Executive Orders

บทที่ 2 ก่อนรุ่งเช้า

เป็นเรื่องที่คาดได้ว่าพวกนั้นจะตรงต่อเวลาเท่าที่นาฬิกาอิเลคโทรนิคส์จะบอกได้ ไรอันรู้สึกเหมือนเขาแทบไม่ได้หลับตาลงเลยเมื่อเขาตกใจตื่นขึ้นทันทีที่มีเสียงเคาะอย่างนุ่มนวลที่สุดดังที่ประตู จากนั้นเป็นความรู้สึกสับสนเป็นปกติเมื่อตื่นขึ้นมาบนสถานที่ที่ไม่ใช่เตียงของตัวเอง ฉันอยู่ที่ไหน? ความคิดรวบรวมได้เป็นอย่างแรกบอกเขาว่าเขาฝันไปหลายอย่างและอาจจะ- แต่ตามหลังความคิดนั้นทันทีคือเสียงบอกจากภายในว่าในฝันร้ายที่สุดยังเป็นจริง เขาอยู่ในที่ไม่คุ้นเคยและไม่มีคำอธิบายสำหรับมัน พายุทอร์นาโดพัดพาเขาสู่ในวังวนแห่งความสยดสยองและสับสน จากนั้นก็นำเขามาที่นี่ และที่นี่ ไม่ใช่ทั้งแคนซัสหรือออซ ((เป็นการเปรียบเทียบจากเรื่อง Wizard of Oz ที่ตอนต้นเรื่องเด็กหญิงตัวเอกของเรื่องถูกพายุพัดจากบ้านที่แคนซัสไปตกที่ดินแดนในจินตนาการชื่อ ออซ)) สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาบอกได้หลังจากรวบรวมสติประมาณห้าหรือสิบวินาทีก็คือเขาไม่ปวดหัวอย่างที่ควรเป็นเมื่อนอนไม่พอและไม่ได้เหนื่อยมากนัก เขาเลื่อนตัวออกจากผ้าห่ม เท้าลงแตะพื้นแล้วเดินไปที่ประตู

"เอาล่ะ ผมตื่นแล้ว" เขาพูดกับประตูไม้ แล้วก็นึกได้ว่าห้องนอนนี้ไม่มีห้องน้ำในตัวและเขาจำเป็นต้องเปิดประตู ออกมา

"อรุณสวัสดิ์ครับท่านประธานาธิบดี" เจ้าหน้าที่คุ้มกันหนุ่มท่าทางจริงจังยื่นชุดคลุมอาบน้ำให้ หน้าที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของทหารรับใช้ แต่นาวิกโยธินคนเดียวที่เขาเห็นในทางเดินก็คาดเข็มขัดปืน แจ๊คสงสัยว่าเมื่อคืนมีการเปิดศึกแย่งเขตคุ้มครองกันว่าใครจะได้เป็นใหญ่ในการคุ้มกันผู้บัญชาการสูงสุดคนใหม่ระหว่างหน่วยนาวิกโยธินกับหน่วยคุ้มกันหรือเปล่า แล้วก็สะดุ้งเมื่อเห็นว่าเสื้อคลุมนั้นเป็นของเขาเอง

"เราไปเอาสิ่งของบางอย่างสำหรับท่านเมื่อคืนนี้ครับ" เจ้าหน้าที่คนนั้นอธิบายด้วยเสียงกระซิบ เจ้าหน้าที่คนที่สองส่งเสื้อคลุมยาวสีเลือดนกค่อนข้างเก่าของแคธี่ให้ เพราะฉะนั้น มีคนบุกเข้าไปในบ้านของเขาเมื่อคืนนี้ ด้วยความจำเป็น แจ๊คเข้าใจเพราะว่าเขาไม่ได้ให้กุญแจบ้านกับใคร และผู้บุกรุกก็ต้องผ่านสัญญาณกันขโมยที่เขาติดไว้ไม่กี่ปีก่อนด้วย เขาเดินกลับไปที่เตียงแล้ววางเสื้อคลุมยาวไว้บนนั้นก่อนกลับออกมา หน่วยคุ้มกันอีกคนชี้ทางไปห้องนอนว่างอีกห้องเลยห้องโถง มีสูทสี่ชุดแขวนที่เตียงพร้อมด้วยเสื้อเชิ้ตจำนวนเท่ากัน เห็นได้ว่าทั้งหมดพึ่งรีดใหม่ๆ ไทอีกสิบเส้นและอื่นๆ แจ๊คยังไม่รู้สึกสงสารเท่ากับสิ้นหวัง พวกคณะทำงานรู้ดีหรืออย่างน้อยก็พอรู้ว่าเขาต้องผ่านอะไรบ้าง และพวกเขาก็จัดการกับทุกอย่างที่จะให้แจ๊คสะดวกสบาย อย่างสมบูรณ์แบบจนเหมือนเสียสติ ใครสักคนยังขัดรองเท้าดำสามคู่ของเขาจนเงาวับตามมาตรฐานนาวิกโยธิน มันไม่เคยดูดีขนาดนี้เลย แจ๊คคิดขณะเดินไปห้องน้ำ ซึ่งแน่นอน เขาพบทุกอย่างที่นั่นเป็นของของเขา แม้แต่สบู่ยี่ห้อเซสท์ที่เขาใช้ประจำ ข้างๆนั่นเป็นชนิดอ่อนโยนต่อผิวที่แคธี่ใช้ ไม่มีใครคิดว่าการเป็นประธานาธิบดีจะเป็นเรื่องง่าย แต่ตอนนี้รอบตัวเขาเป็นผู้คนซึ่งตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะขจัดสิ่งเล็กน้อยทุกอย่างที่อาจทำให้เขากังวล

น้ำอุ่นจากฝักบัวช่วยคลายกล้ามเนื้อของเขาและจับฝ้าบนกระจกซึ่งช่วยให้รู้สึกดีขึ้นตอนเขาโกนหนวด เมื่อกิจวัตรตอนเช้าทั้งหมดสิ้นสุดลงตอน 5.20 น.แล้วไรอันจึงเดินลงบันได เขามองผ่านหน้าต่างออกไปข้างนอกเห็นแนวทหารนาวิกโยธินในชุดพรางยืนยามอยู่ที่ลาน เห็นลมหายใจพ่นออกเป็นควันขาว พวกที่อยู่ข้างในยืนตรงเมื่อเขาเดินผ่าน เขาและครอบครัวอาจได้นอนบ้าง แต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่นๆ นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องจำไว้ แจ๊คบอกกับตัวเองขณะที่เดินตามกลิ่นหอมไปสู่ห้องครัว

"ทั้งหมดตรง!" เสียงของจ่าสิบเอกแห่งหน่วยนาวิกโยธินไม่ได้เปล่งออกมาเพื่อเห็นแก่เด็กๆที่หลับอยู่ชั้นบน และเป็นครั้งแรกตั้งแต่อาหารเย็นคืนก่อนที่แจ๊คยิ้มออกมาได้

"ตามสบาย ทหาร" ประธานาธิบดีไรอันตรงไปที่หม้อกาแฟ แต่สิบโทอีกคนรีบตัดหน้าเขา ครีมและน้ำตาลถูกเติมลงในกาแฟด้วยปริมาณที่ถูกต้อง อีกครั้งที่มีคนทำการบ้านมาก่อน จากนั้นเธอจึงยื่นให้เขา

"พวกสต๊าฟฟ์อยู่ในห้องรับประทานอาหารครับท่าน" จ่าสิบเอกบอก

"ขอบใจ" ประธานาธิบดีไรอันเดินตรงไปทางนั้น

พวกเขาดูแย่ลงเพราะความอิดโรย ทำให้แจ๊ครู้สึกผิดไปชั่วครู่กับหน้าที่สดชื่นหลังอาบน้ำของเขา แล้วก็เห็นกองเอกสารที่พวกเขาเตรียมไว้

"อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านประธานาธิบดี" แอนเดรีย ไพรซ์กล่าว ทุกคนเริ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่แจ๊คโบกมือให้นั่งลงแล้วชี้ไปที่เมอเรย์

"แดน" ท่านประธานาธิบดีเริ่ม "เรารู้อะไรบ้าง?"

"เราพบศพนักบินเมื่อสองชั่วโมงก่อน ผลพิสูจน์ดีทีเดียว เขาชื่อซาโต้อย่างที่คาด นักบินชั่วโมงบินสูง เรายังมองหานักบินผู้ช่วยอยู่" เมอเรย์หยุดชั่วครู่ "และกำลังตรวจหายาให้ศพนักบิน แต่ถ้าเจอก็คงแปลกมาก เอ็นทีเอสบีเจอบันทึกการบินแล้ว ตอนประมาณตีสี่ และก็ตรวจสอบอยู่ตอนนี้ เราพบศพกว่าสองร้อยศพแล้ว-"

"แล้วประธานาธิบดีเดอร์ลิ่งล่ะ?"

ไพรซ์ตอบแทนพร้อมส่ายหน้า "ยังค่ะ อาคารส่วนนั้น เอ่อ มันเละมาก พวกเขาเลยหยุดรอให้สว่างก่อนค่อยทำงานหนักๆ"

"ผู้รอดชีวิตล่ะ?"

"แค่สามคนที่เรารู้ว่าอยู่ในอาคารตอนที่เกิดเหตุ"

"เอาล่ะ" ไรอันส่ายหน้าเช่นเดียวกัน ข้อมูลนั้นสำคัญ แต่ไม่เกี่ยวข้อง "มีอะไรสำคัญอีกที่เรารู้?"

เมอเรย์ดูบันทึกของเขา "เครื่องบินขึ้นจากแวนคูเวอร์อินเตอร์แนชั่นแนลในบริติชโคลัมเบีย เดินทางตามแผนเส้นทางบินหลอกจะไปฮีธโรว์ ลอนดอน บินไปทางตะวันออก ออกจากน่านฟ้าแคนาดาเวลาท้องถิ่น 7.51 น. ทั้งหมดเป็นไปเหมือนปกติ เราคาดว่าเขาบินออกไประยะหนึ่งแล้วย้อนกลับมาตรงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มาที่ดีซี หลังจากนั้นเขาหลอกหอบังคับการบินมาเรื่อยๆ"

"ยังไง?"

เมอเรย์พยักไปที่ใครอีกคนที่ไรอันไม่รู้จัก "ท่านประธานาธิบดีครับ ผมเอ๊ด ฮัทชินส์ จากเอ็นทีเอสบี ไม่ใช่เรื่องยากเพราะเขาอ้างว่าเป็นเครื่องเช่าของเคแอลเอ็มมาจากออแลนโด แล้วเขาก็แจ้งเหตุฉุกเฉิน ถ้าเกิดฉุกเฉินบนเครื่อง คนของเราถูกฝึกมาให้นำเครื่องลงโดยด่วนที่สุด เราเจอกับคนที่รู้ว่าจะกดปุ่มไหนอย่างถูกต้อง ไม่มีใครป้องกันเรื่องนี้ได้" เขาสรุปและแก้ตัวกลายๆ

"มีเสียงคนคนเดียวอยู่ในเทป" เมอเรย์ให้ข้อสังเกต

"อย่างไรก็ตาม" ฮัทชินส์พูดต่อ "เรามีเทปของเรดาร์ เขาเลียนแบบการบินของเครื่องที่มีปัญหาการควบคุม แล้วก็ร้องขอแนวร่อนลงฉุกเฉินจากทางแอนดรูว์ แล้วก็ได้สิ่งที่ต้องการ จากแอนดรูว์ไปรัฐสภาใช้เวลาบินไม่ถึงนาที"

"คนของเราคนนึงยิงสติงเกอร์ใส่" ((Stinger จรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่ายิง)) ไพรซ์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจที่ดูน่าเศร้า

Stinger

ฮัทชินส์สั่นศีรษะของเขา นี่เป็นกิริยาประจำเช้าวันนี้ในวอชิงตัน "ใช้กับสิ่งที่ใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่ผิดกับถ่มน้ำลายใส่"

"มีอะไรจากทางญี่ปุ่นมั้ย?"

"พวกเขาอยู่ในสภาวะตกตะลึงไปทั้งประเทศ" เสียงจากสก็อต แอดเลอร์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศ "หลังจากท่านนอนแล้วเราก็ได้รับสายจากนายกรัฐมนตรี เหมือนกับเขาเจอกับสัปดาห์โหดด้วยตัวเอง ถึงเขาดูดีใจที่ได้กลับมารับงานอีกครั้ง เขาอยากมาที่นี่เพื่อขออภัยต่อเราด้วยตัวเอง ผมบอกเขาว่าเราจะแจ้งกลับไป-"

"บอกเขาว่าได้"

"คุณแน่ใจเหรอ แจ๊ค?" อาร์นี่ แวน แดมม์ถาม

"มีใครคิดว่านี่เป็นการกระทำโดยเจตนารึเปล่าล่ะ?" แจ๊คตอบกลับ

"เราไม่ทราบค่ะ" ไพรซ์ตอบเป็นคนแรก

"ไม่มีวัตถุระเบิดบนเครื่อง" เมอเรย์ชี้ "ถ้ามี-"

"ผมคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้" ไรอันดื่มกาแฟจนหมด สิบโทเติมมันในทันที "เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องของคนบ้าคนสองคน เหมือนเรื่องอื่น"

ฮัทชินส์ผงกศีรษะตกลงอย่างไม่ค่อยแน่ใจ "การระเบิดไม่รุนแรงเท่าไหร่ ถ้ามีเพียงไม่กี่ตันตามที่เครื่อง 747-400 จะบรรทุกได้ จะไม่ทำให้ภารกิจเสี่ยงขึ้นแม้แต่นิด แล้วผลที่ได้จะร้ายแรงมาก ที่เราเจอคือการพุ่งชนดื้อๆ ความเสียหายที่เหลือเกิดจากเชื้อเพลิงเครื่องบินครึ่งถัง ประมาณไม่เกินแปดสิบตัน นั่นก็เยอะพอควร" เขาสรุป ฮัทชินส์สอบสวนเหตุการณ์เครื่องบินตกมากว่าสามสิบปีแล้ว

"ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะสรุป" ไพรซ์เตือน

"สก็อต?"

"ถ้ามันเป็น ก็นรก" แอดเลอร์ส่ายหน้า "นี่ไม่ใช่การกระทำของรัฐบาลพวกนั้น พวกเขาแทบเป็นบ้าอยู่นั่น หนังสือพิมพ์เรียกร้องหาตัวคนผิดที่เชิดรัฐบาลตั้งแต่ตอนแรก ส่วนนายกฯโคกะก็แทบร้องไห้ตอนพูดสาย พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าใครซักคนที่อยู่ทางนั้นเป็นคนทำ พวกเขาจะหาตัวหมอนั่นมาให้เราเอง"

"แนวคิดในการจัดการที่เหมาะสมของพวกนั้นไม่เข้มงวดเท่ากับของเรา" เมอเรย์เสริม "แอนเดรียพูดถูก ยังเร็วไปจะสรุปอะไร แต่ในตอนนี้ทุกอย่างชี้ไปที่การกระทำโดยไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า" เมอเรย์ชะงักชั่วครู่ "และถ้าเป็นแผนที่วางไว้ เรารู้ว่าฝ่ายนั้นพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้แล้วนะ จำได้ไหม?" แม้แต่กาแฟก็เย็นชืดไปกับข้อสังเกตนั้น

.

.

เขาพบร่างนี้ใต้พุ่มไม้ขณะกำลังย้ายบันไดจากส่วนหนึ่งของด้านตะวันตกไปอีกส่วน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงนี้ทำหน้าที่มาเจ็ดชั่วโมงติดต่อกัน ในตอนนี้เขารู้สึกด้านชาไปแล้ว เรารับความสยดสยองได้มากขนาดหนึ่งก่อนที่ใจเริ่มคิดเห็นร่างและชิ้นส่วนศพเป็นเพียงสิ่งของอย่างหนึ่ง ซากศพของเด็กหรือแม้แต่ผู้หญิงสวยอาจเขย่าขวัญเขา เพราะเจ้าหน้าที่คนนี้ยังหนุ่มและโสด แต่ร่างที่เขาเหยียบโดยบังเอิญนี้ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั้น เป็นช่วงลำตัวปราศจากศีรษะ บางส่วนของขาทั้งสองข้างหายไป แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นร่างของผู้ชาย มีเศษรุ่งริ่งของเสื้อเชิ้ตขาวมีอินทรนูที่หัวไหล่ เห็นแถบสามแถบบนนั้น เขาสงสัยว่าหมายถึงอะไร แต่เหนื่อยเกินว่าจะคิดได้ เขาหันกลับและโบกมือเรียกหัวหน้าหมวดของเขา ซึ่งสะกิดแขนผู้หญิงอีกคนที่สวมเสื้อวินเบรคเกอร์ทำจากไวนิลของเอฟบีไอ ((Winbreaker เสื้อแจ๊คเก็ตกันลม))

เจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนนั้นเดินเข้ามา จิบถ้วยพลาสติกและนึกหวังให้สูบบุหรี่ได้ ยังมีควันอบอวลอยู่มากเกินไป เธอบ่นพึมพำ

"ผมพึ่งเจอนี่ อยู่ในที่ตลกดี แต่-"

"ช่าย ตลก" เธอยกกล้องขึ้นถ่ายรูปชุดหนึ่งซึ่งจะมีเวลาบันทึกไว้บนภาพ จากนั้นเธอดึงกระดาษบันทึกออกมาจากกระเป๋าแล้วจดท่าของศพที่สี่ที่บันทึกไว้ในใจ เธอไม่ได้พบศพมากนักในบริเวณที่รับผิดชอบ เสาพลาสติกและเทปเหลืองจะช่วยบอกตำแหน่งจุดนี้ได้ดีขึ้น เธอเริ่มเขียนแถบป้ายสำหรับศพนี้ "คุณพลิกเขาขึ้นมาได้แล้ว"

สิ่งที่พวกเขาเห็นภายใต้ร่างคือเศษแก้วแบนๆ หรือพลาสติกคล้ายแก้ว รูปร่างแปลก เจ้าหน้าที่เอฟบีไอถ่ายอีกภาพ และเมื่อมองผ่านช่องมองของกล้อง สิ่งต่างๆดูน่าสนใจมากกว่าดูด้วยตาเปล่า เธอเหลือบตามองแล้วเห็นช่องที่ราวบันไดหินอ่อน มองไปรอบๆอีกครั้งก็เห็นโลหะวัตถุเล็กๆเกลื่อนกลาดที่เมื่อชั่วโมงก่อนเธอลงความเห็นว่าเป็นชิ้นส่วนเครื่องบิน ซึ่งดึงความสนใจของเจ้าหน้าที่สอบสวนของเอ็นทีเอสบีที่ตอนนี้กำลังปรึกษากับหัวหน้าหมวดดับเพลิงคนเดียวกับที่เธอหารือด้วยในนาทีที่แล้ว เธอต้องโบกมือถึงสามครั้งกว่าเขาจะเห็น

"อะไรเหรอ?" เจ้าหน้าที่สอบสวนเอ็นทีเอสบีกำลังเช็ดแว่นของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้า

เอฟบีไอชี้ "ลองตรวจดูเชิ้ตนั่น"

"ลูกเรือ" เขากล่าว หลังจากใส่แว่นแล้ว "อาจเป็นนักบิน นั่นอะไร?" เขาชี้บ้าง

มันดูเรียบร้อยอย่างน่าแปลกใจ เชิ้ตเครื่องแบบสีขาวมีรูอยู่ทางขวาของกระเป๋าเสื้อ มีรอยเปื้อยสีแดงเข้มรอบๆรูนั้น เจ้าหน้าที่เอฟบีไอถือไฟฉายไปใกล้ๆ และเห็นว่าเป็นรอยแห้ง อุณหภูมิตอนนี้ต่ำกว่า 20 องศาฟาเรนไฮต์เล็กน้อย ศพกระเด็นลงมาในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างนี้ทันทีที่เกิดการชน รอยเลือดที่คอจับตัวแข็งเป็นสีม่วงแดงเข้มเหมือนสีเชอร์เบท ส่วนเลือดที่เสื้อเชิ้ตที่เธอเห็น แห้งไปก่อนจะมีโอกาสแข็งตัว

"อย่าเคลื่อนศพมากกว่านี้นะ" เธอบอกกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอส่วนใหญ่ เธอเคยเป็นตำรวจท้องถิ่นก่อนสมัครเข้าเอฟบีไอ แต่เป็นความหนาวที่ทำให้หน้าของเธอซีดลง

"คดีอุบัติเหตุคดีแรกของคุณเหรอ?" เจ้าหน้าที่เอ็นทีเอสบีถาม หลังจากมองหน้าแล้วเข้าใจสาเหตที่ทำให้หน้าเธอซีดเผือดไปผิด

เธอผงกศีรษะ "ค่ะ ใช่แล้ว แต่ว่าไม่ใช่คดีฆาตรกรรมแรกของฉัน" แล้วเปิดวิทยุเคลื่อนที่เพื่อเรียกผู้บังคับบัญชาของเธอ ร้องขอทีมพิสูจน์อาชญากรรมและเจ้าหน้าที่นิติเวชครบชุดสำหรับศพนี้

.

.

โทรเลขมาจากทุกรัฐบาลในโลก ส่วนใหญ่จะยาว และต้องได้อ่านทั้งหมด อืม อย่างน้อยก็อันที่มาจากประเทศสำคัญ ส่วนของโตโกก็รอไปก่อน

"รมต.มหาดไทยและพาณิชย์เข้ามาแล้วและกำลังเตรียมพร้อมประชุม ครม. พร้อมกับรัฐมนตรีช่วยคนอื่นๆ" แวน แดมม์พูด ขณะที่ไรอันพลิกอ่านข้อความ พยายามอ่านและฟังในเวลาเดียวกัน "คณะเสนาธิการร่วม เป็นตำแหน่งรองทั้งหมด กำลังรวบรวมกัน กับบรรดาผู้บัญชาการภูมิภาคต่างๆเพื่อพิจารณาเรื่องความมั่นคงของชาติ-"

"ภัยคุกคามล่ะ?" แจ๊คถามโดยไม่เงยหน้า จนถึงเมื่อวานนี้เขายังเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และโลกไม่น่าจะเปลี่ยนไปมากนักในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง

สก็อต แอดเลอร์ตอบคำถามนั้น "ไม่มีครับ"

"วอชิงตันปิดไปเกือบทั้งเมือง" เมอเรย์กล่าว "มีประกาศวิทยุและทีวีให้ผู้คนอยู่กับบ้าน นอกจากงานบริการที่จำเป็น ทหารรักษาดินแดนประจำดีซีออกมาแล้ว เราต้องการหน่วยที่แข็งขันหน่อยที่รัฐสภา แล้วรักษาดินแดนดีซีก็เป็นกองพลน้อยสารวัตรทหารด้วย พวกนั้นอาจเป็นประโยชน์จริงๆก็ได้ อีกอย่าง หน่วยดับเพลิงก็ล้ามากแล้วตอนนี้"

"อีกนานเท่าไหร่กว่าเราจะได้ข้อมูลที่หนักแน่นจากการสอบสวน?" ท่านประธานาธิบดีถาม

"เรื่องนั้นยังบอกไม่ได้ แจ๊ะ- ท่าน-"

ไรอันเงยหน้าขึ้นจากโทรเลขเป็นทางการจากเบลเยี่ยม "เรารู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้ว แดน? ผมไม่ใช่พระเจ้านะ ถ้าคุณเรียกชื่อผมบ้างก็ไม่มีใครยิงคุณเพราะเรื่องนั้นหรอก"

เป็นคราวของเมอเรย์ที่ยิ้มออกมา "ตกลง คุณคาดการณ์อะไรกับการสืบสวนใหญ่ๆไม่ได้ ผลออกมาแน่ ไม่ช้าก็เร็ว" แดนให้คำมั่น "เรามีชุดสอบสวนดีๆอยู่ที่นั่น"

"ผมต้องบอกอะไรกับสื่อมวลชนมั่ง?" แจ๊คขยี้ตา รู้สึกเหนื่อยกับการอ่าน บางทีแคธี่พูดถูก เขาอาจต้องใส่แว่น ในที่สุด ตรงหน้าเขาคือแผ่นกระดาษพิมพ์หมายกำหนดการออกทีวีของเขา ซึ่งจัดโดยการจับฉลาก ซีเอ็นเอ็นตอน 7.08 น. ซีบีเอสที่ 7.20 น. เอ็นบีซี 7.37 น. เอบีซี 7.50 น. ฟ็อกซ์ 8.08 น. ทั้งหมดที่ห้องรู้สเวลท์ในทำเนียบขาว ซึ่งตั้งกล้องพร้อมไว้แล้ว ใครบางคนตัดสินใจว่าการกล่าวสุนทรพจน์อย่างเป็นทางการดูมากไปสำหรับเขา และไม่เหมาะสมกับสถานการณ์จนกว่าเขาจะมีเนื้อหามากพอจะบอก แค่เป็นการแนะนำตัวอย่างเงียบๆ ผ่าเผย และเหนือที่สุดคืออย่างเป็นกันเอง กับประชาชนที่กำลังอ่านข่าวหนังสือพิมพ์และดื่มกาแฟตอนเช้า

"คำถามง่ายๆ จัดการไว้หมดแล้ว" แวน แดมม์ให้ความมั่นใจ "คุณแค่ตอบพวกนั้น พูดช้าๆชัดๆ ทำตัวให้ดูผ่อนคลายเท่าที่ทำได้ ไม่มีอะไรตื่นเต้น ประชาชนไม่ได้คาดหวังอะไรอย่างนั้น พวกเขาอยากรู้ว่ามีคนรับผิดชอบงาน รับโทรศัพท์ อะไรก็แล้วแต่ พวกเขารู้ว่ายังเร็วเกินกว่าที่คุณจะพูดหรือทำอะไรชัดเจนลงไป"

"ลูกๆของโรเจอร์ล่ะ?"

"ยังหลับอยู่ ผมว่า เรานำญาติๆเข้ามาในทำเนียบขาวตอนนี้"

ประธานาธิบดีไรอันผงกศีรษะโดยไม่เงยหน้าขึ้น มันยากที่เงยขึ้นจะสบตากับคนที่นั่งรอบโต๊ะอาหารเช้าโดยเฉพาะในเรื่องแบบนี้ มีแผนสำหรับรองรับเรื่องนี้เหมือนกัน เจ้าหน้าที่ขนย้ายคงกำลังเดินทางไป ครอบครัวเดอร์ลิ่ง ส่วนที่เหลือ จะถูกนำออกจากทำเนียบขาวอย่างสุภาพแต่รวดเร็ว เพราะว่ามันไม่ใช่บ้านของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว ชาติต้องการคนอื่นในที่นั้น และคนนั้นต้องรู้สึกสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนั่นหมายถึงขจัดสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดของผู้อยู่อาศัยก่อนหน้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่โหดร้าย แจ๊คตระหนัก มันเป็นธุรกิจ ไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขาจะมีจิตแพทย์ยืนอยู่ข้างๆเพื่อช่วยเหลือสมาชิกครอบครัวที่โศกสลด เพื่อ "ประมวล" พวกเขาให้ผ่านมันไปอย่างดีที่สุดเท่าที่วิทยาศาสตร์การแพทย์จะทำได้ แต่ประเทศชาติต้องมาก่อน ในแคลคูลัสแห่งชีวิตอันไร้ความปรานี แม้แต่ชาติที่อ่อนไวต่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างสหรัฐอเมริกายังต้องเดินหน้าต่อไป เมื่อถึงเวลาที่ไรอันต้องออกจากทำเนียบขาว ไม่ว่าโดยอย่างไร สิ่งเดียวกันก็จะเกิดขึ้น เคยมีครั้งหนึ่งที่อดีตประธานาธิบดีต้องเดินลงเนินไปซื้อตั๋วรถกลับบ้านที่สถานีรถโดยสาร จากพิธีรับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนต่อจากเขา เดี๋ยวนี้พวกเขาใช้เจ้าหน้าที่ขนย้าย และแน่นอนว่าครอบครัวจะได้นั่งเครื่องบินของกองทัพอากาศออกไป แต่พวกเด็กๆก็ต้องไป จากโรงเรียนและเพื่อนๆที่พวกเขามี กลับสู่แคลิฟอร์เนียหรือที่ไหนที่ญาติจัดหาให้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือไม่ มันเป็นความกระด้างชา ไรอันคิดขณะเหม่อมองโทรเลขจากเบลเยี่ยม จะดีสำหรับทุกคนขนาดไหนถ้าเครื่องบินไม่ตกใส่อาคารรัฐสภา...

สิ่งสำคัญที่สุด ไรอันไม่เคยถูกเรียกไปปลอบลูกๆของคนที่เขารู้จัก และแน่ที่สุดว่าไม่เคยยึดบ้านของพวกเขาไป เขาส่ายหน้า ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นหน้าที่

เขามองกลับมาที่โทรเลข และสังเกตว่าอเมริกาช่วยปกป้องประเทศเล็กนั้นสองครั้งภายในช่วงเวลาไม่ถึงสามสิบปี จากนั้นก็คุ้มครองด้วยการเป็นพันธมิตรในนาโต้ มีความผูกพันในสายเลือดและมิตรภาพระหว่างอเมริกาและชาติซึ่งคนอเมริกันส่วนใหญ่หาตำแหน่งบนลูกโลกแทบไม่เจอ และก็เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าประเทศของเขาทำพลาดอะไร ไม่ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบอย่างไร ไม่ว่าดูเหมือนการกระทำบางอย่างจะไร้ความรู้สึกขนาดไหน สหรัฐอเมริกาได้ทำสิ่งที่ถูกที่ควรบ่อยครั้งกว่าสิ่งผิด ทำให้โลกนี้ดีขึ้นอย่างมาก และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมธุรกิจต้องดำเนินต่อไป

.

.

ผู้ตรวจ แพทริค โอ'เดย์ รู้สึกขอบคุณในความหนาวเย็น อาชีพสืบสวนของเขากินเวลานานกว่าสามสิบปี และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอยู่ท่ามกลางศพและชิ้นส่วนมากมายของมัน ครั้งแรกของเขาที่มิสซิสซิปปี้ในเดือนพฤษภาคมหนึ่ง พวกคูคลักซ์แคลนระเบิดโรงเรียนวันอาทิตย์ ((Ku Klux Klan ขบวนการเหยียดผิวชาตินิยมสุดขั้วของคนผิวขาวอเมริกัน)) มีเหยื่อสิบเอ็ดศพ อย่างน้อยความหนาวเย็นที่นี่ก็ช่วยดับกลิ่นสาบสางของศพมนุษย์ เขาไม่เคยคิดจะขึ้นสู่ระดับสูงในเอฟบีไอ - ตำแหน่ง "ผู้ตรวจ" เป็นตำแหน่งที่ความสำคัญในด้านอาวุโสแปรเปลี่ยนได้ กรณีของเขา เหมือนมากกับแดน เมอเรย์ ที่เขาทำงานเหมือนนักแก้ปัญหา มักจากถูกเรียกตัวไปจากวอชิงตันเพื่อช่วยคดีสำคัญ เขาเป็นที่รู้จักอย่างดีในฐานะเจ้าหน้าที่ภาคสนามชั้นยอด เขาสามารถลงไปถึงคดีจริงๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก แทนที่จะดูแลจากระดับสูงซึ่งเขาพบว่าน่าเบื่อ

ผู้ช่วยผู้อำนวยการโทนี่ คารูโซเลือกทางเดินอีกแบบ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมพิเศษของสำนักงานภาคสนามสองแห่ง เลื่อนขึ้นมาคุมแผนกฝึก จากนั้นก็สำนักงานภาคสนามวอชิงตัน ที่หัวหน้าจะใหญ่พอสำหรับตำแหน่ง "ผู้ช่วยผู้อำนวยการ" พร้อมทั้งสถานที่ทำงานที่แย่ที่สุดที่หนึ่งในอเมริกาเหนือ คารูโซพอใจกับอำนาจ บารมี รายได้ที่สูงขึ้น และที่จอดรถเฉพาะ ที่ได้รับจากตำแหน่งของเขา แต่ใจหนึ่งก็อิจฉาแพทเพื่อนเก่าของเขาที่ได้ทำงานระดับล่างบ่อยครั้ง

"คุณเห็นว่าไง?" คารูโซถามขณะจ้องมองลงไปที่ศพ พวกเขายังต้องใช้แสงช่วย เพราะถึงพระอาทิตย์กำลังขึ้น แต่ก็ยังอยู่ด้านไกลออกไปของอาคาร

"คุณยังเอาไปใช้ในศาลไม่ได้ แต่หมอนี่ตายมาหลายชั่วโมงก่อนเครื่องตก"

ทั้งคู่ดูผู้เชี่ยวชาญผมสีดอกเลา จากแผนกห้องปฏิบัติการสำนักงานใหญ่ที่กำลังทำงานอยู่กับศพ มีการทดสอบหลายประเภทที่ต้องทำ หาอุณหภูมิภายในก็เป็นหนึ่งในนั้น แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์คำนวณสภาวะแวดล้อมด้วยได้ และถึงข้อมูลจะเชื่อถือได้น้อยกว่าที่ทั้งสองต้องการ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน 9.46 น.คืนก่อนจะบอกพวกเขาในสิ่งที่อยากรู้ได้

"ถูกแทงที่หัวใจ" คารูโซพูด รู้สึกขนลุกกับความคิดนั้น เราไม่อาจข้ามความโหดเหี้ยมของฆาตกรรมได้ ไม่ว่าเหยื่อคนเดียวหรือนับพัน ความตายก่อนเวลาก็ยังเป็นอย่างนั้นเช่นเดิม และตัวเลขแค่บอกเราว่ามีรายชื่อมากขนาดไหน "เราพบนักบินแล้ว"

โอ'เดย์พยักหน้า "ผมก็ได้ยินเหมือนกัน แถบสามแถบ แปลว่าเขาเป็นนักบินผู้ช่วย และก็โดนฆ่า ดังนั้นอาจเป็นแค่ผลงานของคนคนเดียว"

"มีลูกเรืออะไรบ้างในเครื่องแบบนี้?" คารูโซถามเจ้าหน้าที่ควบคุมจากเอ็นทีเอสบี

"สองคนครับ รุ่นก่อนนี้ต้องมีวิศวกรการบิน แต่รุ่นใหม่ไม่จำเป็น สำหรับเที่ยวบินยาวจริงๆอาจมีนักบินสำรอง แต่เครื่องพวกนี้เป็นอัตโนมัติมากแล้ว และเครื่องยนต์ก็แทบไม่มีปัญหา"

เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการยืนขึ้นแล้วกวักมือให้คนหิ้วถุงห่อศพเข้ามา ก่อนจะเดินมารวมกลุ่มกับคนอื่นๆ "คุณอยากฟังความเห็นตอนนี้ก่อนเลยไหม?"

"แน่นอน" คารูโซตอบ

"ตายก่อนเกิดเหตุอย่างแน่นอน ไม่มีบาดแผลจากการชน แผลที่อกค่อนข้างเก่า ควรมีรอยช้ำจากเข็มขัดนิรภัย แต่ไม่มี มีแค่รอยขีดข่วนเล็กน้อย แล้วก็มีเลือดน้อยมาก ไม่มีเลือดมากพอในศีรษะ ที่จริงไม่มีเลือดมากนักในทุกส่วนที่อยู่ตรงนี้ ผมว่าเขาถูกฆ่าบนเก้าอี้ของเขาในเครื่อง เข็มขัดรั้งให้เขาอยู่ในท่านั่ง การซีดเขียวหลังการตายทำให้เลือดไหลลงไปส่วนล่างสุดทั้งหมด แล้วขาก็ขาดไปเมื่อเครื่องชนอาคาร นั่นเป็นสาเหตว่าทำไมมีเลือดน้อยมาก ผมต้องทำการบ้านอีกเยอะแต่เอาอย่างหยาบๆแล้วเขาตายสามชั่วโมงก่อนเครื่องตก" วิล เก็ตตี้ส์ยื่นกระเป๋าเงินให้ "นี่เป็นบัตรประจำตัวของหมอนี่ น่าสงสาร ผมว่าเขาไม่มีส่วนร่วมเรื่องนี้เลย"

"มีโอกาสที่คุณจะคิดผิดตรงไหนรึเปล่า?" โอ'เดย์จำเป็นต้องถาม

"ผมจะแปลกใจมากเลยแพท เวลาตายอาจคลาดไปชั่วโมงสองชั่วโมง แต่ก่อนไม่ใช่หลังจากนั้น ใช่ เป็นไปได้ แต่ไม่มีเลือดพอที่หมอนี่จะยังมีชีวิตอยู่ตอนที่ชน เขาตายก่อนเกิดเหตุ คุณแน่ใจได้เลยเรื่องนั้น" เก็ตตี้ส์บอกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เขารู้ดีว่าอาชีพของเขาแขวนอยู่บนนั้น แต่ก็สบายใจกับเดิมพัน

"ขอบคุณพระเจ้าถ้าเป็นงั้น" คารูโซถอนหายใจ มันช่วยให้การสืบสวนง่ายขึ้นเยอะ จะมีทฤษฎีคาดเดาเรื่องนี้ไปอีกยี่สิบปี ส่วนเอฟบีไอก็จะทำหน้าที่ต่อไป ตรวจสอบทุกทางที่เป็นไปได้ แน่ใจได้ว่าตำรวจญี่ปุ่นจะช่วยเรื่องนี้ แต่คนคนเดียวที่ขับเครื่องนี้พุ่งลงพื้น และนั่นทำให้ค่อนข้างแน่นอนว่าการลอบสังหารบ้าเลือดนี้ เหมือนกันครั้งอื่นๆ เป็นผลงานของคนคนเดียว ไม่ว่าวิกลจริตหรือไม่ ชำนาญหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คนเดียว ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะเชื่อเรื่องนี้

"แจ้งข้อมูลให้เมอเรย์รู้" คารูโซสั่ง "เขาอยู่กับท่านประธานาธิบดี"

"ได้ครับ" โอ'เดย์เดินไปทางที่รถกระบะของเขาจอดอยู่ อาจมีแบบนี้อยู่คันเดียวในเมืองนี้ แพทคิดพร้อมกับเสียบสายของไฟฉุกเฉินตำรวจกับที่จุดบุหรี่ เราไม่พูดเรื่องอย่างนี้ในวิทยุ ไม่ว่าจะเข้ารหัสหรือไม่ก็ตาม

.

.

พลเรือตรีแจ๊คสันเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อนอกสีน้ำเงินกึ่งทางการเมื่อออกจากแอนดรูวส์มาได้เก้าสิบนาที ได้นอนหกชั่วโมงหลังจากฟังบรรยายสรุปในเรื่องที่จริงแล้วไม่สำคัญเท่าไรนัก เครื่องแบบยับเยินเพราะอยู่ในกระเป๋าเดินทางของเขาแต่ก็ไม่สำคัญขนาดไหน แล้วผ้าขนสัตว์สีน้ำเงินเข้มก็ซ่อนรอยยับได้ดี แถบเหรียญตราห้าแถบและปีกสีทองของเขาก็ยังดึงดูดสายตาอยู่ เช้านี้ต้องมีลมตะวันออกเพราะเครื่องเคซี-10 บินมาจากเวอร์จิเนีย แล้วก็เสียงพึมพำ "พระเจ้า ดูนั่นซิ!" จากที่นั่งแถวหลังๆทางตอนหน้าของเครื่องกับการมุงดูที่หน้าต่างราวกับเป็นนักท่องเที่ยว ระหว่างรุ่งเช้าที่เริ่มขึ้นกับแสงไฟมากมายบนพื้นดิน เห็นได้ชัดว่าอาคารรัฐสภา ศูนย์กลางของเมืองหลวงประเทศนี้ ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นเสียแล้ว ภาพนี้ดูชัดเจนและเป็นจริงยิ่งกว่าที่พวกเขาเห็นในทีวีก่อนขึ้นเครื่องในฮาวาย ห้านาทีต่อมา เครื่องบินลงแตะพื้นที่ฐานทัพอากาศแอนดรูวส์ นายทหารระดับสูงเหล่านั้นพบว่ามีเฮลิคอปเตอร์จากฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ที่หนึ่งของกองทัพอากาศรอนำพวกเขาไปลานจอด ฮ. ที่เพนตากอน ((Pentagon อาคารศูนย์กลางการทหารอเมริกา)) เที่ยวบินนี้บินต่ำกว่าและช้ากว่า ทำให้พวกเขาเห็นความเสียหายของอาคารได้ดีกว่า

The Pentagon

"พระเจ้า" เดฟ ซีตันพูดผ่านอินเตอร์คอม "มีใครรอดออกมาจากที่นั่นได้บ้างไหม?" รอบบี้ดูอีกชั่วขณะก่อนจะตอบ "ผมสงสัยว่าแจ๊คอยู่ที่ไหนตอนเกิดเหตุ..." เขาจำคำพูดในการดื่มอวยพรของทหารบกอังกฤษได้ -"แด่สงครามระยำกับหน้าโรคระบาด!" - ซึ่งหมายถึงหนทางที่แน่นอนต่างๆสำหรับนายทหารในการเลื่อนตำแหน่งขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างลง แน่นอนว่ามีใครบางคนได้เลื่อนขั้นจากเหตุการณ์นี้ แต่ไม่มีใครต้องการความก้าวหน้าแบบนี้แน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองอันบอบช้ำข้างล่างนั่น

.

.

พวกนาวิกโยธินดูท่าทางผวามาก ผู้ตรวจโอ'เดย์เห็น เขาจอดรถที่ถนนสายแปด ตะวันออกเฉียงใต้ มีเครื่องกีดขวางตั้งทั่วค่ายทหารนาวิกโยธิน รถจอดกั้นเต็มขอบถนนและมากอีกเท่าตัวในช่องว่างระหว่างตึก เขาลงจากรถแล้วเดินตรงไปที่ทหารชั้นประทวนคนหนึ่ง เขาอยู่ในเสื้อวินเบรคเกอร์ของเอฟบีไอ และถือบัตรประจำตัวไว้ในมือขวา

"จ่า ผมมีธุระในนั้น"

"กับใครครับ?" นย.นายนั้นถาม ตรวจดูภาพในบัตรกับตัวจริง

"คุณเมอเรย์"

"กรุณาฝากปืนพกไว้กับเราที่นี่ได้ไหมครับ? เป็นคำสั่งครับ" จ่าอธิบาย

"ได้เลย" โอ'เดย์ส่งซองปืนซึ่งมีปืนสมิธแอนด์เวสสัน 1076 และซองกระสุน 2 ซองในนั้น เขาไม่พกปืนสำรองให้ลำบากเมื่อประจำหน้าที่ที่สำนักงานใหญ่ "คุณมีกำลังเท่าไหร่อยู่ที่นี่?"

"สองกองร้อยครับ เกือบพอเพียง มีอีกกองร้อยกำลังเข้าประจำตำแหน่งที่ทำเนียบขาว" ไม่มีเวลาใดเหมาะสำหรับล้อมคอกมากไปกว่าตอนวัวหายแล้ว แพทรู้ เศร้ายิ่งกว่าเดิมเพราะเขากำลังจะส่งข่าวที่ไม่จำเป็นเลยแต่ไม่มีใครใส่ใจเรื่องนั้นจริงๆ จ่าคนนั้นโบกมือเรียกผู้หมวดอีกคนที่ไม่มีอะไรจะทำมากไปกว่านำผู้มาเยือนเดินข้ามลานไป ทหารชั้นประทวนทำสิ่งต่างๆแบบนี้ หมวดคนนั้นวันยาหัตถ์ด้วยเหตุผลเดียวคือเพราะเป็นนาวิกโยธิน

"ผมมาพบแดนเนียล เมอเรย์ เขากำลังรอผมอยู่"

"โปรดตามผมมาครับ"

บนลานสี่เหลี่ยมที่มุมตึกด้านในมีอีกแนวของนาวิกโยธิน ส่วนแนวที่สามอยู่บนลานพร้อมปืนกลหนัก สองกองร้อยคิดเป็นจำนวนปืนไรเฟิลกว่าสามร้อยกระบอก ใช่แล้ว ประธานาธิบดีไรอันปลอดภัยพอสมควรที่นี่ นอกจากไอ้บ้าอีกซักคนขับเครื่องบินอยู่แถวนี้ ระหว่างทาง ผู้กองอีกคนขอเปรียบเทียบรูปในบัตรกับเขาอีกครั้ง นี่มากเกินไปแล้ว ต้องมีใครชี้เรื่องนี้ให้เห็นก่อนพวกนั้นจะเอารถถังมาจอดบนถนน

เมอเรย์ออกมาพบเขาที่ระเบียงหน้าบ้าน "เรื่องนั้นแน่นอนแค่ไหน?"

"มากทีเดียว" เขาตอบ

"มาสิ" เมอเรย์กวักให้เขาเข้าไป แล้วนำเพื่อนเข้าไปในห้องอาหารเช้า "นี่คือผู้ตรวจโอ'เดย์ แพท ผมว่าคุณรู้จักคนเหล่านี้แล้ว"

"อรุณสวัสดิ์ครับ ผมไปที่รัฐสภามา และเราก็พบบางอย่างเมื่อกี้ที่คุณต้องรู้" เขาเริ่มต้นและเล่าต่อไปอีกหลายนาที

"เรื่องนี้เชื่อถือได้แค่ไหน?" แอนเดรีย ไพรซ์ถาม

"คุณก็รู้ว่าขั้นตอนเป็นไง" โอ'เดย์ตอบ "มันเป็นขั้นเริ่มต้น แต่ว่าก็ดูน่าเชื่อถือได้มากในสายตาของผม เราจะได้ผลการตรวจสอบหลังเที่ยง ตอนนี้กำลังตรวจสอบชื่ออยู่ แต่หลักฐานอาจจะอ่อน เพราะเราไม่มีศีรษะให้ตรวจ ส่วนแขนก็ขาดไปหมด เราไม่ได้บอกว่าเราปิดคดีนี้ได้ แต่เรากำลังบอกว่าเรามีหลักฐานบ่งชี้เบื้องต้นที่สนับสนุนหลักฐานอื่น"

"ผมพูดถึงเรื่องนี้กับทีวีได้มั้ย?" ไรอันถามทุกคนรอบโต๊ะ

"ไม่อย่างแน่นอน" แวน แดมม์กล่าว "หนึ่ง ยังไม่มีการยืนยัน สอง ยังเร็วเกินไปที่จะมีใครเชื่อ"

เมอเรย์กับโอ'เดย์มองตากัน ทั้งสองไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่อาร์นี่ แวนแดมม์เป็น สำหรับทั้งสองคนแล้ว การควบคุมข้อมูลข่าวสารคือปกป้องหลักฐานเพื่อลูกขุนได้เห็นอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่สำหรับอาร์นี่ การควบคุมข้อมูลข่าวสารก็คือป้องกันผู้คนจากสิ่งที่เขาไม่คิดว่าพวกนั้นจะเข้าใจ จนกว่ามันจะถูกควบคุมแล้วค่อยป้อนให้ทีละช้อน ทีละคำ ทั้งคู่สงสัยว่าอาร์นี่เคยเป็นพ่อคนหรือเปล่า และลูกของเขาอดตายระหว่างรอให้เขาป้อนแครอทให้หรือเปล่า และทั้งคู่ก็ต่างเห็นว่าไรอันมองหัวหน้าคณะทำงานของเขาอย่างนิ่งนาน

.

.

กล่องดำอันโด่งดังจริงแล้วไม่ได้เป็นมากไปกว่าเครื่องบันทึกเสียงที่มีสายลากยาวจากห้องนักบิน จากตรงนั้นมันเก็บข้อมูลจากเครื่องยนต์และอุปกรณ์บังคับการบินอื่นๆบวกกับ สำหรับกรณีนี้ เสียงจากไมโครโฟนของลูกเรือ แจแปนแอร์ไลนส์เป็นสายการบินของรัฐและเครื่องบินจะใช้อุปกรณ์ทุกอย่างรุ่นล่าสุด เครื่องบันทึกข้อมูลการบินเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด ทำให้การถ่ายข้อมูลทำได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน สำหรับสิ่งแรก ช่างอาวุโสบันทึกเทปที่ชัดเจนด้วยความเร็วสูงอีกม้วนจากเทปโลหะต้นฉบับ ซึ่งหลังจากนั้นถูกนำไปเก็บในห้องนิรภัยขณะที่เขาทำงานกับม้วนสำเนา ใครสักคนคิดออกว่าควรมีคนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นอยู่ด้วย

"ข้อมูลการบินอันนี้ดูไม่มีอะไรผิดปกติเลยตอนตรวจสอบครั้งแรก ไม่มีอะไรเสียหายบนเครื่อง" นักวิเคราะห์รายงาน ไล่สายตาตามข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์ "เลี้ยวสบายๆ เครื่องยนต์เดินเรียบ ลักษณะการบินตามตำรา... จนถึงตรงนี้" เขาเคาะที่จอ "จุดนี้เขาเลี้ยวอย่างแรงจากทิศศูนย์หกเจ็ดไปหนึ่งเก้าหก... แล้วกลับสู่ท่าเดิมจนกระทบพื้น"

"ไม่มีเสียงคุยในห้องนักบินแม้แต่นิดเดียว" ช่างเทคนิคอีกคนวิ่งเทปช่วงที่มีเสียงกลับไปกลับมา แต่พบเพียงเสียงโต้ตอบปกติระหว่างเครื่องกับศูนย์ควบคุมทางพื้นดิน "ผมจะกรอกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่" ที่จริงเทปไม่มีจุดเริ่มต้น แต่บันทึกวนเป็นรอบมากกว่า เนื่องจากเครื่อง 747 มักบินในเที่ยวบินยาวๆข้ามมหาสมุทร นานมากกว่าสี่สิบชั่วโมง สำหรับเครื่องนี้จึงใช้เวลาหลายนาทีกว่าเขาจะเจอจุดสิ้นสุดของเที่ยวบินก่อนหน้า ที่ตรงนั้นเขาพบการพูดคุยโต้ตอบข้อมูลคำสั่งโดยปกติระหว่างนักบินทั้งสองคน และระหว่างเครื่องบินและศูนย์ที่พื้นดิน อันแรกเป็นภาษาญี่ปุ่นส่วนอันหลังเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาสากลของการบิน

แต่มันหยุดลงไม่นานหลังจากเครื่องบินหยุดที่ลู่วิ่งขึ้นที่กำหนด เทปตรงนี้ว่างเปล่านานสองนาที จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่รอบบันทึกอีกครั้งเมื่ออุปกรณ์แผงบังคับการบินเปิดขึ้นระหว่างขั้นตอนปฏิบัติก่อนบินขึ้น ผู้ที่รู้ภาษาญี่ปุ่นเป็นนายทหารบกในชุดพลเรือน มาจากองค์การความมั่นคงแห่งชาติ ((National Security Agency - NSA))

สัญญาณเสียงที่ได้ชัดเจนมาก พวกเขาได้ยินกระทั่งเสียงโยกสวิทช์ดังคลิก และเสียงหึ่งของอุปกรณ์ต่างๆ แต่เสียงที่ดังที่สุดคือเสียงหายใจของนักบินผู้ช่วย ซึ่งรู้ได้จากช่องสัญญาณเฉพาะในเทป

"หยุดตรงนี้" นายทหารบกกล่าว "ถอยหลังไปนิดหนึ่ง มีอีกเสียง ไม่ค่อยจะ... นั่น ใช่แล้ว "ทั้งหมดพร้อมแล้ว" ต้องเป็นนักบินแน่ ใช่ มีเสียงประตูปิด นักบินพึ่งเข้ามา "ตรวจรายการก่อนบินขึ้นเสร็จเรียบร้อย... เตรียมพร้อมก่อนตรวจรายการก่อนเดินเครื่อง..." โอ... โอ พระเจ้า เขาฆ่านักบินผู้ช่วย ย้อนกลับไปอีกครั้งซิ" นายทหารคนนั้น ยศพันตรี ไม่ทันเห็นเอฟบีไออีกคนยกหูฟังอันที่สองขึ้นสวม

เป็นครั้งแรกสำหรับทั้งคู่ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอเคยเห็นฆาตกรรมจากระบบวีดีโอของธนาคารมาแล้ว แต่ทั้งเขาและนายทหารการข่าวก็ไม่เคยได้ยินเสียงซักครั้ง เสียงในคอจากการแทง เสียงหอบหายใจที่แสดงความประหลาดใจและเจ็บปวด เสียงอึกอัก อาจพยายามออกเสียง ตามด้วยเสียงพูด

"นั่นว่าไง?" เอฟบีไอถาม

"เล่นอีกครั้งซิ" สายตาของนายทหารมองไปที่กำแพง " 'ผมเสียใจที่ต้องทำอย่างนี้' " ตามด้วยเสียงหอบอีกเล็กน้อยจากนั้นก็เสียงถอนหายใจยาว "พระเจ้า" เสียงที่สองดังขึ้นในอีกช่องสัญญาญเสียงในไม่ถึงนาทีต่อมา แจ้งกับหอบังคับการบินว่าเครื่อง 747 กำลังเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์

"นั่นเป็นนักบิน ซาโต้" นักวิเคราะห์จากเอ็นทีเอสบีบอก "อีกเสียงต้องเป็นนักบินผู้ช่วย"

"แต่ไม่ใช่อีกต่อไป" เสียงในช่องของนักบินผู้ช่วยเหลือเพียงเสียงในฉากหลังเท่านั้น

"ฆ่าเขา" เอฟบีไอเห็นด้วย พวกเขาจะต้องเปิดเทปนี้อีกนับร้อยครั้ง ให้พวกเขาเองและคนอื่นฟัง แต่ผลสรุปก็จะยังเหมือนเดิม ถึงแม้การสอบสวนอย่างเป็นทางการจะกินเวลาต่อไปอีกหลายเดือน แต่คดีนี้ปิดลงอย่างมีประสิทธิภาพภายในเวลาไม่ถึงเก้าชั่วโมงหลังจากมันเริ่มขึ้น

.

.

ถนนในวอชิงตันว่างอย่างน่าประหลาด ไรอันรู้ดีจากประสบการณ์ของเขาเองว่าปกติในช่วงเวลานี้ของวัน เมืองหลวงของประเทศจะแออัดไปด้วยรถยนต์ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง นักล็อบบี้ สมาชิกสภานิติบัญญัติและสต๊าฟฟ์ของพวกเขา ทนายกับเลขาฯห้าหมื่นคน และคนทำงานในบริการอื่นๆของเอกชนที่รองรับทุกคนไว้ แต่ไม่ใช่วันนี้ ด้วยทุกทางแยกที่มีรถวิทยุของตำรวจนครบาลหรือยานยนต์พ่นสีพรางของกองกำลังรักษาดินแดน ดูเหมือนกับเป็นสุดสัปดาห์วันหยุดงานมากกว่า และในที่จริงการจราจรส่วนมากอยู่ในขาออกจากรัฐสภามากกว่าขาเข้า บรรดาผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นขับออกจากจุดที่พวกเขาสนใจซึ่งห่างจากจุดหมายที่ตั้งใจจะไปนับสิบช่วงตึก

ขบวนรถประธานาธิบดีแล่นไปตามถนนเพนซิลวาเนีย แจ๊คอยู่ในรถซับเบอร์บานเหมือนเดิม และยังมีรถของ นย. นำหน้าและปิดท้ายขบวนรถของหน่วยคุ้มกัน พระอาทิตย์ขึ้นแล้วตอนนี้ ท้องฟ้าสดใสเป็นส่วนใหญ่ กินเวลาชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะสังเกตเห็นได้ว่าแนวขอบฟ้าผิดไปจากปกติ

เครื่อง 747 ไม่ได้ทำอันตรายกับต้นไม้ ไรอันเห็น มันไม่ยอมเสียพลังงานไปกับสิ่งใดนอกจากเป้าหมาย มีปั้นจั่นหกคันทำงานอยู่ ยกกองหินจากหลุมที่เคยเป็นห้องประชุมสภา เอาไปวางไว้บนรถบรรทุกซึ่งจะขนมันไปที่ไหนซักแห่ง มีรถดับเพลิงเหลือเพียงไม่กี่คัน ช่วงเวลาตื่นเต้นผ่านไปแล้ว แต่ช่วงเศร้าสลดยังคงอยู่

ส่วนที่เหลือของเมืองดูยังอยู่ดีที่เวลา 6.40 น. ไรอันมองรัฐสภาจากด้านข้างเป็นครั้งสุดท้ายผ่านกระจกสีเข้มขณะที่รถของเขาลงเนินไปตามถนนคอนสทิทิวชั่น แอฟวนิว ถึงแม้รถยนต์จะพากันแล่นจากไป แต่บรรดานักวิ่งยังไม่ บางทีพวกเขาอาจวิ่งไปถึงมอลล์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรตอนเช้า แต่ก็หยุดอยู่ตรงนั้น ไรอันดูใบหน้าพวกเขา บางคนหันมาเห็นรถของเขาผ่านไปก่อนจะมองกลับไปทางตะวันออกอีกครั้ง บางคนจับกลุ่มคุยกัน ชี้มือและส่ายหน้า แจ๊คสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่หน่วยคุ้มกันในรถคันเดียวกับเขาหันไปมองพวกนั้น อาจคาดว่าจะมีใครซักคนดึงบาซูก้าออกมาจากเสื้อกีฬาก็ได้

เหมือนเรื่องโกหก ที่ได้ขับรถเร็วขนาดนี้ในวอชิงตัน สาเหตส่วนหนึ่งเพราะเป้าเคลื่อนที่นั้นยิงยากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะตอนนี้เวลาของไรอันมีค่ามากขึ้นและไม่ควรเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เหนืออื่นใดมันหมายถึงเขากำลังวิ่งสู่บางอย่างที่ไม่นานมานี้เขาคงหลีกเลี่ยง ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขารับคำชวนของโรเจอร์ เดอร์ลิ่งเพื่อตำแหน่งรองประธานาธิบดี แต่เขาทำอย่างนั้นเพื่อให้พ้นจากหน้าที่ในรัฐบาลตลอดไป ความคิดนั้นทำให้เกิดความเจ็บปวดหลังเปลือกตาที่ปิดอยู่ ทำไมเขาไม่เคยวิ่งหนีอะไรได้เลยนะ? แน่นอนมันดูจะไม่ใช่เป็นความกล้า แต่กลับเป็นตรงข้าม เขามักกลัว กลัวที่จะตอบว่าไม่ แล้วให้คนอื่นคิดว่าเขาเป็นคนขี้ขลาด กลัวจะทำอะไรนอกจากสิ่งที่สติสัมปชัญญะของเขาบอก และบ่อยครั้งสิ่งนั้นมักเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากทำหรือไม่กล้าทำ แต่ไม่เคยมีทางเลือกอื่นอันมีเกียรติที่เขาจะทำได้

"แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง" แวน แดมม์บอกเขา มองเห็นหน้าและรู้ว่าประธานาธิบดีคนใหม่กำลังคิดอะไรอยู่

ไม่ มันไม่ดีขึ้นแน่ แจ๊คตอบออกไปไม่ได้

.

.


By Kaii


This page hosted by Get your own Free Home Page