![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ไรอันเขียนหนังสือของเขาด้วยตัวเองทั้งหมด เขาพิมพ์หนังสือสองเล่มเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การรบทางเรือ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนกับการระลึกชาติก่อนที่ผุดขึ้นบนเตียงนักสะกดจิต แล้วก็ยังมีเอกสารนับไม่ถ้วนสำหรับซีไอเอ แต่ละชิ้นเขาทำด้วยตัวเอง ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดและช่วงหลังด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เขาไม่เคยชอบการเขียนเรื่อง มันเป็นงานที่ยาก แต่เขาชอบความสันโดษของมัน อยู่คนเดียวในโลกทางปัญญาใบเล็กของเขา ปลอดภัยจากการขัดจังหวะใด ๆ ขณะที่เขาจัดเรียงความคิดและเปรียบแนวทางนำเสนอจนมันใกล้ความสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ด้วยวิธีนั้น มันเป็นความคิดของเขาเสมอ และกระบวนการขั้นก็มีความสมบูรณ์ในตัวเอง
ไม่อีกต่อไปแล้ว
หัวหน้าผู้ร่างสุนทรพจน์คือคอลลี่ เวสตัน ไม่สูง ร่างเล็ก ผมสีทองเข้ม และเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้คำ ซึ่งเช่นกับสต๊าฟฟ์ทำเนียบขาวอีกมากมายที่เข้ามาพร้อมกับประธานาธิบดีฟาวเลอร์แล้วไม่สามารถออกไปได้
"ท่านไม่ชอบร่างคำพูดของฉันที่โบสถ์เหรอคะ?" และเธอยังไม่มีความเกรงกลัวด้วย
"จากใจจริงนะ ผมแค่คิดว่าผมต้องพูดอย่างอื่น" แล้วแจ๊คก็รู้ตัวว่าเขากำลังป้องกันตัวเองจากใครบางคนที่เขาแทบไม่รู้จักเลย
"ฉันร้องไห้" เธอหยุดรอให้มันมีผล จ้องตาของเขาอย่างตาเขม็งเหมือนกับงูพิษเป็นเวลาหลายวินาที เห็นได้ชัดว่ากำลังประเมินเขา "ท่านแตกต่างไปค่ะ"
"คุณหมายความว่ายังไง?"
"ฉันหมายความว่า ท่านต้องเข้าใจนะคะท่านประธานาธิบดี ประธานาธิบดีฟาวเลอร์เอาตัวฉันไว้เพราะฉันทำให้เขาดูเมตตากรุณาขึ้น เขาเป็นคนเย็นชาต่อสิ่งต่าง ๆ น่าสงสาร ส่วนประธานาธิบดีเดอลิ่งเอาฉันไว้เพราะเขาไม่มีใครดีกว่านี้ ฉันชนกับพวกสต๊าฟฟ์ฝั่งตรงข้ามนั่นตลอดเวลรา พวกนั้นชอบแก้งานของฉัน ฉันไม่ชอบให้พวกลูกกระจ๊อกมาแก้ไข เราสู้กัน อาร์นี่เข้าข้างฉันมากเพราะฉันอยู่โรงเรียนเดียวกับหลานคนโปรดของเขา แล้วฉันก็เป็นมือดีที่สุดในงานนี้แล้ว แต่ฉันอาจจะเป็นตัวแสบสำหรับสต๊าฟฟ์ของท่านก็ได้ ท่านต้องทราบเรื่องนี้" มันเป็นคำอธิบายที่ดี แต่ไม่ตรงจุด
"ทำไมผมแตกต่างไป?"
"ท่านพูดสิ่งที่ท่านคิดแทนที่จะพูดสิ่งที่ท่านคิดว่าผู้คนคิดว่าพวกเขาต้องการได้ยิน การเขียนคำพูดให้ท่านจะเป็นเรื่องยากทีเดียว ฉันไปใช้น้ำบ่อเดิมไม่ได้แล้ว ฉันต้องเรียนรู้วิธีเขียนแบบที่ฉันชอบ ไม่ใช่วิธีที่มีคนจ้างให้เขียน แล้วฉันต้องเรียนรู้วิธีเขียนให้เหมือนกับที่ท่านพูด มันต้องลำบากแน่ค่ะ" เธอบอกกับเขา เตรียมพร้อมรับความท้าทายไว้แล้ว
"ผมเข้าใจล่ะ" เนื่องจากนางสาวเวสตันไม่ใช่สต๊าฟฟ์วงใน แอนเดรีย ไพรซ์จึงยืนพิงผนังอยู่ (ควรจะเป็นมุมห้อง แต่ว่าห้องทำงานรูปไข่ไม่มีมุม) แล้วสังเกตทุกอย่างด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา หรือพยายามจะทำอย่างนั้น ไรอันกำลังศึกษาวิธีอ่านภาษากายของเธอ เห็นได้ชัดว่าไพรซ์ไม่สนใจใยดีเวสตันเท่าไหร่ เขาสงสัยว่าทำไม "เอาล่ะ คุณจะทำอะไรได้มั่งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง?"
"ท่านคะ มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่ท่านต้องการจะพูดค่ะ" ผู้ร่างสุนทรพจน์ชี้ให้เห็น ไรอันบอกประโยคสั้น ๆ สองสามประโยคกับเธอ เธอไม่จดบันทึก แค่ซึมซาบมัน ยิ้ม แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง
"พวกนั้นจะทำลายท่านแน่ค่ะ ท่านก็รู้ บางทีอาร์นี่ยังไม่ได้บอก บางทีพวกสต๊าฟฟ์ยังไม่ได้บอก หรือไม่คิดจะบอกด้วย แต่มันจะเกิดขึ้นแน่ค่ะ" คำกล่าวนั้นกระแทกเจ้าหน้าที่ไพรซ์จากผนังตรงที่เธอพิงอยู่ พอที่ทำให้เธอยืนทรงตัวแทนที่จะพิงผนัง
"ทำไมคุณคิดว่าผมอยากจะอยู่นี่ล่ะ?"
เธอกระพริบตา "ขอโทษค่ะ ฉันไม่ค่อยคุ้นกับเรื่องนี้เท่าไหร่"
"นี่น่าจะเป็นการสนทนาที่ดี แต่ผม-"
"ฉันอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของท่านเมื่อวานซืนนี้ ท่านใช้คำไม่ค่อยเก่ง ถ้าพูดในเชิงเทคนิคคือไม่หรูหรา แต่ท่านอธิบายสิ่งต่าง ๆ อย่างชัดเจน ฉันต้องกลับไปใช้สำนวนแบบเดิมของฉันเพื่อให้เหมือนกับเป็นท่าน ประโยคสั้น ๆ ไวยากรณ์ของท่านดี ฉันเดาว่าคงได้จากโรงเรียนแคธอลิค ท่านไม่หลอกใคร ท่านพูดออกมาตรง ๆ" เธอยิ้ม "สุนทรพจน์ยาวขนาดไหนคะ?"
"คิดเป็นสิบห้านาที"
"ฉันจะกลับมาในสามชั่วโมงค่ะ" เวสตันให้สัญญาแล้วลุกขึ้น ไรอันผงกศีรษะ เธอจึงเดินออกไปจากห้อง จากนั้นท่านประธานาธิบดีมองหน้าเจ้าหน้าที่ไพรซ์
"ว่ามาสิ" เขาสั่ง
"เธอเป็นตัวแสบที่สุดที่นั่นแล้วค่ะ ปีที่แล้วเธอทำร้ายสต๊าฟฟ์ระดับล่างคนหนึ่งในเรื่องอะไรสักอย่าง รปภ. ต้องดึงเธอออกจากเขาเลย"
"ในเรื่องอะไร?"
"สต๊าฟฟ์คนนั้นพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับสุนทรพจน์ชิ้นหนึ่งที่เธอร่าง แล้วตั้งข้อสังเกตว่าเธอคงมีภูมิหลังด้านครอบครัวที่ไม่ปกติ เขาออกไปในวันต่อมา ไม่มีอะไรเสียหาย" ไพรซ์สรุป "แต่เธอเป็นพวกอวดดี เธอไม่ควรพูดสิ่งที่เธอพูดไป"
"แล้วถ้าเธอถูกล่ะ?"
"ท่านคะ มันไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่ว่า-"
"เธอพูดถูกรึเปล่า?"
"ท่านแตกต่างไปค่ะ ท่านประธานาธิบดี" ไพรซ์ไม่ได้บอกว่าเธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี และไรอันก็ไม่ได้ถาม
แต่อย่างไรท่านประธานาธิบดีมีสิ่งอื่นที่ต้องทำ เขายกหูโทรศัพท์และฟังเสียงเลขานุการตอบมา
"คุณช่วยต่อจอร์จ วินสตันที่กลุ่มโคลัมบัสหน่อย"
"ค่ะท่านประธานาธิบดี ฉันจะต่อเขาให้ค่ะ" เธอไม่มีหมายเลขนั้นอยู่ในหัวตอนนี้ จึงยกโทรศัพท์อีกเครื่องเพื่อพูดกับห้องสื่อสาร จ่าทหารเรือข้างล่างนั่นมีหมายเลขอยู่บนกระดาษโพสต์-อิท จึงอ่านให้ฟัง ในชั่วครู่ต่อมาเขาส่งกระดาษนั้นให้กับนาวิกโยธินที่นั่งเก้าอี้ตัวถัดไป นย. ล้วงกระเป๋าของเธอเจอเหรียญยี่สิบห้าเซนต์สี่เหรียญแล้วส่งมันให้กับเจ้าปลาหมึกยิ้มนั่น
"ท่านประธานาธิบดีคะ ดิฉันต่อคุณวินสตันได้แล้วค่ะ" โทรศัพท์ภายในบอก
"จอร์จ?"
"ครับท่าน"
"คุณลงมานี่ได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่?"
"แจ๊ค -ท่านประธานาธิบดีครับ ผมกำลังพยายามฟื้นธุรกิจของผมอยู่นะครับแล้ว-"
"เร็วขนาดไหน?" ไรอันถามย้ำอีกครั้ง
วินสตันต้องหยุดคิดครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องกัลฟ์สตรีมของเขาไม่ได้เตรียมพร้อมไว้ในวันนี้ ((Gulfstream)) แล้วถ้าไปที่สนามบินน้วก ((Newark))... "ผมจับรถไฟเที่ยวหน้าก็ได้ครับ"
"บอกผมนะว่าคุณขึ้นขบวนไหน ผมจะให้คนไปรอรับคุณ"
"ตกลงครับ แต่ท่านต้องทราบว่าผมไม่สามารถ-"
"คุณทำได้แน่ แล้วเจอกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงนะ" ไรอันวางสาย แล้วหันไปทางไพรซ์ "แอนเดรีย ให้ใครสักคนเอารถไปรับเขาที่สถานีนะ"
"ค่ะท่านประธานาธิบดี"
ไรอันคิดว่ามันยอดเยี่ยมที่ได้ออกคำสั่งแล้วมีคนทำตาม ใครก็ชินกับเรื่องนี้ได้
"ชั้นไม่ชอบปืน!" เธอพูดมันดังพอที่ทำให้สองสามคนหันหน้ามา ถึงพวกเด็ก ๆ จะหันกลับไปหาบล็อคของเล่นกับดินสอสีทันที แต่มีผู้ใหญ่อยู่แถวนั้นมากกว่าปกติ สามคนในนั้นมีสายม้วนเกลียวโยงกับหูฟังอยู่ ทั้งหมดหันไปมองแม่ผู้ "กังวล" (มันเป็นคำที่ทุกคนใช้ในกรณีอย่างนี้) ในฐานะหัวหน้าชุดคุ้มกัน ดอน รัสเซลเดินไปหาเธอ
"สวัสดีครับ" เขาชูบัตรประจำตัวหน่วยคุ้มกัน "มีอะไรที่ผมช่วยได้บ้างหรือเปล่าครับ?"
"พวกคุณต้องอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ!"
"ครับคุณผู้หญิง เราต้องอยู่ ขอทราบชื่อได้ไหมครับ?"
"ทำไมล่ะ?" ชีลา วอล์คเกอร์ถาม
"อืม เป็นเรื่องดีที่รู้ชื่อคนที่เรากำลังคุยด้วย จริงไหมครับ คุณผู้หญิง?" รัสเซลชี้แจง แล้วก็ดีด้วยที่จะได้ตรวจสอบประวัติของคนแบบนี้
"นี่คือคุณนายวอล์คเกอร์ค่ะ" นางมาร์ลีน แดกเกตต์ เจ้าของและผู้ดูแลศูนย์ดูแลเด็กไจแอนท์ สเต็ปบอก
"อ๋อ จัสติน ลูกชายของคุณอยู่ตรงนั้นใช่รึเปล่าครับ?" รัสเซลยิ้ม เด็กชายวัยสี่ขวบกำลังสร้างหอคอยด้วยบล็อคไม้เนื้อแข็งที่เขาจะทลายมันลงในเวลาต่อไปและนำความขบขันมาให้กับหลายคนในห้องนั้น
"ฉันไม่ชอบปืน แล้วฉันก็ไม่ชอบให้เด็ก ๆ อยู่ใกล้มันนะ"
"คุณนายวอล์คเกอร์ครับ อย่างแรก เราเป็นตำรวจนะครับ เรารู้วิธีการพกพาอาวุธปืนอย่างปลอดภัยดี อย่างที่สอง ระเบียบของเราบังคับให้เราพกอาวุธตลอดเวลา อย่างที่สาม ผมขอให้คุณมองให้แง่นี้ดีกว่าครับ ลูกชายของคุณจะปลอดภัยที่สุดกับเราที่นี่ คุณจะไม่ต้องกังวลเรื่องจะมีใครเข้ามาขโมยลูกคุณไปจากสนามเด็กเล่นข้างนอกนั่นเลยครับ"
"ทำไมเด็กนั่นต้องอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ?"
รัสเซลยิ้ม "คุณนายวอล์คเกอร์ครับ หนูเคที่ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีนะครับ คุณพ่อของเธอต่างหากที่เป็น เธอไม่มีสิทธิ์จะใช้ชีวิตแบบเด็กทั่วไปเหมือนกับจัสตินของคุณหรือครับ?"
"แต่มันอันตรายแล้วก็-"
"ไม่หรอกครับถ้าเราอยู่ใกล้ ๆ ไม่อันตรายแน่" เขายืนยัน เธอหันกลับไป
"จัสติน!" ลูกชายของเธอหันมาเห็นแม่กำลังถือเสื้อนอกของเขา เขาหยุดชะงักไปสักวินาทีแล้วดันบล็อคไปเล็กน้อยด้วยนิ้วเดียว รอให้กองบล็อคสูงสี่ฟุตล้มลงเหมือนกับต้นไม้ล้ม
"วิศวกรฝึกหัด" รัสเซลได้ยินจากหูฟังของเขา "ผมจะตรวจดูทะเบียนรถของเธอ" เขาพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่หญิงที่ทางเดิน ภายในยี่สิบนาทีพวกเขาจะได้แฟ้มใหม่ที่ต้องตรวจดู บางทีมันอาจจะบอกแค่ว่านางวอล์คเกอร์เป็นตัวแสบยุคนิวเอจ แต่ถ้าเธอมีประวัติปัญหาด้านจิต (เป็นไปได้) หรือประวัติอาชญากรรม (ไม่น่าจะมี) มันจะเป็นสิ่งที่ต้องจำ เขากวาดสายตาไปทั่วห้องอย่างอัตโนมัติ แล้วก็ส่ายหน้า แซนด์บ็อกซ์เป็นเด็กปกติที่อยู่ในกลุ่มเด็กปกติ ในขณะนี้เธอกำลังระบายสีในกระดาษเปล่า ใบหน้าของเธอขมวดมุ่นแสดงความตั้งอกตั้งใจเต็มที่ เธอผ่านวันนี้ไปอย่างปกติ ทานข้าวกลางวันอย่างปกติ นอนกลางวันอย่างปกติ แล้วในไม่ช้าจะได้เดินทางอย่างไม่ปกติกลับไปยังบ้านที่ไม่ปกติอย่างแน่นอน เธอไม่สนใจการโต้เถียงระหว่างเขากับแม่ของจัสติน เด็ก ๆ ฉลาดพอที่ทำตัวเป็นเด็ก เป็นคำพูดที่มากเกินกว่าจะบอกกับพ่อแม่หลายคู่ได้
นางวอล์คเกอร์นำลูกชายของเธอไปที่รถของครอบครัว ไม่มีใครแปลกใจที่เป็นวอลโว่แวน เธอรัดเข็มขัดเขากับที่นั่งนิรภัยด้านหลังรถ ดอนจำทะเบียนรถไว้เพื่อตรวจสอบ รู้ดีว่ามันจะไม่นำไปสู่เรื่องสำคัญอะไร แล้วก็รู้ดีว่าพวกเขาต้องตรวจสอบอยู่ดี เพราะมันมีโอกาสที่...
ย้อนกลับไปถึงตอนนั้น เหตุผลที่พวกเขาต้องระมัดระวัง พวกนั้นอยู่ที่นี่ ที่ทางหลวงริทชี่เหนือแอนนาโปลิส ที่ไจแอนท์ สเต็ป ศูนย์ดูแลเด็กแห่งเดียวที่ครอบครัวไรอันใช้ตั้งแต่ชาโดว์ยังเล็กอยู่ พวกคนร้ายใช้ร้านเซเว่น-อีเลเว่นฝั่งตรงข้ามคอยเฝ้าดู จากนั้นก็ใช้รถแวนแต่งเองตามหมอผ่าตัดในรถพอร์ชคันเก่าของเธอ และบนสะพานทางหลวงสาย 50 พวกนั้นก็เปิดฉากการโจมตีย่อย ๆ และฆ่าตำรวจรัฐไปคนหนึ่งระหว่างหนี ดร.ไรอันตั้งท้องชอร์ทสต็อปอยู่ตอนนั้น ส่วนแซนด์บ็อกซ์ยังอยู่ในอนาคตที่ไม่ได้คาดถึง ทั้งหมดนี้ส่งผลแปลก ๆ ต่อเจ้าหน้าที่พิเศษมาร์เซลลา ฮิลตัน เธอเป็นโสด อีกครั้ง เธอหย่ามาสองครั้งแล้วและไม่มีลูก การได้อยู่ใกล้เด็ก ๆ ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้น ถึงเป็นมืออาชีพขนาดไหนก็ตาม เธอคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของฮอร์โมนในตัวเธอ หรือสิ่งที่อยู่ในสมองผู้หญิง หรือบางทีเธออาจแค่ชอบเด็กและอยากจะมีลูกสักคน ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ความคิดที่ว่ามีใครอาจทำร้ายเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเจตนาทำให้เลือดในกายของเธอเย็นเฉียบไปได้ชั่วขณะหนึ่ง เหมือนลมหนาวที่พัดมาแล้วจากไป
ที่นี่มีจุดอ่อนมากเกินไป และข้างนอกนั่นก็มีคนที่ไม่คิดสักนิดก่อนจะทำร้ายเด็ก แล้วร้านเซเว่น-อีเลเว่นนั่นก็ยังอยู่ที่เดิม มีเจ้าหน้าที่หกคนอยู่ในชุดคุ้มกันของแซนด์บ็อกซ์ตอนนี้ มันจะลดลงเหลือสามหรือสี่คนในไม่กี่สัปดาห์ หน่วยคุ้มกันไม่ได้เป็นหน่วยที่ทรงพลังเหมือนที่ใคร ๆ คิด อ๋อ แน่นอน มันยังมีแขนขาอยู่มากรวมถึงอำนาจการสืบสวนที่บางคนสงสัยอยู่ หน่วยคุ้มกันเป็นหน่วยเดียวในบรรดาหน่วยตำรวจรัฐบาลที่สามารถเคาะประตูบ้านใครคนหนึ่งแล้วเดินเข้าไปสัมภาษณ์ "อย่างเป็นมิตร" กับใครบางคนที่อาจเป็นภัยคุกคามได้ ด้วยการคาดคะเนจากหลักฐานที่อาจจะใช้ได้ในศาลหรือไม่ก็ได้ เป้าหมายของการสัมภาษณ์แบบนั้นก็เพื่อจะให้บุคคลนั้นรู้ตัวว่าเขาหรือเธออยู่ภายใต้สายตาที่เฝ้าจับจ้องดูอยู่แล้ว ถึงนั่นจะไม่จริงนัก เพราะหน่วยคุ้มกันมีเจ้าหน้าที่เพียง 1,200 คนทั่วประเทศ แต่แค่ความคิดก็เพียงพอจะทำให้คนที่พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดผิดที่ผิดทางเกิดความกลัวแทบบ้าแล้ว
แต่คนพวกนั้นไม่ใช่ภัยคุกคาม ตราบใดที่เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างถูกต้อง ภัยคุกคามพื้น ๆ ไม่ใช่อันตรายร้ายแรง คนอย่างนั้นจะแสดงท่าทีก่อน แล้วคนอย่างเธอก็รู้ดีว่าจะต้องดูที่ไหน พวกที่แผนกข่าวกรองของเธอไม่เคยได้ยินต่างหากที่เป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง พวกนั้นอาจจะยับยั้งได้ด้วยการแสดงกำลังอย่างเต็มที่ แต่การแสดงกำลังอย่างนั้นแพงเกินไป เป็นภาระมากเกินไป เด่นเกินไปกว่าจะไม่ดึงดูดความสนใจและคำตำหนิติเตียน แม้แต่ตอนนั้น เธอจำอีกเหตุการณ์หนึ่งได้ หลายเดือนหลังจากที่หมอผ่าตัด, ชาโดว์, และชอร์ทสต็อปที่ยังไม่เกิด รอดจากความตายไปได้อย่างหวุดหวิด ทั้งชุด เธอคิด มันเป็นกรณีศึกษาที่โรงเรียนฝึกหน่วยคุ้มกันที่เบลท์สวิลล์ บ้านของครอบครัวไรอันถูกใช้บันทึกภาพจำลองเหตุการณ์นั้นขึ้นมาใหม่ ชัค เอเวอรี่ เจ้าหน้าที่คุ้มกันระดับหัวหน้าที่ดีและประสบการณ์สูง พร้อมทั้งชุดคุ้มกันของเขาทั้งหมดโดนฆ่าตาย เธอฟังการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ผิดพลาดจากเทปเมื่อตอนที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัด และแม้แต่ในตอนนั้นเธอก็ขนลุกเมื่อพบว่าชุดนั้นเกิดความผิดพลาดเล็กน้อยได้ง่ายขนาดไหน แล้วยังบวกกับโชคร้ายและจังหวะที่ไม่ดี...
"ใช่ ผมรู้" เธอหันมาเห็นดอน รัสเซลกำลังจิบกาแฟจากถ้วยพลาสติกขณะที่เขาออกมาสูดอากาศข้างนอก เจ้าหน้าที่อีกคนประจำอยู่ข้างใน
"คุณรู้จักเอเวอรี่หรือเปล่าคะ?"
"เขาเป็นรุ่นพี่ผมสองปีในโรงเรียนฝึก เขาฉลาด ระมัดระวัง แล้วก็ยิงปืนแม่นเป็นบ้า เขาคว่ำคนร้ายไปได้คนหนึ่งตอนนั้น จากระยะสามสิบหลาในความมืด สองนัดที่หน้าอก" ส่ายหน้า "เราทำผิดพลาดไม่ได้สักนิดเลยนะในวงการนี้ มาร์ชี่"
นั่นเป็นตอนที่ขนลุกเป็นครั้งที่สอง แบบที่ทำให้เราต้องเอื้อมมือไปจับอาวุธของตัวเอง เพียงเพื่อให้แน่ใจว่ามันอยู่ตรงนั้น เพื่อบอกตัวเองว่าเราพร้อมทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้น นั่นเป็นตอนที่เราระลึกได้ สำหรับในกรณีนี้ ว่าเด็กเล็ก ๆ น่ารักขนาดไหน และถึงแม้เราจะถูกยิง เราก็จะต้องแน่ใจว่าสิ่งสุดท้ายที่จะทำในขณะที่ยังมีสติเหลืออยู่คือจะยิงกระสุนทุกนัดใส่จุดตายของไอ้ชาติชั่วนั่นได้อย่างไร แล้วเมื่อเรากระพริบตา ภาพนั้นก็หายไป
"แกเป็นเด็กน่ารักนะคะ ดอน"
"ผมยังไม่เคยเห็นคนที่น่าเกลียดเลยสักคนเหมือนกัน" รัสเซลเห็นด้วย นี่เป็นเวลาที่ควรจะพูดว่า ไม่ต้องห่วง เราจะดูแลแกอย่างดีเลย แต่พวกเขาไม่ได้พูดอย่างนั้น พวกเขาไม่ได้คิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมองรอบ ๆ ไปที่ทางหลวงและต้นไม้และร้านเซเว่นอีเลเว่นฝั่งตรงข้ามทางหลวงริทชี่ สงสัยว่าพวกเขาพลาดอะไรไปบ้างหรือเปล่า และสงสัยว่าพวกเขาจะใช้เงินกับกล้องสอดแนมได้มากขนาดไหน
จอร์จ วินสตันเคยชินกับการมีคนมารอรับ มันเป็นความสง่าอย่างที่สุดแล้วจริง ๆ คุณลงจากเครื่องบิน ในกรณีของเขาเป็นเครื่องบินเกือบทุกครั้ง แล้วจะมีใครบางคนรอรับคุณไปยังรถที่คนขับรู้ทางที่เร็วที่สุดไปยังที่ที่คุณจะไป ไม่ต้องวุ่นวายกับเฮิร์ตซ์ ((Hertz บริษัทให้เช่ารถ)) แล้วยังต้องอ่านแผนที่ไร้สาระ เพราะเวลาเป็นสินค้าสุดท้าย คุณเกิดมาพร้อมกับมีเวลาให้ใช้ แล้วก็ไม่มีสมุดบัญชีคอยบอกคุณถึงจำนวนที่แน่นอนที่คุณมี รถเมโทรไลเนอร์จอดที่รางหมายเลข 6 ของสถานีรถไฟ เขาอ่านเอกสารและนอนพักระหว่างเทรนตันกับบัลติมอร์ น่าเสียดายที่การรถไฟทำเงินจากการขนส่งผู้โดยสารไม่ได้ แต่คุณไม่ต้องซื้ออากาศสำหรับบิน ในขณะที่จำเป็นต้องสร้างเส้นทางที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งทางบก แย่ไปหน่อย เขาเก็บเสื้อคลุมและกระเป๋าเอกสารก่อนตรงไปที่ประตู พร้อมกับให้ทิปพนักงานดูแลชั้นที่หนึ่งระหว่างก้าวออกไป
"คุณวินสตันใช่ไหมครับ?" ชายคนหนึ่งถาม
"ใช่แล้วครับ" ชายคนนั้นชูกระเป๋าหนังเก็บบัตรประจำตัวให้ดูเพื่อแสดงตัวว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง เขามีคู่หูมาด้วย วินสตันสังเกต ยืนอยู่ห่างไปสามสิบฟุตและไม่กลัดกระดุมเสื้อคลุม
"โปรดตามผมมาครับท่าน" ด้วยประโยคนั้นพวกเขาก็เป็นเพียงชายสามคนที่เร่งรีบออกไปจากสถานีเพื่อนัดสำคัญ
มีแฟ้มเอกสารอย่างนั้นมากมาย แต่ละแฟ้มใหญ่จนต้องแก้ไขข้อมูลเพื่อไม่ให้ตู้เก็บล้น และมันก็ยังสะดวกที่จะทำมันบนกระดาษกว่าในคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ที่ทำงานได้ดีกับภาษาของเขานั้นหาได้ยาก การตรวจสอบข้อมูลไม่ยากนัก อย่างหนึ่งคือจะมีรายงานข่าวเพื่อยืนยันหรือแก้ไขข้อมูลที่เขามีอยู่แล้ว สำหรับเรื่องอื่น เขาตรวจสอบยืนยันได้ง่ายมาก เพียงแค่ให้รถขับผ่านสถานที่บางแห่งครั้งสองครั้ง หรือด้วยการเฝ้าสังเกตถนน มันอันตรายอยู่แค่เล็กน้อย ไม่ว่าหน่วยคุ้มกันอเมริกันจะระมัดระวังและละเอียดขนาดไหน พวกนั้นก็ไม่เก่งไปทุกอย่าง นายไรอันนี่มีครอบครัว เมียที่ไปทำงาน ลูกที่ไปเรียน แล้วตัวไรอันเองก็ต้องทำตามตารางเวลา พวกนั้นปลอดภัยในบ้านที่เป็นทางการของตัว พอสมควร เขาแก้ความคิดตัวเอง เพราะไม่มีสถานที่ถาวรไหนที่ปลอดภัยจริง ๆ แต่ความปลอดภัยนั้นก็ไม่ได้ติดตัวพวกนั้นไปทุกแห่ง จริงไหม?
เรื่องสำคัญที่สุดคือการหาเงินสนับสนุนและการวางแผน เขาต้องการผู้สนับสนุน
"คุณต้องการเท่าไหร่?" คนขายถาม
"คุณมีอยู่เท่าไหร่ล่ะ?" คนที่กำลังจะซื้อถาม
"ผมมีแปดสิบแน่นอน อาจจะถึงร้อย" คนขายคิดออกมาดัง ๆ ขณะจิบเบียร์ของเขา
"เมื่อไหร่?"
"อาทิตย์นึงจะได้มั้ย?" พวกเขาอยู่ในไนโรบี เมืองหลวงของเคนยา และศูนย์กลางการค้าแบบนี้ "การวิจัยชีวะเหรอ?"
"ใช่ นักวิทยาศาสตร์ของลูกค้าผมกำลังทำโครงการที่น่าสนใจอยู่"
"โครงการอะไรเหรอ?" คนขายถาม
"ผมไม่สามารถบอกได้" เป็นคำตอบที่ไม่น่าแปลกใจ และเขาก็จะไม่บอกว่าลูกค้าของเขาเป็นใคร คนขายไม่แสดงอาการอะไร และเขาก็ไม่ได้สนใจนัก ความสงสัยของเขาเป็นไปตามธรรมชาติมนุษย์ ไม่ใช่โดยอาชีพ "ถ้าบริการของคุณเป็นที่พอใจ เราจะกลับมาหาอีก" เป็นคำหยอดท้ายตามปกติ คนขายพยักหน้าแล้วเริ่มการต่อรองอย่างจริงจัง
"คุณต้องเข้าใจว่านี่ไม่ใช่งานถูก ๆ ผมต้องรวบรวมคน พวกนั้นต้องหาสัตว์ที่คุณต้องการ มีปัญหาเรื่องการจับ การขนส่ง ใบอนุญาตส่งออก ความยุ่งยากแบบปกติกับทางการ" ซึ่งเขาหมายถึงสินบน การค้าขายลิงเขียวแอฟริกันเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีสองสามบริษัทที่ใช้มันในการทดลองต่าง ๆ มันแย่สำหรับพวกลิง แต่ก็มีลิงอยู่เยอะแยะอยู่แล้ว ลิงเขียวแอฟริกัน ((African green monkey)) ไม่ได้ใกล้สูญพันธุ์ แล้วถึงจะใช่ คนขายก็ไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว สัตว์ป่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเขาเพื่อขายแลกเงิน เหมือนกับน้ำมันสำหรับพวกอาหรับ เขาไม่มีความรู้สึกอะไรพิเศษกับพวกมัน มันชอบกัดแล้วก็พ่นน้ำลาย แล้วปกติก็เป็นเหมือนพวกขอทานกวนใจตัวเล็ก ๆ ถึงจะดู "น่ารัก" ที่ทรีท็อปส์ ((Treetops คาดว่าคงเป็นชื่อของสวนสัตว์หรือที่พักแรม)) ในสายตาของพวกนักท่องเที่ยว พวกมันก็กินพืชผลที่ชาวนามากมายปลูกในประเทศ จึงทำให้เป็นที่รังเกียจไปเลย ไม่ว่าพวกนักพิทักษ์สัตว์ป่าจะว่าไงก็เถอะ
"ปัญหาพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรากังวล ความรวดเร็วต่างหาก คุณจะรู้ว่าเรายินดีจ่ายให้คุณอย่างสวยเลยสำหรับบริการที่วางใจได้"
"อา" คนขายซดเบียร์ของเขาจนหมด แล้วยกมือขึ้นดีดนิ้วขอเติมอีก เขาบอกราคาไป มันรวมถึงค่าใช้จ่ายของเขา ค่าแรงให้คนจับ พวกศุลกากร ตำรวจคนสองคน แล้วก็เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับกลางอีกคน แล้วก็ส่วนกำไรของเขา ซึ่งดีทีเดียวเมื่อดูตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ เขาคิด ไม่ใช่ทุกคนที่ว่าอย่างนั้น
"ตกลง" คนซื้อพูดสั้น ๆ พร้อมกับจิบเครื่องดื่มเบา ๆ ของเขา
มันเกือบจะเป็นความผิดหวัง คนขายชอบการต่อล้อต่อเถียง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตลาดในแอฟริกา เขายังไม่ทันจะบรรยายว่าธุรกิจของเขาลำบากขนาดไหนเลย
"ยินดีที่ได้ทำธุรกิจกับคุณ โทรหาผมใน...ห้าวันนะ?"
คนซื้อพยักหน้า เขาดื่มจนหมดแล้วออกไป สิบนาทีต่อมา เขาไปโทรศัพท์ เป็นการติดต่อแบบนี้ครั้งที่สามของวันนี้สำหรับสถานทูต และทั้งหมดด้วยเป้าหมายเดียวกัน ถึงเขาจะไม่รู้ แต่การโทรติดต่อแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นในอูกันดา ซาอีร์ แทนซาเนีย และมาลีด้วย
แจ๊คจำตอนที่เขาเข้ามาในห้องทำงานรูปไข่เป็นครั้งแรกได้ การที่เราเดินลัดเลาะซ้ายขวาจากห้องเลขานุการผ่านประตูที่ฝังอยู่ในผนังโค้ง เหมือนกับวังในสมัยศตวรรษที่สิบแปด ซึ่งทำเนียบขาวก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถึงจะเป็นเพียงวังขนาดพอประมาณเมื่อเทียบกันในสมัยนั้น เราจะสังเกตเห็นหน้าต่างเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะในวันที่มีแดด ความหนาทำให้มันดูเป็นสีเขียวคล้ายกับผนังกระจกที่เลี้ยงปลาออกแบบมาสำหรับปลาตัวพิเศษโดยเฉพาะ ต่อไปเราจะเห็นโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ มันดูน่าเกรงขามเสมอ และยิ่งมากขึ้นเมื่อมีประธานาธิบดียืนรอคุณอยู่ตรงนั้น ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดี ท่านประธานาธิบดีคิด มันทำให้งานนี้ของเขาง่ายขึ้นมาก
"จอร์จ" ไรอันกล่าวพร้อมกับยื่นมือให้
"ท่านประธานาธิบดีครับ" วินสตันตอบอย่างอบอุ่น ไม่สนใจกับเจ้าหน้าที่หน่วยคุ้มกันสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา เพื่อคอยดึงตัวเขาถ้าเขาทำอะไรที่ไม่เหมาะสม คุณไม่จำเป็นต้องเห็นพวกนั้น ผู้มาเยือนสามารถรู้สึกถึงสายตาของพวกนั้นจากต้นคอของเขา เหมือนกับเป็นแสงเลเซอร์ อย่างไรก็ตามเขาก็จับมือไรอัน แล้วก็ฝืนยิ้ม วินสตันไม่รู้จักไรอันดีนัก ทั้งคู่ทำงานด้วยกันระหว่างที่เกิดความขัดแย้งกับญี่ปุ่น ก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยเจอกันในงานสังคมไม่กี่ครั้ง และเขาก็รู้เรื่องงานของไรอันในตลาดหุ้น ไม่โจ่งแจ้งแต่ก็มีประสิทธิภาพ ช่วงเวลาที่อยู่ในวงการสายลับนั่นไม่ได้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์เลย
"นั่งสิ" แจ๊คโบกมือไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง "ทำตัวตามสบายนะ ตอนขามาเป็นยังไงบ้าง?"
"ก็ไม่มีอะไรครับ" ทหารรับใช้จากกองทัพเรือเหมือนกับปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนไม่รู้แล้วรินกาแฟสองถ้วย เพราะมันเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับมัน เขาพบว่ากาแฟรสชาติเยี่ยมและถ้วยกระเบื้องก็ทำขอบทองอย่างงดงาม
"ผมต้องการตัวคุณ" ไรอันกล่าวต่อไป
"ท่านครับ คือว่า มันเกิดความเสียหายมากกับ-"
"ประเทศ"
"ผมไม่เคยต้องการตำแหน่งในรัฐบาลเลย แจ๊ค" วินสตันตอบทันที
ไรอันไม่ได้แตะถ้วยของเขาเลย "ทำไมคุณคิดว่าผมต้องการคุณเฉย ๆ ล่ะ? จอร์จ ผมเคยเป็นอย่างนั้นมาแล้ว เข้าใจมั้ย? หลายครั้งด้วย ผมต้องจัดทีมขึ้น ผมจะกล่าวแถลงการคืนนี้ คุณอาจจะชอบเรื่องที่ผมกำลังจะพูดก็ได้ เอาล่ะ เรื่องแรก ผมต้องการใครสักคนมาดูแลกระทรวงการคลัง กลาโหมยังไม่เป็นไรตอนนี้ ต่างประเทศแอดเลอร์ก็ดูแลได้ดีแล้ว คลังเป็นรายการแรกในบัญชีตำแหน่งที่จะต้องตั้งใครหน้าใหม่เข้ามา ผมต้องการคนดี นั่นคือคุณ มือคุณสะอาดรึเปล่า?" ไรอันถามทันทีทันควัน
"อะไรนะ - คุณพนันได้เลยว่ามันสะอาดแน่! ผมหาเงินของผมทั้งหมดตามกฏ ทุกคนก็รู้" วินสตันรู้สึกโกรธจนกระทั่งรู้สึกตัวว่ามันเป็นสิ่งที่คาดไว้แล้วว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น
"ดี ผมต้องการคนที่สังคมการเงินเชื่อมั่น คุณใช่ ผมต้องการใครที่รู้ดีว่าจริง ๆ ระบบทำงานยังไง คุณรู้ ผมต้องการคนที่รู้ว่าอะไรเสียและต้องซ่อม และอะไรที่ไม่เสียแล้วก็ไม่ต้องซ่อม คุณรู้ ผมต้องการคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง คุณไม่ ผมต้องการมืออาชีพที่ไม่มีอคติ ที่สำคัญที่สุดนะ จอร์จ ผมต้องการคนที่จะเกลียดงานเขาเท่ากับที่ผมเกลียดงานผม"
"ตรงนี้ท่านหมายความว่าอย่างไรครับ ท่านประธานาธิบดี?"
ไรอันหลับตาแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อไป "ผมเริ่มทำงานวงในตั้งแต่อายุสามสิบเอ็ด ผมออกไปได้ครั้งหนึ่ง แล้วก็ไปได้สวยกับตลาดหุ้น แต่ผมถูกดูดกลับมา จนมาอยู่ตรงนี้" ลืมตาขึ้น "ตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มทำงานกับซีไอเอ ผมต้องเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ทำงานยังไงจากวงใน แล้วรู้อะไรมั้ย? ผมไม่เคยชอบมันเลย ผมไปเริ่มที่วอลล์สตรีท จำได้มั้ย แล้วผมก็ทำได้ดีตอนนั้นด้วย จำได้มั้ย? ผมคิดว่าจะไปเป็นอาจารย์หลังจากที่ทำเงินได้แล้ว วิชาประวัติศาสตร์เป็นรักแรกของผม แล้วผมก็คิดว่าผมจะสอนกับเรียนกับเขียน ดูว่าสิ่งต่าง ๆ ทำงานยังไงแล้วส่งความรู้ผ่านต่อไป ผมเกือบจะทำได้อยู่แล้ว บางทีอันที่จริงมันอาจจะไม่น่าเป็นอย่างนั้น แต่ผมก็ศึกษาเรียนรู้ไปเยอะ ดังนั้น จอร์จ ผมกำลังจะจัดทีมขึ้นมา"
"เพื่อทำอะไรครับ?"
"หน้าที่คุณคือเก็บกวาดกระทรวงการคลัง คุณทำนโยบายการเงินกับภาษี"
"คุณหมายถึง-"
"ใช่"
"ไม่มีเรื่องการเมืองงี่เง่านะ?" เขาต้องถามอย่างนั้น
"ฟังนะ จอร์จ ผมไม่รู้ว่านักการเมืองเป็นยังไง แล้วผมก็ไม่มีเวลาเรียนด้วย ผมไม่เคยชอบเกมนั่น ผมไม่เคยชอบคนส่วนใหญ่ที่เล่นเกมนั่น ผมแค่พยายามจะรับใช้ชาติอย่างดีที่สุดที่จะทำได้ บางครั้งก็ทำได้ บางครั้งก็ไม่ได้ ผมไม่มีทางเลือก คุณก็จำได้ว่ามันเริ่มต้นยังไง มีคนพยายามจะฆ่าผมกับครอบครัว ผมไม่อยากจะถูกดูดเข้ามา แต่ให้ตายเถอะ ผมได้รู้ว่าต้องมีใครสักคนพยายามทำให้งานสำเร็จ ผมจะไม่ทำมันคนเดียวอีกแล้ว จอร์จ แล้วผมก็จะไม่เติมตำแหน่งที่ว่างด้วยพวกเช้าชามเย็นชามที่รู้วิธีจัดการกับ "ระบบ" เข้าใจมั้ย? ผมต้องการคนที่มีความคิดที่นี่ ไม่ใช่พวกนักการเมืองที่เอาแต่นั่งประชุม"
วินสตันวางถ้วยของเขาลงโดยพยายามไม่ให้กระทบกับจานรอง เขาประหลาดใจเล็กน้อยที่มือของเขาไม่สั่น ความกว้างยาวของสิ่งที่ไรอันเสนอมันมากกว่างานที่เขาตั้งใจไว้แน่นอนแล้วว่าจะปฏิเสธ มันมีความหมายเกินกว่าสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว เขาต้องตัดตัวเองออกจากเพื่อนฝูง ก็ไม่เชิงหรอก แต่มันหมายถึงว่าเขาไม่สามารถตัดสินใจสั่งการอะไรจากการสนับสนุนในการหาเสียงที่ตลาดจะให้กับประธานาธิบดีเพื่อตอบแทนกับสิ่งดี ๆ ที่คลังทำให้กับพวกบริษัทนายหน้าซื้อขายที่นั่นได้ นั่นเป็นวิธีเล่นเกมที่เป็นมาตลอด และถึงเขาจะไม่เคยเป็นคนร่วมเล่น เขาก็เคยคุยกับคนที่เล่นมามากพอ เคยจัดการกับระบบในวิธีแบบเก่า เพราะนั่นเป็นทางที่สิ่งต่าง ๆ เป็น
"บ้าเอ๊ย" เขากระซิบครึ่งหนึ่งกับตัวเอง "คุณพูดจริงเหรอ?"
ในฐานะผู้ก่อตั้งกลุ่มโคลัมบัส เขารับหน้าที่ที่พื้น ๆ จนไม่กี่คนที่คิดถึงมัน เหนือจากพวกที่จัดการมันจริง ๆ และไม่ค่อยจะมีพวกนั้นมากพอ มีคนนับล้านวางใจให้เงินของตัวเองกับเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม นั่นทำให้ในทางทฤษฎีแล้วเขาสามารถเป็นโจรเสื้อนอกที่โกงกินอย่างมโหฬารได้ แต่เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เรื่องหนึ่งคือมันผิดกฏหมาย และคุณก็เสี่ยงจะได้เข้าไปอยู่ในที่พักระดับต่ำกว่าปกติของรัฐบาลพร้อมกับเพื่อนบ้านระดับต่ำกว่าปกติมากแถมด้วย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คุณไม่ทำอย่างนั้น เหตุผลคือผู้คนเหล่านั้น พวกเขาวางใจว่าคุณจะซื่อสัตย์และฉลาด ดังนั้นคุณทำกับเงินของพวกเขาเหมือนกับที่คุณทำกับเงินของตัวเอง หรืออาจจะดีกว่าบ้างด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาลงเงินเสี่ยงแบบคนรวยไม่ได้ บ่อยครั้งที่คุณจะได้รับจดหมายชมจากแม่ม่ายสักคนหนึ่ง นั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่มันเป็นสิ่งที่มาจากข้างในมากกว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีเกียรติหรือไม่ เกียรติยศเป็นรางวัลที่คนให้กับตัวเอง นักเขียนบทหนังคนหนึ่งกล่าวไว้ เป็นคำเปรียบเทียบที่ไม่เลว วินสตันบอกตัวเอง และแน่นอนมันก็ทำเงินได้อีกด้วย คุณทำงานอย่างถูกต้อง ก็มีโอกาสที่คนอื่นจะให้รางวัลคุณ แต่ความพอใจจริง ๆ มาจากการที่ได้เล่นเกมอย่างดี เงินเป็นแค่ผลของสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า เพราะเงินเป็นแค่สิ่งชั่วคราว แต่เกียรติไม่ใช่
"นโยบายภาษีล่ะ?" วินสตันถาม
"เราต้องตั้งรัฐสภาขึ้นมาใหม่ก่อน จำได้มั้ย?" ไรอันชี้ "แต่ก็ถูกแล้ว"
วินสตันสูดลมหายใจลึก "นั่นเป็นงานใหญ่มากเลยนะ ไรอัน"
"คุณบอกผมว่างั้นเหรอ?" ท่านประธานาธิบดีถาม... แล้วก็ยิ้ม
"ผมจะไม่ได้เพื่อนแน่"
"แล้วคุณก็จะเป็นหัวหน้าหน่วยคุ้มกันด้วย พวกเขาจะปกป้องคุณ จริงมั้ย แอนเดรีย?"
เจ้าหน้าที่ไพรซ์ไม่คุ้นกับการถูกดึงไปร่วมวงสนทนาแบบนี้ แต่เธอกลัวว่าเธอจะต้องทำตัวให้คุ้นกับมัน "เอ้อ ค่ะ ท่านประธานาธิบดี"
"มีหลายอย่างทำงานไม่ได้เรื่องเลย" วินสตันกล่าวความเห็น
"งั้นก็แก้มันซะ" ไรอันบอกเขา
"อาจจะถึงกับเลือดสาดเลยนะ"
"ซื้อไม้ถูพื้นสิ ผมต้องการให้เก็บกวาดกระทรวงคุณ ทำให้เพรียวลมขึ้น แล้วก็ทำงานแบบที่มันจะทำกำไรได้ซักวันหนึ่ง คุณจะทำยังไงนั่นเป็นปัญหาของคุณ สำหรับกลาโหม ผมก็ต้องการเหมือนกัน ปัญหาใหญ่ที่สุดที่นั่นคือการบริหาร ผมต้องการใครซักคนที่สามารถทำธุรกิจแล้วได้กำไรจะได้จัดการตัดระบบรัฐการที่อืดอาดออกไป นั่นเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับทุกหน่วยงานเลย"
"คุณรู้จักโทนี่ เบรทาโนไหม?"
"ที่อยู่ทีอาร์ดับเบิลยูน่ะเหรอ? เขาเคยคุมแผนกดาวเทียมที่นั่น..." ไรอันจำชื่อเขาได้จากชื่อผู้ที่ถูกเสนอให้รับตำแหน่งระดับสูงในเพนตากอน ซึ่งเขาปฏิเสธมันอย่างไม่มีเยื่อใย คนดี ๆ มากมายปฏิเสธข้อเสนอแบบนั้น มันเป็นแบบอย่างที่เขาต้องล้มล้าง
"ล็อคฮีด-มาร์ติน ((Lockheed-Martin บริษัทเทคโนโลยีและการบิน)) กำลังจะขโมยตัวเขาไปอีกไม่กี่อาทิตย์ ผมได้ยินมาจากแหล่งข่าวของผม หุ้นของล็อคฮีดถึงได้กำลังขึ้น เราได้คำแนะนำให้ซื้อมัน เขาทำให้ทีอาร์ดับเบิลยูได้กำไรเพิ่มขึ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในสองปี ไม่เลวสำหรับวิศวกรที่ไม่น่าจะรู้อะไรเรื่องบริหาร ผมเคยเล่นกอล์ฟกับเขาเป็นบางครั้งบางคราว คุณน่าจะได้ฟังเขาโวยวายเรื่องการทำธุรกิจกับรัฐบาล"
"บอกเขาหน่อยว่าผมต้องการพบ"
"คณะกรรมการของล็อคฮีดให้อิสระเขาจะ-"
"นั่นเป็นแค่ความคิดนะจอร์จ"
"แล้วเรื่องงานของผมล่ะ ผมหมายถึงว่า คุณต้องการให้ผมทำอะไร มีกติกาว่า-"
"ผมรู้ คุณจะเป็นรัฐมนตรีรักษาการณ์ไปจนกว่าเราจะทำให้ทุกอย่างกลับคืนสภาพเดิมได้"
วินสตันพยักหน้า "ตกลง ผมต้องเอาลูกน้องมากับผมด้วยสองสามคนนะ"
"ผมจะไม่บอกหรอกว่าคุณควรจะทำมันยังไง ผมไม่บอกคุณทุกอย่างที่คุณต้องทำด้วยซ้ำ ผมต้องการแค่ให้มันสำเร็จนะจอร์จ คุณแค่บอกผมล่วงหน้าก็แล้วกัน ผมไม่อยากรู้มันเองจากหนังสือพิมพ์"
"แล้วผมจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่?"
"ห้องทำงานว่างอยู่แล้วตอนนี้" ไรอันบอกเขา
ข้ออ้างสุดท้าย "ผมต้องคุยกับครอบครัวผมเรื่องนี้ด้วย"
"คุณก็รู้ จอร์จ ห้องทำงานรัฐบาลพวกนี้มีโทรศัพท์แล้วก็อื่น ๆ ทุกอย่างอยู่แล้ว" แจ๊คหยุดไปชั่วครู่ "ฟังนะ ผมรู้ว่าคุณเป็นยังไง ผมรู้ว่าคุณทำอะไร ผมอาจจะเป็นแบบเดียวกันก็ได้ แต่ผมไม่พบว่ามัน...น่าพอใจ มั้งนะ แค่ทำเงิน การเริ่มต้นจากศูนย์มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แตกต่างไปเลย ใช่ล่ะ การจัดการเรื่องเงินเป็นงานที่สำคัญ ผมก็ไม่ชอบมันเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยอยากเป็นหมอเหมือนกัน เอาล่ะ มันก็แค่ต่างวิธีกัน แต่ผมรู้ว่าคุณเคยนั่งดื่มเบียร์กับเพรทเซลแล้วคุยกันว่าเมืองนี้มันห่วยขนาดไหน คราวนี้เป็นโอกาสของคุณแล้ว มันจะไม่มีอีกแล้วนะ จอร์จ ไม่มีใครจะได้มีโอกาสเป็น รมต. คลังโดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่มีเลย คุณปฏิเสธมันไม่ได้ เพราะคุณจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยถ้าคุณทำอย่างนั้น"
วินสตันสงสัยว่าคนเราจะถูกต้อนอย่างเฉลียวฉลาดให้จนมุมในห้องที่มีผนังโค้งได้อย่างไร "คุณกำลังเรียนรู้เรื่องการเมืองแล้วนะ แจ๊ค"
"แอนเดรีย คุณได้นายใหม่แล้ว" ท่านประธานาธิบดีบอกกับหัวหน้าชุดคุ้มกันของเขา
ในส่วนของเธอ เจ้าหน้าที่พิเศษแอนเดรีย ไพรซ์ตกลงปลงใจคิดว่าคอลลี่ เวสตันน่าจะพูดผิดไปแล้ว
การประกาศว่าคืนนี้จะมีแถลงการของประธานาธิบดีทำให้ตารางเวลาที่วางไว้อย่างดีแล้วเสียหายไป แต่แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น ความกังวลในการประสานกันระหว่างเหตุการณ์นั้นกับสิ่งอื่น ๆ มีมากกว่า จังหวะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเมือง เช่นเดียวกับวงการอื่น และพวกเขาก็ใช้เวลาตลอดสัปดาห์จัดการเรื่องนี้ มันไม่เหมือนภาพลวงตาแบบปกติที่เป็นภาพของบรรดาผู้เชี่ยวชาญเดินไปมาด้วยความชำนาญที่ฝึกมาแล้วอย่างดี เพราะไม่เคยมีการฝึกฝนในการเฉพาะอย่างนี้ มันเป็นการคาดเดาทั้งหมด แต่พวกเขาเคยคาดเดามาก่อนแล้ว และส่วนใหญ่ก็ทำได้ดี มิฉะนั้นแล้วเอ๊ดเวิร์ด เจ. เคลตี้ คงไม่ก้าวมาได้ไกลขนาดนี้ แต่เหมือนกับเซียนพนัน พวกเขาไม่เคยไว้ใจโต๊ะหรือผู้เล่นคนอื่น และการตัดสินใจทุกอย่างก็เต็มไปด้วยคำว่า "ถ้า"
พวกเขายังสงสัยความถูกผิดในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ "ความถูกผิด" ในการตัดสินใจทางการเมือง หรือการคาดคำนวณว่าใครจะพอใจ และใครจะไม่พอใจในการยึดถือหลักการโดยฉับพลัน แต่เป็นความสงสัยว่าการกระทำที่พวกเขากำลังคิดอยู่นั้นถูกต้องหรือเปล่า ความซื่อสัตย์ ศีลธรรม! และนั่นเป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นไม่บ่อยกับคนที่อยู่ในวงการเมืองมานานแล้วอย่างนี้ แน่นอน ความจริงที่ว่าพวกเขาได้ฟังเรื่องโกหกช่วยได้ พวกเขารู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังเป็นเรื่องโกหก พวกเขารู้ว่าเขารู้ว่าพวกเขารู้ว่าเขาโกหกกับพวกเขา แต่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว การกระทำในแบบอื่นจะละเมิดต่อกติกาของเกม พวกเขาต้องถูกปกป้องไว้ตราบใดที่ไม่เสื่อมศรัทธาไปจากหัวเรือใหญ่ของพวกเขา และการถูกปกป้องจากความจริงก็เป็นส่วนหนึ่งของกติกา
"แล้วคุณไม่ได้ลาออกจริงงั้นหรือ เอ๊ด?" ที่ปรึกษาหลักของเขาถาม เขาต้องการให้คำโกหกนั้นชัดเจน เพื่อเขาจะได้บอกกับทุกคนได้ว่ามันเป็นความจริงแท้แน่นอน เท่าที่เขาทราบ
"ผมยังมีจดหมายอยู่" อดีตวุฒิสมาชิกและอดีตรองประธานาธิบดี นั่นเป็นความคิดที่น่าอึดอัดใจ ตอบพร้อมกับตบกระเป๋าเสื้อนอกของเขา "เบร็ทกับผมคุยกันแล้ว และเราตกลงกันว่าคำในจดหมายต้องเป็นแบบนั้น ส่วนที่อยู่กับผมไม่ถูกนัก ผมจะต้องเอาจดหมายฉบับใหม่กลับไปให้เขาในวันต่อมา ลงวันที่ใหม่ให้ถูกต้อง แน่นอน จะจัดการกันอย่างเงียบ ๆ แต่ใครจะคิดล่ะว่า...?"
"คุณอาจจะ เอ้อ ลืมมันก็ได้นี่นะ" การเต้นส่วนนี้ต้องเริ่มขึ้นตามจังหวะดนตรี
"ผมหวังว่าผมทำอย่างนั้นได้" เคลตี้พูดหลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่เพื่อแสดงความจริงใจ ตามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใย นี่เป็นการฝึกซ้อมที่ดีสำหรับเขาด้วย "แต่ พระเจ้า ดูสิว่าประเทศอยู่ในรูปไหน ไรอันไม่ใช่คนเลวอะไร ผมรู้จักเขาหลายปีแล้ว แต่เขาไม่รู้อะไรเลยเรื่องการบริหารรัฐบาล"
"ไม่มีกฏหมายในเรื่องนี้เลยนะ เอ๊ด ไม่มีเลย ไม่มีคำแนะนำตามรัฐธรรมนูญ แล้วถึงจะมี ก็ไม่มีศาลฎีกาจะตัดสิน" คำพูดนี้มาจากหัวหน้าที่ปรึกษาด้านกฏหมายของเคลตี้ ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยร่างกฏหมายอาวุโสของเขามาก่อน "มันเป็นเรื่องการเมืองโดยตรง มันจะดูไม่ดีแน่" เขาต้องพูดต่อไป "มันจะดูไม่-"
"นั่นเป็นประเด็นล่ะ" ที่ปรึกษาหลักตั้งข้อสังเกต "เรากำลังทำเรื่องนี้ด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่การเมือง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ เอ๊ดรู้ดีว่าเขากำลังฆ่าตัวตายทางการเมือง" เพื่อตามด้วยการเกิดใหม่อย่างภาคภูมิทันที สดตรงจากซีเอ็นเอ็น
เคลตี้ลุกขึ้นแล้วเริ่มเดินไปรอบห้อง ทำมือประกอบระหว่างที่เขาพูด "เอาการเมืองออกไปจากเรื่องนี้ซะ ให้ตายเถอะ! รัฐบาลถูกทำลายไปแล้ว! ใครจะฟื้นมันกลับคืนมาได้ล่ะ? ไรอันเป็นสายลับซีไอเอเฮงซวย เขาไม่รู้อะไรเลยในการปฏิบัติงานของรัฐบาล เราต้องแต่งตั้งศาลฎีกา ดำเนินตามนโยบาย เราต้องสร้างรัฐสภาขึ้นมาใหม่ ชาติต้องการผู้นำ แล้วเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะทำได้ยังไง ผมอาจจะขุดหลุมฝังตัวเองในทางการเมือง แต่ใครสักคนต้องลุกขึ้นแล้วปกป้องประเทศของเรา"
ไม่มีใครหัวเราะ สิ่งที่แปลกคือการทำอย่างนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกเขาแม้แต่น้อย ที่ปรึกษาทั้งคู่อยู่กับอีเจเคมากว่ายี่สิบปีแล้ว และได้มัดตัวเองเข้ากับเสาหลักนี้จนพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นในเรื่องนี้ ละครฉากนี้จำเป็นเหมือนกับการประสานเสียงของโซโฟคลีส ((Sophocles นักแต่งละครชาวกรีกในสมัย 400 ปีก่อน ค.ศ.)) หรือการอ้างถึงเทวีมยูส ((Muse หมายถึงเทวีในบรรดาเก้าองค์ ทั้งหมดเป็นเทวีแห่งศิลปะและศาสตร์ต่าง ๆ)) ของโฮเมอร์ ((Homer กวีชาวกรีกผู้แต่งมหากาพย์อีเลียดและโอดีสซี อยู่ในสมัย 800 ปีก่อน ค.ศ.)) ต้องปฏิบัติตามบทกวีแห่งการเมือง มันเกี่ยวกับประเทศชาติ และความต้องการของชาติ และภาระหน้าที่ของเอ๊ดต่อประเทศที่มีมานานกว่าหนึ่งชั่วอายุคนครึ่ง เพราะเขาอยู่ตรงนั้นและทำมันตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น รู้ดีว่าระบบทำงานอย่างไร เมื่อมันพังทลายลง มีเพียงคนอย่างเขาเท่านั้นที่สามารถรักษามันไว้ได้ ไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลคือประเทศ เขาอุทิศช่วงชีวิตการทำงานทั้งหมดของเขาให้กับข้อความประโยคนั้น
พวกเขาเชื่อทั้งหมดนั้นจริง และไม่ต่างไปจากที่ปรึกษาทั้งสอง เคลตี้เองก็ถูกมัดอยู่กับเสาต้นเดียวกัน เขาตอบรับต่อความทะเยอทะยานของเขาเองมากขนาดไหนนั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็บอกไม่ได้แล้ว เพราะความเชื่อกลายเป็นความจริงหลังจากที่อ้างถึงมันมาตลอดชีวิต ประเทศแสดงสัญญาณของการไหลเลื่อนไปจากความเชื่อของเขา แต่เหมือนกับที่พวกอีแวนเจลลิสท์ไม่มีทางเลือกนอกจากอ้อนวอนให้ผู้คนกลับมายึด "ศรัทธาอันแท้จริง" ((evangelist กลุ่มคริสตศาสนิกชนที่เชื่อว่าการพ้นทุกข์มาจากศรัทธามากกว่าการทำดีหรือทำพิธีเข้าศาสนาเท่านั้น)) เคลตี้จึงมีภาระหน้าที่ต้องนำประเทศกลับสู่รากฐานปรัชญาของมัน ซึ่งเขาได้สนับสนุนตลอดห้าสมัยในวุฒิสภา และในช่วงเวลาที่สั้นกว่านั้นในฐานะรองประธานาธิบดี เขาถูกยกให้เป็น "หิริโอตัปปะแห่งวุฒิสภา" มากว่าสิบห้าปี โดยสื่อมวลชนที่รักเขาเพราะมุมมอง ศรัทธา และสายตระกูลการเมืองของเขา
มันคงจะดีสำหรับเขาที่จะปรึกษากับสื่อมวลชนสำหรับการครั้งนี้ เหมือนกับที่เขาทำบ่อย ๆ ในอดีต บรรยายให้พวกนั้นฟังเกี่ยวกับกฏหมายหรือคำแปรญัตติต่าง ๆ ถามความเห็นของพวกนั้น -พวกสื่อมวลชนชอบให้คนถามความเห็นในเรื่องต่าง ๆ- รวมทั้งแค่เพียงยืนยันให้แน่ใจว่าพวกนั้นมางานเลี้ยงถูกงานแล้ว แต่ไม่ใช่ในกรณีนี้ ไม่ เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาต้องเล่นทุกอย่างตรง ๆ จะเสี่ยงกับภาพลักษณ์ของการประจบยกยอปอปั้นเพื่อให้ได้ความนิยมไม่ได้ ในขณะที่การตั้งใจหลีกเลี่ยงการกระทำอย่างนั้นจะให้สิทธิถูกต้องชอบธรรมกับเขาในสิ่งที่เขาทำ มีคุณธรรมสูงส่ง นั่นเป็นภาพที่ต้องสะท้อนออกไป เขายอมสละเครื่องตกแต่งหรูหราทางการเมืองทั้งหมดเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา และพร้อมกับสร้างมันขึ้นมาใหม่ในการทำอย่างนั้น สิ่งเดียวที่ต้องคำนึงถึงในตอนนี้คือจังหวะ และนั่นเป็นสิ่งที่สื่อที่เขาติดต่อด้วยจะช่วยได้
"กี่โมง?" ไรอันถาม
"แปดโมงครึ่งตามเวลาฝั่งตะวันออก" แวน แดมม์ตอบ "คืนนี้มีรายการพิเศษหลายรายการ พวกนั้นขอให้เราอำนวยความสะดวกให้"
ไรอันเกือบจะโอดเรื่องนั้น แต่ไม่ได้ทำ แต่ความคิดของเขาก็แสดงออกมาบนใบหน้าอยู่ดี
"มันหมายความว่าคนฝั่งตะวันตกจะได้ฟังคุณจากวิทยุในรถ" อาร์นี่อธิบาย "เราได้ออกทั้งห้าเครือข่าย บวกกับซีเอ็นเอ็นกับซี-สแปน แต่ไม่ได้เป็นคำสั่ง มันเป็นความเอื้อเฟื้อ พวกนั้นไม่จำเป็นต้องให้คุณออกอากาศเลยก็ได้ พวกเขาเล่นอย่างนั้นสำหรับสุนทรพจน์ทางการเมือง-"
"บ้าสิ อาร์นี่ นี่ไม่ใช่การเมือง มันเป็น-"
"ท่านประธานาธิบดี ปรับตัวได้แล้ว ตกลงมั้ย? ทุกครั้งที่คุณปล่อยข่าวไป มันเป็นการเมือง คุณหนีมันไม่พ้นหรอก แม้แต่การปราศจากการเมืองก็เป็นคำทางการเมือง" อาร์นี่พยายามอย่างหนักเพื่อสอนเจ้านายคนใหม่ เขาตั้งใจฟังดี แต่เขาก็ไม่ได้ได้ยินทุกครั้งไป
"เอาล่ะ เอฟบีไอบอกว่าผมจะแถลงทั้งหมดนี้ได้เหรอ?"
"ผมคุยกับเมอเรย์ยี่สิบนาทีก่อน เขาไม่มีปัญหาอะไร ผมให้แคลลี่ใส่มันลงในร่างแล้วตอนนี้"
เธอจะหาห้องทำงานที่ได้กว่านี้ก็ได้ ในฐานะผู้ร่างสุนทรพจน์หมายเลขหนึ่งของประธานาธิบดี เธออาจจะขอคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกรอบทองตั้งบนโต๊ะหินอ่อนคาราราก็ได้ แต่เธอกลับใช้เครื่องแอปเปิล แมคอินทอช คลาสสิคอายุสิบปี เพราะมันโชคดีและเธอไม่ใส่ใจกับจอที่เล็ก ห้องทำงานของเธออาจจะเคยเป็นห้องเล็กเก็บของครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อตอนที่ห้องสนธิสัญญาอินเดียนยังใช้สำหรับทำสนธิสัญญากับพวกอินเดียนแดงจริง ๆ โต๊ะทำจากคุกรัฐบาลกลาง และถึงเก้าอี้จะนั่งสบาย แต่มันก็อายุสามสิบปีแล้ว ห้องนี้มีเพดานสูง ทำให้เธอสูบบุหรี่ได้สะดวกขึ้น มันเป็นการละเมิดกฏรัฐบาลกลางและทำเนียบขาว แต่มันใช้บังคับในกรณีของเธอไม่ได้ ครั้งสุดท้ายที่ใครสักคนพยายามจะบีบเธอ เจ้าหน้าที่หน่วยคุ้มกันต้องดึงเธอออกมาจากเจ้าหน้าที่ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงจะข่วนตาเขาหลุดออกมาเลย ที่เธอไม่ถูกไล่ออกทันทีเป็นเครื่องหมายบอกกับเจ้าหน้าที่คนอื่นในอาคารฝ่ายบริหารเก่าให้รู้ว่า เจ้าหน้าที่บางคนไม่อาจแตะต้องได้ และแคลลี่ เวสตันเป็นหนึ่งในนั้น
ไม่มีหน้าต่างในห้องของเธอ เธอไม่ต้องการมัน สำหรับเธอ ความเป็นจริงคือคอมพิวเตอร์และรูปถ่ายบนผนัง รูปหนึ่งเป็นรูปหมาของเธอ พันธุ์อิงลิช ชีพด๊อกชื่อโฮมส์ (ตามโอลิเวอร์ เวนเดล โฮมส์ ไม่ใช่เชอร์ลอค โฮมส์ ((Oliver Wendell Holmes นักเขียนและแพทย์ชาวอเมริกัน)) เธอชอบข้อความใน "เดอะ แยงกี้ ฟรอม โอลิมปัส" ((the Yankee from Olympus)) เป็นการยกย่องที่เธอให้กับไม่กี่คน) ที่เหลือเป็นรูปของนักการเมือง ทั้งเพื่อนและศัตรู และเธอก็ศึกษามันอยู่เสมอ ๆ ข้างหลังเธอเป็นทีวีเล็กกับวีดีโอ อย่างแรกปกติแล้วจะตั้งไว้ที่ช่องซี-สแปน-1 และ 2 หรือซีเอ็นเอ็น ส่วนอย่างหลังใช้ดูเทปการกล่าวสุนทรพจน์ของคนอื่น ๆ ในที่ต่าง ๆ ทุกรูปแบบ สุนทรพจน์การเมือง เธอคิด เป็นรูปแบบการสื่อสารที่สูงสุด เชคสเปียร์อาจจะมีเวลาสองหรือสามชั่วโมงในละครเรื่องหนึ่งของเขาเพื่อเสนอแนวความคิด ฮอลลีวู้ดก็พยายามทำอย่างเดียวกันในเวลาเท่ากัน แต่ไม่ใช่เธอ เธอมีเวลาสิบห้านาทีเป็นอย่างต่ำ และอาจจะสี่สิบห้านาทีอย่างสูงสุด ความคิดของเธอต้องมีค่า มันต้องโน้มน้าวใจประชาชนทั่วไป นักการเมืองผู้คร่ำหวอด ไปจนถึงนักข่าวที่ชอบนิยมถากถางคนอื่นอย่างที่สุดด้วย เธอศึกษาผู้ที่จะพูดร่างของเธอ และตอนนี้เธอก็กำลังศึกษาไรอันอยู่ ด้วยการฟังคำกล่าวสั้น ๆ ของเขาในคืนรับตำแหน่งกลับไปกลับมา จากนั้นก็ข่าวทีวีในเช้าวันต่อมา เธอดูตาและกิริยาของเขา ความเครียดและความตั้งใจของเขา อาการสื่อภาษาด้วยท่าทางของเขา เธอชอบสิ่งที่เห็นโดยรวม ไรอันเป็นคนที่เธอวางใจให้เป็นที่ปรึกษาการลงทุน นั่นเป็นตัวอย่าง แต่เขาต้องเรียนรู้การเป็นนักการเมืองอีกมาก และต้องมีใครคอยสอนเขา หรืออาจจะไม่ต้อง? เธอสงสัย บางที... ด้วยการไม่เป็นนักการเมือง...
ไม่ว่าแพ้หรือชนะ มันก็จะสนุกแน่ เป็นครั้งแรกที่เป็นเรื่องความสนุก ไม่ใช่เรื่องงาน
ไม่มีใครต้องการยอมรับว่าเธอเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่ทำงานที่นี่ที่มีสายตากว้างไกลที่สุด ฟาวเลอร์รู้เรื่องนั้น เช่นเดียวกับเดอร์ลิ่ง นั่นเป็นสาเหตว่าทำไมพวกเขาทนกับการอยู่นอกรีตนอกรอยของเธอได้ พวกเจ้าหน้าที่การเมืองระดับสูงเกลียดเธอ ปฏิบัติกับเธอเหมือนเจ้าหน้าที่ระดับต่ำที่พอใช้ประโยชน์ได้ พวกนั้นไม่พอใจที่เธอสามารถข้ามถนนไปห้องทำงานรูปไข่ได้เลย เพราะท่านประธานาธิบดีไว้ใจเธอเช่นเดียวกับอีกไม่กี่คน สุดท้ายก็มีคำพูดกันว่าท่านประธานาธิบดีมีเหตุผลค่อนข้างพิเศษในการเรียกตัวเธอ และอย่างไรแล้ว คนที่มาจากแถบเดียวกับเธอเป็นที่รู้กันดีว่าออกจะอิสระในเรื่อง... เธอสงสัยว่าหมอนั่นจะใช้งานมันได้หรือเปล่าตอนนี้ เจ้าหน้าที่คุ้มกันต้องดึงมือเธอจากหน้าไอ้บ้านั่น แต่เขาช้าเกินกว่าจะจับเข่าเธอไว้ทัน มันไม่ได้ลงหนังสือพิมพ์ อาร์นี่อธิบายให้หมอนั่นฟังว่าถ้าจะกลับสู่ "วงจรแห่งอำนาจ" ก็จะเจอข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ แล้วเขาก็ใส่ชื่อไว้ในบัญชีดำอยู่นั่นเอง เธอชอบอาร์นี่
เธอชอบร่างนี้ด้วย สี่ชั่วโมงแทนที่จะเป็นสามตามที่สัญญาไว้ เป็นความพยายามอย่างมากสำหรับความยาวสิบสองนาทีสามสิบวินาที เธอมักเขียนให้มันสั้นกว่าเล็กน้อยเพราะประธานาธิบดีมักอ่านมันช้า ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ไรอันคงต้องเรียนรู้เรื่องนั้น เธอกดปุ่มคอนโทรล พีเพื่อพิมพ์ร่างด้วยตัวอักษรเฮลเวติกาขนาด 14 พอยต์ 3 ชุด พวกการเมืองบางคนชอบตรวจดูแล้วพยายามแก้ไข ตอนนี้มันไม่ใช่ปัญหามากเหมือนที่เคยอีกแล้ว เมื่อเครื่องพิมพ์หยุด เธอจัดเรียงหน้าและเย็บมันติดกัน แล้วจึงยกโทรศัพท์ ปุ่มโทรด่วนบนสุดต่อไปยังโต๊ะที่ต้องการที่ฝั่งตรงข้าม
"เวสตันจะเข้าไปหาเจ้านาย" เธอบอกกับเลขานุการที่ดูแลนัดหมาย
"เข้ามาได้เลยค่ะ"
จากนั้นทุกอย่างก็เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น
พระเจ้าไม่ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของเธอ มูดิเห็น อัตรารอดก็ไม่ได้อยู่ข้างเธอด้วย การผสานศรัทธาในศาสนาอิสลามของเขากับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกันเป็นปัญหามากกับหมอมูดิเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานทั้งที่เป็นคริสเตียนและไม่มีศาสนา คองโกได้รับอิทธิพลคริสเตียนมากว่าร้อยปีแล้ว แต่ความเชื่อเรื่องภูติผีแบบเก่าก็ยังแพร่หลายอยู่ มันทำให้มูดิรังเกียจพวกนั้นได้ง่ายขึ้น เป็นคำถามเดิม ๆ ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเมตตาแล้ว ทำไมความอยุติธรรมจึงเกิดขึ้นได้? นั่นอาจจะเป็นคำถามที่ดีจะพูดกับอิหม่ามของเขา ((imam ผู้นำสวดมนต์ของอิสลาม)) แต่ตอนนี้มันก็มากพออยู่แล้วที่สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง แม้แต่กับผู้ที่ทรงคุณธรรม
พวกนี้เรียกว่าเพทีคี ((petechiae)) ชื่อวิทยาศาสตร์ของตุ่มเลือดใต้ผิวหนัง ซึ่งเห็นได้ชัดบนผิวสีซีดแบบชาวยุโรปเหนือของเธอ เป็นการดีที่แม่ชีเหล่านี้ไม่ใช้กระจก มันถือเป็นกิเลสในศาสนาของพวกเธอ และเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มูดิยอมรับนับถือ ถึงเขาจะไม่เข้าใจความเชื่อนั้นนัก พวกตุ่มเลือดนั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าดูนัก แต่ยิ่งกว่านั้น พวกมันเป็นเครื่องแสดงถึงความตาย
ไข้ของเธอสูงถึง 40.2 องศาแล้ว และคงจะสูงกว่านี้ถ้าไม่มีน้ำแข็งที่รักแร้และหลังคอของเธอ สายตาของเธอเซื่องซึม ร่างกายอ่อนแอลงด้วยความอ่อนเพลีย เหล่านั้นเป็นอาการของโรคได้มากมาย แต่ตุ่มเลือดบอกเขาว่าเธอกำลังตกเลือดภายใน อีโบลาเป็นไข้ประกอบกับการตกเลือด หนึ่งในกลุ่มโรคที่ทำลายเนื้อเยื่อที่ระดับพื้นฐาน ปล่อยให้เลือดไหลกระจายไปทุกแห่งในร่างกาย ซึ่งจะนำไปสู่อาการหัวใจหยุดทำงานเพราะปริมาณของเลือดไม่เพียงพอ มันเป็นกลไกการฆ่า แต่ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร โลกการแพทย์ยังไม่รู้ ไม่มีอะไรหยุดมันได้แล้วตอนนี้ ประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของเหยื่อจะรอดตายได้ ระบบภูมิคุ้มกันรวบรวมกำลังและชนะไวรัสผู้บุกรุกได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นอย่างไรก็เป็นอีกปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบ ส่วนที่มันไม่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยคนนี้เป็นปัญหาที่ถามไปแล้ว และได้คำตอบแล้ว
เขาจับข้อมือเธอเพื่อตรวจชีพจร ถึงเขาจะใส่ถุงมือก็รู้สึกถึงผิวหนังของเธอที่ร้อนและแห้งและ...อ่อนยุ่ย มันเริ่มขึ้นแล้ว ศัพท์เทคนิคที่ใช้คือซิสเต็มมิก เนโครซิส ((systemic necrosis อาการเนื้อเยื่อตายทั่วร่างกาย)) ร่างกายกำลังเริ่มตาย อาจจะเริ่มที่ตับเป็นอันดับแรก ด้วยเหตุผลที่ยังไม่มีใครเข้าใจ อีโบลาพอใจจะเล่นงานอวัยวะนั้น แม้แต่ผู้ที่รอดมาได้ก็ต้องพบกับความเสียหายที่เกิดกับตับอยู่ดี แต่ไม่มีใครอยู่ได้นานที่จะตายด้วยเหตุนั้น เพราะอวัยวะทั้งหมดกำลังตาย บางส่วนเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ แต่ในไม่ช้าจะเป็นทุกส่วนพร้อมกัน
ความเจ็บปวดน่ากลัวมากพอกับที่มันมองไม่เห็นได้ มูดิเขียนใบสั่งให้เพิ่มอัตราหยดมอร์ฟีน อย่างน้อยมันช่วยบรรเทาความเจ็บ ซึ่งเป็นเรื่องดีกับผู้ป่วยและปลอดภัยกับคนรักษา ผู้ป่วยที่ทรมานจะเหวี่ยงร่างกายอย่างรุนแรง และนั่นเป็นความเสี่ยงสำหรับผู้ที่อยู่ใกล้คนที่มีอาการไข้และตกเลือดทั่วร่างกายจากโรคติดต่อทางเลือด แขนซ้ายของเธอถูกมัดไว้เพื่อป้องกันเข็มไอวี แต่ถึงจะป้องกันอย่างนั้น การให้ของเหลวผ่านเส้นเลือดก็ดูไม่ค่อยแน่นอนนักในตอนนี้ แต่จะเพิ่มเข้าไปอีกจะเป็นอันตรายและหวังผลยาก เพราะเนื้อเยื่อเส้นเลือดใหญ่ของเธอแย่ลงไปมากแล้ว
ซิสเตอร์มาเรีย แมกดาเลนากำลังดูแลเพื่อนของเธออยู่ เธอปิดหน้าไว้แต่สายตาก็แสดงความเศร้า มูดิมองเธอและเธอก็มองเขา ประหลาดใจที่เห็นความสงสารบนใบหน้าของเขา เพราะมูดิมีชื่อเสียในเรื่องความเย็นชา
"สวดมนต์กับเธอเถอะ ซิสเตอร์ มีหลายอย่างที่ผมต้องทำตอนนี้" อย่างรวดเร็ว เขาออกจากห้องพร้อมกับถอดชุดป้องกันออกแล้วใส่มันในภาชนะที่ถูกต้อง เข็มทั้งหมดที่ใช้ในอาคารนี้เก็บไว้ในภาชนะเก็บของ "มีคม" พิเศษเพื่อทำลาย ความไม่ใส่ใจนักกับการป้องกันเหล่านั้นของพวกแอฟริกันยังผลให้เกิดการระบาดใหญ่ครั้งแรกของอีโบลาในปี 1976 สายพันธุ์นั้นเรียกว่าอีโบลา มายิงกา ตามชื่อของพยาบาลที่ติดเขื้อไวรัสนั้น อาจจะเพราะความไม่ระมัดระวัง พวกนั้นเรียนรู้มากขึ้นหลังจากนั้น แต่แอฟริกาก็ยังเป็นแอฟริกา
กลับมาในห้องทำงาน เขาหมุนโทรศัพท์อีกครั้ง หลายอย่างเริ่มจะเกิดขึ้นแล้ว เขาไม่แน่ใจนักว่าอะไร ถึงเขาจะช่วยตัดสินใจไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม และเขาทำอย่างนั้นโดยแนะนำการค้นหาบางสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ จากบรรดางานวิจัยต่าง ๆ อย่างทันที
"ฉันกำลังจะช่วยชีวิตท่าน" คำพูดนั้นทำให้ไรอันหัวเราะและทำให้ไพรซ์สะดุ้ง อาร์นี่เพียงแค่หันหน้ามามองเธอ และสังเกตว่าเธอยังแต่งตัวไม่เหมาะสมอยู่ ที่จริงมันเป็นข้อดีสำหรับหน่วยคุ้มกัน ที่เรียกพวกสต๊าฟฟ์ที่ชอบตัดเสื้อผ้าเองว่า "นกยูง" ซึ่งสุภาพกว่าคำอื่นที่พวกนั้นอาจจะใช้ แม้แต่พวกเลขานุการยังใช้เงินกับเสื้อผ้ามากกว่าแคลลี่ เวสตัน อาร์นี่เพียงแค่ยื่นมือออกไป "นี่ครับ"
ประธานาธิบดีไรอันดีใจอยู่เงียบ ๆ กับตัวพิมพ์ใหญ่ ๆ เขาไม่ต้องใส่แว่นตาหรือทำให้ตัวเองขายหน้าด้วยการบอกให้ใครสักคนขยายขนาดตัวอักษรขึ้น ปกติแล้วเขาอ่านเร็ว แต่เขาใช้เวลาอ่านเอกสารนี้อย่างช้า ๆ
"ขอแก้ที่หนึ่งได้มั้ย?" เขาพูดขึ้นหลังจากผ่านไปชั่วครู่
"อะไรหรือคะ?" เวสตันถามอย่างสงสัย
"เราได้ รมว. คลังแล้ว จอร์จ วินสตัน"
"มหาเศรษฐีแสนล้านนั่นหรือคะ?"
ไรอันพลิกหน้า "อืม ผมอาจจะเลือกคนจรจัดจากสวนสาธารณะไหนก็ได้ แต่ผมคิดว่าการเลือกคนที่มีความรู้เรื่องตลาดการเงินน่าจะเป็นความคิดที่ดี"
"เราเรียกพวกนั้นว่า "ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย" นะ แจ๊ค" อาร์นี่เตือน
"หรือผมจะเลือกพวกนักวิชาการก็ได้ แต่บัซ ฟิลเลอร์คงเป็นคนเดียวที่ผมไว้ใจได้" แจ๊คพูดต่อไปอย่างปกติ ระลึกขึ้นได้อีกครั้ง นักวิชาการที่หายาก ฟิลเลอร์ ชายที่รู้สิ่งที่เขาไม่รู้ บ้าชะมัด "นี่ดีแล้วนะ คุณเวสตัน"
แวน แดมม์ไปที่หน้าสาม "แคลลี่..."
"อาร์นี่ที่รักคะ คุณไม่เขียนแบบโอลิเวียร์ให้จอร์จ ซี. สก๊อต คุณเขียนแบบโอลิเวียร์ให้กับโอลิเวียร์ แล้วก็แบบสก๊อตให้สก๊อต" ภายในใจของเธอ แคลลี่ เวสตันรู้ดีว่าเธอจะโดดขึ้นเครื่องจากสนามบินดัลเลสไปแอลเอเอ็กซ์ เช่ารถ ตรงไปพาราเมาท์ แล้วภายในหกอาทิตย์ เธอก็จะมีบ้านอยู่บนฮอลลีวู้ด ฮิลล์ มีพอร์ชขับไปที่จอดรถส่วนตัวบนถนนเมลโรส บูลิวาร์ด ((Melrose Boulevard)) และคอมพิวเตอร์กรอบทองเครื่องนั้นด้วย แต่ไม่หรอก ทั้งโลกอาจจะเป็นเวที แต่บทที่เธอเขียนเป็นบทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเจิดจ้าที่สุด สาธารณชนอาจไม่รู้ว่าเธอคือใคร แต่เธอรู้ดีว่าถ้อยคำของเธอเปลี่ยนแปลงโลกได้
"แล้วจริง ๆ แล้วผมเป็นไง?" ท่านประธานาธิบดีเงยหน้าขึ้นถาม
"ท่านแตกต่างไปค่ะ ดิฉันบอกท่านแล้ว"
Thai translation by Kaii
This page hosted by
Get your own Free Home Page