![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ห้องรู้สเวลท์ตั้งชื่อตามเท็ดดี้ และที่ผนังฝั่งตะวันออกก็มีรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจาก "ความสำเร็จ" ในการประนีประนอมคู่สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น นักประวัติศาสตร์อาจพูดในตอนนี้ได้ว่าความพยายามนั้นกลับทำให้ความทะเยอทะยานหาอาณานิคมของญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น และฝังแผลไว้ในจิตวิญญาณของคนรัสเซียซึ่งสตาลิน ผู้ไม่เป็นมิตรกับราชวงศ์โรมานอฟแม้แต่น้อย! ต้องการล้างแค้นให้กับประเทศของเขาที่ถูกเหยียดหยาม แต่มรดกของอัลเฟรด โนเบลชิ้นนั้นมักเป็นการเมืองมากกว่าเรื่องจริง ห้องรู้สเวลท์มักใช้สำหรับการเลี้ยงอาหารกลางวันขนาดกลางกับการพบปะ สะดวกสบายเพราะอยู่ใกล้กับห้องทำงานรูปไข่ แต่การไปห้องรู้สเวลท์ยากกว่าที่แจ๊คคาดไว้ ช่องทางเดินของทำเนียบขาวแคบเกินไปสำหรับอาคารที่สำคัญขนาดนั้น และหน่วยคุ้มกันก็ออกมากันเต็มไปหมด ถึงแม้จะไม่ถืออาวุธปืนให้เห็นก็ตาม นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้โล่งใจขึ้นอย่างมาก ไรอันเดินผ่านเจ้าหน้าที่คุ้มกันใหม่สิบคนและเหนือส่วนที่ทำหน้าที่คุ้มกันในขบวนรถของเขา ซึ่งทำให้นักดาบรู้สึกฉุนขึ้นมา ทุกสิ่งดูใหม่และผิดแปลกไป และสำหรับหน่วยคุ้มกันที่ในเวลาก่อนนี้ดูเหมือนจริงจังจนบางครั้งน่าขัน ก็เป็นเครื่องเตือนอีกอย่างหนึ่งว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าเจ็บปวด
"ไปทางไหนต่อ?" แจ๊คถาม
"ทางนี้ครับ" หน่วยคุ้มกันเปิดประตูและไรอันพบกับช่างแต่งหน้าของประธานาธิบดี เป็นกำหนดการอย่างไม่เป็นทางการ ช่างแต่งหน้าซึ่งเป็นหญิงอายุประมาณห้าสิบปี ก็มีทุกอย่างในกระเป๋าหนังเทียมใบใหญ่ ยิ่งเขาออกทีวีบ่อยขึ้น ในระยะหลังๆในตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคง เขาก็ยิ่งเกลียดมัน และต้องควบคุมตัวเองอย่างเต็มที่ไม่ให้หยุกหยิกในขณะกำลังแต่งรองพื้นเหลวด้วยฟองน้ำโฟม ตามด้วยแป้งและสเปรย์ผมและจัดทรงผม ทั้งหมดหญิงคนนั้นทำโดยไม่พูดอะไรและด้วยหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกขณะ
"ผมชอบเขาเหมือนกัน" แจ๊คบอกเธอ มือของเธอชะงัก และมองสบตาเขา
"เขาเป็นคนน่ารัก เขาเกลียดเรื่องนี้ เหมือนกับคุณ แต่เขาไม่เคยบ่น แล้วเขาก็ชอบมีเรื่องตลกมาเล่า บางครั้งฉันแต่งให้เด็กๆแค่สนุกๆ พวกแกชอบ แม้แต่คนผู้ชาย พวกแกจะเล่นหน้ากล้อง แล้วช่างกล้องก็จะให้เทปกับแกแล้ว..."
"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ" ไรอันจับมือเธอ ในที่สุดเขาก็พบกับสต๊าฟฟ์ที่ไม่ใช่แค่ทำธุระของตัว และที่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ในสวนสัตว์ "คุณชื่ออะไร?"
"แมรี่ แอ็บบอทค่ะ" น้ำตาของเธอคลอตา และเธออยากบอกขอโทษ
"คุณทำงานที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว?"
"ตั้งแต่คุณคาร์เตอร์ออกไปค่ะ" นางแอ็บบอทปาดน้ำตาของเธอแล้วก้มตัวลง
"อืม บางทีผมน่าจะขอคำแนะนำจากคุณ" เขาพูดเบาๆ
"โอ ไม่ค่ะ ฉันไม่รู้อะไรเรื่องนั้นเลย" เธอยิ้มอายๆ
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมคิดว่าผมคงต้องหาเอาเอง" ไรอันมองที่กระจก "เสร็จแล้วเหรอ?"
"ค่ะท่านประธานาธิบดี"
"ขอบคุณนะคุณแอ็บบอท"
พวกนั้นให้เขานั่งเก้าอี้ไม้มีเท้าแขน ไฟส่องติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ทำให้อุณหภูมิของห้องขึ้นมาถึงแปดสิบองศาเศษๆ หรือทำให้รู้สึกอย่างนั้น ช่างเทคนิคติดไมโครโฟนสองหัวกับไทของเขาอย่างนุ่มนวลพอกับนางแอ็บบอท ทั้งหมดเพราะหน่วยคุ้มกันยืนคุมพวกลูกมือทุกคน และแอนเดรีย ไพรซ์ก็คุมพวกเขาอีกทีจากช่องประตู ตาของเธอหรี่และมองด้วยความสงสัย ถึงจะรู้ความจริงที่ว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นในห้องนี้ถูกตรวจสอบทั้งหมด แขกทุกคนถูกสายตาที่คมและทะลุปรุโปร่งเหมือนศัลยแพทย์พินิจพิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ที่จริงแล้วเราอาจสร้างปืนพกจากวัสดุผสมที่ไม่ใช่โลหะได้ เหมือนอย่างในหนัง แต่ปืนพกก็ยังเทอะทะ ความตึงเครียดที่รู้สึกได้ของหน่วยคุ้มกันถูกส่งผ่านไปยังคณะทีวี ซึ่งเอามือออกให้เห็นและเคลื่อนไหวอย่างช้าๆตลอดเวลา ความพินิจพิเคราะห์ของหน่วยคุ้มกันสามารถเขย่าแทบทุกคนได้
"อีกสองนาที" โปรดิวเซอร์บอก ฟังจากหูฟังของเขา "พึ่งเข้าโฆษณา"
"เมื่อคืนได้นอนหรือเปล่าครับ?" หัวหน้าผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นประจำทำเนียบข่าวถาม เหมือนคนอื่นๆ เขาต้องการอ่านประธานาธิบดีอย่างเร็วและชัดเจน
"ไม่พอหรอก" แจ๊คตอบ เกร็งขึ้นทันที มีกล้องอยู่สองตัว เขานั่งไขว่ห้างและกุมมือวางไว้บนตักเพื่อไม่ให้แสดงท่าวุ่นวายใจ ที่ถูกต้องแล้วเขาต้องทำตัวเป็นอย่างไร? เคร่งขรึม? อมทุกข์? มั่นใจลึกๆ? ไม่ทันตั้งตัว? สายไปหน่อยแล้วสำหรับเรื่องนี้ ทำไมเขาไม่ถามอาร์นี่ก่อนนะ?
"สามสิบวินาที" โปรดิวเซอร์บอก
แจ๊คพยายามรวบรวมสมาธิ ท่านั่งจะทำให้ตัวของเขาอยู่นิ่ง แค่ตอบคำถาม แกทำเรื่องนี้มามากพอแล้ว
"แปดนาทีหลังแปดนาฬิกา" ผู้สื่อข่าวพูดโดยตรงกับกล้องที่อยู่หลังแจ๊ค "เราก็มาอยู่ในทำเนียบขาวกับท่านประธานาธิบดีจอห์น ไรอัน
"ท่านประธานาธิบดีครับ เมื่อคืนนี้เป็นคืนที่ยาวนานใช่ไหมครับ?"
"ผมเกรงว่าใช่ครับ" ไรอันเห็นพ้อง
"ท่านบอกอะไรเราได้บ้างครับ"
"ปฏิบัติการช่วยเหลือกำลังดำเนินไปอยู่ อย่างที่คุณทราบ ยังหาร่างประธานาธิบดีเดอร์ลิ่งไม่พบ ส่วนการสอบสวนกำลังดำเนินไปโดยการประสานงานของทางเอฟบีไอ"
"พวกเขาค้นพบอะไรบ้างแล้วครับ?"
"เราอาจมีอะไรเพิ่มเติมในวันนี้ แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไปครับ" ถึงความจริงแล้วผู้สื่อข่าวได้ฟังสรุปเรื่องนี้หมดแล้ว แต่ไรอันก็ยังเห็นความผิดหวังในตาของเขา
"ทำไมเป็นเอฟบีไอครับ? หน่วยคุ้มกันมีอำนาจใน-"
"ตอนนี้ไม่ใช่เวลาแย่งอำนาจกัน การสอบสวนกรณีนี้ต้องทำทันที ดังนั้น ผมตัดสินใจว่าเอฟบีไอควรเป็นหน่วยงานหลัก ภายใต้การดูแลของกระทรวงยุติธรรมและความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐบาลกลางอื่นๆ เราต้องการคำตอบ เราต้องการอย่างเร็ว และนี่ดูเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้มันเกิดขึ้น"
"มีรายงานว่าท่านแต่งตั้งผู้อำนวยการเอฟบีไอคนใหม่"
แจ๊คพยักหน้า "ใช่แล้ว แบร์รี่ ผมทำอย่างนั้น ผมขอให้แดเนี่ยล อี. เมอเรย์รักษาการณ์เป็นผู้อำนวยการไปก่อน แดนเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอโดยอาชีพ และตำแหน่งสุดท้ายของเขาคือเป็นผู้ช่วยพิเศษของผู้อำนวยการชอว์ เรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว คุณเมอเรย์เป็นหนึ่งในตำรวจที่ดีที่สุดในหน่วยงานรัฐบาล"
"เมอเรย์?"
"ตำรวจครับ เชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านก่อการร้ายและสืบความลับ" เจ้าหน้าที่ฝ่ายการข่าวตอบ
"อืมม" เขากลับไปจิบกาแฟรสขมอมหวานต่อ
.
.
"ท่านบอกอะไรกับเราได้บ้างในเรื่องการเตรียมการสำหรับ- ผมหมายถึง สำหรับในช่วงไม่กี่วันข้างหน้านี้?" ผู้สื่อข่าวถามต่อ
"แบร์รี่ เรากำลังวางแผนเหล่านั้นอยู่ สิ่งแรกสุด เราต้องให้เอฟบีไอและหน่วยงานรักษากฏหมายอื่นๆทำงานของเขาต่อไป จะมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกในวันนี้ แต่เมื่อคืนเป็นคืนที่ยาวนานและยากลำบากสำหรับผู้คนมากมาย" ผู้สื่อข่าวผงกศีรษะและตัดสินใจว่าเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับคำถามในเรื่องส่วนตัว
"ท่านและครอบครัวพักที่ไหนเมื่อคืนนี้ครับ? ผมทราบมาว่าไม่ใช่ที่นี่"
"ค่ายนาวิกโยธิน ที่ถนนแปดตัดกับหนึ่ง" ไรอันตอบ
"อ๊าว บ้าจริง เจ้านาย" แอนเดรีย ไพรซ์พึมพำอยู่นอกห้อง นักข่าวบางคนรู้เรื่องนี้แต่หน่วยคุ้มกันยังไม่ได้ยืนยันกับใคร สำนักข่าวส่วนใหญ่รายงานว่าไรอันและครอบครัวพักอยู่ที่ "สถานที่ที่ไม่เปิดเผย" เอาล่ะ พวกเขาจะต้องพักที่อื่นในคืนนี้ แล้วคราวนี้ไม่เปิดเผยสถานที่แน่นอน บ้าเอ๊ย
"ทำไมถึงเป็นที่นั่นครับ?"
"ผมก็ต้องนอนที่ไหนซักแห่ง และที่นั่นดูจะสะดวกดี ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นนาวิกโยธินนะ แบร์รี่" แจ๊คกล่าวเบาๆ
.
.
"จำตอนที่เราระเบิดพวกนั้นได้มั้ย?"
"คืนที่วิเศษ" เจ้าหน้าที่ฝ่ายการข่าวจำได้ ตอนที่เขามองผ่านกล้องส่องทางไกลจากยอดตึกโรงแรมเบรุตฮอลิเดย์อินน์ เขาเป็นคนช่วยเตรียมภารกิจนั้น ส่วนที่ยาก จริงๆ ก็คือเลือกคนขับ มีรังสีประหลาดจากนาวิกโยธินอเมริกัน ดูเหมือนเป็นสิ่งลึกลับบางอย่างเกี่ยวกับพวกนั้นที่ประเทศชาติของนายไรอันคนนี้ยึดถือ แต่พวกนั้นก็ตายเหมือนพวกนอกศาสนาคนอื่นๆ เขานึกสงสัยตลกๆว่าจะมีรถบรรทุกใหญ่ในวอชิงตันให้คนของเขาซื้อหรือเช่ามา... เขาโยนความคิดตลกนั้นทิ้งไป ยังมีงานที่ต้องทำ แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติอยู่ดี เขาเคยไปวอชิงตันหลายครั้ง และค่ายนาวิกโยธินก็เป็นแห่งหนึ่งที่เขาได้ตรวจดู มันป้องกันได้ง่ายมากเกินไป แย่เกินไป จริงๆ ความสำคัญทางการเมืองของเป้าหมายนั้นทำให้มันดึงดูดใจอย่างมาก
.
.
"ไม่ฉลาดเลย" ดิงออกความเห็นหน้าถ้วยกาแฟตอนเช้าของเขา
"คิดว่าเขาจะซ่อนเหรอ?" คล๊าคถาม
"พ่อรู้จักเขาเหรอคะ" แพทริเซียถาม
"ที่จริงก็ใช่ ดิงกับพ่อเคยคุ้มครองเขาตอนที่เรายังเป็นฝ่ายปฏิบัติการตำแหน่งพิเศษ ((Special Position Operator - SPO)) พ่อเคยรู้จักพ่อเขา..." จอห์นพูดโดยไม่ต้องคิด ซึ่งเป็นสิ่งไม่ธรรมดาสำหรับเขา
"ท่าทางเขาเป็นยังไงเหรอดิง?" แพทซี่ถามคู่หมั้นของเธอ แหวนที่นิ้วเธอยังใหม่เอี่ยม
"ฉลาดทีเดียวล่ะ" ชาเวซยอมรับ "ออกจะขรึม เป็นคนดี มักจะพูดดี เอ่อ ปกติน่ะนะ"
"เขาโหดได้ถ้าจำเป็น" จอห์นบอก สายตามองไปที่คู่หูและลูกเขยในอนาคตของเขา ซึ่งทั้งสองอย่างทำให้เขาขนลุกในบางครั้ง แล้วเขาก็เห็นแววตาของลูกสาว รู้สึกขนลุกขึ้นจริงๆ บ้าจริง
"นั่นเป็นความจริง" ชาเวซเห็นด้วย
.
.
แสงไฟทำให้เขาเหงื่อซึมใต้เครื่องแต่งหน้า ไรอันพยายามต่อต้านความอยากยกมือขึ้นเกาหน้าตรงที่คัน เขาทำให้มือยังนิ่งอยู่ได้ แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาเริ่มกระตุกเล็กน้อยและเขาหวังว่ากล้องคงจับไม่ได้
"ผมเกรงว่าผมจะบอกไม่ได้นะแบร์รี่" เขาพูดต่อ กำมือไว้ด้วยกันแน่น "ขณะนี้ยังเร็วไปจะตอบคำถามมากมายอย่างเป็นหลักเป็นฐาน ถ้าเราให้คำตอบแน่นอนได้เมื่อไหร่ เราจะบอกแน่นอน แต่จนกว่าจะถึงตอนนี้ เราจะยังไม่พูดอะไร"
"ท่านมีเรื่องต้องทำอีกมากเลยนะครับ" นักข่าวซีเอ็นเอ็นกล่าวอย่างเห็นใจ
"แบร์รี่ เราทุกคนนั่นแหละ"
"ขอบคุณมากครับท่านประธานาธิบดี" เขารอจนแสงไฟดับลงและได้ยินเสียงผู้บรรยายจากสำนักงานใหญ่ในแอตแลนต้า แล้วจึงพูดขึ้นอีกครั้ง "ดีมากครับ ขอบคุณครับท่าน"
แวนแดมม์เข้ามาหลังจากดันแอนเดรีย ไพรซ์ออกไปพ้นทาง มีไม่กี่คนที่แตะตัวหน่วยคุ้มกันได้โดยไม่ได้รับผลร้ายแรงตามมา ยิ่งมาเบียดด้วยแล้ว แต่อาร์นี่เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำได้
"ดีทีเดียว อย่าทำอะไรแตกต่างจากนี้ล่ะ ตอบคำถาม แล้วก็พยายามตอบสั้นๆ"
นางแอ็บบอทเข้ามาเป็นคนต่อไปเพื่อตรวจเครื่องแต่งหน้าของไรอัน ใช้มือแตะอย่างนุ่มนวลที่หน้าผากของเขาขณะที่มืออีกข้างจัดทรงผมด้วยหวีเล็กๆ แม้แต่คู่เต้นรำของเขาสมัยมัธยม เธอชื่ออะไรนะ? ไรอันถามตัวเองนอกเรื่อง ไม่มีใครแม้แต่เขาเองที่วุ่นวายขนาดนั้นกับผมดำหยาบของเขา ถ้าเป็นในเหตุการณ์อื่นคงเป็นเรื่องน่าหัวเราะ
ผู้อ่านข่าวของซีบีเอสเป็นผู้หญิงในวัยประมาณสามสิบ และเป็นเครื่องยืนยันว่าสมองและหน้าตาดีไปด้วยกันไม่ได้
"ท่านประธานาธิบดีคะ รัฐบาลเหลืออะไรบ้าง?" เธอถามหลังจากถามคำถามสร้างความคุ้นเคยไปพอสมควร
"มาเรีย" ไรอันถูกสอนให้เรียกชื่อนักข่าวแต่ละคน เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่มันก็มีเหตุผลดี "ไม่ว่าสิบสองชั่วโมงที่ผ่านมาจะน่าสยดสยองอย่างไรสำหรับเราทุกคน แต่ผมอยากให้คุณนึกถึงสุนทรพจน์ของท่านประธานาธิบดีเดอร์ลิ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อเมริกายังเป็นอเมริกา หน่วยงานบริหารของรัฐบาลกลางทุกแห่งจะปฏิบัติงานในวันนี้ภายใต้การนำของรัฐมนตรีช่วยว่าการ และ-"
"แต่วอชิงตัน-"
"สำหรับเหตุผลเพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน วอชิงตันปิดไปส่วนมาก และจริงที่-" เธอพูดสวนเขาอีกครั้ง เสียมารยาทแต่เพราะเธอมีเวลาเพียงสี่นาที และเธอต้องการใช้เวลาให้คุ้มค่า
"มีทหารตามท้องถนน...?"
"มาเรีย หน่วยดับเพลิงและตำรวจของเขตโคลัมเบียลำบากที่สุดเมื่อคืนนี้ เป็นคืนที่ยาวนาน หนาวเย็น สำหรับเขาเหล่านั้น กองกำลังรักษาดินแดนวอชิงตันดีซีถูกเรียกออกมาเพื่อช่วยหน่วยงานของพลเรือน เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นในกรณีที่มีพายุเฮอริเคนหรือทอร์นาโด ที่จริงนั่นเป็นหน้าที่ของเทศบาล และเอฟบีไอก็กำลังประสานงานกับทางนายกเทศมนตรีในเรื่องนี้อยู่"
เป็นประโยคที่ยาวที่สุดของไรอันในเช้านี้ และเกือบทำให้เขาหมดลมหายใจ เขาเกร็งอย่างเต็มที่ จนรู้สึกตัวว่ากำลังบีบมือตัวเองจนนิ้วมือของเขาซีดขาว และต้องพยายามควบคุมสติเพื่อคลายการบีบนั้น
.
.
"ดูที่มือเขาสิ" นายกรัฐมนตรีสังเกต "เรารู้อะไรเกี่ยวกับนายไรอันนี่บ้าง?"
หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของประเทศของเธอถือแฟ้มเอกสารไว้บนตักซึ่งเขาจำเนื้อหาไว้หมดแล้ว ได้เวลาทำงานทั้งวันเพื่อทำความรู้จักกับผู้นำประเทศคนใหม่นี้
"เขาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองตลอดชีวิตการทำงาน ท่านทราบเรื่องที่เกิดในลอนดอนและก็สองสามปีต่อมาในสหรัฐฯ-"
"อ๋อ ใช่แล้ว" เธอนึกออก จิบชาของเธอแล้วโยนประวัติศาสตร์เสี้ยวนั้นทิ้งไป "งั้นก็สายลับ..."
"ที่เป็นที่นับถือกันเลยครับ เพื่อนรัสเซียของเราประเมินค่าเขาสูงมาก เซ็นจูรี่เฮ้าส์ก็เหมือนกัน" ((Century House หน่วยข่าวกรองของอังกฤษ)) นายพลกองทัพบกกล่าว เขาฝึกมาแบบอังกฤษ และจบจากอ๊อกฟอร์ดเหมือนกับนายกฯของเขา และในกรณีของเขา แซนด์เฮิร์สด้วย "เขาเฉลียวฉลาดมาก เราเชื่อได้ว่าจากตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงของประธานาธิบดีเดอร์ลิ่ง เขาเป็นตัวจักรในการควบคุมปฏิบัติการของอเมริกาต่อญี่ปุ่น-"
"และเราด้วย?" เธอถาม สายตาจับที่หน้าจอ การสื่อสารผ่านดาวเทียมนี่สะดวกสบายจริง และเครือข่ายของพวกอเมริกันก็โยงไปทั่วโลกแล้ว ตอนนี้เราไม่ต้องเสียเวลาทั้งวันบนเครื่องบินเพื่อไปพบและดูผู้นำประเทศคู่แข่ง แต่ก็ต้องควบคุมเครือข่ายดาวเทียมด้วย ขณะนี้เธอสามารถดูชายที่โดนกดดันและคาดคะเนว่าเขาจะตอบสนองต่อความกดดันอย่างไร เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองตลอดชีวิตการทำงานหรือไม่ เขาก็ดูท่าทางไม่สบายใจเท่าไร คนทุกคนย่อมมีขีดจำกัดของตัวเอง
"ไม่ต้องสงสัยเลยครับท่านนายกฯ"
"เขาน่าเกรงกลัวน้อยกว่าที่ข้อมูลของคุณบอกนะ" เธอบอกที่ปรึกษาของเธอ ท่าทางไม่มั่นใจ อึดอัด ตระหนก ... จนปัญญา
.
.
"ท่านคาดว่าจะบอกเราถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากกว่านี้เมื่อไรคะ?" มาเรียถาม
"ตอนนี้ผมยังบอกไม่ได้ ยังเร็วเกินไป เกรงว่าจะเร่งบางเรื่องไม่ได้นะ" ไรอันกล่าว เขาเข้าใจได้ลางๆว่าเขาควบคุมการสัมภาษณ์นี้ไม่ได้แล้ว ถึงมันจะสั้น แต่เขาไม่แน่ใจว่าทำไม เขาไม่ตระหนักมาก่อน ว่านักข่าวกำลังเข้าแถวรออยู่นอกห้องรู้สเวลท์เหมือนกับผู้ซื้อของในช่องจ่ายเงิน ว่าแต่ละคนต่างต้องการถามอะไรแปลกและใหม่ หลังจากสองถามคำถามแรก ว่าแต่ละคนต้องการสร้างความประทับใจ ไม่ใช่ให้ประธานาธิบดีคนใหม่ แต่กับผู้ชม ผู้ที่อยู่หลังกล้อง ผู้ติดตามแต่ละรายการช่วงเช้าตามความยึดติดซึ่งนักข่าวแต่ละคนต้องเสริมให้มากขึ้นทุกครั้งที่เป็นไปได้ แม้เจ็บหนักพอๆกับประเทศนี้ แต่การรายงานข่าวเป็นสิ่งที่หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวของพวกเขา และไรอันก็แค่เป็นประเด็นสนใจของธุรกิจขายข่าวเท่านั้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคำแนะนำของอาร์นี่ก่อนหน้านี้ถึงวิธีที่พวกนี้ถูกสั่งให้ถามเฉพาะคำถามที่ต้องการ ดูเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป ถึงแม้จะมาจากมืออาชีพประสบการณ์สูงในเรื่องการเมืองก็ตามที ข่าวดีจริงๆอย่างเดียวก็คือการสัมภาษณ์ถูกจำกัดเวลาไว้ทั้งหมด ในกรณีนี้จากข่าวท้องถิ่นที่หลายเครือข่ายต่างมีพร้อมกันในช่วงยี่สิบห้านาทีหลังต้นชั่วโมง ไม่ว่าจะมีเหตุน่าเศร้าสลดแค่ไหนในวอชิงตัน ประชาชนต้องการรู้พยากรณ์อากาศและจราจรสำหรับชีวิตประจำวันของพวกเขา ความจริงที่ผู้ที่อยู่ภายในถนนวงแหวนดีซี อาจลืมไป แต่สถานีท้องถิ่นทั่วประเทศไม่ลืมแน่ มาเรียดูอบอุ่นใจดีกว่าที่เธอเองรู้สึกเมื่อผู้กำกับขัดจังหวะ เธอยิ้มให้กับกล้อง-
"เราจะกลับมาอีกสักครู่ค่ะ"
- และไรอันมีเวลาสิบสองนาทีก่อนที่เอ็นบีซีจะสัมภาษณ์เขา กาแฟที่เขาดื่มเมื่อตอนเช้าออกฤทธิ์แล้ว เขาต้องเข้าห้องน้ำ แต่พอเขาลุกขึ้นยืน สายไมโครโฟนเกือบทำให้เขาสะดุดล้มลง
"ทางนี้ค่ะท่านประธานาธิบดี" ไพรซ์ชี้ไปทางซ้ายตามทางเดิน แล้วก็เลี้ยวขวาตรงไปที่ห้องทำงานรูปไข่ แจ๊ครู้ตัวช้าเกินไป เขาชะงักงันขณะเข้าห้อง ในใจเขามันยังเป็นห้องของคนอื่นอยู่ แต่ห้องน้ำก็คือห้องน้ำอยู่นั่นเอง และในกรณีนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของห้องนั่งเล่นนอกห้องทำงานนั้น ที่นี่อย่างน้อยก็เป็นส่วนตัว แม้แต่จากองค์รักษ์ประจำตัวที่ติดตัวเขาเหมือนกับฝูงหมาคอลลี่ที่ปกป้องแกะตัวที่มีค่าเป็นพิเศษ แจ๊คไม่รู้ว่าเมื่อมีคนอยู่ในห้องน้ำนี้ ไฟที่กรอบประตูด้านบนจะติดขึ้นและช่องมองที่ประตูห้องทำงานช่วยให้หน่วยคุ้มกันรู้แม้แต่เสี้ยวนี้ในชีวิตประจำวันของประธานาธิบดีของพวกเขา
ไรอันมองในกระจกขณะล้างมือ มักจะเป็นสิ่งผิดในเวลาอย่างนี้ เครื่องแต่งหน้าทำให้เขาดูอ่อนเยาว์กว่าที่เป็น ซึ่งไม่เลวนัก แต่ก็ดูหลอกตาด้วย สีแดงเปล่งปลั่งที่ผิวหน้าของเขาไม่เคยมี เขาต้องขจัดความอยากล้างมันออกให้หมดก่อนกลับไปพบกับเอ็นบีซี ผู้อ่านข่าวคนนี้เป็นชายผิวดำ และขณะจับมือกับเขาเมื่อกลับไปที่ห้องรู้สเวลท์ แจ๊ครู้สึกอุ่นใจขึ้นเมื่อเห็นเครื่องแต่งหน้าของเขามากยิ่งไปกว่าของตัวเองอีก แจ๊คลืมคิดถึงความจริงว่าแสงไฟทีวีส่งผลต่อสีผิวของมนุษย์ขนาดที่ถ้าจะให้ดูเป็นปกติบนจอโทรทัศน์ เราต้องแต่งเหมือนตัวตลกในสายตาคนธรรมดาเลย
"ท่านจะทำอะไรบ้างในวันนี้ครับ ท่านประธานาธิบดี?" นาธานถามเป็นคำถามที่สี่ของเขา
"ผมมีประชุมกับรักษาการณ์ผู้อำนวยการเอฟบีไอเมอเรย์ อันที่จริงเราต้องประชุมกันวันละสองครั้งไปอีกระยะ และผมยังมีหมายกำหนดการพบกับคณะทำงานด้านความมั่นคง และกับสมาชิกรัฐสภาบางคนที่ยังอยู่ ในตอนบ่ายวันนี้เราจะมีประชุมคณะรัฐมนตรี"
"แล้วการเตรียมการพิธีศพละครับ?" นักข่าวขีดฆ่าอีกคำถามในรายการบนตักเขา
ไรอันส่ายศีรษะ "ยังเร็วไป ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องผิดหวังสำหรับเราทุกคน แต่สิ่งเหล่านั้นต้องใช้เวลา" เขาไม่ได้บอกว่าสำนักพิธีการของทำเนียบขาวมเวลาสิบห้านาทีเพื่อสรุปแผนงานที่กำลังวางไว้ทั้งหมด
"เป็นเครื่องของสายการบินญี่ปุ่น และที่จริงก็ดำเนินงานโดยรัฐบาล เรามีเหตุผลที่จะสงสัยว่า-"
ไรอันโน้มตัวมาข้างหน้าเมื่อได้ยินคำถามนั้น "ไม่ นาธาน เราไม่มี เราติดต่อกับรัฐบาลญี่ปุ่น ท่านนายกรัฐมนตรีโคกะสัญญาว่าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และเราก็ถือตามคำพูดของท่าน ผมอยากเน้นว่าความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างเรากับญี่ปุ่นไม่มีอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ประเทศนั้นกำลังหาตัวผู้ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาตัดสินความผิด เรายังไม่ทราบว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมหมายถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ แต่ "ไม่ทราบ" ก็หมายถึง ไม่ทราบ จนกว่าเราจะทราบ ผมไม่แนะนำให้คาดเดา นั่นไม่ช่วยอะไร แต่สามารถส่งผลเสียได้ และตอนนี้ก็มีเรื่องร้ายมากพออยู่แล้ว เราต้องคิดเรื่องการแก้ไขในตอนนี้"
.
.
"โดโหมะ อาริกาโตะ" นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพึมพำ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหน้าและได้ยินเสียงของไรอัน ทั้งสองอย่างดูหนุ่มกว่าที่คาดไว้ ถึงเขาได้รับข้อมูลรายละเอียดของไรอันมาก่อนหน้าแล้ววันนี้ โคกะสังเกตเห็นอาการเกร็งและอึดอัด แต่เมื่อไรอันพูดสิ่งอื่นที่ไม่ใช่คำตอบแน่นอนต่อคำถามไร้สาระ -ทำไมพวกอเมริกันถึงทนความอวดดีของสื่อมวลชนตัวเองได้นะ?- เสียงของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เช่นเดียวกับแววตา ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่โคกะเป็นคนที่คุ้นเคยกับการสังเกตความแตกต่างเล็กๆน้อยๆเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งจากการเติบโตในญี่ปุ่น และยิ่งกว่านั้นคือจากการใช้ชีวิตวัยทำงานในวงการเมือง
"เขาเป็นศัตรูที่น่ากลัว" เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศตั้งข้อสังเกตเบาๆ "และในอดีตที่ผ่านมาเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนกล้าหาญ"
โคกะนึกถึงเอกสารที่เขาอ่านไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน ไรอันคนนี้ใช้ความรุนแรง ซึ่งเขารังเกียจ แต่เขาได้เรียนรู้จากคนอเมริกันลึกลับสองคนผู้อาจช่วยชีวิตเขาจากเงื้อมมือของเพื่อนร่วมชาติของเขาเองว่า ความรุนแรงมีเทศะของตัว เหมือนกับการผ่าตัด และไรอันได้ใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องผู้อื่น เจ็บปวดจากการทำอย่างนั้น แต่ก็ทำอีกครั้งก่อนจะกลับไปสู่แนวทางสันติ อีกครั้งที่เขาแสดงบุคลิกภาพคู่แบบเดิม ต่อประเทศของโคกะเป็นการต่อสู้ด้วยความชำนาญและไร้ความปรานี จากนั้นก็แสดงกรุณาและเคารพ คนกล้าหาญ...
"และมีเกียรติ ผมว่า" โคกะหยุดไปสักครู่ น่าแปลกที่เกิดมิตรภาพขึ้นแล้วระหว่างชายสองคนที่ไม่เคยพบหน้ากัน และผู้ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังทำสงครามกันอยู่ "เขาเป็นซามูไร"
.
.
ผู้ประกาศข่าวของเอบีซี เป็นผู้หญิงและผมทอง มีชื่อว่าจอย ((Joy ความร่าเริง)) ซึ่งด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ไรอันเห็นว่าไม่เหมาะกับวันนี้อย่างที่สุด แต่น่าจะเป็นชื่อที่พ่อแม่ของเธอตั้งให้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้ามาเรียแห่งซีบีเอสเป็นคนสวย จอยก็เป็นคนสวยแบบที่ต้องตะลึง และอาจจะเป็นเหตุผลที่เอบีซีมีผู้ชมรายการภาคเช้าติดอันดับสูงสุด การจับมือทักทายของเธออบอุ่นและเป็นมิตร และมีสิ่งอื่นที่ทำให้หัวใจของแจ๊คแทบหยุดเต้น
"สวัสดีค่ะท่านประธานาธิบดี" เธอพูดอย่างนุ่มนวลด้วยเสียงที่เหมาะกับงานเลี้ยงอาหารค่ำมากกว่ารายการข่าวทีวีภาคเช้า
"เชิญครับ" ไรอันผายมือให้เธอนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา
"สิบนาทีก่อนเข้าสู่ชั่วโมงใหม่ เราอยู่ที่นี่ในห้องรู้สเวลท์ของทำเนียบขาวเพื่อคุยกับท่านประธานาธิบดีจอห์น แพทริค ไรอัน" เธอพูดเสียงกังวานใสกับกล้อง "ท่านประธานาธิบดีคะ มันเป็นคืนที่ยาวนานและยากลำบากสำหรับประเทศของเรา ท่านบอกอะไรกับเราได้บ้างคะ?"
ไรอันตอบบ่อยจนแต่งคำตอบได้โดยไม่ต้องคิด เสียงของเขาเยือกเย็นและฟังเหมือนเครื่องจักรเล็กน้อย ส่วนสายตาจับนิ่งอยู่ที่ตาของเธอ อย่างที่ถูกสอนให้ทำ ในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องยากในการจดจ่ออยู่ที่ดวงตาสีน้ำตาลสดใสของเธอ ถึงแม้การมองลึกลงไปในตาคู่นั้นตอนเช้าอย่างนี้ทำให้รู้สึกลำบากใจ แต่เขาหวังว่ามันคงไม่แสดงออกมากเกินไป
"ท่านประธานาธิบดีคะ สองสามเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดสำหรับพวกเราทุกคน และเมื่อคืนนี้ก็ยิ่งเลวร้ายไปกว่า ท่านจะประชุมกับคณะทำงานด้านความมั่นคงแห่งชาติในอีกไม่กี่นาทีนี้ ท่านกังวลเรื่องใดมากที่สุดคะ?"
"จอย นานมาแล้วมีประธานาธิบดีอเมริกากล่าวไว้ว่าสิ่งที่เราต้องกลัวก็คือความกลัวนั่นเอง ประเทศของเราในวันนี้แข็งแกร่งเหมือนอย่างเมื่อวาน-"
.
.
"ใช่แล้ว นั่นเป็นความจริง" ดาริเยเคยพบกับไรอันมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นมันยโสจองหอง เหมือนกับหมาที่ยืนหน้าเจ้านาย แยกเขี้ยวคำรามอย่างไม่เกรงกลัว หรือแค่ทำเหมือนอย่างนั้น แต่ตอนนี้เจ้านายไม่อยู่แล้ว แล้วเจ้าหมานั่นตอนนี้ จ้องตาเขม็งที่หญิงสวยแต่โสมม และดาริเยแปลกใจที่มันไม่แลบลิ้นออกมาจนน้ำลายยืด ความอ่อนล้าเป็นส่วนหนึ่ง ไรอันเหนื่อย นั่นเห็นได้ชัด จะเป็นอะไรไปได้อีก? มันเหมือนกับประเทศของมันนั่นแหละ อยาตอลลาห์คิด ดูภายนอกเข้มแข็ง อาจจะ ไรอันยังหนุ่มอยู่ ไหล่กว้าง ทำตัวตรง ตาเป็นประกายแจ่มใสและเสียงหนักแน่น แต่สำหรับคำถามเกี่ยวกับความเข้มแข็งของประเทศ มันกลับพูดถึงความกลัวและความกลัวในความกลัว น่าสนใจดี
ดาริเยรู้ดีว่าความเข้มแข็งและอำนาจเป็นเรื่องของจิตใจมากกว่าร่างกาย เรื่องจริงสำหรับทั้งประเทศชาติและมนุษย์ อเมริกาเป็นสิ่งลึกลับสำหรับเขา เช่นเดียวกับผู้นำอเมริกา แต่เขาจำเป็นต้องรู้แค่ไหน? อเมริกาเป็นชาติที่ไม่นับถือพระเจ้า นั่นเป็นสาเหตว่าทำไมเจ้าหนูไรอันนี่พูดถึงความกลัว เมื่อไม่มีพระเจ้า ทั้งประเทศและประชาชนก็ไม่รู้ทิศรู้ทาง บางคนบอกว่าประเทศของดาริเยก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ถึงแม้มันจะเป็นความจริงขึ้นมา ก็เป็นเพราะเหตุผลที่แตกต่างกัน ดาริเยบอกตัวเอง
เหมือนกับผู้คนทั่วโลก ดาริเยพุ่งความสนใจไปที่ใบหน้าและเสียงของไรอัน การตอบคำถามแรกเป็นไปโดยอัตโนมัติอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าอเมริกาจะรู้เรื่องอะไรในเหตุการณ์ที่น่ายินดีนี้ พวกมันจะไม่บอกใครแน่ บางทีมันอาจไม่รู้อะไรมาก แต่นั่นก็เข้าใจได้ง่าย วันของเขาเป็นวันที่ยาวนานและดาริเยใช้มันอย่างมีประโยชน์ เขาเรียกคณะรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและสั่งให้หัวหน้าประจำโต๊ะอเมริกา (ที่จริงเป็นแผนกหนึ่งทั้งแผนกในอาคารรัฐบาลในเตหราน) เตรียมเอกสารเรื่องการทำงานของรัฐบาลอเมริกัน สถานการณ์ดีกว่าที่ดาริเยหวังไว้เสียอีก พวกมันออกกฏหมายใหม่ไม่ได้ เรียกเก็บภาษีแบบใหม่ไม่ได้ ใช้เงินใหม่ไม่ได้จนกว่ารวบรวมสภานิติบัญญัติขึ้นมาใหม่ และนั่นก็ต้องใช้เวลา กระทรวงเกือบทั้งหมดของพวกมันปราศจากผู้นำ ไอ้หนูไรอันนี่ -ดาริเยอายุเจ็ดสิบสอง- เป็นรัฐบาลอเมริกัน และเขาก็ไม่เลื่อมใสสิ่งที่เขาเห็นนัก
สหรัฐอเมริกาขัดขวางเขามานานนับปี อำนาจมากเกินไป แม้จะลดความแข็งแกร่งลงหลังจากสหภาพโซเวียต -เจ้า "ซาตานน้อย"- ล่มสลาย อเมริกาสามารถทำสิ่งที่ชาติอื่นทำไม่ได้ สิ่งที่มันต้องการอย่างเดียวคือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นยาก แต่ภัยนั้นก็ยังน่าหวาดเกรงอยู่ บ่อยครั้งที่ทั้งประเทศจะรวมกำลังกันในวัตถุประสงค์หนึ่งเดียว อย่างเช่นที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้กับอิรัก ด้วยผลตามมาที่เด็ดขาดอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับสิ่งที่ประเทศของเขาทำได้ในสงครามสู้รบยาวนานเกือบหนึ่งทศวรรษ นั้นคืออันตรายของอเมริกา แต่อเมริกาตอนนี้ยิ่งบอบบางลงอีก หรือถึงอเมริกาจะไม่หัวขาดไปแล้วแต่ก็เกือบแล้ว ร่างกายที่แข็งแรงที่สุดจะเป็นง่อยและไร้ความสามารถได้จากการเจ็บที่คอ หรือยิ่งไปกว่านั้นก็ที่หัว...
แค่คนเดียว ดาริเยคิด ไม่ได้ยินเสียงจากโทรทัศน์แล้ว คำพูดไม่สำคัญแล้วตอนนี้ ไรอันไม่ได้พูดอะไรที่เป็นสาระแต่บอกชายที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งได้มากเรื่องพฤติกรรมของมัน ผู้นำคนใหม่ของประเทศนั้นมีคอที่เป็นจุดสนใจในสายตาดาริเย นัยของมันชัดเจน ในเรื่องการปฏิบัติก็คือแยกส่วนหัวออกจากลำตัว และที่อยู่ระหว่างสองสิ่งนั้น ก็คือคอ
.
.
"อีกสิบนาทีก่อนจะถึงช่วงต่อไป" อาร์นี่บอกหลังจากจอยออกไปขึ้นรถไปสนามบินแล้ว ผู้สื่อข่าวของฟอกซ์กำลังแต่งหน้าอยู่
"ผมเป็นไงมั่ง?" คราวนี้แจ๊คถอดสายไมค์ออกก่อนลุกขึ้นยืน เขาต้องการยืดแข้งยืดขาบ้าง
"ไม่เลว" แวนแดมม์วิจารณ์ อย่างใจกว้าง เขาอาจพูดแบบอื่นกับนักการเมืองอาชีพ แต่นักการเมืองจริงๆต้องตอบคำถามโหดๆได้อย่างดีพอ เหมือนกับนักกอล์ฟที่เล่นแข่งกับแต้มต่อของตัวเองมากกว่ากับเพื่อนร่วมก๊วนมืออาชีพ ซึ่งก็ยุติธรรมดี เท่าที่มันเป็น ที่สำคัญที่สุดคือไรอันต้องสร้างความมั่นใจขึ้นมาถ้าจะให้เขาทำหน้าที่ได้ การเป็นประธานาธิบดีนั้นยากอยู่แล้วในเวลาที่ดีพร้อม และขณะที่ทุกคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นเคยอธิษฐานให้กำจัดสภาและหน่วยงานกระทรวงอื่นๆทิ้งไปได้ แต่เป็นไรอันที่จะได้เรียนรู้ว่าระบบรัฐบาลทั้งหมดถึงเป็นสิ่งจำเป็นขนาดไหน และเขาจะได้เรียนแบบลำบากด้วย
"ผมต้องทำตัวให้คุ้นกับอีกหลายอย่าง จริงมั้ย?" แจ๊คพิงผนังนอกห้องรู้สเวลท์ มองไปมาตามทางเดิน
"คุณจะเรียนรู้เอง" หัวหน้าคณะทำงานให้คำมั่นกับเขา
"อาจจะอย่างนั้น" แจ๊คยิ้ม ไม่ตระหนักว่ากิจกรรมในเช้าวันนี้ ที่ผ่านไปเมื่อกี้ ทำให้ใจของเขาปิดกั้นเรื่องอื่นของวันไปได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่คุ้มกันคนหนึ่งก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา
.
.
ถึงจะไม่ยุติธรรมต่อครอบครัวอื่นอย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่าความสำคัญอันดับหนึ่งอยู่ที่ร่างของประธานาธิบดีเดอร์ลิ่ง รถปั้นจั่นไม่น้อยกว่าสี่ตัวตั้งทำงานอยู่ด้านตะวันตกของอาคาร ปฏิบัติภายใต้การควบคุมของหัวหน้าคนงานก่อสร้างสวมหมวกกันกระเทกแข็งที่ยืนอยู่กับชุดคนงานฝีมือที่พื้นชั้นล่างของห้องประชุมสภา ใกล้เกินที่กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัย แต่คณะควบคุมความปลอดภัยและสุขภาพในการทำงาน ((Occupational Safety and Health Administration - OSHA)) ไม่ได้อยู่แถวนี้ในเช้าวันนี้ ผู้ตรวจงานของรัฐบาลที่มีความสำคัญพวกเดียวคือหน่วยคุ้มกัน เอฟบีไออาจได้อำนาจสอบสวนโดยรวม แต่ไม่มีใครขวางระหว่างหน่วยคุ้มกันกับการค้นหาอันน่าเศร้าสลดของพวกเขา มีหมอกับเจ้าหน้าที่พยาบาลเตรียมพร้อมอยู่ด้วย เผื่อว่าจะมีผู้รอดชีวิตถึงแม้ทุกสิ่งจะเป็นไปในทางตรงข้าม สิ่งท้าทายจริงๆก็คือการประสานการทำงานของปั้นจั่นแต่ละชุดซึ่งดูเหมือนกับกำลังล้วงลงไปในหลุมระเบิด เหมือนกับฝูงยีราฟสี่ตัวกำลังก้มลงดื่มน้ำในบ่อเดียวกัน ไม่กระแทกกันด้วยความชำนาญของผู้ปฏิบัติงาน
"ดูนั่น!" ผู้ดูแลการก่อสร้างชี้ สิ่งที่อยู่ในอุ้งมือไหม้เกรียมก็คือปืนพกอัตโนมัติ ต้องเป็นแอนดี้ วอล์คเกอร์ หัวหน้าชุดคุ้มกันประธานาธิบดีเดอร์ลิ่งอย่างแน่นอน ภาพสุดท้ายจากทีวีแสดงให้เห็นเขาอยู่ห่างประธานาธิบดีของเขาไปไม่กี่ฟุต กำลังวิ่งตรงเข้ามาดึงตัวประธานาธิบดีออกจากแท่นปราศรัย แต่สายเกินกว่าจะทำอะไรได้นอกจากสูญชีวิตของเขาเองในหน้าที่
ปั้นจั่นตัวต่อไปหย่อนลงมาอีกครั้ง สายเคเบิลถูกผูกไว้กับก้อนหินทรายก้อนหนึ่ง ซึ่งยกขึ้นช้าๆ แกว่งเล็กน้อยด้วยแรงตึงในสายเคเบิลเหล็ก ร่างที่เหลืออยู่ของแอนดี้ วอล์คเกอร์เห็นได้ชัดแล้วตอนนี้ พร้อมกับขาและกางเกงของใครอีกคน รอบๆศพทั้งสองเป็นเศษชิ้นส่วนที่เปลี่ยนสีไปของแท่นปราศรัยไม้โอ๊ค และยังมีแม้แต่เศษเถ้ากระดาษสองสามแผ่น ไฟไม่ได้ไหม้ผ่านกองเศษหินในส่วนนี้ของซากอาคาร มันเผาไหม้เร็วเกินไปเกินกว่าจะทำอย่างนั้น
"เดี๋ยวก่อน!" คนงานก่อสร้างฉุดแขนหน่วยคุ้มกันไว้ไม่ให้เข้าไป "มันไม่ไปไหนหรอกน่ะ ไม่คุ้มที่จะตายเพื่อมัน รอก่อนอีกซักไม่กี่นาที" เขารอให้ปั้นจั่นตัวหนึ่งหลีกทางให้ปั้นจั่นอีกตัวก่อนจะโบกมือ บอกให้ผู้บังคับรู้ว่าจะเข้าไปอย่างไร จะหย่อนลงและหยุดตรงไหน คนงานสองคนสอดสายเคเบิลคู่หนึ่งเข้าใต้ก้อนหินก้อนต่อไป หัวหน้าคนงานหมุนแขนของเขาในอากาศ แล้วก้อนหินก็ถูกยกขึ้น
"เราพบนักโดดแล้ว" หน่วยคุ้มกันพูดกรอกไมโครโฟนของเขา ชุดแพทย์เข้ามาทันที ภายใต้เสียงตะโกนเตือนของคนงานหลายคน แต่เห็นได้จากระยะห่างออกมายี่สิบฟุตว่าพวกเขาเสียเวลาเปล่า มือของประธานาธิบดียังถือแฟ้มใส่ร่างสุนทรพจน์สุดท้ายของเขา หินที่ตกลงมาอาจฆ่าเขาก่อนไฟจะไหม้มาเผาผมของเขาจนเกรียม ส่วนใหญ่ของศพผิดรูปไปจากการกระแทก แต่ชุดสูทและเข็มกลัดเนคไทสำหรับประธานาธิบดีและนาฬิกาเรือนทองบนข้อมือของเขาพิสูจน์ว่าเขาคือประธานาธิบดีโรเจอร์ เดอร์ลิ่ง ทุกอย่างหยุดนิ่ง ปั้นจั่นหยุดทำงาน เครื่องยนต์ของมันเดินเบาขณะที่คนควบคุมจิบกาแฟหรือจุดบุหรี่ ชุดถ่ายภาพของนิติเวชเข้ามาถ่ายภาพในทุกมุมมองที่เป็นไปได้
พวกเขาทำงานอย่างไม่รีบร้อน ในอีกที่หนึ่งในชั้นล่างของห้องประชุม ทหารรักษาดินแดนกำลังบรรจุศพในถุงและหิ้วออกไป พวกเขารับงานนี้ต่อจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเมื่อสองชั่วโมงก่อน แต่ภายในระยะห้าสิบฟุตมีแต่หน่วยคุ้มกัน ทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายต่อนักโดด ชื่อเรียกขานที่พวกเขาตั้งให้ประธานาธิบดีเพื่อเป็นเกียรติกับการปฏิบัติหน้าที่นายร้อยในกองพลส่งทางอากาศที่ 82 ของเขา เหตุการณ์ดำเนินมานานเกินกว่าจะมีน้ำตา ถึงแม้ในบรรดาหน่วยคุ้มกันที่รวมตัวกันอยู่จะกลับมาที่นี่อีก มากกว่าหนึ่งครั้ง เมื่อคณะแพทย์ถอนตัวออก และช่างภาพถ่ายจนพอใจแล้ว เจ้าหน้าที่คุ้มกันสี่คนในเสื้อวินเบรคเกอร์ของหน่วยคุ้มกันก้าวลงไปบนเศษอิฐหินที่เหลืออยู่ ครั้งแรกพวกเขายกร่างของแอนดี้ วอล์คเกอร์ ซึ่งสิ่งที่เขากระทำโดยสำนึกสุดท้ายคือปกป้อง "ผู้ว่าจ้าง" ของเขา แล้วค่อยๆยกลงในถุงผ้ายาง เจ้าหน้าที่คุ้มกันยกมันขึ้นเพื่อให้เพื่อนอีกสองคนนำมันไป งานชิ้นต่อไปคือประธานาธิบดีเดอร์ลิ่ง ซึ่งพบว่าเป็นเรื่องยาก ร่างของเขาบิดไปขณะเสียชีวิตและความเย็นก็ทำให้ร่างนั้นแข็งตัว แขนข้างหนึ่งทำมุมกับร่างกายและทำให้ใส่ลงในถุงบรรจุศพไม่ได้ หน่วยคุ้มกันมองหน้ากัน ไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอย่างไร ศพเป็นหลักฐานและยุ่งด้วยไม่ได้ บางทีที่สำคัญกว่านั้นคือความกลัวที่จะทำร้ายร่างที่ตายไปแล้ว ดังนั้นร่างประธานาธิบดีเดอร์ลิ่งอยู่ในถุงบรรจุศพด้วยแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาเหมือนกับแขนกัปตันอาฮัป หน่วยคุ้มกันสี่คนยกมันออกไปจากห้องประชุม อ้อมผ่านก้อนหินที่หล่นระเกะระกะอยู่ทั้งหมดแล้วตรงลงไปที่รถพยาบาลที่เตรียมสำหรับการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งบอกช่างภาพข่าวทั้งใกล้และไกลผู้ถ่ายทันทีหรือซูมกล้องทีวีเข้ามาเพื่อจับภาพขณะนั้น
ภาพนั้นตัดเข้ามาในการสัมภาษณ์ไรอันของฟอกซ์ และเขามองภาพในจอที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ในใจของเขาภาพนี้ทำให้มันเป็นทางการ นั่นคือโรเจอร์ตายแล้ว และตอนนี้เขาก็เป็นประธานาธิบดีจริงๆ จบเท่านั้น กล้องในห้องจับที่สีหน้าเปลี่ยนไปของไรอัน ขณะที่เขานึกถึงว่าเดอร์ลิ่งนำเขาเข้ามา ให้ความไว้ใจเขา พึ่งพาเขา ชี้นำเขา...
มันจบลงแล้ว แจ๊คตระหนัก เขามักจะมีใครสักคนให้พึ่งพิงเสมอ แน่นอน หลายคนก็พึ่งเขา ถามความเห็นของเขา เอาตัวเขาเข้ารับเมื่อมีวิกฤตการณ์ แต่ก็ยังมีคนที่จะกลับมาหา คนที่จะบอกกับเขาว่าเขาทำสิ่งที่ถูกแล้ว เขาอาจทำอย่างนั้นในตอนนี้ แต่สิ่งที่จะได้รับกลับมาก็แค่ความเห็น ไม่ใช่การตัดสิน การตัดสินเป็นเรื่องของเขาแล้วในตอนนี้ เขาจะได้ฟังเรื่องทุกรูปแบบ ที่ปรึกษาของเขาจะเป็นเหมือนทนาย คนหนึ่งเถียงอย่างนี้ อีกคนเถียงอย่างนั้น บอกกับเขาว่าเขาทั้งผิดและถูกในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อมันจบลง การตัดสินใจก็เป็นของเขาเพียงคนเดียว
ประธานาธิบดีไรอันถูหน้าของเขา ไม่ทันระวังเรื่องเครื่องแต่งหน้า ซึ่งเขาทำมันเลอะไป เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ฟอกซ์และเครือข่ายอื่นออกอากาศอยู่ตอนนี้คือภาพคู่สองภาพในจอเดียว เพราะทุกคนใช้ภาพออกอากาศรวมจากห้องรู้สเวลท์ ศีรษะของเขาสั่นไปมาเล็กน้อยอย่างผู้ที่ต้องยอมรับสิ่งที่เขาไม่ชอบ ใบหน้าของเขาว่างเปล่าไม่มีความเศร้า ในเบื้องหลังของบันไดรัฐสภา ปั้นจั่นเริ่มหย่อนลงอีกครั้ง
"เราจะทำอะไรต่อจากนี้ล่ะ?" ผู้รายงานข่าวของฟอกซ์ถาม คำถามนั้นไม่มีในรายการของเขา มันเป็นแค่ปฏิกิริยาของมนุษย์ต่อภาพของมนุษย์ การตัดไปรัฐสภาทำให้เวลาที่จัดไว้สำหรับการสัมภาษณ์ลดน้อยไปมาก และสำหรับอีกหัวเรื่องพวกเขาคงต้องย้ายไปช่วงต่อไป แต่กฏของทำเนียบขาวเป็นกฏเหล็กที่ละเมิดไม่ได้
"มีงานอีกมากที่ต้องทำ" ไรอันตอบ
"ขอบคุณครับท่านประธานาธิบดี ขณะนี้เวลาแปดนาฬิกาสิบสี่นาที"
แจ๊คดูแสงไฟของกล้องทีวีวูบดับลง โปรดิวเซอร์รออีกสองสามวินาทีก่อนจะโบกมือ ท่านประธานาธิบดีถอดไมโครโฟนและสายออก การออกข่าวแบบมาราธอนครั้งแรกของเขาจบลงแล้ว ก่อนออกจากห้อง เขามองพิจารณาที่กล้อง ก่อนหน้านี้เขาเคยสอนชั้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์ และหลังจากนั้นก็เคยบรรยายสรุป แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนทำต่อหน้าคนจริงๆที่เขาสามารถมองและอ่านสายตา และปรับการบรรยายจากปฏิกิริยาของคนฟังได้บ้าง เร่งให้เร็วขึ้นหรือช้าลง บางทีอาจหยอดมุขตลกเล็กน้อยถ้าโอกาสอำนวย หรือย้ำบางจุดเพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้การพูดคุยอย่างใกล้ชิดของเขาจะถูกส่งต่อไปยังสิ่งของ บางสิ่งที่ไม่อาจชอบได้ ไรอันออกจากห้อง ในขณะที่ทั่วโลก ผู้คนกำลังประเมินสิ่งที่พวกเขาเห็นในประธานาธิบดีอเมริกัน ผู้บรรยายทางโทรทัศน์จะยกเรื่องเขาขึ้นมาถกเถียงในห้าสิบประเทศหรือมากกว่า ขณะที่เขาเข้าห้องน้ำอีกครั้ง
.
.
"นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดกับประเทศเรานับจากเจฟเฟอร์สัน" ชายสูงวัยกว่าถือว่าตัวเองเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง เขาชอบโธมัส เจฟเฟอร์สันเพราะคำกล่าวเกี่ยวกับที่ว่าประเทศที่ปกครองได้ดีที่สุดคือประเทศที่ปกครองน้อยที่สุด ซึ่งเป็นภาษิตเดียวที่เขารู้จากปราชญ์แห่งมอนติเซลโล ((Sage of Monticello ชื่อเล่นของโธมัส เจฟเฟอร์สัน))
"แล้วก็ต้องให้พวกไอ้ยุ่นทำให้ เหมือนเป็นงั้น" ประโยคนี้ตามด้วยเสียงพ่นลมอย่างประชดประชัน เหตุการณ์อย่างนี้อาจขจัดการเหยียดผิวที่เขายึดถืออย่างเหนียวแน่นไปเลยก็ได้ ไม่ได้สิ จริงมั้ย?
พวกเขาไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนนี้เวลาท้องถิ่น 5.20 น. เพราะคอยดูรายงานข่าวทีวีที่ยังไม่ยอมหยุด เขาสังเกต พวกนักข่าวดูจะไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าไอ้ไรอันนี่เสียอีก แต่การแบ่งเขตเวลาก็มีข้อดี ทั้งคู่หยุดดื่มเบียร์ตอนเที่ยงคืนแล้วหันไปซดกาแฟในสองชั่วโมงต่อมา ตอนที่เริ่มจะผลอยหลับ ให้เป็นงั้นไม่ได้ สิ่งที่พวกเขาเห็นด้วยการกดเปลี่ยนช่องที่รับจากจานดาวเทียมขนาดใหญ่ข้างนอกบ้านพัก ก็เหมือนกับรายการหาเงินการกุศลที่น่าตื่นตา แต่อันนี้ไม่เกี่ยวกับหาเงินช่วยเด็กพิการหรือเหยื่อเอดส์หรือโรงเรียนไอ้พวกมืด อันนี้สนุก ไอ้พวกงี่เง่าในวอชิงตันต้องโดยเผาจนกรอบไปแหงเลย เป็นส่วนใหญ่
"บาบีคิวขี้ข้ารัฐ" ปีเตอร์ ฮอลบรุค พูดเป็นครั้งที่สิบเจ็ดนับจากเวลา 11.30 น. ตอนที่เขาคิดคำสรุปเรื่องนี้ได้ เขามักเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่สุดในขบวนการ
"อ๊าว บ้าเอ๊ย พีท!" เออร์เนสท์ บราวน์สำลัก ทำกาแฟหกลงตักของเขาไปส่วนหนึ่ง มันยังตลกอยู่ พอทีทำให้เขาไม่ผุดลุกขึ้นทันทีที่ทำมันหกจนเปียก
"คืนที่ยาวนาน" ฮอลบรุคยอมรับกับตัวเองพร้อมกับหัวเราะ พวกเขาดูการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีเดอร์ลิ่งเพราะเหตุผลหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือเครือข่ายทีวีทั้งหมดยกเลิกรายการปกติ เหมือนทุกครั้งที่เหตุการณ์สำคัญ แต่ที่จริงก็คือจานดาวเทียมของพวกเขารับได้ทั้งหมด 117 ช่อง และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดเครื่องเพื่อหลีกเลี่ยงการรับข้อมูลจากรัฐบาลที่พวกเขาและเพื่อนเกลียดชัง เหตุผลลึกลงไปอีกคือพวกเขาสะสมความโกรธเกลียดรัฐบาล และก็จะดูการกล่าวสุนทรพจน์แบบนี้เป็นประจำ โดยทั้งคู่ดูช่อง ซี-สแปน 1 และ 2 อย่างน้อยวันละชั่วโมง เพื่อเติมเชื้อให้ความรู้สึกเกลียด และผลัดกันด่าทุกๆนาทีของการกล่าวสุนทรพจน์ประธานาธิบดีนั้น
"แล้วไอ้เจ้าไรอันนี่เป็นใครล่ะ อันที่จริงน่ะ?" บราวน์ถามพร้อมอ้าปากหาว
"คงเป็นขี้ข้ารัฐอีกคนแหละ พ่นแต่เรื่องไร้สาระ"
"ช่าย" บราวน์ลงความเห็น "แล้วก็ไม่มีอะไรหนุนหลังมันด้วย พีท"
ฮอลบรุคหันกลับมามองเพื่อนของเขา "ฟังดูเข้าทีนะ ว่ามั้ย?" เขาลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นหนังสือที่อยู่บนผนังทิศใต้ของที่หลบซ่อนของเขา รัฐธรรมนูญฉบับของเขาเป็นฉบับเล่มเล็กที่เห็นได้ว่าถูกเปิดบ่อยมากเพราะเขาอ่านมันบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเพิ่มความเข้าใจความตั้งใจของผู้ร่าง "รู้มั้ย พีท ในนี้ไม่มีตรงไหนครอบคลุมสถานการณ์อย่างนี้เลย"
"จริงเรอะ?"
ฮอลบรุคพยักหน้า "จริงซี่"
"ให้ตายเหอะ" ต้องใช้ความคิดเรื่องนี้หน่อย จริงมั้ย?
.
.
"ถูกฆ่าเหรอ?" ประธานาธิบดีไรอันถามทั้งที่กำลังล้างเครื่องแต่งหน้าออกด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเล็กเปียกๆ แบบที่เขาเคยใช้ทำความสะอาดก้นให้ลูก อย่างน้อยมันก็ทำให้หน้าเขาสะอาดจริงๆเมื่อเขาล้างเสร็จ
"นั่นเป็นการสันนิษฐานขั้นต้น ทั้งจากการตรวจศพคร่าวๆและจากการตรวจสอบเทปห้องนักบินแบบลวกๆครับ" เมอเรย์พลิกอ่านข้อความที่แฟกซ์มาถึงเขาแค่ยี่สิบนาทีก่อน
ไรอันเอนตัวพิงเก้าอี้ของเขา มันใหม่เหมือนกับหลายอย่างในห้องทำงานรูปไข่นี้ บนโต๊ะเก็บของข้างหลังเขา รูปเดอร์ลิ่งและครอบครัวของเขาถูกนำออกไปทั้งหมด เอกสารบนโต๊ะถูกฝ่ายเลขานุการนำออกไปตรวจสอบ สิ่งที่เหลืออยู่หรือสิ่งที่นำเข้ามาใหม่เป็นเครื่องตบแต่งจากห้องเก็บของทำเนียบขาว อย่างน้อยเก้าอี้ตัวนี้ก็ดี ออกแบบอย่างแพงเพื่อปกป้องหลังของผู้นั่ง และไม่นานจะถูกแทนที่ด้วยเก้าอี้ออกแบบพิเศษให้เข้ากับแผ่นหลังของเขา ซึ่งทำโดยผู้ผลิตที่ทำให้ฟรีและน่าทึ่งที่ไม่ได้ประโคมข่าวสู่สาธารณะ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องทำงานในที่แห่งนี้ แจ๊คตัดสินใจเมื่อสองสามนาทีก่อนหน้า คณะเลขานุการอยู่ที่นี่ และมันไม่ยุติธรรมที่จะให้พวกเขาเดินข้ามฟากอาคารขึ้นลงบันไดเปล่าๆ แต่การนอนที่นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่งโดยสิ้นเชิง ในขณะนี้ นั่นก็ต้องเปลี่ยนไปเหมือนกัน ไม่ใช่หรือ? แล้ว เขาคิดพร้อมจ้องข้ามโต๊ะไปที่เมอเรย์ ฆาตกรรม
"ถูกยิงเหรอ?"
แดนส่ายหน้า "แทงด้วยมีดทะลุหัวใจ แค่ครั้งเดียว เจ้าหน้าที่ของเราคิดว่าบาดแผลมาจากใบมีดบาง เหมือนกับมีดหั่นสะเต๊ก จากเทปห้องนักบินแสดงให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นก่อนบินขึ้น ดูแล้วเราสามารถทราบเวลาแน่นอนได้อย่างตรงพอสมควร สำหรับตั้งแต่ก่อนสตาร์ทเครื่องจนถึงวินาทีพุ่งชน มีเสียงนักบินเพียงคนเดียวในเทป เขาชื่อซาโต้ เป็นนักบินประสบการณ์สูงมาก ตำรวจญี่ปุ่นส่งข้อมูลมาให้เราเพียบ ดูเหมือนว่าเขาเสียน้องชายกับลูกชายในสงคราม น้องชายเขาบัญชาการเรือพิฆาตที่โดนจมพร้อมลูกเรือทั้งหมด ลูกชายเป็นนักบินขับไล่ที่ตายตอนร่อนลงจอดหลังจบภารกิจ ทั้งคู่ตายวันเดียวกันหรือใกล้เคียง ดังนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัว เหตุจูงใจและโอกาส แจ๊ค" เมอเรย์ปล่อยให้ตัวเองพูดออกมาเพราะตอนนี้พวกเขาเกือบอยู่โดยลำพังในห้องทำงาน แอนเดรีย ไพรซ์ก็อยู่ที่นั่นด้วย เธอไม่ค่อยยอมรับนัก เธอยังไม่ได้รับข้อมูลว่าสองคนนี้คบกันมานานขนาดไหน
"เป็นการพิสูจน์รูปพรรณที่เร็วทีเดียวนะ" ไพรซ์ให้ความเห็น
"ยังต้องมีการยืนยันอีก" เมอเรย์เห็นพ้อง "เราจะทดสอบดีเอ็นเออีกครั้งให้แน่ใจ แต่เทปห้องนักบินก็ดีพอจะวิเคราะห์เสียงพูดได้ พวกนั้นบอกกับเจ้าหน้าที่เราอย่างนั้น พวกแคนาดามีเทปเรดาร์ที่ติดตามเครื่องไปจนพ้นน่านฟ้าของพวกเขา ดังนั้นการยืนยันช่วงเวลาของเหตุการณ์เป็นเรื่องง่าย เราพิสูจน์ทราบเครื่องบินได้แน่นอนตั้งแต่จากกวมไปญี่ปุ่นไปแวนคูเวอร์ไปถึงอาคารรัฐสภา เหมือนคำที่ว่า จบลงไปแล้วเหลือแค่เสียงตะโกน จะต้องมีเสียงตะโกนเยอะทีเดียว ท่านประธานาธิบดี" คราวนี้แอนเดรีย ไพรซ์รู้สึกดีขึ้น "จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนก่อนเราจะปะติดปะต่อข้อมูลหลักฐานได้ทั้งหมด และผมคิดว่าเราอาจคิดผิดก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติ ในความเห็นของผมและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเราที่เกี่ยวข้อง คดีนี้ใกล้จะปิดลงได้แล้ว"
"มีอะไรที่จะทำให้คุณคาดผิดไปได้บ้าง?" แจ๊คถาม
"ที่เป็นไปได้ก็น้อยมาก แต่ถ้าคิดในแง่ที่เป็นไปได้จริง ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่การกระทำของคนบ้าคนเดียว ไม่ พูดอย่างนั้นออกจะไม่ยุติธรรมไปหน่อย จริงไหม? แค่คนที่โกรธแค้นอย่างมากคนเดียว อย่างไรก็ตาม ถ้าเรื่องนี้เป็นแผนที่มีคนร่วมคบคิด เราต้องถือว่ามีการวางแผนโดยละเอียด ซึ่งเป็นไปได้ยาก พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าจะแพ้สงคราม รู้ได้อย่างไรเรื่องประชุมสภา แล้วถ้าเป็นแผนที่วางไว้เหมือนปฏิบัติการทางทหาร อย่างที่คนจากเอ็นทีเอสบีบอก การใส่ระเบิดอีกสิบตันขึ้นเครื่องก็เป็นเรื่องง่ายมาก"
"ไม่ก็นิวเคลียร์" แจ๊คสอดขึ้น
"ไม่ก็นิวเคลียร์" เมอเรย์พยักหน้า "นั่นทำให้ผมนึกขึ้นได้ ผู้ช่วยทูตทหารอากาศจะไปดูโรงงานผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของพวกนั้นวันนี้ พวกญี่ปุ่นใช้เวลาหลายวันกว่าจะรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เราส่งคนที่รู้เรื่องนี้บินไปที่นั่นแล้วตอนนี้" เมอเรย์ตรวจทานบันทึกของเขา "ดร. วู้ดโรว์ โลเวลล์ อ๋อ ผมรู้จักเขา เขามีห้องทดลองอยู่ที่ลอเรนซ์ ลิเวอร์มอร์ นายกรัฐมนตรีโคกะบอกเอกอัครราชทูตของเราว่าเขาอยากส่งมอบเจ้าสิ่งนี้ แล้วเอามันออกไปจากประเทศของเขาให้เร็วที่สุด"
ไรอันหมุนเก้าอี้ของเขากลับหลัง หน้าต่างข้างหลังเขาหันหน้าสู่อนุสาวรีย์วอชิงตัน ((Washington Monument)) เสาโอบีลิสค์ตรงนั้นล้อมรอบด้วยเสาธงตั้งเป็นวงกลม ธงทั้งหมดลดลงครึ่งเสา แต่เขาเห็นได้ว่าผู้คนกำลังเข้าแถวขึ้นลิฟท์ไปสู่ยอดบนสุด เหล่านักท่องเที่ยวที่มาดีซีเพื่อชมทัศนียภาพ อืม พวกเขาโชคดีทีเดียว จริงมั้ย? เขาสังเกตเห็นหน้าต่างห้องทำงานรูปไข่ที่หนาอย่างไม่น่าเชื่อ เผื่อว่าหนึ่งในนักท่องเที่ยวพวกนั้นมีปืนยาวซุ่มยิงซุกไว้ใต้เสื้อคลุมของเขา...
"เราปล่อยข่าวออกไปได้แค่ไหน?" ประธานาธิบดีไรอันถาม
"ผมไม่ว่าอะไรถ้าจะปล่อยไปบ้างบางส่วน" เมอเรย์ตอบ
"คุณแน่ใจเหรอ?" ไพรซ์ถาม
"มันไม่เหมือนกับเราปกป้องหลักฐานในการตัดสินคดีอาชญากรรมนะ ผู้กระทำความผิดในคดีนี้ตายไปแล้ว เราจะค้นหาคนที่คบคิดทุกทางที่เป็นไปได้ แต่หลักฐานที่เราปล่อยออกไปวันนี้จะไม่เหนี่ยวรั้งในเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ใช่พวกนิยมการเสนอหลักฐานอาชญากรรมต่อสาธารณะเท่าไหร่หรอก แต่ประชาชนข้างนอกนั่นต้องการรู้อะไรซักอย่าง และในคดีอย่างนี้ คุณต้องให้พวกเขารู้"
อีกอย่าง ไพรซ์คิด มันทำให้เอฟบีไอดูดีด้วย ข้อสังเกตในใจนั้นอย่างน้อยแสดงว่าหน่วยงานรัฐหนึ่งแห่งเริ่มกลับคืนสู่สภาพปกติ
"ใครเป็นคนดูแลเรื่องนี้ที่กระทรวงยุติธรรมคะ?" เธอถามอีกอย่างแทน
"แพท มาร์ตินครับ"
"อ้าว? ใครเป็นคนเลือกเขาเหรอ?" เธอถาม ไรอันหันกลับมาฟังการสนทนาเรื่องนี้
หน้าเมอเรย์เกือบเป็นสีแดง "ผมว่าผมเป็นคนเลือกเอง ท่านประธานาธิบดีสั่งให้เลือกอัยการระดับอาชีพที่ดีที่สุด นั่นก็คือแพท เขาเป็นหัวหน้าแผนกอาชญากรรมมาเก้าเดือนแล้ว ก่อนหน้านั้นเขาคุมจารกรรม เอฟบีไอเก่า เขาเป็นทนายที่ดีมากคนหนึ่ง อยู่มากว่าสามสิบปี บิล ชอว์อยากให้เขาเป็นผู้พิพากษา เขาคุยกับอัยการสูงสุดเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง"
"คุณแน่ใจว่าเขาดีพอนะ?" แจ๊คถาม ไพรซ์ตัดสินใจตอบแทน
"เราทำงานกับเขามาเหมือนกันค่ะ เขาเป็นมืออาชีพตัวจริง แล้วแดนก็พูดถูก เขาเหมาะเป็นผู้พิพากษาจริงๆ เด็ดขาด แต่ก็ยุติธรรมอย่างสุดขีด เขาคุมคดีกลั่นแกล้งกลุ่มผู้ประท้วงที่คู่หูเก่าของฉันจัดการ ในนิวออลีนส์"
"ตกลง งั้นให้เขาเลือกว่าจะประกาศอะไร เขาเริ่มคุยกับนักข่าวได้ทันทีหลังเที่ยง" ไรอันดูนาฬิกาข้อมือ เขาเป็นประธานาธิบดีมาได้สิบสองชั่วโมงพอดี
พันเอกนอกราชการ ปิแอร์ อเลกแซนเดอร์ แห่งกองทัพบก ยังดูเหมือนทหารอยู่ด้วยร่างสูงเพรียวสมส่วน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ท่านคณบดีรำคาญใจแม้แต่น้อย เดฟ เจมส์ชอบสิ่งที่เขาเห็นในทันที ขณะที่แขกของเขานั่งลง ชอบยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้อ่านประวัติการทำงานของพันเอกคนนี้ และยิ่งขึ้นอีกจากสิ่งที่ได้รู้จากการคุยทางโทรศัพท์ พันเอกอเล็กแซนเดอร์ หรืออเลกซ์ในบรรดาเพื่อนที่เขามากมาย เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดต่อผู้ใช้เวลายี่สิบปีอย่างมีค่าในหน่วยงานรัฐบาล ส่วนใหญ่ในโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีดในวอชิงตัน และฟอร์ท ดีทริคในแมรี่แลนด์ กับการออกสนามหลายครั้ง จบการศึกษาจากเวสพอยท์และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโก ดร.เจมส์อ่านพบ ดี สายตาของเขากวาดผ่านสาขาแพทย์เฉพาะทาง และรายการประสบการณ์ด้านอาชีพอื่นๆ รายชื่อของบทความที่ถูกตีพิมพ์ใช้เนื้อที่แปดหน้ากระดาษ ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับหลายรางวัล แต่ยังไม่โชคดี แต่ ฮอบกินส์อาจทำให้เปลี่ยนไปได้ ตาสีเข้มของเขายังไม่เพ่งเขม็งขึ้นอย่างเด่นชัดในตอนนี้ ไม่ใช่คนหยิ่งยโสเลย อเลกแซนเดอร์รู้ว่าเขาเป็นใคร ยิ่งกว่านั้น เขารู้ว่าคณบดีเจมส์ก็รู้
"ผมรู้จักกัส ลอเรนซ์" คณบดีเจมส์บอกด้วยรอยยิ้ม "เราเป็นแพทย์ฝึกหัดด้วยกันที่ปีเตอร์ เบรนท์ ไบรแฮม" ที่ซึ่งฮาวาร์ดรวมขึ้นเป็นไบรแฮม แอนด์ วีเมนส์
"เป็นคนหลักแหลม" อเลกแซนเดอร์กล่าวเห็นพ้องอย่างช้าๆในสำเนียงครีโอล ((Creole คนที่มีเชื้อสายยุโรป)) เป็นที่คิดกันทั่วไปว่าผลงานของกัสในเรื่องลาซา ((Lassa เป็นโรคติดต่อทางไวรัส Lassa Virus พบในแอฟริกาตะวันตก)) และคิว ฟีเวอร์ ((Q Fever โรคระบาด ติดต่อได้โดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป มีพาหะเป็นวัวควายแพะแกะ)) ทำให้เขาได้รับเสนอชื่อรับรางวัลโนเบล "และเป็นหมอที่เยี่ยม"
"แล้ว ทำไมคุณไม่อยากทำงานกับเขาในแอตแลนต้าล่ะ? กัสบอกผมว่าเขาต้องการคุณมากเลย"
"ท่านคณบดีเจมส์-"
"เดฟ" คณบดีบอก
"อเลกซ์" พันเอกตอบ อย่างไรมีสิ่งที่ต้องพูด สำหรับชีวิตแบบพลเรือน อเลกแซนเดอร์ประมาณคณบดีเท่ากับนายพลสามดาว อาจจะสี่ดาวก็ได้ เพราะจอห์น ฮอบกินส์มีชื่อเสียงมาก "เดฟ ผมทำงานในห้องแล็บมาทั้งชีวิต ผมอยากรักษาคนป่วยอีกครั้ง ซีดีซีก็เป็นแบบเดียวกัน ((CDC - Centers for Disease Control and Prevention ศูนย์ควบคุมป้องกันโรคติดต่อ)) ถึงผมชอบกัสขนาดไหน เราทำงานด้วยกันในบราซิลเมื่อปี 1987 เราไปกันได้ดีทีเดียว" เขารับรองกับคณบดี "แต่ผมเบื่อจะอ่านสไลด์กับกระดาษรายงานผลจากคอมฯตลอดเวลา" และเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาปฏิเสธข้อเสนอให้เป็นผู้ควบคุมห้องทดลองใหม่ของบริษัทฟิซเซอร์ ฟามาซีวติคัลส์ ((Pfizer Pharmaceuticals)) โรคติดต่อเป็นสิ่งที่กำลังจะดังในสายการแพทย์ และชายทั้งคู่ต่างหวังว่ามันคงไม่สายเกินไป เจมส์สงสัย เป็นบ้าอะไรหมอนี่ถึงไม่ได้เป็นนายพลนะ? อาจเป็นเรื่องการเมือง คณบดีคิด กองทัพบกก็มีปัญหาเรื่องนั้นเหมือนกัน เหมือนกับในฮอบกินส์ แต่ความสูญเสียของพวกเขา...
"ผมคุยกับกัสเรื่องคุณเมื่อคืนนี้"
"อ้าว?" ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ในสายงานแพทย์ระดับนี้ ทุกคนรู้จักกัน
"เขาบอกว่าเขาจ้างคุณทันที-"
"เป็นความดีของเขา" อเลกแซนเดอร์หัวเราะในลำคอ
"-ก่อนแฮรี่ ทัทเทิลของเยลเอาคุณไปทำงานในแล็บของเขา"
"คุณรู้จักแฮรี่เหรอครับ?" นั่นสิ แล้วทุกคนก็รู้ว่าคนอื่นทำอะไรอยู่เหมือนกัน
"เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันน่ะ" คณบดีอธิบาย "เราจีบเวนดี้ทั้งคู่ แต่เขาชนะ รู้ไหม อเลกซ์ ผมไม่มีอะไรถามคุณมากนัก"
"หวังว่าคงเป็นเรื่องดีนะครับ"
"ใช่ เราให้คุณเริ่มงานเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ทำงานภายใต้ราล์ฟ ฟอสเตอร์ คุณจะมีงานในแล็บเยอะเลย -พวกในนั้นเป็นทีมที่ดีที่จะร่วมงาน ราล์ฟสร้างห้องทดลองที่เยี่ยมขึ้นในช่วงสิบปีหลัง แต่เราเริ่มได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือด้านการรักษาแล้ว ราล์ฟอายุมากไปหน่อยที่จะเดินทางมากๆ ฉะนั้นคุณคาดได้ว่าจะได้ไปท่องโลกบ้าง และคุณจะได้รับผิดชอบด้านการรักษาภายใน อืม หกเดือนให้คุณคุ้นกับการทำงานดีก่อน...?"
อเลกซ์ผงกศีรษะครุ่นคิด "นั่นดูจะถูกแล้วครับ ผมต้องเรียนอะไรใหม่อีก บ้าชะมัด เมื่อไหร่เราจะเลิกเรียนได้นะ?"
"เมื่อคุณเป็นผู้บริหาร ถ้าคุณไม่ระวังนะ"
"ใช่แล้วครับ ตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่าทำไมผมยังถอดเครื่องแบบทิ้ง พวกเขาต้องการให้ผมคุมโรงพยาบาล คุณก็รู้ ทำงานไปวันๆ เฮงซวย ผมรู้ว่าผมเก่งในแล็บ เข้าใจไหม? ผมเก่งมากเลยในแล็บ ผมสมัครทหารเพื่อจะได้รักษาผู้คนบ้าง -แล้วก็สอนบ้าง ตามปกติ แต่ผมอยากช่วยคนป่วยแล้วส่งพวกเขากลับบ้านอย่างแข็งแรง นานมาแล้ว มีใครในชิคาโกบอกผมว่างานนี้เป็นอย่างนั้น"
ถ้านี้เป็นงานขาย คณบดีเจมส์คิด เขาก็เรียนมาจากโอลิเวียร์แน่ เยลอาจเสนอตำแหน่งเดียวกันกับเขาได้ แต่ที่นี่ทำให้อเลกแซนเดอร์ได้อยู่ใกล้กับฟอร์ท ดีทริค แล้วก็ใช้เวลาแค่เก้าสิบนาทีบินไปแอตแลนต้า แล้วก็ใกล้กับอ่าวเชสพีค ซึ่งในใบประวัติย่อบอกไว้ว่าอเลกแซนเดอร์ชอบตกปลา นั่นมีส่วนจากที่เขาเติบโตในแถบลุ่มน้ำในหลุยเซียน่า โดยสรุปแล้ว เป็นโชคร้ายของเยล ศาสตราจารย์แฮโรลด์ ทัทเทิลเป็นคนเก่งอาจจะเหนือกว่าราล์ฟ ฟอสเตอร์ด้วยซ้ำ แต่ในอีกห้าปีหรือกว่านั้น ราล์ฟจะเกษียณ แล้วอเลกแซนเดอร์คนนี้ดูท่าทางเป็นดาวรุ่ง เหนือสิ่งอื่นใด คณบดีเจมส์อยู่ในธุรกิจมองหาดาวรุ่งในอนาคต ในวิถีทางอื่น เขาอาจเป็นผู้จัดการทีมเบสบอลชนะเลิศ ดังนั้น เรื่องนี้ก็ตกลงเรียบร้อย เจมส์ปิดแฟ้มบนโต๊ะของเขา
"คุณหมอ ยินดีต้อนรับสู่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกินส์"
"ขอบคุณครับท่าน"
.
.
By Kaii
This page hosted by
Get your own Free Home Page