![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ต้องมากจริงถึงจะทำให้ฐานทัพอากาศแอนดรูวส์แน่นขึ้นมาได้ แรมป์คอนกรีตอันกว้างขวางทำให้มันดูมีขนาดประมาณเนบราสกา กำลังตำรวจรักษาความปลอดภัยที่ตรวจตรารอบ ๆ กลุ่มเครื่องบินที่แออัดและหลากหลายเหมือนกับในอริโซน่าที่พวกนั้นเก็บเครื่องบินพาณิชย์ที่ปลดระวางแล้วเอาไว้ ยิ่งกว่านั้น แต่ละเครื่องยังมีชุดรักษาความปลอดภัยของตัวเอง ทั้งหมดต้องประสานงานกับพวกอเมริกันในท่าทีไม่ไว้วางใจกัน เพราะพวกหน่วยรักษาความปลอดภัยถูกฝึกมาให้มองทุกคนในสายตาอย่างระแวง มีคองคอร์ดสองลำ ของอังกฤษกับฝรั่งเศส ที่ช่วยสร้างเสน่ห์ดึงดูด ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องรุ่นลำตัวกว้างหลากหลายแบบ ส่วนใหญ่แต่งด้วยสีสันของสายการบินหลักประจำชาตินั้น ๆ ซาบีน่า เคแอลเอ็ม และลุฟฮันซ่านำขบวนของกลุ่มนาโต้ เอสเอเอสบริการสามประเทศสแกนดิเนเวีย แต่ละชาติมีเครื่อง 747 ของตน ผู้นำประเทศเดินทางอย่างมีระดับ ไม่มีเครื่องลำไหนที่มีผู้โดยสารถึงหนึ่งในสาม การรับรองพวกเขาต้องใช้ความชำนาญกับความอดทนอย่างมากของสำนักพิธีการของทำเนียบขาวร่วมกับของกระทรวงการต่างประเทศ มีการแจ้งไปยังสถานทูตต่าง ๆ ว่าประธานาธิบดีไรอันไม่มีเวลาที่จะรับรองทุกคนอย่างสมเกียรติได้ แต่กองเกียรติยศกองทัพอากาศก็ต้องมารับพวกเขาทั้งหมด จัดแถว เลิกแถว และจัดแถวใหม่อีกมากกว่าหนึ่งครั้งต่อชั่วโมงขณะที่พรมแดงสำหรับวีไอพียังอยู่ที่เดิม ขณะผู้นำระดับโลกเข้ามาทีละคน ในเวลาที่เร็วที่สุดเท่าที่เครื่องบินแต่ละลำจะสามารถเคลื่อนออกไปสู่ที่จอดและเครื่องต่อไปแท็กซี่เข้ามาในจุดรับรองที่กำหนดไว้ซึ่งมีวงดุริยางค์พร้อมกับแท่นพิธี มีการกล่าวสุนทรพจน์อย่างสั้น ๆ แสดงความเสียใจต่อหน้าแถวกล้อง จากนั้นพวกเขาก็ถูกนำออกไปยังรถที่รออยู่อย่างรวดเร็ว
การส่งพวกเขาเข้าสู่วอชิงตันก็เป็นเรื่องปวดหัวอีกเรื่อง รถของหน่วยคุ้มกันการทูตทุกคันจัดแบ่งเป็นชุดคุ้มกันสี่ชุดซึ่งวิ่งเข้าวิ่งออกเมืองคอยจัดขบวนรับส่งรถลีมูซีนสถานทูตและทำให้การจราจรบนถนนสูทแลนด์ปาร์คเวย์กับอินเตอร์สเตท 395 ติดขัดไปตามกัน ส่วนที่คงจะน่าทึ่งที่สุดคือประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงทุกพระองค์ไปถึงสถานทูตที่ถูกต้อง โชคดีที่ส่วนใหญ่อยู่ถนนแมสซาชูเสตส์แอฟวะนิว นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสำเร็จในการจัดการอย่างไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า
สถานทูตเองจัดพิธีต้อนรับเป็นการภายในอย่างเงียบ ๆ รัฐบุรุษทั้งหมดต้องพบปะกันในที่ใดที่หนึ่งเพื่อตกลงธุระหรือเพียงแค่พูดคุย เอกอัครราชทูตอังกฤษผู้ที่อาวุโสที่สุดของทั้งในกลุ่มประเทศนาโต้และเครือจักรภพจะเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ำ "อย่างไม่เป็นทางการ" คืนนี้ให้แก่ผู้นำของยี่สิบสองประเทศ
"เอาล่ะ คราวนี้ล้อของเขากางแล้ว" ร้อยอากาศเอกกล่าวขณะที่ความมืดเข้าปกคลุมฐานทัพ
น่าประหลาดที่เจ้าหน้าที่หอควบคุมการบินของแอนดรูวส์เป็นชุดเดียวกับที่ทำหน้าที่ใน "คืนนั้น" ซึ่งเป็นคำที่ทุกคนเรียกกัน พวกเขามองดูเครื่องเจเอแอล 747 ร่อนลงทางวิ่งหมายเลขศูนย์-หนึ่งขวา ลูกเรือคงสังเกตได้ว่าซากของเครื่องบินแบบเดียวกันอยู่ในโรงเก็บขนาดใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของฐานทัพ ในตอนนี้รถบรรทุกกำลังขนเศษซากของเครื่องยนต์ไอพ่นที่พึ่งถอดมาจากชั้นใต้ดินอาคารรัฐสภา เครื่องบินร่อนลงแล้วเลี้ยวซ้ายตามคำสั่งไปหลังรถนำไปยังที่ที่จัดไว้เพื่อให้ผู้โดยสารลง นักบินสังเกตเห็นกล้องกับพวกลูกมือกำลังเดินจากความอบอุ่นของตัวอาคารไปยังอุปกรณ์ของตัวเพื่อรับผู้มาถึงคนล่าสุดและน่าสนใจที่สุด เขาคิดจะพูดอะไรสักอย่างกับนักบินผู้ช่วย แต่ตัดสินใจไม่พูด กัปตันโทราจิโร่ ซาโต้ถึงจะไม่ใช่เพื่อนสนิท แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมงาน และก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีด้วย ความอัปยศกับประเทศชาติ สายการบิน และอาชีพของเขา จะเป็นสิ่งที่ต้องทนแบกรับไปอย่างยากลำบากนานนับปี มันคงจะแย่ยิ่งไปกว่านี้ถ้าซาโต้มีผู้โดยสารมาด้วย เพราะการปกป้องผู้โดยสารเป็นกฏข้อแรกในชีวิตของพวกเขา ถึงแม้ว่าวัฒนธรรมเขาเคารพการฆ่าตัวตายว่าเป็นการกระทำที่มีเกียรติและยิ่งกว่านั้นยังกำหนดทางละจากโลกนี้ไปอย่างน่าทึ่งกว่านั้นอีก แต่ตัวอย่างนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศของเขาตระหนกและอับอายกว่าอะไรทั้งหมดในประวัติศาสตร์ เขาสวมเครื่องแบบนักบินด้วยความภาคภูมิใจเสมอ แต่ตอนนี้เขาจะเปลี่ยนชุดทันทีที่มีโอกาส ทั้งเมื่ออยู่ต่างประเทศหรือที่บ้าน นักบินสลัดความคิดนั้นออกไปแล้วใช้เบรคอย่างนุ่มนวล เพื่อหยุดเครื่องให้บันไดลงเครื่องแบบเก่าอยู่ตรงกับประตูหน้าเครื่องบินโบอิ้งของเขาพอดี ถึงตอนนี้ที่เขาและนักบินผู้ช่วยหันมาสบตาแสดงความอับอายและประชดตัวเองที่ได้ทำหน้าที่อย่างชำนาญ แทนที่จะพักที่โรงแรมระดับกลางในวอชิงตัน พวกเขาต้องอยู่ในที่พักนายทหารของฐานทัพ และคงจะมีใครสักคนคอยเฝ้าดูอยู่ พร้อมกับปืน
ประตูเครื่องเปิดออกอย่างนิ่มนวลโดยแอร์โฮสเตสอาวุโส นายกรัฐมนตรีโมกาทารุ โคกะ ยืนอยู่ที่ประตูสักครู่ เสื้อคลุมของเขากลัดกระดุม ไทถูกผู้ช่วยจัดให้ตรงในคอเสื้อ เขายืนรับลมหนาวของเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นก็ก้าวลงบันได วงดุริยางค์กองทัพอากาศบรรเลง "รัฟเฟิลส์ แอนด์ เฟลอริชส์" ((Ruffles and Flourishes))
รักษาการณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สก็อท แอดเลอร์รออยู่ที่ปลายบันได ทั้งคู่ไม่เคยพบกัน แต่ได้ฟังบรรยายสรุปมาอย่างเต็มที่แล้ว ของแอดเลอร์อย่างเร็วกว่าเล็กน้อยเพราะนี่เป็นผู้มาเยือนคนที่สี่และสำคัญที่สุดของวันนี้ โคกะดูเหมือนในรูป เขาดูธรรมดา สูงห้าฟุตหกนิ้ว วัยกลางคนกับผมดำเต็มศีรษะ ตาสีเข้มของเขาเรียบเฉย อาจจะพยายามให้เป็นอย่างนั้น แอดเลอร์คิดขณะพิจารณาอย่างใกล้ชิด มีความเศร้าอยู่ในนั้น ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เขาคิดพร้อมกับยื่นมือออกไป
"ยินดีต้อนรับครับท่านนายกรัฐมนตรี"
"ขอบคุณครับคุณแอดเลอร์" ชายทั้งสองเดินไปที่แท่น แอดเลอร์กล่าวต้อนรับสองสามคำ คำกล่าวนี้พวกที่ก้นบึ้ง ((Foggy Bottom คงหมายถึงกระทรวงการต่างประเทศ)) เป็นคนร่างขึ้น ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะออกมาถูกต้อง แต่ใช้เวลาประมาณนาทีเดียวกล่าวต่อโลก จากนั้นโคกะก้าวมาที่ไมโครโฟน
"สิ่งแรก ข้าพเจ้าต้องขอบคุณ คุณแอดเลอร์ และขอบคุณประเทศของท่านที่อนุญาตให้ข้าพเจ้ามาในวันนี้ อย่างน่าประหลาดใจในการเชิญนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศที่โอบอ้อมอารีของท่าน ข้าพเจ้ามาเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศของข้าพเจ้าวันนี้ในหน้าที่ที่น่าเศร้าใจแต่จำเป็น ข้าพเจ้าหวังว่านี่จะเป็นหน้าที่เพื่อเยียวยาประเทศของท่านและของข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าหวังว่าประชาชนของท่านและของข้าพเจ้าจะมองเหตุการณ์อันน่าเศร้านี้เป็นสะพานเชื่อมไปสู่อนาคตอันสงบสุขต่อไป" โคกะก้าวถอยออกมา แอดเลอร์นำเขาเดินลงมาตามพรมสีแดงในขณะที่วงดุริยางค์บรรเลงเพลงโคมิกาโยะ เพลงชาติสั้น ๆ ของญี่ปุ่นซึ่งที่จริงแต่งโดยนักแต่งเพลงอังกฤษเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ท่านนายกรัฐมนตรีมองทหารกองเกียรติยศและพยายามอ่านสีหน้าเด็กหนุ่มเหล่านั้น แต่ไม่พบการแสดงออกใด ๆ ในระหว่างเดินไปที่รถที่รออยู่ แอดเลอร์ขึ้นรถตามหลังเขาเข้ามา
"ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างครับ?" รมต. ต่างประเทศถาม
"ดีครับ ขอบคุณ ผมหลับระหว่างอยู่บนเครื่องแล้ว" โคกะเข้าใจว่าคำถามนั้นเป็นการถามเฉย ๆ แต่แล้วก็รู้ว่ามันไม่ใช่ มันเป็นความคิดของไรอัน ไม่ใช่แอดเลอร์ ซึ่งน่าแปลกดีที่เหมาะสมกับเวลา ดวงอาทิตย์อยู่ใต้ขอบฟ้าไปแล้วตอนนี้ และช่วงเวลาที่ตกจะสั้นเพราะเมฆที่เคลื่อนเข้ามาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ
"ถ้าท่านต้องการ เราเข้าพบท่านประธานาธิบดีไรอันก่อนจะไปสถานทูตของท่านได้ครับ ท่านประธานาธิบดีสั่งให้ผมแจ้งว่าถ้าท่านไม่ต้องการทำอย่างนั้น เพราะเที่ยวบินที่ยาวหรือเหตุผลอื่นใด ท่านจะไม่ถือเป็นเรื่องขุ่นเคืองใจเลย" สก็อทแปลกใจที่โคกะไม่ลังเลแม้แต่น้อย
"ผมยินดีได้รับเกียรติครับ"
รักษาการณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศดึงวิทยุมือถือจากกระเป๋าเสื้อคลุมของเขา "จากอินทรีถึงฐานดาบ ยืนยันแล้ว" แอดเลอร์หัวเราะหึ ๆ ไม่กี่วันเมื่อรู้ชื่อรหัสของเขาในหน่วยคุ้มกัน "อินทรี" เป็นคำแปลของนามสกุลภาษาเยอรมันยิวของเขา
"จากฐานดาบ รับทราบ ยืนยันแล้ว" เสียงวิทยุเข้ารหัสตอบกลับมา
"อินทรี เลิกกัน"
ขบวนรถเร่งความเร็วไปตามถนนสูทแลนด์ปาร์คเวย์ ในกรณีปกติเฮลิคอปเตอร์นักข่าวคงติดตามเขาด้วยกล้องถ่ายทอดสด แต่น่านฟ้าวอชิงตันถูกปิดหมดแล้วในตอนนี้ แม้แต่สนามบินแห่งชาติก็ปิด เที่ยวบินที่นั่นถูกโอนไปที่ดัลเลสหรือสนามบินนานาชาติบัลติมอร์-วอชิงตัน โคกะไม่ได้สังเกตเห็นคนขับรถ ซึ่งเป็นคนอเมริกัน รถเลี้ยวขวาออกจากปาร์คเวย์แล้วแล่นไปอีกบล็อคเข้าสู่สายไอ-295 ที่เลี้ยวแทบจะทันทีไปบรรจบกับไอ-395 ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อข้ามแม่น้ำอนาคอสเทียตรงเข้าเมืองวอชิงตัน เมื่อมันมาถึงถนนหลัก เลกซัสรุ่นลำตัวยาวพิเศษที่เขานั่งอยู่ก็เบนหัวไปทางขวา รถอีกคันที่เหมือนกันเข้ามาแทนที่ในขณะที่รถของเขารวมขบวนกับซูเบอร์บานของหน่วยคุ้มกันสามคันในการเปลี่ยนแปลงที่ใช้เวลาเพียงแค่ห้าวินาที ถนนว่างทำให้การเดินทางที่เหลือสะดวกง่ายดาย ภายในเวลาไม่กี่นาที รถของเขาก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนเวสท์ เอกเซกคิวทิฟ ไดรว์
"พวกเขามาแล้วค่ะท่านประธานาธิบดี" ไพรซ์บอก เห็นจากยามในเครื่องแบบที่ป้อมยาม
แจ๊คเดินออกไปขณะที่รถหยุดลง ไม่แน่ใจพิธีการในเรื่องนี้ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับงานใหม่ของเขา เขาเกือบจะเปิดประตูด้วยตัวเอง แต่นายสิบนาวิกโยธินเข้าไปถึงก่อนพร้อมกับกระชากประตูเปิดออกและวันทยาหัตถ์เหมือนหุ่นยนต์
"ท่านประธานาธิบดี" โคกะพูดระหว่างลุกขึ้นยืน
"ท่านนายกฯ กรุณามาทางนี้ครับ" ไรอันผายมือ
โคกะไม่เคยมาทำเนียบขาวมาก่อน เขาตระหนักในทันทีว่าเขาได้บินมาเมื่อ เท่าไหร่นะ? สามเดือนก่อน เพื่อถกปัญหาการค้าที่นำไปสู่การรบ... เป็นความล้มเหลวที่น่าอับอายอีกเรื่องหนึ่ง แล้วท่าทางของไรอันก็ปรากฏให้เห็นชัดขึ้น เขาเคยอ่านครั้งหนึ่งว่าพิธีการต้อนรับการมาเยือนระดับประเทศอย่างใหญ่โตไม่ใช่เครื่องแสดงความสำคัญที่นี่ เอาล่ะ นั่นเป็นไปไม่ได้และไม่เหมาะสมอยู่แล้วไม่ว่าอย่างไร โคกะบอกตัวเอง แต่ไรอันยืนอยู่คนเดียวที่ประตู นี่ต้องมีความหมายอะไรบางอย่าง โคกะคิดกับตัวเองระหว่างเดินขึ้นบันได อีกนาทีต่อมา หลังจากผ่านปีกตะวันตกไปอย่างเร็ว เขากับไรอันก็อยู่ตามลำพังในห้องทำงานรูปไข่ กั้นกลางด้วยโต๊ะเตี้ยกับถาดกาแฟเท่านั้น
"ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้ครับ" โคกะกล่าวง่าย ๆ
"เราต้องพบกันครับ" ประธานาธิบดีไรอันกล่าว "ในเวลาอื่นจะมีคนคอยดูและจับเวลาและพยายามอ่านปากเรา" เขารินกาแฟให้แขกของเขาแล้วจึงรินให้ตัวเอง
"ไฮ นักข่าวในโตเกียวเริ่มรุกหนักมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา" โคกะกำลังจะหยิบถ้วยของเขา แต่ชะงัก "ผมควรขอบคุณใครที่ช่วยผมจากยามาตะ?"
แจ๊คมองขึ้นมา "การตัดสินใจเกิดขึ้นที่นี่ครับ เจ้าหน้าที่สองนายอยู่แถวนี้ ถ้าคุณต้องการพบพวกเขาอีกครั้งเป็นส่วนตัว"
"ถ้าไม่เป็นการรบกวนครับ" โคกะจิบกาแฟของเขา เขาชอบชามากกว่า แต่ไรอันก็พยายามต้อนรับแขกดีที่สุดแล้ว และมารยาทนั้นก็สร้างความประทับใจให้แขกของเขา "ขอบคุณที่ให้ผมมาที่นี่ครับ ท่านประธานาธิบดีไรอัน"
"ผมพยายามพูดกับโรเจอร์เรื่องปัญหาการค้า แต่ว่า... แต่ผมไม่ได้พยายามชักจูงพอ แล้วผมก็เป็นห่วงว่าอาจมีอะไรเกิดขึ้นกับโกโตะ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเร็วพอ เรื่องการไปรัสเซียกับเรื่องอื่น ๆ มันเป็นอุบัติเหตุครั้งใหญ่ แต่ผมคิดว่าสงครามก็มักเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอย่างไร มันขึ้นอยู่กับเราสองคนที่จะเยียวยาบาดแผลนั้น ผมอยากทำให้สำเร็จอย่างเร็วที่สุดที่จะทำได้"
"พวกร่วมก่อการโดนจับทั้งหมดแล้วครับ พวกนั้นจะต้องขึ้นศาลในข้อหากบฏ" โคกะให้สัญญา
"นั่นเป็นเรื่องภายในของคุณ" ท่านประธานาธิบดีตอบ ซึ่งไม่จริงทั้งหมด ระบบกฏหมายของญี่ปุ่นเป็นระบบที่น่าสงสัยเพราะศาลมักจะละเมิดรัฐธรรมนูญของประเทศเพื่อทำตามขนบธรรมเนียมซึ่งกว้างกว่าแต่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในความคิดของคนอเมริกัน ไรอันกับอเมริกาคาดหวังให้การพิจารณาคดีเป็นไปตามตัวบทกฏหมายโดยไม่มีการพลิกผันอย่างนั้น โคกะเข้าใจเรื่องนี้อย่างดี การกลับมาสมานไมตรีใหม่ระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับเรื่องนี้เต็มที่ และพร้อมกับความเข้าใจในเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่อาจพูดได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในระดับนี้ ในส่วนของเขา โคกะแน่ใจแล้วว่าผู้พิพากษาที่เลือกมาในการพิจารณาคดีเหล่านั้นเข้าใจกฏกติกาแล้ว
"ผมไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้ แล้วก็ เจ้าคนบ้าซาโต้นั้น... ประเทศและประชาชนของผมต่างอับอายกับมัน ผมมีเรื่องมากมายจะต้องทำครับ คุณไรอัน"
แจ๊คพยักหน้า "เราทั้งคู่นั่นแหละครับ แต่มันจะสำเร็จแน่นอน" เขาหยุดไปชั่วขณะ "ระดับรัฐมนตรีจะจัดการในเรื่องรายละเอียด ส่วนระหว่างเราสองคน ผมเพียงอยากให้แน่ใจว่าเราเข้าใจกันแล้ว ผมวางใจในไมตรีจิตของคุณ"
"ขอบคุณครับท่านประธานาธิบดี" โคกะวางถ้วยของเขาลงเพื่อพิจารณาชายที่นั่งอยู่โซฟาตรงข้าม เขายังหนุ่มในตำแหน่งอย่างนี้ ถึงจะไม่ใช่ประธานาธิบดีอเมริกันอายุน้อยที่สุด ธีโอดอร์ รูสเวลท์คงครองตำแหน่งนั้นไปชั่วกาลนาน ระหว่างเที่ยวบินยาวจากโตเกียว เขาได้อ่านเรื่องของจอห์น แพทริค ไรอัน ชายคนนี้เคยฆ่าคนด้วยมือตัวเองมามากกว่าหนึ่งครั้ง เคยถูกข่มขู่เอาชีวิตเขาและครอบครัว และเคยทำอีกหลายสิ่งที่ที่ปรึกษาด้านข่าวกรองของโคกะได้แค่คาดเดา เมื่อพิจารณาหน้าของเขาในช่วงไม่กี่วินาที โคกะพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมคนแบบนี้ถึงได้เป็นคนรักสันติภาพ แต่ก็ไม่มีร่องรอยให้เห็นบนนั้น โคกะสงสัยว่ายังมีบางสิ่งในลักษณะนิสัยของคนอเมริกันนี้ที่เขายังไม่เข้าใจ เขาเห็นความฉลาดและความสงสัยใคร่รู้ อย่างแรกเพื่อประมาณการและอย่างหลังเพื่อค้นหา เขาเห็นความอ่อนล้าและความเศร้า วันที่ผ่านมาคงเป็นนรกดี ๆ สำหรับไรอัน โคกะแน่ใจอย่างนั้น ที่ไหนสักแห่งในตึกนี้ บางที คงมีลูก ๆ ของโรเจอร์กับแอนน์ เดอร์ลิ่ง นั่นคงเหมือนกับน้ำหนักที่ชายคนนี้ต้องแบกรับไว้จริง ท่านนายกรัฐมนตรีตระหนักขึ้นมาว่าไรอัน เช่นเดียวกับชาวตะวันตกส่วนมาก ไม่เชี่ยวชาญในการซ่อนความคิดภายในของตัวเอง แต่นั่นไม่จริง ไม่ใช่หรือ? ต้องมีอะไรอย่างอื่นดำเนินอยู่เบื้องหลังตาสีฟ้าคู่นั้น และสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จะประกาศออกไปได้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นภัย แต่มันก็อยู่ตรงนั้น ไรอันคนนี้เป็นซามูไร อย่างที่เขากล่าวในห้องทำงานของเขาสองสามวันก่อน แต่ยังมีชั้นของความซับซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่งด้วย โคกะปล่อยความคิดนั้นไว้ มันไม่สำคัญขนาดนั้นและก็มีบางอย่างที่เขาต้องขอ การตัดสินใจส่วนตัวที่เขากระทำกลางมหาสมุทรแปซิฟิค
"ผมมีคำขอร้องครับ ถ้าจะอนุญาต"
"อะไรเหรอครับท่าน?"
.
.
"ท่านประธานาธิบดีคะ นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะคะ" ไพรซ์คัดค้านในสองสามนาทีต่อมา
"ดีหรือไม่ดี เราก็กำลังจะทำมัน ไปจัดเตรียมการได้แล้ว" ไรอันบอกเธอ
"ค่ะท่าน" แอนเดรีย ไพรซ์ออกไปจากห้อง
โคกะดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วได้เรียนรู้อีกสิ่งหนึ่ง ไรอันเป็นคนที่สามารถตัดสินใจและออกคำสั่งทั้งหมดโดยไม่ต้องฝืนทำเลย
ขบวนรถยังอยู่ที่ประตูตะวันตก จึงเพียงแค่หยิบเสื้อคลุมแล้วก้าวขึ้นรถ ซูเบอร์บานทั้งหมดสี่คันกลับรถในบริเวณที่จอด มุ่งหน้าไปทางใต้แล้วจึงตะวันตกไปที่รัฐสภา คราวนี้ขบวนรถไม่ได้เปิดหวอและไฟหลังคา แต่กลับเคลื่อนไปตามกฏจราจร ก็ไม่เชิง ถนนที่ว่างทำให้พวกเขาฝ่าไฟแดงได้ไม่ยาก ไม่นานพวกเขาก็เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนแคปปิตอล สตรีท และเลี้ยวซ้ายอีกครั้งไปที่ตัวอาคาร มีแสงไฟให้เห็นน้อยลงกว่าเดิม ขั้นบันไดเก็บกวาดแล้ว ทำให้เดินขึ้นง่ายหลังจากรถจอดลงแล้วและหน่วยคุ้มกันเข้าประจำที่ ไรอันนำโคกะขึ้นไป ในตอนนี้เขาทั้งคู่ต่างมองลงไปยังชามอ่างว่างเปล่าที่เคยเป็นห้องประชุมสภา
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยืนตรงในตอนแรก เขาตบมือดัง ๆ ครั้งหนึ่งเพื่อดึงความสนใจของวิญญาณที่ตามความเชื่อทางศาสนาของเขาสอนว่ายังอยู่ที่นั้น จากนั้นเขาโค้งคำนับอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมและสวดมนต์ให้กับวิญญาณเหล่านั้น ไรอันถูกดึงดูดให้ทำตามเขา ไม่มีกล้องทีวีอยู่เพื่อบันทึกภาพขณะเวลานั้น อันที่จริงยังมีกล้องของบางเครือข่ายอยู่ แต่การถ่ายทอดข่าวช่วงเย็นจบลงแล้ว อุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ เจ้าหน้าที่รวมกันดื่มกาแฟอยู่ในรถควบคุม ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นห่างออกไปเพียงร้อยหลา ไม่ว่าอย่างไรมันก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองนาที เมื่อทุกอย่างจบลง มืออเมริกันถูกยื่นออกไปและมือญี่ปุ่นก็เอื้อมมาจับมันไว้ สายตาสองคู่ส่งความเข้าใจที่ไม่มีรัฐมนตรีหรือสนธิสัญญาใดจะสร้างขึ้นมาได้ และกลางสายลมแรงของเดือนกุมภาพันธ์ สันติภาพก็เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศในที่สุดอย่างสมบูรณ์ ห่างออกไปสิบหลา แอนเดรีย ไพรซ์ดีใจที่ช่างภาพทำเนียบขาวตามมาด้วย และน้ำตาที่เธอกระพริบไล่มันไปไม่ได้เกิดจากความแรงของลม จากนั้นเธอนำชายทั้งสองคนลงขั้นบันไดมาขึ้นรถคนละคัน
.
.
"เพราะอะไรพวกนั้นถึงทำเกินไปอย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า?" ท่านนายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลถาม ก่อนจิบเชอร์รี่ของเธอ
"อืม อย่างที่คุณทราบ ฉันยังไม่ได้รับรายงานทั้งหมดในเรื่องนี้" เจ้าชายแห่งเวลส์รับสั่งตอบ ทรงออกพระองค์ก่อนเพราะพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นตัวแทนของรัฐบาลสมเด็จพระราชินีอย่างแท้จริง "แต่การซ้อมรบทางทะเลของคุณแสดงท่าทีคุกคามนะ"
"ศรีลังกาจะต้องเจรจาตกลงกับพวกทมิฬ น่าเสียใจที่พวกเขาแสดงความไม่เต็มใจจะเข้าร่วมในการเจรจาอย่างจริงจัง และข้าพระพุทธเจ้ากำลังพยายามจะผลักดันพวกเขา อย่างไรก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าส่งทหารไปในฐานะกองกำลังรักษาสันติภาพ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้พวกทหารตกอยู่ในฐานะตัวประกันในสถานการณ์โดยรวม"
"ก็คงอย่างนั้น แต่ว่าแล้ว ทำไมคุณไม่ถอนกองกำลังรักษาสันติภาพของคุณโดยอาศัยคำร้องขอของรัฐบาลล่ะ?"
นายกรัฐมนตรีอินเดียถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า มันเป็นเที่ยวบินที่ยาวสำหรับเธอเช่นกัน และในสถานการณ์อย่างนี้ การแสดงอารมณ์โกรธเล็กน้อยเป็นเรื่องที่ทำได้ "ใต้ฝ่าละอองพระบาท ถ้าข้าพระพุทธเจ้าถอนทหารออกไปแล้วเหตุการณ์ปะทุขึ้นอีกครั้ง ข้าพระพุทธเจ้าจะพบกับความยุ่งยากจากราษฎรชาวทมิฬในประเทศ นั่นเป็นสถานการณ์ที่แย่ที่สุด ข้าพระพุทธเจ้าพยายามช่วยหาทางออกจากปัญหาการเมืองซึ่งเป็นทางตันโดยการเสียสละของทางฝ่ายข้าพระพุทธเจ้าทั้งหมด แต่รัฐบาลศรีลังกาไม่สามารถกระทำการเพื่อแก้ไขเท่าที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศของข้าพระพุทธเจ้าตกอยู่ในฐานะลำบากและยังรวมถึงกบฏภายในประเทศของพวกเขาที่ดำเนินอยู่อีกด้วย แล้วพวกอเมริกันก็เข้ามาแทรกแซงโดยไม่มีสาเหตที่แท้จริงและยิ่งเป็นการหนุนให้เกิดการต่อต้านของชาวศรีลังกาด้วย"
"นายกรัฐมนตรีของพวกเขาจะมาถึงเวลาไหนหรือ?" เจ้าชายตรัสถาม คำตอบที่ได้รับเป็นเพียงการยักไหล่ตามด้วยคำพูดลอย ๆ "ข้าพระพุทธเจ้าเสนอโอกาสให้บินมาด้วยกันเพื่อจะได้พูดคุยกันถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธ ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าคงเป็นพรุ่งนี้ ถ้าเครื่องบินของเขาไม่มีปัญหาอะไร" เธอกราบบังคมทูลเสริม สายการบินแห่งชาตินั่นมีปัญหาเทคนิคทุกรูปแบบ ยังไม่พูดถึงการคุกคามความปลอดภัยที่มีอยู่นานแล้ว
"ถ้าคุณต้องการ ท่านเอกอัครราชทูตคงช่วยจัดให้มีการประชุมอย่างเงียบ ๆ ได้"
"นั่นอาจจะไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า" ท่านนายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูล "ข้าพระพุทธเจ้ายังหวังว่าพวกอเมริกันจะเข้าใจอะไรได้ถูกต้อง พวกเขาไม่รู้เหนือรู้ใต้เลยในเรื่องของภูมิภาคแถบนี้"
ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการซ้อมรบ เจ้าชายทรงพระดำริ พระองค์กับประธานาธิบดีไรอันเป็นเพื่อนกันมาหลายปี และอินเดียก็ต้องการให้พระองค์ทรงเป็นคนกลาง มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจอย่างนี้ แต่ทั้งหมดนั้นองค์มกุฏราชกุมารต้องทรงรับแนวทางจากรัฐบาล ซึ่งในกรณีนี้ก็หมายถึงเอกอัครราชทูต ใครบางคนในไวท์ฮอล ((Whitehall หมายถึงรัฐบาลอังกฤษ)) คิดว่าความสัมพันธ์ฉันท์มิตรของสมเด็จเจ้าฟ้ากับประธานาธิบดีอเมริกันคนใหม่มีความสำคัญกว่าการติดต่อระหว่างรัฐบาล และนอกจากนั้นมันยังทำให้พระราชวงศ์ดูดีในเวลานี้ที่ภาพลักษณ์อย่างนั้นมีความจำเป็นและมีประโยชน์ มันยังให้สมเด็จเจ้าฟ้าทรงได้ข้ออ้างในการเสด็จเยือนที่ดินในไวโอมิงที่เป็นสมบัติของราชวงศ์หรือบางครั้งเรียกกันภายในว่า "เดอะ เฟิร์ม" ((The Firm)) อย่างเงียบ ๆ
"ฉันเข้าใจ" เป็นสิ่งเดียวที่รับสั่งตอบได้ แต่อังกฤษต้องรับฟังคำร้องขอของอินเดียอย่างจริงจัง จากครั้งหนึ่งเคยเป็นเพชรเม็ดที่ส่งประกายเจิดจรัสที่สุดประดับมงกุฏที่ใหญ่ครอบคลุมทั้งโลก ประเทศนั้นยังเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญอยู่ ถึงจะสร้างความรำคาญมากขนาดไหนก็ตาม การติดต่อโดยตรงระหว่างผู้นำรัฐบาลทั้งสองอาจไม่สะดวก การรบกวนของอเมริกันต่อกองเรืออินเดียไม่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปมากนัก ค่อย ๆ จางหายไปเมื่อความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกาจบลง และทุกคนต่างก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ประธานาธิบดีไรอันมีภาระอยู่เต็มบ่าแล้ว เพื่อนเก่าของเขาทรงทราบดี เจ้าชายทรงหวังว่าแจ๊คจะได้พักผ่อนบ้าง สำหรับทุกคนที่อยู่ในห้องรับรอง การพักผ่อนเป็นสิ่งป้องกันความล้าจากการเดินทาง สำหรับไรอันมันเป็นเชื้อเพลิงที่จำเป็น และเขาก็ต้องการมันเป็นจำนวนมากในอีกสองวันข้างหน้า
.
.
แถวไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นคำกล่าวที่ได้ยินจนเบื่อหู มันยืดยาวออกไปถึงอาคารการคลัง ที่จุดปลายของมันเหมือนกับปลายเชือกที่หลุดลุ่ย มีคนเข้ามารวมตัวและบีบเข้าเป็นแถวจนเหมือนกับมันสร้างตัวเองขึ้นมาจากความว่างเปล่า เติมขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสมาชิกในแถวเคลื่อนตัวไปท่ามกลางความหนาวเย็น พวกเขาเข้าในอาคารเป็นกลุ่ม ๆ ละกว่าห้าสิบคน ช่วงเวลาการเปิดปิดประตูควบคุมโดยใครสักคนที่มีนาฬิกา หรืออาจจะเพียงนับช้า ๆ ในใจ มีกองทหารเกียรติยศ พลทหารจากแต่ละเหล่ามีนายทหารกองทัพอากาศเป็นผู้ควบคุมในตอนนี้ พวกเขากับหีบศพตั้งอยู่นิ่งขณะที่ผู้คนเดินผ่านไป
ไรอันพิจารณาดูใบหน้าผู้คนจากทีวีในห้องทำงานของเขาหลังจากที่เขาเข้ามา เป็นอีกครั้งที่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เขาสงสัยว่าพวกเขากำลังคิดอะไรและทำไมถึงได้มา ไม่กี่คนที่ลงคะแนนเลือกโรเจอร์ เดอร์ลิ่งจริง ๆ เขาเป็นคนรองในบัตรลงคะแนนอยู่แล้ว แล้วเขาก็รับตำแหน่งต่อจากการลาออกของบ็อบ ฟาวเลอร์เท่านั้น แต่อเมริกาอ้าแขนรับประธานาธิบดีของชาติ หลังความตาย โรเจอร์ได้รับความรักและเคารพที่ดูเหมือนจะไม่เคยได้ขนาดนี้ตอนมีชีวิตอยู่ ผู้ไว้อาลัยบางคนเบือนหน้าจากหีบศพไปมองรอบ ๆ ห้องโถงของอาคารซึ่งหลายคนไม่เคยได้เห็นมาก่อน ใช้เวลาไม่กี่วินาทีของพวกเขาหันหนีจากสิ่งที่เป็นเหตุผลที่พวกเขามาอย่างน่าประหลาด จากนั้นก็ก้าวลงบันไดออกไปประตูทิศตะวันออก ไม่เป็นแถวอีกแล้ว แต่เป็นกลุ่มระหว่างเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัว หรือแม้แต่โดยลำพัง ออกจากเมืองนี้และทำธุระของตนต่อไป แล้วก็ถึงเวลาที่เขาต้องทำอย่างเดียวกัน ที่ถูกต้องก็คือกลับไปหาครอบครัวของเขา และก็ศึกษางานในวันถัดไป
.
.
พลาดได้ไงล่ะ? พวกเขาตัดสินใจมาที่สนามบินดัลเลส โชคดีที่หาโรงแรมถูก ๆ สุดสายเหลืองของรถเมโทรได้ พวกเขานั่งรถไฟใต้ดินเข้าเมือง ลงที่สถานีฟารากัท สแควร์ ห่างจากทำเนียบขาวไปเพียงไม่กี่ช่วงตึกเพื่อให้มองเห็นได้ เป็นครั้งแรกสำหรับพวกเขา ที่จริง ก็ครั้งแรกในหลาย ๆ เรื่อง เพราะทั้งคู่ไม่เคยมาวอชิงตัน เมืองอัปรีย์ริมแม่น้ำเล็กๆที่ทำให้สกปรกไปทั้งประเทศซึ่งมันดูดเลือดและสินทรัพย์มา นี่เป็นประโยคยอดนิยมของกลุ่มคนภูเขา ใช้เวลาพอสมควรหาปลายแถว แล้วพวกเขาก็เดินตามแถวไปเรื่อย ๆ หลายชั่วโมงกับเรื่องดีอย่างเดียวคือพวกเขารู้ว่าจะแต่งตัวรับอากาศหนาวได้ยังไง ผิดกับพวกฝั่งตะวันออกปัญญาอ่อนที่อยู่ในแถวกับพวกเขา ใส่เสื้อคลุมบาง ๆ และไม่มีอะไรปกปิดหัว นั่นเป็นทั้งหมดที่พีท ฮอลบรุค และเออเนสท์ บราวน์ทำได้เพื่อไม่ให้พูดตลกเยาะพวกนั้น ทั้งคู่คอยฟังสิ่งที่คนอื่นในแถวคุย ซึ่งน่าผิดหวัง บางทีหลายคนอาจเป็นลูกจ้างรัฐบาลกลาง ชายทั้งคู่คิด มีเสียงครวญครางบ้างว่ามันเศร้าขนาดไหน โรเจอร์ เดอร์ลิ่งเป็นคนดีขนาดไหน และภรรยาของเขาสวยขนาดไหน และลูก ๆ ของเขาน่ารักขนาดไหน และจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเด็กๆขนาดไหน
เอาล่ะ สมาชิกคนภูเขาทั้งสองคนต้องยอมรับกับอีกคน ใช่แล้ว ต้องเป็นเรื่องยากสำหรับเด็ก ๆ แน่ ใครล่ะไม่ชอบเด็ก? แต่ว่าไข่คนก็คงเป็นสิ่งที่แม่ไก่ไม่อยากจะได้เห็น จริงมั้ย? แล้วพ่อของพวกเด็ก ๆ ทำให้ประชาชนบริสุทธิ์ที่เพียงต้องการมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้พวกงี่เง่าในวอชิงตันทั้งหมดนั่นเข้ามายุ่งด้วย ต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน? แต่พวกเขาไม่ได้พูดเรื่องนั้นออกไป พวกเขาปิดปากสนิทเกือบตลอดเวลาขณะที่แถวเคลื่อนไปตามถนน ทั้งคู่รู้เรื่องของอาคารการคลังซึ่งปกป้องเขาจากความหนาวในขณะนี้เป็นอย่างดี การที่แอนดี้ แจคสันตัดสินใจย้ายมันเพื่อเขาจะได้ไม่ต้องเห็นอาคารรัฐสภาจากทำเนียบขาว (ตอนนี้ยังมืดเกินกว่าที่พวกเขาจะเห็นได้มากนัก) ทำให้เกิดการวิ่งออกกำลังที่มีชื่อและน่ารำคาญมากที่ถนนเพนซิลเวเนีย แอฟวะนิว แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะถนนหน้าทำเนียบขาวถูกปิด เพราะอะไรเหรอ? เพื่อป้องกันประธานาธิบดีจากประชาชน! ไม่วางใจให้ประชาชนเข้าใกล้กับเจ้านายใหญ่ แน่นอนพวกเขาพูดแบบนั้นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่พวกเขาพูดกันในตอนบินมา บอกไม่ได้เลยว่ามีพวกสายลับอยู่แถวนี้มากขนาดไหน โดยเฉพาะในแถวไปสู่ทำเนียบขาว ชื่อของสิ่งปลูกสร้างนั้นที่พวกเขายอมรับก็เพราะว่ากันว่าเดวี่ ครอกเก็ตส์เป็นคนเลือก ฮอลบรุคจำได้จากหนังที่เขาเคยดูในทีวี ถึงเขาจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร แต่ท่านเดวี่ก็เป็นคนอเมริกันแบบที่พวกเขานิยมอย่างไม่มีข้อสงสัย คนแบบที่ตั้งชื่อให้กับปืนกระบอกโปรดของตัวเอง ใช่แล้ว
ที่จริงมันก็ไม่ใช่บ้านที่น่าเกลียดเท่าไหร่ แล้วก็มีคนดี ๆ เคยอยู่ที่นี่เหมือนกัน แอนดี้ แจคสัน ผู้ที่บอกศาลฎีกาว่าไปหาความสุขได้ที่ไหน ลินคอล์น เจ้าแก่หัวแข็ง น่าเสียดายที่เขาถูกฆ่าก่อนเริ่มทำตามแผนส่งพวกไอ้มืดกลับแอฟริกาหรือลาตินอเมริกา... (ทั้งคู่ค่อนข้างชอบเจมส์ มอนโรด้วยที่เริ่มแนวคิดนั้นโดยตั้งไลบีเรียเป็นที่ส่งทาสกลับไป แย่ที่ไม่มีใครทำตามนั้น) เท็ดดี้ รู้สเวลท์ ผู้ที่มีสิ่งดี ๆ มากมายสำหรับเขา พรานและนักกีฬากลางแจ้งและทหารผู้ทำเกินไปหน่อยในการ "ปฏิรูป" รัฐบาล ถึงไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ทั้งคู่ลงความเห็น แต่ไม่ใช่ความผิดของทำเนียบที่ช่วงหลังมักมีเจ้าของที่พวกเขาไม่ชอบ นั่นเป็นปัญหาของตึกในวอชิงตัน ถึงอย่างนั้นรัฐสภาก็เคยเป็นบ้านของเฮนรี่ เคลย์และแดนเนี่ยล เวบสเตอร์ ผู้รักชาติ ไม่เหมือนพวกที่โดนนักบินยุ่นนั่นย่างไป
เหตุการณ์ตึงเครียดขึ้นหน่อยเมื่อพวกเขาเลี้ยวเข้าผ่านรั้วทำเนียบขาว เหมือนกับก้าวสู่เขตแดนของศัตรู มียามที่ป้อมยามข้างประตูจากหน่วยในเครื่องแบบของหน่วยคุ้มกัน มี นย.อยู่ข้างใน ไม่น่าอายหรอกเหรอ? นาวิกโยธิน อเมริกันแท้ ๆ แม้แต่พวกผิวดำ อาจเพราะพวกนั้นผ่านการฝึกแบบเดียวกับคนผิวขาว และบางทีพวกนั้นบางคนอาจรักชาติเหมือนกัน แย่ที่พวกนั้นเป็นไอ้มืด แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แล้วทุกอย่างที่ นย. ทำก็มาจากพวกขี้ข้ารัฐสั่ง นั่นทำให้รับภาพที่ปรากฏได้ยากหน่อย พวกนี้เป็นแค่เด็ก บางทีพวกเขาจะเรียนรู้ เพราะที่จริงแล้วในกลุ่มคนภูเขาก็มีอดีตทหารอยู่ด้วย พวกนาวิก ฯ กำลังสั่นอยู่ในเสื้อคลุมยาวกับถุงมือขาวของพวกรักร่วมเพศ และในที่สุดพวกนั้นคนหนึ่ง จ่าผิวดำ ดูจากบั้ง ก็เปิดประตู
ก็แค่บ้าน ฮอลบรุคกับบราวน์คิด เมื่อมองไปรอบ ๆ ห้องโถงสูง เห็นได้ง่ายมากว่าทำไมใครซักคนที่อยู่ที่นี่จะคิดว่าตัวเองเป็นราชาน้ำเน่า แกต้องระวังของแบบนั้น ลินคอล์นโตมาในบ้านไม้ ส่วนเท็ดดี้ก็รู้รสชาติชีวิตในเต๊นท์ ล่าสัตว์ไปตามเทือกเขา แต่เดี๋ยวนี้ใครๆที่อยู่ที่นี่เป็นแค่ขี้ข้ารัฐอีกคนหนึ่ง ข้างในมีนาวิกฯอีก กับทหารเกียรติยศรอบหีบสองหีบ แล้วที่น่ารำคาญที่สุดก็คือพวกในชุดธรรมดาที่มีสายพลาสติกม้วน ๆ เล็ก ๆ โผล่จากคอเสื้อสูทไปที่หู หน่วยคุ้มกัน ตำรวจรัฐบาลกลาง ใบหน้าของศัตรู สังกัดกระทรวงเดียวกับสำนักงานควบคุมแอลกอฮอล ยาสูบ และอาวุธปืน เห็นได้เลย การต่อต้านรัฐบาลของประชาชนครั้งแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับแอลกอฮอล การกบฎวิสกี้ ((Whiskey Rebellion เป็นการกบฏในปี 1794 เมื่อรัฐบาลกลางสหรัฐ ฯ ออกกฏหมายเก็บภาษีวิสกี้ ทำให้ชาวนาผู้ปลูกข้าวและกลั่นวิสกี้ไม่พอใจจึงก่อความวุ่นวายขึ้นในแถบเพนซิลเวเนียตะวันตก ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันสั่งให้ส่งทหารเข้าไปปราบปรามจับกุม ความวุ่นวายจึงสงบลง)) ซึ่งเป็นสาเหตว่าทำไมกลุ่มคนภูเขาชื่นชอบจอร์จ วอชิงตันเหมือน ๆ กัน พวกค่อนข้างเสรีนิยมในหมู่พวกเขากล่าวไว้ว่าแม้แต่คนดี ๆ ก็มีวันที่เลวร้ายได้ แล้วจอร์จก็ไม่ใช่คนที่จะไปเหยียบเท้าได้เฉย ๆ บราวน์กับฮอลบรุคไม่ได้มองพวกหน่วยคุ้มกันน่าสะอิดสะเอียนนั่นตรง ๆ แกต้องระวังไปเหยียบตีนพวกนี้เข้าเหมือนกัน
.
.
เจ้าหน้าที่พิเศษไพรซ์เดินเข้ามาในห้องโถงขณะนั้น คนที่เธอคุ้มกันปลอดภัยอยู่ในห้องทำงาน ความรับผิดชอบของเธอในฐานะหัวหน้าชุดคุ้มกันก็ขยายไปคลุมทั้งอาคาร ขบวนแถวไม่ใช่ภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของทำเนียบ ในแง่ของความปลอดภัย มันเป็นแค่สิ่งน่ารำคาญ ถึงแม้จะมีมือปืนทั้งคณะแฝงตัวอยู่ในแถว หลังประตูที่ปิดอยู่รอบๆบริเวณนี้มีหน่วยคุ้มกันติดอาวุธยี่สิบคน หลายคนมีปืนกลมืออูซี่อยู่ในกระเป๋าปืนยิงเร็ว เรียกกันอย่างเจ็บแสบว่า กระเป๋าแฟ้ก ((FAG bag- Fast-Action-Gun bag, คำว่า fag หมายถึงเป็นอย่างขี้ข้า)) เครื่องตรวจจับโลหะซ่อนอยู่ในทางเดินเข้าประตูจะบอกเจ้าหน้าที่จากหน่วยเทคนิคความปลอดภัยว่าควรจะเพ่งเล็งใคร และเจ้าหน้าที่คนอื่นมีรูปถ่ายอยู่ในอุ้งมือเหมือนกับกองไพ่ ซึ่งพวกเขาไล่ดูเรื่อยๆจนกว่าจะเทียบใบหน้าทุกคนที่ผ่านประตูเข้ามากับหน้าตัวปัญหาที่รู้จักหรือสงสัยได้ สำหรับเจ้าหน้าที่ที่เหลืออาศัยสัญชาตญาณและการฝึกฝน ที่สุดแล้วคือคนที่ดู "ตลก" คนแบบอเมริกันกับกิริยาที่ไม่เหมาะสม ปัญหาในเรื่องนั้นก็คืออากาศหนาวเย็นข้างนอก คนที่เข้ามามากมายดูตลกอยู่แล้ว บางคนกระทืบเท้ากับพื้นเล็กน้อย คนอื่นๆยัดมือใส่กระเป๋า หรือจัดเสื้อคลุม หรือตัวสั่น หรือแค่มองไปรอบๆอย่างแปลกๆ กิริยาทั้งหมดล้วนดึงความสนใจของใครสักคนในชุดคุ้มกัน ในบางครั้งที่ท่าทางแบบนั้นเกิดกับคนที่เครื่องตรวจโลหะพึ่งร้องเตือน เจ้าหน้าที่จะยกมือขึ้นเหมือนกับจะเกาจมูกตัวเอง แล้วก็พูดกรอกไมโครโฟนว่า "เสื้อฟ้า ผู้ชาย สูงหกฟุต" เป็นต้น ซึ่งจะทำให้สี่หรือห้าหัวหันมาเพื่อตรวจดูใกล้ๆ ในกรณีนี้ เป็นทันตแพทย์จากริชมอนด์ที่แค่เปลี่ยนเครื่องอุ่นมือจากข้างหนึ่งไปอีกข้าง ขนาดร่างกายของเขาถูกตรวจสอบกับรูปภาพผู้ต้องสงสัยที่มีรูปร่างใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่พบใครที่เหมือนกัน แต่พวกเขาก็เฝ้าดูต่อไปอยู่นั่นเอง และกล้องทีวีที่ซ่อนอยู่ก็ดึงภาพเข้ามาเพื่อบันทึกหน้าของเขาไว้ ในบางกรณีที่ผิดปกติอย่างมาก จะมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งแฝงเข้าในกลุ่มผู้ไว้อาลัยที่กำลังออกไป จากนั้นก็ติดตามผู้ต้องสงสัยไปจนรถเพื่อจดทะเบียนรถ กองบัญชาการอากาศยุทธศาสตร์มีภาษิตประจำอย่างเป็นทางการว่า สันติภาพคืออาชีพของเรา สำหรับหน่วยคุ้มกัน หลักประจำใจคือความหวาดวิตก ความจำเป็นในสิ่งนั้นเห็นได้อย่างเด่นชัดจากหีบศพสองหีบในห้องโถงทำเนียบขาว
.
.
บราวน์กับฮอลบรุคมีโอกาสมองตรงเป็นเวลาห้าวินาที หีบราคาแพงสองหีบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซื้อด้วยเงินรัฐบาล และคลุมด้วยธงชาติเหมือนดูหมิ่น พวกเขาคิด เอ้อ บางทีอาจจะไม่ใช่สำหรับเมียเขา ที่สุดแล้วพวกผู้หญิงก็ควรซื่อสัตย์ต่อสามี เรื่องนั้นก็ช่วยไม่ได้ กลุ่มคนนำพวกเขาเดินตามไปทางซ้าย และเชือกสีม่วงก็นำพวกเขาลงบันได พวกเขารู้สึกถึงความเปลี่ยนไปในคนอื่น ๆ การสูดลมหายใจลึก ๆ และเสียงสะอื้นของคนที่กำลังเช็ดน้ำตา ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง สมาชิกกลุ่มคนภูเขาทั้งคู่ไม่แสดงอะไรออกมา เช่นเดียวกับผู้ชายส่วนมาก รูปปั้นของเรมิงตันระหว่างทางออกทำให้ทั้งสองคนหยุดชื่นชมครู่หนึ่ง จากนั้นก็ออกไปสู่กลางแจ้ง อากาศบริสุทธิ์เป็นการชะล้างที่น่ายินดีหลังจากอบไอรัฐบาลกลางไปหลายนาที พวกเขาไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งเดินออกไปนอกบริเวณและห่างจากกลุ่มคนอื่น
"หีบสวยนะที่เราซื้อให้พวกนั้น" ฮอลบรุคเอ่ยขึ้นก่อน
"เสียดายมันไม่ได้เปิดฝา" บราวน์มองไปรอบ ๆ ไม่มีใครอยู่ใกล้พอจะได้ยินคำพูดไม่สมควรของเขา "พวกนั้นมีลูกนี่นะ" พีทชี้ให้เห็น เขาเดินไปทางใต้เพื่อจะได้มองไปตามถนนเพนซิลเวเนีย แอฟวะนิว
"ช่ายช่ายช่าย แล้วเด็กนั่นก็จะโตไปเป็นขี้ข้ารัฐเหมือนกัน" ทั้งสองเดินไปอีกไม่กี่หลา "โอ้โหเฮะ!"
อาทิตย์กำลังขึ้น การหายไปของอาคารสูงทางตะวันออกทำให้ตึกสีขาวปรากฏภาพอย่างสวยงามในแสงอาทิตย์ ถึงเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่มาวอชิงตัน แต่ทั้งคู่ก็สามารถร่างภาพของอาคารได้อย่างถูกต้องจากความทรงจำ และความผิดปกติของทิวทัศน์ที่ปรากฏก็คงไม่เด่นชัดไปกว่านี้ได้อีก พีทดีใจที่เออร์นี่หว่านล้อมให้เขามาที่นี่ แค่สิ่งที่เห็นก็คุ้มกับความลำบากในการเดินทางทั้งหมด คราวนี้เขารวบรวมความคิดได้ก่อน "เออร์นี่" ฮอลบรุคกล่าว รู้สึกขนลุก "มันทำให้เกิดแรงดลใจจริงๆว่ะ"
"จริง"
.
.
ปัญหาหนึ่งของโรคติดต่อก็คือสัญญาณเตือนนั้นไม่แน่นอน และเรื่องกังวลหลักคือคนไข้คนหนึ่งของเธอ เขาเป็นเด็กดีมาก แต่-แต่เขาป่วยหนัก ซิสเตอร์จัง แบบติสต์เห็นแล้วในตอนนี้ว่าไข้ของเขาพุ่งขึ้นถึง 40.4 องศาเซลเซียส นั่นก็ร้ายแรงพออยู่แล้ว แต่สัญญาณอื่นยิ่งแย่กว่า อาการวิงเวียนแย่ลง อาเจียนมากขึ้นและตอนนี้ก็มีเลือดปนอยู่ในนั้น นั่นเป็นสิ่งชี้ให้เห็นว่ามีการตกเลือดภายใน ทั้งหมดนี้ เธอรู้ อาจหมายความได้หลายอย่าง แต่อย่างที่เธอกังวลคือที่เรียกกันว่าอีโบลา แซอีร์ มีโรคติดต่ออยู่มากมายในป่าประเทศนี้ บางครั้งเธอยังคิดว่าเป็นคองโกในปกครองเบลเยี่ยมอยู่ การแข่งเป็นอันดับแรกของความเลวร้ายอย่างที่สุดเข้มข้นกว่าที่ใครจะคิดได้ และอีโบลาก็อยู่ตรงก้นบึ้งของความเลวร้ายนั่นเลย เธอต้องเจาะเลือดสำหรับการทดสอบอีก สำหรับครั้งนี้เธอทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ตัวอย่างเลือดชุดแรกหายไปอย่างไรไม่รู้ สต๊าฟฟ์เด็กๆไม่ได้ทำงานละเอียดเท่าที่ควร... พ่อแม่ของเขาจับแขนเอาไว้ขณะที่เธอเจาะเลือด มือของเธอถูกปกป้องด้วยถุงมือลาเท็กซ์ มันเป็นไปอย่างราบรื่น เด็กชายไม่มีสติแม้แต่น้อยในขณะนั้น เธอถอนเข็มแล้ววางมันลงในกล่องพลาสติกเพื่อกำจัดทันที หลอดบรรจุเลือดแข็งแรงดี แต่ก็ต้องใส่กล่องอีกกล่อง ความกังวลในตอนนี้ของเธอคือเข็ม มีหลายคนในกลุ่มสต๊าฟฟ์พยายามประหยัดเงินของโรงพยาบาลด้วยการนำอุปกรณ์กลับมาใช้ใหม่ ถึงแม้จะมีเอดส์และโรคติดต่อทางเลือดอื่น เธอจะจัดการเรื่องนี้เอง เพื่อความมั่นใจ
ไม่มีเวลาดูคนไข้อีกกว่านี้ เธอเดินออกจากวอร์ดผ่านทางเดินไปยังอาคารอีกหลัง โรงพยาบาลนี้มีประวัติศาสตร์ทรงเกียรติมายาวนาน และถูกสร้างขึ้นตามสภาพพื้นที่ อาคารต่ำหลายแหล่งเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินมีหลังคา อาคารแล็บอยู่ห่างออกไปเพียงห้าสิบเมตร ส่วนนี้ทันสมัยจากที่องค์การอนามัยโลกส่งแพทย์หนุ่มสาวหกคนพร้อมกับอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่อนิจจา ไม่มีนางพยาบาล ทั้งหมดฝึกมาโดยอังกฤษหรืออเมริกา
ดร. โมฮัมเมด มูดี้นั่งอยู่ที่โต๊ะแล็บ สูง ผอม ผิวคล้ำ ท่าทางของเขาชาเย็น แต่เขาก็ชำนาญ เขาหันมาเมื่อเห็นเธอเข้ามา และสังเกตวิธีที่เธอกำจัดเข็มฉีดยา
"อะไรเหรอครับซิสเตอร์?"
"ผู้ป่วยคูซา เบเนดิก คูซา ชายอัฟริกัน อายุแปดปีค่ะ" เธอส่งเอกสารให้ มูดี้เปิดแฟ้มแล้วอ่านดู สำหรับพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือเปล่า เธอก็เป็นสตรีที่ควรเคารพ และเป็นนางพยาบาลที่ดี อาการป่วยเกิดขึ้นทีละอย่าง เอกสารที่เสนอให้แพทย์ทำได้ดีมาก ปวดศีรษะ หนาวสั่น มีไข้ วิงเวียน กระสับกระส่าย และตอนนี้มีสัญญาณว่าตกเลือดภายใน ไม่มีความรู้สึกแสดงออกมาในแววตาเมื่อนายแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้น ถ้าต่อไปมีจุดเลือดปรากฏบนผิวหนังของเขา...
"เขาอยู่ในวอร์ดทั่วไปเหรอ?"
"ค่ะคุณหมอ"
"ย้ายเขาไปที่อาคารโรคติดต่อทันที ผมจะไปที่นั่นภายในครึ่งชั่วโมง"
"ค่ะคุณหมอ" ตอนเดินออกไปเธอเช็ดหน้าผาก คงเป็นเพราะความร้อน เราไม่มีทางชินกับมัน ถ้าคุณมาจากยุโรปเหนือ บางทีแอสไพรินซักเม็ดหลังจากเธอดูคนไข้แล้วคงจะดี
.
.
By Kaii
This page hosted by
Get your own Free Home Page