![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ปรากฏว่าทั้งซาโต้และนักบินผู้ช่วยของเขาต่างบริจาคเลือดเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากสงครามย่อยกับอเมริกา และผู้บาดเจ็บที่โชคดีที่มีจำนวนไม่มากก็ไม่ได้นำเลือดนั้นไปใช้ ค้นพบจากการค้นหาด้วยคอมพิวเตอร์โดยกาชาดญี่ปุ่น ตำรวจจึงได้ตัวอย่างเลือดและส่งมันมาที่วอชิงตันโดยใช้คนนำมาผ่านทางแวนคูเวอร์ เพราะเครื่องบินพาณิชย์ของญี่ปุ่นยังไม่ได้รับอนุญาตให้บินเข้าอเมริกาแม้แต่อลาสกา แล้วจึงขึ้นเครื่องวีซี-20 ของกองทัพอากาศจากที่นั่นมาวอชิงตัน คนส่งของเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง มีกล่องอลูมิเนียมใส่กุญแจมือติดกับข้อมือของเขา เจ้าหน้าที่เอฟบีไอสามคนมารับเขาที่แอนดรูวส์และขับนำมาที่อาคารฮูเวอร์ที่ถนนสิบกับเพนซิลเวเนีย ห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอของเอฟบีไอนำตัวอย่างไปเปรียบเทียบกับเลือดและตัวอย่างเนื้อเยื่อที่ได้จากศพ ได้ผลพิสูจน์กลุ่มเลือดตรงกันแล้ว และผลการทดสอบอื่น ๆ ก็ดูจะตรงกับที่ลงความเห็นไว้แล้ว ซึ่งอย่างไรก็ตามจะถือเป็นเพียงหลักฐานเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งในคดีอันซับซ้อนนี้เท่านั้น แดน เมอเรย์ รักษาการณ์ผู้อำนวยการ ไม่ได้เป็นทาสตำราในการสืบสวนคดีอาชญากรรม แต่สำหรับคดีนี้ ตำราถือเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว ยังมีโทนี่ คารูโซ คอยช่วยเหลือเขาอยู่ หลังจากกลับจากพักผ่อนและทำงานตลอดวันตลอดคืนเพื่อนำการสืบสวนในด้านองค์กร แพท โอ'เดย์ในหน้าที่ผู้ตรวจอิสระ และคนอื่น ๆ อีกนับร้อยแต่ยังไม่ถึงหลักพัน เมอเรย์พบกับตัวแทนจากญี่ปุ่นในห้องประชุมของผู้อำนวยการ เขาก็รู้สึกทำใจลำบากเหมือนกันในการย้ายเข้ามาในห้องทำงานของบิล ชอว์ทันทีทันด่วน
"เรากำลังทำการทดสอบของเราด้วยครับ" หัวหน้าผู้ตรวจ จิซาบุโร ทานากะ บอกพร้อมกับดูนาฬิกาข้อมือ เขาใส่สองเรือนสำหรับเวลาที่โตเกียวและวอชิงตัน "จะแฟกซ์มาทันทีที่เสร็จครับ" เขาเปิดกระเป๋าเอกสารอีกครั้ง "นี่เป็นตารางเวลาสัปดาห์ที่แล้วของกัปตันซาโต้ที่เราปะติดปะต่อขึ้นใหม่ บันทึกการสัมภาษณ์สมาชิกในครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน ภูมิหลังชีวิตของเขา"
"เร็วมาก ขอบคุณครับ" เมอเรย์รับเอกสารมา ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะทำอะไรต่อไป เห็นได้ชัดว่าแขกของเขาอยากพูดอะไรอีกกว่านี้ เมอเรย์กับทานากะไม่เคยพบกันมาก่อน แต่ข้อมูลแขกของเขาที่ได้มาก็น่าประทับใจทีเดียว นักสืบสวนสอบสวนที่ชำนาญประสบการณ์สูง ทานากะเชี่ยวชาญในเรื่องการทุจริตทางการเมือง สาขาที่ทำให้เขายุ่งเอามาก ทานากะมีท่าทางแบบตำรวจเหมือนครอมเวลล์ ((คงหมายถึงโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ผู้ล้มพระเจ้าชาร์ลที่ 1 แล้วตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการอังกฤษ)) ชีวิตการงานของเขาทำให้เขากลายเป็นเหมือนกับพระที่พวกสเปนใช้เพื่อเผาคนทั้งเป็น นั่นทำให้เขาเหมาะสมที่สุดกับคดีนี้
"ทางเราจะร่วมมือกับท่านอย่างเต็มที่ ที่จริงแล้วถ้าท่านต้องการส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยของท่านไปดูแลการสืบสวนของเราแล้ว ผมได้รับอนุญาตให้แจ้งต่อท่านว่าเรายินดีต้อนรับเสมอ" เขาหยุดชะงักไปสองสามวินาที ก้มหน้าลงมองพื้นก่อนจะพูดต่อ "นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศของผมต้องเสื่อมเสียเกียรติ วิธีที่คนพวกนั้นหลอกใช้เราทั้งหมด..." สำหรับตัวแทนจากประเทศที่รู้จักกันอย่างผิด ๆ ว่ามักจะไม่แสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นแล้ว ทานากะเป็นสิ่งน่าประหลาดใจ มือเขากำแน่น ตาสีเข้มลุกโชนไปด้วยความโกรธ จากห้องประชุม ทั้งคู่มองตามเพนซิลเวเนียแอฟวะนิวไปยังแคปปิตอลฮิลล์ที่บาดแผลจากการชนยังสว่างจากหลอดไฟนับร้อย ๆ
"นักบินผู้ช่วยถูกฆ่า" เมอเรย์บอก บางทีนี่อาจจะช่วยได้บ้าง
"โอ๊ะ?"
แดนพยักหน้า "ถูกแทง และดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นก่อนบินขึ้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าซาโต้ทำงานคนเดียว อย่างน้อยก็ในเรื่องการขับเครื่องบิน" ห้องแล็บบอกได้แล้วว่าอาวุธที่ใช้เป็นมีดบางมีฟันเลื่อยสำหรับหั่นสเต๊ก แบบที่ใช้ในสายการบิน ตลอดที่เขาอยู่ในวงการสืบสวน เขาก็ยังแปลกใจในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ห้องแล็บบอกได้เสมอ
"ผมเข้าใจล่ะครับ มันสมเหตุสมผลดี" ทานากะให้ความเห็น "ภรรยาของนักบินผู้ช่วยตั้งท้องอยู่ แฝดสองด้วย หล่อนอยู่ในโรงพยาบาลภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด จากสิ่งที่เรารู้จนถึงตอนนี้ เขาดูเป็นสามีที่ซื่อสัตย์และเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องการเมืองใด ๆ คนของผมคิดว่าเขาไม่น่าจะฆ่าตัวเองแบบนั้น"
"แล้วซาโต้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ-"
เขาส่ายหน้า "เราไม่พบอะไรครับ เขาบินให้คนหนึ่งในกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดไปไซปัน เขาพูดกันสั้น ๆ แต่นอกจากนั้นแล้ว ซาโต้เป็นนักบินนานาชาติ เพื่อนเขาที่มีก็เป็นเพื่อนร่วมงาน เขาอยู่เงียบ ๆ ในบ้านเล็ก ๆ ใกล้สนามบินนานาชาตินาริตะ แต่น้องชายของเขาเป็นนายทหารระดับสูงในกองกำลังป้องกันตัวเองทางน้ำ แล้วลูกชายก็เป็นนักบินขับไล่ ทั้งคู่ตายระหว่างเกิดความขัดแย้ง"
เมอเรย์รู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว เหตุจูงใจและโอกาส เขาจดบันทึกให้เจ้าหน้าที่ประจำด้านกฏหมายในโตเกียวรับข้อเสนอร่วมในการสืบสวนของทางญี่ปุ่น แต่เขาต้องได้ความเห็นชอบจากกระทรวงยุติธรรมและ/หรือต่างประเทศก่อน แน่นอนว่าข้อเสนอดูจริงใจทีเดียว ดีแล้ว
.
.
"ชอบถนนแบบนี้จัง" ชาเวซกล่าว พวกเขากำลังอยู่บนถนนไอ-95 ผ่านสปริงฟิลด์ มอลล์ ตอนนี้ยังมืดอยู่ ปกติแล้วในเวลานี้ทางหลวงจะแออัดไปด้วยเจ้าหน้าที่รัฐบาลและนักล็อบบี้ แต่ไม่ใช่วันนี้ แม้จอห์นกับดิงจะถูกเรียกตัว นั่นก็ยืนยันถึงสถานะ "สำคัญ" ของเขากับใครก็ตามที่อาจจะสงสัยได้ คลาร์คไม่ตอบอะไร ชาเวซจึงพูดต่อ "คุณคิดว่าดอกเตอร์ไรอันเป็นไงบ้างตอนนี้?"
จอห์นทำเสียงตอบรับในคอแล้วยักไหล่ "อาจจะโดนถลุงกลิ้งอยู่ก็ได้ ดีที่เป็นเขา ไม่ใช่ฉัน"
"ทราบแล้วครับ มิสเตอร์ซี เพื่อนผมที่จอร์จ เมสันทุกคนกำลังจะได้สนุกกันแบบเดิมแหง"
"ว่างั้นเหรอ?"
"จอห์น เขาต้องสร้างรัฐบาลขึ้นมาใหม่เลยนะ เรื่องนี้จะเป็นกรณีตัวอย่างตามตำราที่เกิดขึ้นจริง ไม่มีใครเคยทำแบบนี้มาก่อน คุณรู้มั้ยเราจะได้รู้อะไร?"
พยักหน้า "ใช่ รู้ว่าที่นี่มันใช้ได้จริงรึเปล่า" ดีที่เป็นเขา ไม่ใช่ฉัน จอห์นนึกอีกครั้ง พวกเขาถูกเรียกตัวมาบรรยายสรุปภารกิจในญี่ปุ่น นั่นก็บ้าจี้พออยู่แล้ว คลาร์คอยู่ในวงการนี้มานานพอสมควร แต่ไม่นานพอที่จะมีความสุขกับการบอกคนอื่นว่าเขาทำอะไรไปบ้าง เขากับดิงฆ่าคน ซึ่งก็ไม่ใช่ครั้งแรก แล้วตอนนี้เขาต้องมาอธิบายรายละเอียดให้คนอื่นฟัง คนอื่นพวกที่ส่วนใหญ่ไม่เคยแม้จะจับปืน ยิ่งน้อยไปอีกที่เคยยิงปืนด้วยความโกรธ จะสาบานให้รักษาความลับหรือเปล่าก็เถอะ วันหนึ่งพวกนั้นสักคนต้องพูดออกมา ผลที่ตามมาอย่างน้อยที่สุดคือถูกเปิดเผยโดยนักข่าว อย่างกลาง ๆ ก็การสอบสวนของคณะกรรมาธิการรัฐสภา แต่ว่า นั่นคงจะไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้หรอก จอห์นบอกตัวเอง ต้องถูกซักถามภายใต้คำสาบานและตอบคำถามจากพวกที่ไม่ได้เข้าใจอะไรดีกว่าพวกซีไอเอโง่ ๆ ที่เอาแต่นั่งโต๊ะแล้วก็พิพากษาคนทำงานสนามเป็นอาชีพ กรณีเลวร้ายที่สุดคือการดำเนินคดีจริง เพราะแม้ว่าสิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ผิดกฏหมายนัก แต่มันก็ไม่ได้ถูกกฏหมายนักเหมือนกัน อย่างไรแล้วรัฐธรรมนูญกับประมวลกฏหมายสหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้ากันนักกับกิจกรรมที่รัฐบาลทำแต่ไม่อยากยอมรับต่อสาธารณะ ถึงในใจเขาเข้าใจเรื่องนั้นและอีกหลายเรื่องดี มุมมองของเขาในแง่ความถูกผิดในการปฏิบัติการอาจจะดูไม่มีเหตุผลกับบางคน แต่บางทีไรอันจะเข้าใจก็ได้ นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง
.
.
"เช้านี้มีอะไรใหม่มั่ง?" แจ๊คถาม
"เราคาดว่าปฏิบัติการกู้ภัยจะเสร็จในเย็นวันนี้ครับท่าน" แพท โอ'เดย์เป็นคนบรรยายสรุปภาคเช้าของเอฟบีไอ เขาอธิบายว่าเมอเรย์ไม่ว่างแล้วส่งแฟ้มตัวเลขผู้เสียชีวิตที่พบแล้วให้ ไรอันอ่านกวาดอย่างเร็ว เขาจะกินข้าวเช้ากับข้อมูลแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย? ท่านประธานาธิบดีสงสัย โชคดีที่มีเพียงกาแฟในตอนนี้
"มีอะไรอีก?"
"ทุกอย่างดูจะปะติดปะต่อเข้ากันครับ เราพบศพที่คาดว่าจะเป็นนักบินผู้ช่วยแล้ว เขาถูกฆ่าหลายชั่วโมงก่อนเครื่องขึ้น ทำให้เราเชื่อว่านักบินทำงานเพียงคนเดียว เราจะทดสอบดีเอ็นเอเพื่อยืนยันผลอีกครั้งครับ" นายตรวจพลิกอ่านบันทึกของเขา ไม่อยากจะจำเพียงอย่างเดียว "ผลทดสอบยากับแอลกอฮอล์ในศพทั้งคู่เป็นลบ ผลวิเคราะห์เครื่องบันทึกข้อมูลการบิน เทปบันทึกการติดต่อวิทยุ เทปเรดาร์ ทุกอย่างที่เรารวบรวมมาได้ ทั้งหมดรวมไปที่ภาพเดียวกัน คนทำงานเป็นคนคนเดียว แดนกำลังพบกับนายตำรวจระดับสูงของญี่ปุ่นอยู่ตอนนี้ครับ"
"แล้วขั้นต่อไปล่ะ?"
"ก็จะเป็นขั้นตอนการสืบสวนตามตำรา เราสร้างทุกอย่างที่ซาโต้ ชื่อนักบินน่ะครับ ทำในช่วงเดือนที่แล้ว แล้วเริ่มจากตรงนั้น บันทึกโทรศัพท์ ที่ที่เขาไป คนที่เขาพบ เพื่อน ญาติ บันทึกประจำวันถ้ามี ทุกอย่างที่เราหามาได้ แนวคิดก็คือสร้างเขาขึ้นมาใหม่ทั้งหมดแล้วดูว่าเขาร่วมในแผนการร้ายที่อาจเป็นไปได้หรือเปล่า มันต้องใช้เวลา เป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากกินเวลามากครับ"
"การคาดเดาที่ดีที่สุดตอนนี้ล่ะ?" แจ๊คถาม
"คนคนเดียวทำงานครับ" โอ'เดย์พูดอีกครั้ง ค่อนข้างแน่ใจมากขึ้นคราวนี้
"มันยังเร็วเกินไปมากที่จะสรุปอะไรนะ" แอนเดรีย ไพรซ์ค้าน โอ'เดย์หันมา "มันไม่ใช่ข้อสรุปครับ คุณไรอันถามผมถึงการคาดเดาที่ดีที่สุด ผมอยู่ในวงการสืบสวนมานานพอควรแล้ว นี่ดูเหมือนเป็นอาชญากรรมทันทีโดยเจตนา ตัวอย่างเช่นวิธีการฆ่านักบินผู้ช่วย เขาไม่ได้เคลื่อนศพออกจากห้องนักบินด้วยซ้ำ เขาขอขมาต่อนักบินผู้ช่วยทันทีหลังจากแทง ฟังได้จากเทป"
"อาชญากรรมทันทีโดยเจตนางั้นเหรอ?" แอนเดรียค้าน
"นักบินสายการบินพาณิชย์เป็นบุคคลที่มีระเบียบมาก" โอ'เดย์ตอบ "สิ่งที่อาจซับซ้อนมากสำหรับคนธรรมดาเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับพวกเขาเหมือนกับคุณรูดซิปตัวเอง การลอบสังหารส่วนใหญ่กระทำโดยคนไม่สมประกอบที่บังเอิญโชคดี ในกรณีนี้ โชคร้ายตรงที่เรามีคนที่ความสามารถสูงซึ่งสร้างโชคของเขาขึ้นเอง นั่นเป็นสิ่งที่เราได้ในตอนนี้"
"ถ้าเรื่องนี้เป็นการวางแผนการร้าย คุณจะต้องมองหาอะไรมั่ง?" แจ๊คถาม
"ท่านครับ การวางแผนอาชญากรรมที่สำเร็จจะทำได้ยากภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยที่สุดครับ" ไพรซ์ทำท่าไม่เห็นด้วยอีกครั้ง แต่นายตรวจโอ'เดย์พูดต่อไป "ปัญหาคือธรรมชาติของมนุษย์ พวกเราธรรมดาส่วนใหญ่ชอบคุยโอ้อวด เราชอบบอกความลับเพื่อแสดงว่าเราฉลาดขนาดไหน อาชญากรส่วนใหญ่พูดมากจนเข้าคุกไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เอาล่ะ ในกรณีนี้เราไม่ได้พูดถึงนักจี้ปล้นทั่วไป แต่หลักการก็เหมือนเดิม การวางแผนการร้ายไม่ว่าแบบใดต้องใช้เวลาและการถก และผลก็คือแผนรั่วออกไป แล้วก็ยังมีปัญหาเรื่องการเลือกตัว... "มือปืน" อาจมีคำที่ดีกว่านี้ เวลาขนาดนั้นไม่มีหรอกครับ การประชุมสภาทั้งหมดจัดขึ้นเร็วเกินกว่าจะเริ่มถกแผนได้ รูปแบบการฆ่านักบินผู้ช่วยก็บอกได้มากถึงการกระทำที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน มีดแน่นอนน้อยกว่าปืน แล้วมีดหั่นสเต๊กก็ไม่ใช่อาวุธที่ดีนัก เพราะมันหักงอได้ง่ายตอนแทง"
"คุณเคยเจอฆาตกรมามากขนาดไหน?" ไพรซ์ถาม
"มากพอล่ะครับ ผมช่วยคดีตำรวจท้องถิ่นมาแล้วหลายคดี โดยเฉพาะในเขตดีซีนี้ สำนักงานภาคสนามวอชิงตันให้การสนับสนุนตำรวจดีซีมาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าซาโต้เป็น "มือปืน" ในแผนการร้ายนั้น เขาต้องพบปะกับผู้คน เราสามารถตรวจสอบเวลาว่างของเขาได้ ซึ่งเราก็จะทำอย่างนั้นร่วมกับพวกญี่ปุ่น แต่จนถึงจุดนี้ยังไม่มีสิ่งใดที่บ่งชี้ไปในทางนั้น ในทางตรงข้าม เหตุการณ์ทั้งหมดชี้ไปที่คนคนหนึ่งที่เห็นโอกาสเฉพาะและใช้มันทันที"
"แล้วถ้านักบินไม่ใช่-"
"คุณไพรซ์ครับ เทปห้องนักบินเริ่มบันทึกจากก่อนบินขึ้นที่แวนคูเวอร์ เราพิสูจน์เสียงทุกเสียงในห้องแล็บของเราแล้ว มันเป็นเทปดิจิตอลและคุณภาพเสียงก็ดีมาก มีคนคนเดียวที่บินขึ้นจากนาริตะขับเครื่องบินพุ่งชนพื้นที่นี่ ทีนี้ ถ้าไม่ใช่ซาโต้ แล้วทำไมนักบินผู้ช่วยไม่ได้สังเกตในเมื่อพวกเขาบินกันเป็นทีมอยู่แล้วล่ะ? อีกแง่หนึ่ง ถ้าทั้งนักบินและผู้ช่วยเป็นตัวปลอม ดังนั้นทั้งคู่ต้องมีส่วนร่วมในแผนการเดียวกัน แล้วทำไมนักบินผู้ช่วยถึงถูกฆ่าก่อนบินขึ้นที่แวนคูเวอร์ล่ะ? พวกแคนาดากำลังสัมภาษณ์ลูกเรือที่เหลือให้เรา และเจ้าหน้าที่ส่วนบริการทั้งหมดก็บอกว่าลูกเรือทุกคนตรงตามที่ควรจะเป็น ขั้นตอนการพิสูจน์ทราบด้วยดีเอ็นเอจะทำให้หมดข้อสงสัยไปได้"
"นายตรวจ ท่าทางคุณพยายามชักจูงมากเลยนะ" ไรอันตั้งข้อสังเกต
"ท่านครับ การสืบสวนเรื่องนี้จะยุ่งยากกว่านี้ ข้อมูลทั้งหมดต้องถูกตรวจสอบ แต่เนื้อหาหลักของเรื่องนั้นค่อนข้างง่าย มันยากเป็นบ้าที่จะสร้างฉากอาชญากรรมขึ้นมาผิด เราทำได้ตั้งมากมายหลายอย่าง ในทางทฤษฎีแล้ว เป็นไปได้มั้ยที่จะสร้างทุกอย่างขึ้นเพื่อหลอกพวกเรา?" โอ'เดย์ถามแบบเล่นสำนวน "ใช่ครับท่าน อาจเป็นได้ แต่การทำอย่างนั้นต้องใช้เวลาเตรียมการเป็นเดือน แล้วพวกนั้นก็ไม่มีเวลาขนาดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจเรียกประชุมสภาทั้งหมดเกิดขึ้นขณะที่เครื่องกำลังบินอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิค"
ไม่ว่าเธออยากเท่าไรก็ตาม แต่ไพรซ์ก็ไม่สามารถแย้งข้อนั้นได้ เธอทำการสืบสวนในตัวแพทริค โอ'เดย์อย่างเร็วมาแล้ว อีมิล เจคอบตั้งตำแหน่งนายตรวจอิสระขึ้นมาใหม่หลายปีก่อนแล้วรวบรวมคนที่ชอบการสืบสวนมากกว่าการบริหาร โอ'เดย์เป็นเจ้าหน้าที่ที่ไม่สนใจควบคุมหน่วยงานภาคสนามแม้แต่น้อย เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมนักสืบสวนประสบการณ์สูงชุดเล็ก ๆ ที่ทำงานในสำนักงานของผู้อำนวยการ ผู้ตรวจอย่างไม่เป็นทางการที่ออกสนามไปตรวจดูสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะคดียาก ๆ เป็นหลัก เขาเป็นตำรวจที่ดีที่เกลียดงานนั่งโต๊ะ และไพรซ์ก็ต้องยอมรับว่าเขารู้วิธีดำเนินการสืบสวนดีทีเดียว ยิ่งกว่านั้นยังเป็นคนที่อยู่นอกสายการบังคบบัญชาซึ่งจะไม่แต่งเรื่องขึ้นเพื่อให้ตัวเองได้เลื่อนตำแหน่ง เขาขับรถขับเคลื่อนสี่ล้อมาที่ทำเนียบ แล้วยังใส่รองเท้าบู้ทคาวบอยอีกด้วย! เธอสังเกตเห็น แล้วก็น่าจะอยากดังพอ ๆ กับอยากเป็นฝีดาษ ดังนั้นผู้ช่วยผู้อำนวยการโทนี่ คารูโซ รับผิดชอบการสืบสวนโดยตำแหน่ง รายงานต่อกระทรวงยุติธรรม แต่แพทริค โอ'เดย์ลัดขั้นตอนโดยรายงานตรงกับเมอเรย์ ผู้ส่งโอ'เดย์ต่อให้ประธานาธิบดีเพื่อรับความชอบในทางส่วนตัว เธอเห็นว่าเมอเรย์เป็นนักปฏิบัติการที่เฉียบคม บิล ชอว์ใช้เขาเป็นนักแก้ปัญหาของตัวเองโดยเฉพาะ และความภักดีของเมอเรย์ก็คงมีให้กับตัวองค์กรเอฟบีไอ แบบนี้ก็ยังดี เธอยอมรับกับตัวเอง สำหรับโอ'เดย์ยิ่งเป็นเรื่องง่าย เขาสืบสวนอาชญากรรมเป็นอาชีพ และถึงเขาดูจะสรุปเร็วเกินไป แต่นายคาวบอยแปลงร่างคนนี้ทำทุกอย่างตามตำรา เราต้องจับตาดูพวกเขี้ยวลากดินนี่ให้ดี ๆ พวกนี้เก่งเรื่องซ่อนคมไว้ในฝัก แต่เขายังไงไม่มีทางได้เป็นชุดคุ้มกันแน่ เธอปลอบใจตัวเอง
.
.
"ไปพักร้อนสนุกรึเปล่า?" แมรี่ แพท โฟลี่ พึ่งตื่นหรือไม่งั้นก็ยังไม่ได้นอน คลาร์คสังเกตเห็น มันแวบขึ้นมาในใจเขาอีกครั้งว่าในบรรดาพวกระดับสูงทุกคนในรัฐบาล ประธานาธิบดีไรอันน่าจะได้นอนมากที่สุด ถึงจะน้อยแค่ไหนก็ตาม มันเป็นวิธีที่งี่เง่ามากในการคุมรถไฟ คนเรามักทำงานได้ไม่ดีเหมือนไม่ได้พักผ่อนเป็นระยะเวลานาน เขาเรียนรู้อย่างเจ็บปวดจากในสนาม แต่ถ้าตั้งไอ้บ้าสักคนในตำแหน่งสูง ๆ หมอนั่นจะลืมเรื่องนี้ในทันทีเลย เรื่องพื้น ๆ อย่างเช่นปัจจัยความเป็นมนุษย์จางหายไปกับสายหมอก จากนั้นอีกหนึ่งเดือนต่อมา พวกนั้นก็จะแปลกใจว่าตัวเองทำพลาดขนาดนั้นได้ยังไง แต่นั่นมักจะเกิดขึ้นหลังจากพวกนั้นปล่อยให้เหยื่อล่อที่น่าสงสารตายในสนามสักคนสองคนก่อน
"เอ็มพี เธอมุดหัวนอนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่น่ะ?" มีไม่กี่คนที่พูดกับเธอแบบนั้นได้ แต่จอห์นเคยเป็นครูฝึกของเธอ ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ยิ้มอย่างอบอุ่น "จอห์น คุณไม่ใช่ยิวแล้วก็ไม่ใช่แม่ชั้นด้วยนะ"
คลาร์คมองไปรอบ ๆ "เอ๊ดไปไหนล่ะ?"
"กำลังกลับจากอ่าวเปอร์เซีย ไปประชุมกับพวกซาอุ" เธออธิบาย ถึงจริงแล้วนางโฟลี่จะมีตำแหน่งเหนือกว่านายโฟลี่ แต่วัฒนธรรมซาอุยังไม่ค่อยพร้อมรับราชาสายลับหญิง ราชินีสายลับสิ จอห์นแก้พร้อมกับยิ้ม แล้วเอ๊ดก็ถนัดเรื่องประชุมกว่าอยู่ดี
"มีอะไรที่ผมต้องรู้รึเปล่า?"
เธอส่ายหน้า "เรื่องปกติ แล้วโดมิงโก นายไม่ตั้งปัญหาแล้วเหรอ?"
"เธอเล่นแรงนะเช้านี้" คลาร์คให้ความเห็นก่อนที่คู่หูเขาจะได้พูด
ชาเวซแค่ยิ้ม ประเทศอาจกำลังวุ่นวาย แต่บางอย่างสำคัญกว่า "นี่ยังดีนะมิสเตอร์ซี ผมไม่ใช่ทนายนี่นะ จริงมั้ย?"
"นั่นแหละน่ะ" จอห์นคำรามในคอ แล้วก็ถึงเวลาพูดธุระ "แจ๊คเป็นไงมั่ง?"
"ชั้นมีนัดเข้าพบเขาหลังเที่ยง แต่จะไม่แปลกใจเลยถ้าพวกนั้นยกเลิกนัด หมอนั่นคงถูกฝังทั้งเป็นอยู่แน่ ๆ"
"อย่างที่ผมเห็นว่าเขาโดนลากเข้ามาได้ไง ที่ใคร ๆ พูดกันนั่นจริงรึเปล่า?"
"ใช่แล้ว เราก็เลยได้เคลลี่ เกิร์ลเป็นประธานาธิบดี" รองผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการตอบเป็นมุขตลกภายในหน่วย "เรากำลังจะประเมินภัยคุกคามอย่างละเอียด ชั้นอยากให้คุณสองคนร่วมด้วย"
"ทำไมต้องเป็นเราล่ะ?" ชาเวซถาม
"เพราะชั้นเบื่อจะให้หน่วยข่าวกรองทำทุกอย่างแล้วน่ะสิ ชั้นจะบอกคุณอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ เราได้ประธานาธิบดีที่เข้าใจสิ่งที่เราทำอยู่ที่นี่ เรากำลังจะปรับฝ่ายปฏิบัติการให้ถึงขั้นที่ว่าชั้นยกหูโทรศัพท์ ถามคำถาม แล้วได้คำตอบที่ชั้นเข้าใจได้"
"แผนน้ำเงินเหรอ?" คลาร์คถามและเธอผงกหัวรับ "น้ำเงิน" เป็นหน้าที่สุดท้ายก่อนที่เขาจะออกจากแผนกฝึกของซีไอเอที่รู้จักกันในชื่อ "เดอะ ฟาร์ม" ตั้งอยู่ใกล้กับที่เก็บอาวุธนิวเคลียร์ของกองทัพเรือในยอร์คทาวน์ รัฐเวอร์จิเนีย แทนที่จะรับพวกบัญฑิตจากกลุ่มไอวี่ลีก ((Ivy League เป็นคำเรียกกลุ่มมหาวิทยาลัยเก่าแก่ 8 แห่งของอเมริกา ที่เรียกอย่างนี้เพราะอาคารมหาวิทยาลัยเก่าแก่เหล่านั้นมักจะมีเถาไอวี่ปกคลุม)) อย่างน้อยพวกนั้นก็เลิกสูบกล้องยาเส้นกันแล้ว เขาเสนอว่าองค์การควรจะรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในสนามอยู่แล้วไปเลย เขาให้เหตุผลว่าตำรวจรู้วิธีใช้สายให้ข่าวอยู่แล้ว ไม่ต้องสอนเคล็ดวิธีปฏิบัติในสนาม และรู้วิธีการเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน ทั้งหมดนี้จะช่วยประหยัดเงินค่าฝึกและอาจจะช่วยให้ได้เจ้าหน้าที่ภาคสนามที่ดีขึ้น ข้อเสนอถูกรองฝ่ายปฏิบัติการสองคนติดต่อกันเมิน แต่แมรี่ แพทรู้เรื่องตั้งแต่ต้น และเธอก็เห็นพ้องในแนวความคิด "เธอขายมันได้เหรอ?"
"จอห์น คุณจะต้องช่วยชั้นขายมันนะ ดูสิว่านายโดมิงโกนี่ออกมาดีขนาดไหน"
"คุณหมายความว่าผมยังไม่ใช่เครื่องยืนยันอีกเหรอครับ?" ชาเวซถาม
"ไม่หรอก ดิง นั่นแค่กับลูกสาวเขาเท่านั้นแหละ" โฟลี่บอก "ไรอันเอาแน่ เขาไม่ค่อยสนผู้อำนวยการนักอยู่แล้ว ยังไงก็เถอะ ตอนนี้ชั้นอยากให้คุณสองคนบรรยายสรุปภารกิจแซนดัลวู้ด ((Sandalwood)) ก่อน"
"เรามีอะไรคุ้มครองบ้าง?" คลาร์คถาม เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายความหมาย ถึงแมรี่ แพทไม่เคยทำงานสกปรกในสนาม เธอเป็นพวกจารกรรม ไม่ใช่พวกใช้อาวุธในฝ่ายปฏิบัติการ แต่เธอก็เข้าใจดี
"จอห์น คุณทำตามคำสั่งประธานาธิบดีนะ มีหลักฐานเอกสารรองรับ ไม่มีใครจะเดาสิ่งที่คุณทำเป็นอย่างอื่นไปได้ โดยเฉพาะเรื่องการช่วยโคกะ คุณสองคนกำลังจะได้เหรียญอินเทลลิเจนซ์สตาร์จากเรื่องนี้ ((Intelligence Star เหรียญตราของซีไอเอ)) ประธานาธิบดีเดอร์ลิ่งอยากพบและก็ให้เหรียญกับพวกคุณเองที่แคมป์เดวิด ชั้นว่าแจ๊คก็คงจะทำเหมือนกัน"
ว้าว ชาเวซคิดโดยไม่กระพริบตา แต่ไม่ว่าความคิดนั้นจะฟังดูดีขนาดไหนก็ตาม เขากลับคิดถึงเรื่องอื่นในระหว่างที่ขับมาสามชั่วโมงจากยอร์คทาวน์ "การประเมินภัยคุกคามจะเริ่มเมื่อไหร่ครับ?"
"พรุ่งนี้สำหรับฝ่ายเรา ทำไมเหรอ?" เอ็มพีถาม
"คุณครับ ผมว่าเรากำลังจะมีงานยุ่งเลย"
"ชั้นหวังว่าเธอคิดผิดนะ" เธอตอบ หลังจากผงกหัวรับ
.
.
"ฉันมีกำหนดผ่าตัดสองครั้งวันนี้" แคธี่กล่าวขณะสำรวจบุฟเฟท์อาหารเช้า เพราะไม่รู้ว่าครอบครัวไรอันชอบทานอะไรในตอนเช้า พวกสต๊าฟฟ์จึงเตรียมทุกอย่าง อย่างละเล็กละน้อย ซึ่งที่จริงไม่น้อยเท่าไหร่ แซลลี่กับแจ๊คน้อยคิดว่ามันยอดทีเดียว แล้วยิ่งดีที่โรงเรียนปิด ส่วนเคตี้ ผู้พึ่งจะทานอาหารปกติได้กำลังกัดเบคอนในมือเธอและจ้องดูขนมปังทาเนย สำหรับเด็ก ๆ ปัจจุบันมีความสำคัญที่สุด แซลลี่วัยสิบห้า (ย่างสามสิบ พ่อเธอบ่นเป็นบางครั้ง) มองไกลที่สุดในบรรดาเด็กสามคน แต่ในตอนนี้ก็จำกัดอยู่ที่ว่าการใช้ชีวิตในสังคมของเธอจะได้รับผลกระทบอะไรหรือเปล่า สำหรับเด็ก ๆ ทุกคน พ่อก็ยังเป็นพ่อ ไม่ว่าเขาทำงานตำแหน่งอะไรอยู่ พวกแกจะได้รู้สิ่งที่ต่างจากนั้น แจ๊ครู้ดี แต่ต้องเริ่มทีละอย่าง
"เรายังไม่รู้จะทำยังไงเรื่องนั้นเลย" สามีของเธอตอบ เลือกไข่คนกับเบคอนใส่จาน เขาต้องการพลังงานสำหรับวันนี้
"แจ๊ค ข้อตกลงคือฉันยังทำงานฉันได้นะ จำได้รึเปล่า?"
"คุณนายไรอันคะ?" เสียงจากแอนเดรีย ไพรซ์ที่วนเวียนอยู่ใกล้ ๆ เหมือนกับภูติคุ้มครอง ที่มีปืนพกอัตโนมัติ "เรายังกำลังจัดการเรื่องการรักษาความปลอดภัยกับ-"
"คนไข้ต้องการฉันนะแจ๊ค เบอร์นี่ แคทซ์กับแฮล มาร์ชทำแทนฉันได้หลายอย่าง แต่คนไข้คนหนึ่งวันนี้ต้องการฉัน แล้วฉันยังต้องเตรียมการสอนด้วย" เธอดูนาฬิกา "ภายในสี่ชั่วโมง" ซึ่งเป็นความจริง ไรอันไม่จำเป็นต้องถาม ศาสตราจารย์แคโรไลน์ ไรอัน แพทยศาสตร์บัญฑิต สมาชิกสภาศัลยแพทย์อเมริกัน ((MD, FACS)) เป็นมือหนึ่งในการยิงเลเซอร์รอบเรตินา ผู้คนมาจากทั่วโลกเพื่อดูเธอทำงาน
"แต่โรงเรียนก็-" ไพรซ์หยุดชะงัก เตือนตัวเองว่าเธอย่อมรู้ดีกว่า
"ไม่ใช่โรงเรียนแพทย์หรอก เราส่งคนไข้กลับบ้านไม่ได้ ฉันเสียใจ ฉันรู้ว่าเป็นเรื่องยุ่งยากแค่ไหนสำหรับทุกคน แต่ฉันมีคนที่หวังพึ่งฉันเหมือนกัน ฉันต้องไปเพื่อพวกเขา" แคธี่มองหน้าผู้ใหญ่ทุกคนในห้องเพื่อขอคำตกลงตามเธอ สต๊าฟฟ์ห้องครัวซึ่งเป็นทหารเรือทั้งหมด เข้าออกห้องเหมือนกับรูปปั้นเดินได้ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรเลย พวกหน่วยคุ้มกันทำหน้าเรียบเฉยอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งถือว่าเป็นส่วนประกอบฟรีที่มากับสามีเธอ นั่นเป็นกฏที่คงจะต้องเปลี่ยนไป ในไม่ช้าจะต้องมีประธานาธิบหญิง และนั่นจะทำลายแผนการที่มี เรื่องจริงที่รู้กันดีแต่ถูกเมินไปในจุดนี้ของประวัติศาสตร์อเมริกัน ภรรยานักการเมืองโดยปกติเป็นผู้หญิงที่อยู่ห่างสามีกับรอยยิ้มและคำพูดสองสามที่สรรมา ผู้ที่อดทนกับการหาเสียงที่น่าเบื่อ และการจับมือที่ทารุณอย่างไม่น่าเชื่อ แน่นอนว่าแคธี่ ไรอันไม่ยอมให้มือศัลยแพทย์ของเธอเจอแบบนั้นแน่ ไพรซ์ตระหนักในทันที แต่สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนนี้มีงานทำจริง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นแพทย์ที่กำลังจะมีรางวัลลาสเกอร์สาขาบริการสาธารณะตั้งไว้ในตู้โชว์ในไม่ช้า (งานเลี้ยงรับรางวัลยังไม่ได้จัดขึ้น) ((Lasker Memorial Public Serviec Award รางวัลด้านการแพทย์)) และถ้าเธอได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับแคธี่ ไรอันแล้ว ไพรซ์รู้ว่าสิ่งหนึ่งคือเธออุทิศตัวให้กับอาชีพของเธอด้วย ไม่ใช่แค่กับสามีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน่านิยมขนาดไหนก็ตาม แต่นั่นจะเป็นปัญหาน่าปวดหัวอย่างใหญ่หลวงต่อหน่วยคุ้มกันแน่นอน ไพรซ์มั่นใจ ที่แย่กว่านั้นคือหัวหน้าชุดคุ้มกันที่จัดให้กับ นาง ดร.ไรอันคือรอย อัลท์แมน อดีตทหารพลร่มร่างยักษ์ที่เธอยังไม่เคยพบ การตัดสินใจนั้นมาจากขนาดร่างกายและความฉลาดของรอย ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะมีผู้คุ้มกันอย่างเห็นได้ชัดอยู่ใกล้ ๆ เนื่องจากหลายคนมองว่าสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งเป็นเป้าง่าย หน้าที่หนึ่งของรอยคือทำให้พวกตัวสร้างปัญหาทั่วไปคิดอีกครั้งก่อนจะทำอะไรลงไป สมาชิกคนอื่นในชุดคุ้มกันของเธอจะทำแทบเหมือนไม่มีตัวตน หน้าที่อีกอย่างของอัลท์แมนคือใช้ร่างหนาของเขากันกระสุน ซึ่งเป็นสิ่งที่หน่วยคุ้มกันฝึกมาแต่ไม่ได้หวังจะใช้
ลูก ๆ ไรอันแต่ละคนจะถูกคุ้มกันเช่นกัน ในชุดคุ้มกันย่อยที่แบ่งเป็นส่วนย่อยลงอีกตามปกติ ชุดของเคตี้เลือกยากที่สุด เพราะทุกคนต่างแย่งกันรับงานนี้ หัวหน้าเป็นสมาชิกอาวุโสที่สุดในหน่วยชื่อดอน รัสเซล แจ๊คน้อยได้ผู้คุ้มกันหนุ่มที่เป็นแฟนกีฬาตัวยง ส่วนแซลลี่ ไรอันได้สาววัยสามสิบเศษ โสด และเฉี่ยว (ในมุมมองของไพรซ์ ไม่ใช่ของหล่อน) รู้เรื่องหนุ่ม ๆ และการเดินซื้อของตามศูนย์การค้าเป็นอย่างดี ความคิดคือทำให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวรู้สึกสบายที่สุดที่เป็นไปได้เมื่อต้องมีคนถือปืนกับวิทยุคอยติดตามไปทุกแห่งยกเว้นห้องน้ำ ประธานาธิบดีไรอันมีภูมิหลังที่ช่วยให้เห็นความจำเป็นทั้งหมดนี้อยู่แล้ว ส่วนครอบครัวของเขาต้องเรียนรู้ที่จะอดทนกับมัน
"ดร.ไรอัน คุณต้องออกไปเมื่อไหร่คะ?" ไพรซ์ถาม
"อีกสี่สิบนาที ขึ้นอยู่กับสภาพจรา-"
"ไม่อีกต่อไปแล้วค่ะ" ไพรซ์แก้คำพูดของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง วันนี้แย่พออยู่แล้ว อันที่จริงต้องใช้เวลาเมื่อวานนี้ในการบรรยายให้ครอบครัวของรองประธานาธิบดีทราบถึงทุกอย่างที่ต้องทำ แต่แผนนั้นถูกระเบิดทิ้งกระจุย พร้อมกับอีกหลาย ๆ อย่าง อัลท์แมนกำลังดูแผนที่อยู่ในอีกห้องหนึ่ง มีเส้นทางบกสามสายที่ไปบัลติมอร์ได้ อินเตอร์สเตท-95, บัลติมอร์-วอชิงตัน ปาร์คเวย์, และทางหลวงสายที่ 1 ทุกสายแออัดไปด้วยรถทุกเช้าซึ่งขบวนของหน่วยคุ้มกันจะทำให้มันติดหนักจนไม่ต้องขยับไปเลย ยิ่งกว่านั้น เส้นทางเหล่านั้นยังคาดเดาได้ง่ายสำหรับนักลอบสังหารที่อาจจะมี เพราะมันบีบแคบลงเมื่อใกล้ถึงบัลติมอร์ โรงพยาบาลจอห์น ฮอบกิ้นส์มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนอาคารกุมารเวชศาสตร์ แต่ไม่มีใครเดาได้ถึงผลกระทบทางการเมืองที่จะตามมาจากการส่งสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งไปทำงานทุกวันด้วยเฮลิคอปเตอร์วีเอช-60 ของนาวิกโยธิน บางทีนั่นอาจจะเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ในตอนนี้ ไพรซ์ตัดสินใจ เธอออกจากห้องไปปรึกษากับอัลท์แมน และทำให้ครอบครัวไรอันอยู่ตามลำพังทันที ทานอาหารเช้าเหมือนกับครอบครัวปกติ
"พระเจ้า แจ๊ค" แคธี่ถอนหายใจ
"ผมรู้" แทนที่จะคุย ทั้งคู่อยู่ในความเงียบเต็มหนึ่งนาที มองดูอาหารเช้า เขี่ยส้อมไปมาแต่ไม่ทาน
"พวกเด็ก ๆ ต้องมีเสื้อผ้าสำหรับพิธีศพ" แคธี่พูดในที่สุด
"บอกแอนเดรียรึยัง?"
"ก็ได้ค่ะ คุณรู้มั้ยมันจะมีขึ้นเมื่อไหร่?"
"ผมคงรู้วันนี้แหละ"
"ฉันยังทำงานได้ ใช่มั้ยคะ?" เมื่อไพรซ์ไปแล้ว เธอก็แสดงความกังวลออกมาได้
แจ๊คเงยหน้าขึ้น "ใช่จ้ะ ฟังนะ ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดให้เราทุกคนอยู่เหมือนปกติเท่าที่จะทำได้ ผมรู้ว่างานของคุณสำคัญแค่ไหน อันที่จริงแล้วผมยังไม่มีโอกาสบอกคุณว่าผมคิดยังไงกับรางวัลที่คุณพึ่งจะได้เลย" เขายิ้ม "ผมภูมิใจในตัวคุณชะมัดเลยที่รัก"
ไพรซ์กลับเข้ามา "ดร. ไรอันคะ?" เธอพูด และแน่นอน ทั้งคู่หันหน้ามา พวกเขาเห็นสีหน้าเธอ เรื่องพื้นฐานที่สุดที่ยังไม่ได้ตกลงกัน ควรจะเรียกแคธี่ว่าดอกเตอร์ไรอัน คุณนายไรอัน หรือ-
"ให้ง่ายสำหรับทุกคนดีกว่านะ เรียกฉันว่าแคธี่"
ไพรซ์ทำอย่างนั้นไม่ได้ แต่เธอปล่อยมันไปก่อน "จนกว่าเราจะหาทางได้ เราจะบินไปส่งคุณที่นั่นค่ะ ฮ. ของนาวิกโยธินกำลังมาแล้ว"
"ไม่แพงเหรอคะแบบนั้น?" แคธี่ถาม
"ใช่ค่ะ แต่เราต้องคิดเรื่องขั้นตอนแล้วก็อื่น ๆ ในตอนนี้นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วค่ะ แล้วก็-" ชายร่างใหญ่มากก้าวเข้ามาในห้อง -"นี่คือรอย อัลท์แมน เขาจะเป็นผู้คุ้มกันหลักของคุณไปสักระยะ"
"โอ้" เป็นสิ่งเดียวที่แคธี่พูดออกมาได้ในขณะนั้น ร่างสูงหกฟุตสามหนัก 220 ปอนด์ของรอย อัลท์แมนเข้ามาในห้อง เขามีผมบางสีทอง ผิวซีด ท่าทางขี้อายซึ่งทำให้เขาดูเขินกับตัวอันใหญ่โตของเขา เช่นเดียวกับหน่วยคุ้มกันทุกคน เสื้อคลุมสูทของเขาตัดมาใหญ่กว่าปกติเล็กน้อยเพื่อปกปิดปืนพกอัตโนมัติ และในกรณีเฉพาะของเขาสามารถซ่อนปืนกลได้สบาย ๆ ทีเดียว อัลท์แมนเข้ามาจับมือเธอด้วยความนุ่มนวลเป็นพิเศษ
"คุณทราบงานของผมแล้ว ผมจะพยายามทำตัวให้เกะกะน้อยที่สุดครับ" เจ้าหน้าที่อีกสองคนเข้ามาในห้อง อัลท์แมนแนะนำว่าพวกเขาเป็นชุดคุ้มกันของเธอในวันนี้ ทั้งหมดเป็นตำแหน่งชั่วคราว พวกเขาทุกคนต้องทำตัวเข้ากับผู้ที่จะคุ้มกัน ซึ่งคาดเดาได้ไม่ง่ายนัก แม้แต่คนที่ท่าทางน่ารัก อย่างเช่นครอบครัวไรอันดูจะเป็นอยู่จนถึงตอนนี้
แคธี่อยากจะถามว่าทุกอย่างนี้จำเป็นด้วยหรือ แต่เธอรู้ดี อีกเรื่องหนึ่ง เธอจะต้อนขบวนทั้งหมดนี้ไปรอบอาคารมัวมีนี่ได้ยังไงนะ? เธอสบตากับสามีและเตือนตัวเองว่าพวกเธอทั้งหมดคงไม่ตกอยู่ในสถาพไม่เป็นสุขอย่างนี้ถ้าเธอไม่เห็นด้วยกับการรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีของแจ๊คซึ่งกินเวลาเพียง เท่าไหร่นะ? ห้านาที? บางทีอาจไม่นานขนาดนั้นด้วยซ้ำ ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามของเฮลิคอปเตอร์ซิกอสกี้ แบล็คฮอว์คที่กำลังร่อนลงจอดบนเนินพร้อมกับสร้างพายุหิมะขนาดย่อมบนที่ที่เคยเป็นสถานสังเกตการณ์ดาราศาสตร์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง สามีของเธอดูนาฬิกาและพบว่านาวิกโยธินของฝูงวีเอ็มเอช-1 ทำงานได้รวดเร็วจริง ๆ นานเท่าไหร่นะก่อนที่ความเอาใจใส่ที่อยู่รอบตัวจะทำให้พวกเขาเป็นบ้าไปทั้งหมด?
.
.
"ภาพนี้สดตรงจากบริเวณหอสังเกตการณ์ทางทะเลที่ถนนแมสซาชูเสตส์ แอฟวะนิวครับ" นักข่าวเอ็นบีซีกล่าวตามการบอกบทของผู้กำกับ "นั่นดูเหมือนเป็น ฮ. นาวิกโยธินครับ ผมคิดว่าท่านประธานาธิบดีคงจะเดินทางไปไหนสักแห่ง" กล้องดึงภาพเข้ามาขณะที่กลุ่มควันหิมะจางลงบ้างแล้ว
"เครื่องแบล็คฮอว์คของอเมริกัน รุ่นดัดแปลงเพิ่มเติม" นายทหารการข่าวพูด "เห็นตรงนั้นมั้ยครับ? นั่นเป็น "หลุมดำ" ระบบกำจัดรังสีอินฟราเรดเพื่อป้องกันจากขีปนาวุธพื้นสู่อากาศที่ตรวจจับความร้อนของเครื่องยนต์"
"ใช้ได้ผลแค่ไหน?"
"มากทีเดียวครับ แต่ใช้ไม่ได้กับอาวุธนำวิถีด้วยเลเซอร์" เขาเสริม "แล้วก็ไม่มีประโยชน์กับปืน" ทันทีที่ใบพัดหลักของเครื่องหยุดลง ทหารนาวิกโยธินหมู่หนึ่งก็กระจายออกรอบ ๆ เครื่อง "ฉันต้องการแผนที่บริเวณนั้น ไม่ว่ากล้องนี่จะอยู่ที่ไหน ปืน ค. ก็ใช้ได้ผลเท่ากัน เช่นกันกับบริเวณทำเนียบขาวด้วย" และพวกเขารู้ดีว่า ไม่ว่าใครก็ใช้ปืนครกได้ โดยเฉพาะกระสุนรุ่นใหม่นำวิถีด้วยเลเซอร์ที่อังกฤษพัฒนาขึ้นเป็นคนแรกและไม่นานก็ถูกลอกแบบไปทั่วโลก ในแง่นี้พวกอเมริกันเป็นคนชี้ทางเอง มันเป็นคำกล่าวของพวกนั้นที่ว่า ถ้าเราเห็นมัน เรายิงมันได้ ถ้าเรายิงมันได้ เราก็ทำลายมันได้ พร้อมกับทุกคนที่อยู่ข้างในมัน ไม่ว่า "มัน" จะเป็นอะไร
แผนการเริ่มก่อตัวขึ้นจากความคิดนั้น เขาดูนาฬิกาข้อมือซึ่งมีปุ่มจับเวลา วางนิ้วไว้ที่นั่นและรอ ผู้กำกับทีวีห่างออกไปหกพันไมล์ไม่มีอะไรทำที่ดีไปกว่าจับภาพจากกล้องเลนส์ระยะไกลนั้นไว้ ในตอนนี้มีรถคันใหญ่วิ่งมาที่เฮลิคอปเตอร์ คนสี่คนลงมาจากรถเดินตรงไปที่เครื่องซึ่งลูกเรือเปิดประตูเลื่อนไว้
"นั่นคือคุณนายไรอันครับ" ผู้บรรยายกล่าว "เธอเป็นศัลยแพทย์ของโรงพยาบาลจอห์น ฮอบกิ้นส์ในบัลติมอร์"
"คุณคิดว่าเธอจะบินไปทำงานเหรอครับ?" นักข่าวถาม
"เราจะได้ทราบในนาทีนี้แหละครับ"
ซึ่งถูกต้องทีเดียว นายทหารการข่าวกดปุ่มนาฬิกาทันทีที่ประตูปิด ใบพัดเริ่มหมุนในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาตามกำลังที่ส่งจากเครื่องยนต์เทอร์ไบน์คู่ จากนั้นเฮลิคอปเตอร์ก็ยกตัวขึ้น ก้มหน้าลงเหมือน ฮ. ทั่วไปทุกลำ บินสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่บินออกไป อาจจะเป็นทิศเหนือ เขาดูเวลาตั้งแต่ประตูปิดจนถึงเครื่องบินขึ้นจากนาฬิกา เครื่องนี้เป็นเครื่องของทหาร แล้วพวกนั้นก็ภูมิใจในการทำทุกอย่างในแบบเดิมทุก ๆ ครั้ง มีเวลามากเกินพอสำหรับกระสุนปืนครกจะเดินทางสามรอบในระยะทางที่ต้องการ เขาคาดคะเน
.
.
มันเป็นครั้งแรกที่เธอนั่งเฮลิคอปเตอร์ พวกเขาให้แคธี่นั่งเก้าอี้พับข้างหลังและกึ่งกลางระหว่างนักบินทั้งสองคน พวกเขาไม่ได้บอกว่าทำไม โครงอากาศยานที่แข็งแกร่งของแบล็คฮอว์คถูกออกแบบมาให้ดูดซับแรงกระแทกจากการตกได้ถึงสิบสี่จีเต็ม ๆ และจากสถิติ เก้าอี้นี้เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเครื่อง ใบพัดสี่กลีบสร้างขึ้นเพื่อการบินที่นุ่มนวล -ข้อรังเกียจอย่างเดียวของเธอก็คือความหนาว ยังไม่มีใครออกแบบเครื่องบินทางทหารที่มีระบบทำความร้อนที่มีประสิทธิภาพ มันน่าจะสนุกยกเว้นแต่ความขัดข้องใจที่ยังเหลืออยู่ แล้วกับความจริงที่ว่าหน่วยคุ้มกันกำลังมองตรวจตราไปรอบ ๆ ที่ประตู เห็นได้ว่าพวกเขากำลังมองหาภัยคุกคามหรืออันตรายอะไรสักอย่าง เริ่มจะชัดเจนว่าพวกนี้สามารถทำให้ทุกอย่างหมดสนุกไปได้เลย
.
.
"ผมคิดว่าเธอคงจะเดินทางไปทำงานครับ" ผู้ประกาศข่าวตัดสินใจ กล้องจับภาพตามเครื่องวีเอช-60 ไปจนกระทั่งมันลับหายไปในแนวไม้ มันเป็นช่วงสบาย ๆ ที่หาได้ยาก เครือข่ายทั้งหมดต่างทำแบบเดียวกับที่พวกเขาทำหลังประธานาธิบดีจอห์น เคนเนดี้ถูกลอบสังหาร รายการปกติถูกยกเลิกขณะที่เครือข่ายใช้เวลาทำการทั้งหมด -ซึ่งตอนนี้เป็นยี่สิบสี่ชั่วโมง ต่างกับในปี 1963- เพื่อรายงานข่าวหายนะและผลของมัน สิ่งที่ตามมาจริง ๆ ก็คือขุมทองของเคเบิลทีวี ซึ่งพิสูจน์ได้จากข้อมูลติดตามผลของบริการจัดระดับความนิยมต่าง ๆ แต่เครือข่ายจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบ และการทำแบบนี้ก็คือการแสดงความรับผิดชอบของสื่อมวลชน
"ครับ เธอเป็นหมอ จริงมั้ยครับ? ง่ายที่จะลืมเรื่องนี้ ถึงรัฐบาลของเราจะประสบกับหายนะ บนถนนวงแหวนข้างนอกนั้นก็ยังมีคนที่ทำงานจริง ๆ อยู่ เด็ก ๆ เกิดขึ้น ชีวิตดำเนินต่อไป" นักวิจารณ์ให้ความเห็นตามหน้าที่ของเขา
"เช่นเดียวกับประเทศครับ" ผู้ประกาศข่าวมองตรงที่กล้องเพื่อตัดภาพไปโฆษณา เขาไม่ได้ยินเสียงห่างไกลออกไปมากมาย
"ในตอนนี้นะ"
.
.
พวกองครักษ์ประจำตัวต้อนเด็ก ๆ ออกไป และงานจริงของวันนี้ก็เริ่มขึ้น อาร์นี่ แวน แดมม์ท่าทางเหมือนพึ่งขึ้นจากหลุม เขากำลังจะถึงขีดกำจัดแล้ว แจ๊คคิด งานหนักผสมกับความเศร้ากำลังจะทำลายหมอนี่ เป็นการดีที่ประธานาธิบดีจะทำงานน้อยที่สุด ไรอันรู้ดี แต่ไม่ใช่แลกกับการทำลายใครคนที่เขาจำเป็นต้องพึ่งพามากขนาดนี้
"พูดมาเลย อาร์นี่ แล้วก็รีบไปพักผ่อนซะบ้าง"
"คุณรู้ว่าผมทำไม่-"
"แอนเดรีย?"
"คะท่านประธานาธิบดี?"
"พอเราเสร็จนี่แล้ว ให้ใครขับอาร์นี่ไปส่งบ้าน คุณต้องไม่ปล่อยให้เขากลับมาที่ทำเนียบจนกว่าจะถึงบ่ายสี่โมง" ไรอันเปลี่ยนสายตา "อาร์นี่ ห้ามฟุบหมดแรงกับผม คุณจำเป็นต่อผมมากเลยนะ"
หัวหน้าคณะทำงานเหนื่อยเกินกว่าจะแสดงความขอบคุณได้ เขายืนแฟ้มส่งให้ "นี่เป็นแผนสำหรับพิธีศพครับ จัดวันมะรืนนี้"
ไรอันเปิดแฟ้มออก ท่าทางของเขาห่อเหี่ยวลงทันทีจากที่เขาใช้อำนาจประธานาธิบดีอีกเสี้ยวหนึ่ง
ใครก็ตามที่วางแผนนี้ฉลาดและก็อ่อนไหวในเรื่องนี้ บางทีอาจมีแผนฉุกเฉินสำหรับสิ่งแบบนี้อยู่ที่ไหนสักแห่ง คำถามที่ไรอันไม่ยอมถามเป็นอันขาด แต่ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไร ใครบางคนนั้นทำงานได้ดี โรเจอร์กับแอนน์ เดอร์ลิ่งจะนอนอยู่ในทำเนียบขาว เพราะไม่มีหอกลมรัฐสภาอีกแล้ว ((Capitol Rotunda)) ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงผู้คนจะได้รับอนุญาตให้เดินเข้ามาเคารพศพ เข้าจากด้านหน้าแล้วออกไปทางอาคารปีกตะวันออก ความเศร้าสลดของผู้ไว้อาลัยจะสงบลงด้วยรูปภาพประธานาธิบดีท่านต่าง ๆ และศิลปที่บอกเรื่องราวของอเมริกัน สามีภรรยาเดอร์ลิ่งจะถูกนำขึ้นรถบรรทุกศพไปยังโบสถ์แห่งชาติในเช้าวันถัดไปพร้อมกับสมาชิกรัฐสภาอีกสามคนที่เป็นยิว โปรเตสแตนท์ และแคธอลิคเพื่อเข้าสู่พิธีไว้อาลัยพร้อมกันสามศาสนา ไรอันต้องกล่าวสุนทรพจน์หลักสองครั้ง ร่างสุนทรพจน์ทั้งสองอยู่ในด้านหลังของแฟ้ม
.
.
"เครื่องนั่นเอาไว้ทำไมเหรอคะ?" แคธี่สวมหมวกนิรภัยซึ่งต่อตรงเข้ากับสายติดต่อภายในของเฮลิคอปเตอร์ เธอชี้ไปที่ ฮ. อีกเครื่องที่อยู่ห่างไปด้านขวาหลังของพวกเขาห้าสิบหลา
"เราบินคู่กับเครื่องสำรองเสมอครับคุณ เผื่อกรณีที่มีอะไรเสียและเราต้องร่อนลงจอด" นักบินอธิบายจากที่นั่งขวาหน้า "เราไม่อยากทำให้คุณเสียเวลาโดยไม่จำเป็นครับ" เขาไม่ได้บอกว่าในเฮลิคอปเตอร์สำรองนั้นมีหน่วยคุ้มกันอีกสี่คนพร้อมกับอาวุธที่หนักกว่า
"เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นบ่อยขนาดไหนคะผู้การ?"
"ไม่ได้เกิดอีกตั้งแต่ผมเข้ามาประจำที่นี่ครับ" แต่เขาก็ไม่ได้บอกอีกว่าแบล็คฮอว์คของนาวิกโยธินเครื่องหนึ่งตกลงแม่น้ำโปโตแมคในปี 1993 คนบนเครื่องตายหมด อืม นั่นก็นานมาแล้วล่ะ สายตาของนักบินกวาดไปรอบท้องฟ้าเสมอ ๆ ส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวีเอ็มเอช-1 คือสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการพยายามพุ่งชนบ้านในแคลิฟอร์เนียของประธานาธิบดีเรแกน ที่จริงมันเป็นความผิดพลาดของนักบินพลเรือนที่ไม่ระวัง หลังการสอบสวนของเขากับหน่วยคุ้มกัน ไอ้บ้านั่นอาจจะเลิกบินไปเลยก็ได้ พันเอกแฮงค์ กู้ดแมนรู้ได้จากประสบการณ์ยาวนานของเขา อากาศแจ่มใจและหนาวเย็น แต่ก็ราบเรียบดี เขาควบคุมคันบังคับด้วยปลายนิ้วขณะที่พวกเขาบินไปตามถนนไอ-95 ทางตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองบัลติมอร์เห็นได้แล้ว แล้วเขาก็รู้เส้นทางร่อนลงฮอบกิ้นส์ดีจากหน้าที่ก่อนหน้านี้ที่สถานีบินทางทะเลแพทูเซนต์ ริเวอร์ ซึ่ง ฮ. ของกองทัพเรือและนาวิกโยธินช่วยบินส่งผู้ประสบอุบัติเหตุในบางครั้ง เขาจำได้ว่าฮอบกิ้นส์รับผู้ป่วยเด็กสำหรับระบบรองรับผู้ป่วยฉุกเฉินของรัฐ
ความคิดเดียวกันนั้นผุดขึ้นกับแคธี่เมื่อพวกเขาบินผ่านอาคารฉุกเฉินของมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอบนเฮลิคอปเตอร์ ไม่ใช่เหรอ? แต่เพราะว่าครั้งก่อนเธอหมดสติไป มีคนพยายามฆ่าเธอกับแซลลี่ และผู้ที่อยู่รอบตัวเธอในตอนนี้จะตกอยู่ในอันตรายถ้ามีใครพยายามจะทำแบบนั้นอีก ทำไมเหรอ? เพราะว่าสิ่งที่สามีของเธอเป็นน่ะสิ
"คุณอัลท์แมนครับ?" แคธี่ได้ยินจากสายภายใน
"ครับผู้การ?"
"คุณแจ้งล่วงหน้าแล้วใช่หรือเปล่าครับ?"
"ครับ พวกเขาทราบแล้วว่าเรากำลังมาครับผู้การ" อัลท์แมนรับรองกับเขา
"ไม่ ผมหมายถึงตรวจสอบหลังคาให้เครื่อง 60 หรือยังครับ?"
"คุณหมายความว่าไงนะ?"
"ผมหมายถึงเครื่องนี้หนักกว่าเครื่องที่ตำรวจรัฐใช้นะ ลานจอดนั้นตรวจสอบสำหรับเราแล้วหรือยัง?" ความเงียบคือคำตอบ ผู้การกู้ดแมนหันไปมองนักบินผู้ช่วยของเขาแล้วนิ่วหน้า "เอาล่ะ เราจัดการมันได้คราวนี้"
"ซ้ายว่าง"
"ขวาว่าง" กู้ดแมนตอบ เขาบินวนหนึ่งรอบ ตรวจสอบทิศทางลมบนหลังคาตึกข้างล่าง มีแค่ลมอ่อน ๆ จากตะวันตกเฉียงเหนือ การร่อนลงเป็นไปอย่างนุ่มนวล ผู้การคอยมองเสาวิทยุทางขวาของเขาอยู่ตลอดเวลา เขาแตะพื้นนิ่ม ๆ ปล่อยให้ใบพัดหมุนเพื่อไม่ให้น้ำหนักของเครื่องกดลงบนหลังคาเสริมคอนกรีตทั้งหมด แน่ล่ะมันอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ พวกวิศวกรโยธามักจะสร้างอาคารให้แข็งแรงกว่าที่ต้องการจริงเสมอ แต่กู้ดแมนไม่ได้ได้ตำแหน่งผู้การโดยเสี่ยงโอกาสเอาสนุก ๆ เท่านั้น หัวหน้าพลประจำเครื่องของเขาดึงประตูเปิดออก หน่วยคุ้มกันออกไปก่อน มองตรวจอาคารขณะที่มือกู้ดแมนจับอยู่ที่คันบังคับระดับ พร้อมที่จะผลักมันขึ้นแล้วพุ่งไปจากอาคารนี้ทันที พวกนั้นช่วยนำคุณนายไรอันออกมา จากนั้นเขาจะได้ทำงานอื่นต่อไป
"พอเรากลับไป คุณโทรมาขอข้อมูลดาดฟ้านี่เองเลยนะ แล้วก็ขอแผนมาไว้ด้วย"
"ครับผม มันเกิดขึ้นเร็วไปหน่อยครับ"
"ไม่บอกก็รู้" เขาเปลี่ยนไปใช้วิทยุติดต่อ "มารีนทรี นี่มารีนทู"
"ทู" เครื่องสำรองที่บินวนอยู่ตอบกลับทันที
"กำลังไป" กู้ดแมนดึงคันบังคับระดับและหันหัวเครื่องไปทิศใต้ก่อนบินขึ้นจากดาดฟ้า "ดูเธอนิสัยดีอยู่นะ"
"ท่าทางจะกลัว ๆ ก่อนเราร่อนลงครับ" หัวหน้าพลประจำเครื่องให้ความเห็น
"ผมก็เหมือนกัน" กู้ดแมนบอก "ผมจะโทรหาพวกนั้นพอเรากลับไปแล้ว"
.
.
หน่วยคุ้มกันได้โทรมาแจ้ง ดร.แคทซ์ล่วงหน้าแล้ว และเขากำลังรออยู่ข้างในพร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของฮอบกิ้นส์สามคน มีการแนะนำตัว มอบบัตรประจำตัว ทำให้หน่วยคุ้มกันทั้งสามคนกลายเป็นสมาชิกในสต๊าฟฟ์ของโรงเรียนแพทย์ แล้ววันของผู้ช่วยศาสตราจารย์แคโรไลน์ เอ็ม. ไรอัน เอ็มดี, เอฟเอซีเอส ก็เริ่มขึ้น
"คุณนายฮาร์ทเป็นไงบ้างคะ?"
"ผมพบเธอยี่สิบนาทีก่อนน่ะแคธี่ เธอดีใจจริง ๆ ที่ได้สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผ่าตัดให้" ศาสตราจารย์แคทซ์ต้องประหลาดใจกับปฏิกิริยาของศาสตราจารย์ไรอัน
.
.
By Kaii
This page hosted by
Get your own Free Home Page