๆ นี้บอกว่าเธอจะทำงานนั้นต่อไป ยอดเยี่ยม พวกเขารู้แล้วว่าจะมองหาเธอได้ที่ไหน
พวกเด็ก ๆ ลูกคนเล็ก ใช่แล้ว ลูกคนเล็กเข้าสถานดูแลเด็กที่เดียวกันกับคนโต มีรูปด้วย บทความเด่นเกี่ยวกับงานแรกในทำเนียบขาวของไรอันยังบอกชื่อโรงเรียนที่ลูกคนโต ๆ เรียน...
นี่มันน่าทึ่งทีเดียว เขาเริ่มหาพยายามข้อมูลโดยรู้ว่าเขาจะได้ข้อมูลนี้ทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้น ข้อมูลในวันเดียวนี้มากกว่าที่คนสิบคนจะหาได้ในทั้งสัปดาห์ โดยเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวมากพอสมควร พวกอเมริกาโง่จริง ๆ พวกนั้นเชิญชวนให้ถูกโจมตีเลย พวกนั้นไม่มีหัวคิดเรื่องความลับหรือความปลอดภัย มันเป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้นำจะปรากฏตัวต่อสาธารณชนบ้างนาน ๆ ครั้ง ทุกคนทำอย่างนั้น แต่เป็นอีกเรื่องเลยที่ให้ทุกคนรู้สิ่งที่ไม่มีใครอยากจะรู้จริง ๆ
เอกสารทั้งหมดรวมแล้วมากกว่า 2,500 หน้าจะถูกสต๊าฟฟ์ของเขาจัดเรียงและทำจุดอ้างอิงโยงกัน ยังไม่มีแผนจะทำการอะไรจากมัน มันเป็นเพียงข้อมูลดิบ แต่นั่นก็เปลี่ยนไปได้
"รู้มั้ย ฉันว่าฉันชอบบินมาทำงานนะ" แคธี่ ไรอันบอกกับรอย อัลท์แมน
"อ้าว?"
"ประสาทเสียน้อยกว่าขับเอง แต่ฉันไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดไปหรอก" เธอเสริมขณะเดินไปตามแถวซื้ออาหาร
"คงจะไม่ครับ" อัลท์แมนมองไปรอบ ๆ อยู่เรื่อย ๆ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่อีกสองคนอยู่ในห้อง พยายามทำตัวกลมกลืนอย่างดีที่สุดแต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ถึงแม้จอห์น ฮอบกิ้นส์จะเป็นสถาบันที่มีแพทย์เต็ม 2,400 คน แต่มันก็ยังเป็นเหมือนหมู่บ้านที่ทุกคนมีอาชีพเดียวกัน ทุกคนรู้จักกันเกือบทั้งหมด แล้วหมอก็ไม่พกปืนด้วย อัลท์แมนอยู่ใกล้ ๆ เพราะจะดีกว่าถ้าได้เรียนรู้กิจวัตรของผู้ที่เขาคุ้มกัน และเธอก็ดูจะไม่ถือสา เขาอยู่กับเธอในการผ่าตัดตอนเช้าทั้งสองครั้ง และด้วยความที่เธอเป็นครู แคธี่อธิบายทุกขั้นตอนอย่างละเอียดยิบ บ่ายวันนี้เธอจะสอนนักเรียนประมาณครึ่งโหล มันเป็นประสบการณ์การศึกษาครั้งแรกของอัลท์แมนในระหว่างทำงาน อย่างน้อยก็มีคุณค่าในสาขาที่นอกเหนือจากการเมือง สาขาที่เขาเกลียด ข้อสังเกตต่อไปของเขาคือ หมอผ่าตัดทานเหมือนกับนก เธอไปที่ต้นแถวแล้วจ่ายค่าอาหารของเธอและอัลท์แมน ถึงเขาจะไม่ค่อยยอม
"นี่เป็นถิ่นของฉันนะ รอย" เธอมองไปรอบ ๆ แล้วเห็นคนที่เธอต้องการทานข้าวเที่ยงด้วย เดินไปทางนั้นพร้อมกับอัลท์แมนตามหลัง "ว่าไง เดฟ"
คณบดีเจมส์และแขกของเขายืนขึ้น "สวัสดี แคธี่ ขอผมแนะนำสมาชิกใหม่ของคณะหน่อย ปิแอร์ อเล็กซานเดอร์ อเล็กซ์ นี่คือแคธี่ ไรอัน-"
"คนเดียวกับที่-"
"ขอร้องเถอะค่ะ ฉันยังเป็นหมอ แล้วก็-"
"คุณเป็นคนที่อยู่ในรายชื่อรางวัลลาสเกอร์ ใช่มั้ยครับ?" อเล็กซานเดอร์ขัดจังหวะเธอด้วยประโยคนั้น ยิ้มของแคธี่ทำให้ห้องสดใสขึ้นทันที
"ใช่ค่ะ"
"ยินดีด้วยครับ คุณหมอ" เขายื่นมือออกมา แคธี่ต้องวางถาดของเธอลงก่อนจะจับมือ อัลท์แมนดูอยู่ด้วยสายตาที่พยายามไม่แสดงความรู้สึก แต่แสดงอย่างอื่นแทน "คุณคงอยู่ในหน่วยคุ้มกัน"
"ใช่ครับผม รอย อัลท์แมน"
"เยี่ยมมาก สุภาพสตรี่ที่น่ารักและฉลาดขนาดนี้สมควรได้รับความคุ้มครองอย่างเหมาะสม" อเล็กซานเดอร์กล่าว "ผมพึ่งออกจากกองทัพมาครับ คุณอัลท์แมน ผมเคยเห็นพวกคุณที่วอลเตอร์ รีด เมื่อตอนที่ลูกสาวประธานาธิบดีฟาวเลอร์กลับจากบราซิลพร้อมกับเชื้อโรคเขตร้อน ผมจัดการเคสนั้นเอง"
"อเล็กซ์ทำงานกับราล์ฟ ฟอสเตอร์" ท่านคณบดีอธิบายขณะที่ทุกคนนั่งลง
"โรคติดต่อ" แคธี่บอกกับองครักษ์ของเธอ
อเล็กซานเดอร์พยักหน้า "ตอนนี้กำลังเรียนรู้เทคนิคอยู่ครับ แต่ผมได้บัตรจอดรถแล้ว ผมเลยคิดว่าผมคงได้อยู่ที่นี่จริง ๆ"
"ฉันคิดว่าคุณคงเป็นครูที่ดีพอ ๆ กับราล์ฟนะคะ"
"เขาเป็นหมอชั้นยอด" อเล็กซานเดอร์เห็นด้วย แคธี่ตกลงใจว่าเธอชอบหน้าใหม่คนนี้ เธอสงสัยต่อไปถึงสำเนียงและกิริยาแบบคนใต้ "ราล์ฟบินลงไปที่แอตแลนตาเช้านี้ครับ"
"มีอะไรพิเศษเหรอคะ?"
"มีผู้ป่วยที่อาจจะติดเชื้ออีโบลาในซาอีร์ ชายแอฟริกัน อายุแปดปี อีเมลพึ่งมาถึงเช้านี้เองครับ"
ตาของแคธี่หรี่ลงจากคำพูดนั้น ถึงเธอจะอยู่ในสายงานการแพทย์ที่แตกต่างกันไปเลย แต่เหมือนกับแพทย์คนอื่น ๆ เธอได้รับรายงานการป่วยและเสียชีวิต ((Morbidity and Mortality Report)) และพยายามติดตามทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ การแพทย์เป็นวิชาที่การเรียนไม่มีวันสิ้นสุด "แค่หนึ่งเองเหรอคะ?"
"ครับ" อเล็กซานเดอร์พยักหน้า "ดูเหมือนเด็กคนนั้นโดนลิงกัดที่แขน ผมเคยไปที่นั่นแล้ว ผมประจำอยู่นอกดีทริค ((Detrick)) ตอนเกิดการระบาดย่อย ๆ ในปี 1990"
"กับกัส ลอเรนซ์เหรอ?" คณบดีเจมส์ถาม อเล็กซานเดอร์ส่ายหน้า
"เปล่าครับ กัสกำลังทำอย่างอื่นอยู่ตอนนั้น หัวหน้าชุดคือจอร์จ เวสต์ฟัล"
"อ๋อ เขา-"
"ตาย" อเล็กซ์ยืนยัน "เรา เอ้อ เก็บมันเงียบไว้ แต่เขาติดมัน ผมดูแลเขาเอง มันไม่ใช่เรื่องสนุกนักที่ได้เห็น"
"เขาทำอะไรพลาดเหรอ? ผมไม่รู้จักเขาดีนัก" เจมส์พูด "แต่กัสบอกผมว่าเขาเป็นดาวรุ่ง จากยูซีแอลเอ เท่าที่จำได้" ((UCLA - University of California, Los Angeles))
"จอร์จฉลาดมากครับ เยี่ยมที่สุดเรื่องโครงสร้างเท่าที่ผมเคยพบมาเลย แล้วเขาก็ระมัดระวังเท่า ๆ กับพวกเราทุกคน แต่เขาก็ติดมัน เราไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง การระบาดย่อยครั้งนั้นฆ่าคนไปสิบหกคน เราได้ผู้รอดตายสองคน ผู้หญิงทั้งคู่ อายุยี่สิบต้น ๆ เราไม่พบอะไรโดดเด่น บางทีพวกเธออาจจะแค่โชคดี" อเล็กซานเดอร์กล่าว แต่ไม่ได้เชื่อมันจริง ๆ เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นโดยไม่เหตุผลใดก็เหตุผลหนึ่ง มันเป็นแค่เพราะว่าเขายังไม่พบมัน ถึงจะเป็นงานของเขาที่ต้องค้นหามัน "ไม่ว่าอย่างไร มีผู้ป่วยทั้งหมดแค่สิบแปดคน นั่นคือโชคดีแล้ว เราอยู่ที่นั่นหกหรือเจ็ดอาทิตย์ ผมเอาปืนลูกซองเข้าป่าแล้วยิงลิงไปเป็นร้อย พยายามจะหาตัวที่เป็นพาหะ แต่โชคไม่ดี สายพันธุ์นั้นเรียกว่าอีโบลา ซาอีร์ มายิงกา ผมว่าตอนนี้พวกเขาคงกำลังเทียบมันกับที่เด็กคนนั้นติดมา อีโบลาเป็นไอ้ตัวร้ายที่จับได้ยากทีเดียวล่ะครับ"
"แค่หนึ่งเองเหรอ?" แคธี่ถาม
"ข่าวว่าอย่างนั้นครับ ไม่ทราบวิธีติดต่อ เหมือนปกติ"
"ลิงกัด?"
"ครับ แต่เราจะไม่พบลิงนั่นแน่ เราไม่เคยเลย"
"มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?" อัลท์แมนถาม ระงับความอยากร่วมวงสนทนาไม่ไหวอีกต่อไป
"คุณครับ การคาดเดาอย่างเป็นทางการคืออัตราการตายแปดสิบเปอร์เซนต์ พูดกันอย่างนี้ดีกว่า ถ้าคุณชักปืนพกของคุณออกมาแล้วยิงผมที่หน้าอกที่นี่เดี๋ยวนี้ ผมมีโอกาสรอดมากกว่าจะเอาชนะเจ้าตัวจิ๋วนั้น" อเล็กซานเดอร์ทาเนยลงขนมปังของเขาแล้วเตือนตัวเองให้แวะไปเยี่ยมภรรยาม่ายของเวสต์ฟัล นั่นทำให้ไม่อยากกินอาหารไปเลย "อาจจะมากกว่าเยอะ จากศัลยแพทย์ที่เรามีอยู่ที่ฮอลสเตด ((Halstead)) คุณมีโอกาสสูงกว่ากับมะเร็งในเลือด ((leukemia เกิดจากเซลเม็ดเลือดขาวเพิ่มจำนวนไม่หยุด)) สูงกว่ามากกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ((lymphoma)) น้อยลงนิดหน่อยกับเอดส์ แต่เชื้อนั่นให้เวลาคุณสิบปี อีโบลาให้คุณอาจจะสิบวัน นั่นมันก็ร้ายแรงได้อย่างที่สุดแล้วครับ"
Thai translation by Kaii
This page hosted by
Get your own Free Home Page