Executive Orders

บทที่ 8 เปลี่ยนแปลงการควบคุม

ยังเป็นความปรานีที่พิธีในส่วนที่แอนดรูวส์ไม่ยาวนัก จากโบสถ์ หีบศพเดินทางมาในรถบรรจุศพ ทิ้งกลุ่มผู้มาร่วมพิธีไว้เพื่อให้แยกย้ายกันไปตามสถานทูตต่าง ๆ เครื่องแอร์ฟอร์ซวันรอรับสามีภรรยาเดอร์ลิ่งกลับแคลิฟอร์เนียเป็นครั้งสุดท้าย ตอนนี้พิธีดูจริงจังน้อยลงแล้ว ยังมีทหารกองเกียรติยศเพื่อทำความเคารพหีบศพคลุมด้วยธงชาติ แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม ฝูงชนจำนวนน้อยลง ส่วนใหญ่เป็นคนของกองทัพอากาศและเจ้าหน้าที่ทหารอื่น ๆ ที่เคยทำงานโดยตรงกับคณะประธานาธิบดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตามคำขอของครอบครัว พิธีฝังศพจริงจะเล็กกว่านี้ จำกัดเฉพาะเครือญาติเท่านั้น ซึ่งคงจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับทุก ๆ คน ดังนั้นที่แอนดรูวส์นี้จึงเป็นการบรรเลง "รัฟเฟิลส์ แอนด์ เฟลอริชส์" และ "เฮล ทู เดอะ ชีฟ" ((Hail to the Chief เพลงบรรเลงสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ใช้ในโอกาสที่ประธานาธิบดีมาปรากฏตัว อ่านประวัติของเพลงได้ที่นี่ และฟังเพลงตัวอย่างได้ที่นี่)) เป็นครั้งสุดท้าย มาร์คยืนตรงแสดงความเคารพ กุมมือของเขาตรงหัวใจในท่าที่จะได้ขึ้นปกนิตยสารข่าวต่าง ๆ อย่างแน่นอน เขาเป็นเด็กดี ทำดีที่สุดที่เขาจะทำได้ เป็นลูกผู้ชายเกินกว่าตัวเองจะรู้ ลิฟท์ยกหีบศพขึ้นไปที่ประตูขนส่งสิ่งของ ซึ่งถึงตอนนี้ก็คือสิ่งที่ร่างทั้งคู่เป็น เป็นการดีที่การขนย้ายส่วนนี้ถูกบังจากสายตาของคนที่เฝ้าดูอยู่ จากนั้นก็ถึงเวลา ครอบครัวก้าวขึ้นบันไดสู่เครื่องวีซี-25 เป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขา ตอนนี้มันไม่ได้ชื่อรหัสแอร์ฟอร์ซวันอีกต่อไปแล้ว เพราะชื่อนั้นใช้พร้อมกับประธานาธิบดี และประธานาธิบดีก็ไม่ได้ขึ้นเครื่องตอนนี้ ไรอันมองดูเครื่องแล่นออกไป จากนั้นก็พุ่งทะยานไปบนรันเวย์ กล้องทีวีจับภาพมันจนกระทั่งเหลือเพียงจุดเล็ก ๆ ในท้องฟ้า สายตาของไรอันก็ทำแบบเดียวกัน จึงตอนนั้น ฝูงเอฟ-16 ซึ่งพ้นจากหน้าที่เฝ้าคุ้มกันน่านฟ้าวอชิงตันแล่นลงจอดทีละลำ เมื่อเรียบร้อยแล้ว ไรอันกับครอบครัวจึงขึ้นเฮลิคอปเตอร์นาวิกโยธินกลับไปทำเนียบขาว พลประจำเครื่องยิ้มและเล่นกับลูก ๆ ของเขา แจ๊คน้อยได้ตราประจำหน่วยหลังจากรัดเข็มขัดแล้ว บรรยากาศของวันนี้เปลี่ยนไปจากนั้น นาวิกโยธินแห่งวีเอ็มเอช-1 มีครอบครัวใหม่ที่ต้องดูแล และชีวิตของพวกเขาก็ดำเนินต่อไป สต๊าฟฟ์ของทำเนียบขาวเริ่มทำงานไปแล้ว เคลื่อนย้ายข้าวของของครอบครัวไรอันเข้ามา (พวกเขาใช้เวลาตลอดเช้าย้ายของของครอบครัวเดอร์ลิ่งออกไป) เปลี่ยนเครื่องเรือนบางอย่าง และในคืนนี้ครอบครัวของแจ๊คจะนอนในบ้านหลังเดียวกับที่จอห์น อดัมส์เคยอยู่เป็นคนแรก พวกเด็ก ๆ เป็นอย่างเด็ก ๆ มองออกหน้าต่างขณะที่เฮลิคอปเตอร์ลดระดับลง ส่วนพ่อแม่ ก็เป็นอย่างพ่อแม่ มองหน้ากันและกัน

หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปตรงจุดนี้ ในพิธีศพภายในครอบครัว นี่จะเป็นงานหน้าศพ ความเศร้าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ผู้ไว้อาลัยจะจำไว้ว่าโรเจอร์เป็นคนที่ดีขนาดไหน จากนั้นก็คุยเกี่ยวกับสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา พวกเด็ก ๆ ไปโรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง คุยเรื่องการแลกตัวนักกีฬาเบสบอลระหว่างฤดูกาลแข่ง มันเป็นวิธีที่ให้ทุกอย่างกลับสู่ปกติหลังจากวันที่เศร้าหมอง ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่มันเกิดขึ้นในขอบเขตที่กว้างกว่า ช่างภาพทำเนียบขาวรออยู่ในสนามทิศใต้ขณะที่เฮลิคอปเตอร์ลงแตะพื้น บันไดกางออก นายสิบนาวิกโยธินยืนอยู่ที่ปลายของมัน ประธานาธิบดีไรอันออกมาเป็นคนแรก พบกับวันทยาหัตถ์ของนายสิบในชุดสีน้ำเงิน ซึ่งเขาวันยาหัตถ์กลับโดยอัตโนมัติจากการฝึกที่ควอนติโก เวอร์จิเนีย เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนที่ยังฝังอยู่ในภายใน แคธี่ตามหลังลงมา จากนั้นก็เป็นพวกเด็ก ๆ หน่วยคุ้มกันตั้งแถวแบบหลวม ๆ ช่วยบอกพวกเขาว่าจะต้องเดินไปทางไหน กล้องข่าวอยู่ห่างออกไปทางตะวันตก ทางซ้ายมือของพวกเขา แต่ไม่มีการตะโกนถามคำถามใด ๆ ในคราวนี้ ซึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ภายในทำเนียบขาว ครอบครัวไรอันถูกนำไปยังลิฟท์เพื่อขึ้นไปชั้นสองที่เป็นชั้นห้องนอนอย่างเร็ว แวน แดมม์รออยู่ที่นั่น

"ท่านประธานาธิบดีครับ"

"ผมเปลี่ยนไปรึเปล่า อาร์นี่?" แจ๊คถาม ยื่นเสื้อคลุมของเขาให้พนักงานรับใช้ ไรอันชะงักงัน ถึงแค่หนึ่งหรือสองวินาที ด้วยความประหลาดใจที่เขาทำกิจกรรมธรรมดาอย่างนั้นได้ง่ายขนาดไหน เขาเป็นประธานาธิบดีแล้ว และเขาเริ่มทำตัวเหมือนอย่างนั้นโดยอัตโนมัติทีละน้อย ๆ มันน่าทึ่งมากกว่าตำแหน่งที่เขายอมรับเสียอีก

"ไม่หรอกครับ นี่ครับ" หัวหน้าสต๊าฟฟ์ยื่นรายชื่อแขกที่อยู่ข้างล่างในห้องตะวันออกแล้วตอนนี้ แจ๊คอ่านตรวจดูขณะที่กำลังยืนอยู่กลางทางเดิน รายชื่อเหมือนกับชื่อประเทศ หลายชื่อเป็นมิตร หลายชื่อเป็นที่คุ้นเคย บางชื่อเป็นคนแปลกหน้าอย่างแท้จริง และบางชื่อ... ถึงแม้จะเคยเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติมาก่อน เขาไม่ได้รู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้เกี่ยวกับพวกนี้ ระหว่างที่เขาอ่าน แคธี่ต้อนเด็ก ๆ ไปห้องน้ำ หรือกำลังจะทำ เจ้าหน้าที่ในชุดคุ้มกันต้องช่วยหาตัวพวกเด็ก ๆ แจ๊คเดินเข้าห้องน้ำของเขาเอง มองตรวจดูทรงผมในกระจก เขาหวีผมด้วยตัวเอง โดยไม่ได้อยู่ในการดูแลของนางแอบบ็อท แต่ภายใต้การพิจารณาของแวน แดมม์ ไม่ปลอดภัยแม้แต่ในนี้ ท่านประธานาธิบดีบอกตัวเอง

"งานนี้จะนานขนาดไหน อาร์นี่?"

"บอกไม่ได้เหมือนกันครับท่าน"

ไรอันหันมา "ตอนเราอยู่กันสองคน ชื่อผมยังเป็นแจ๊คนะ จำได้มั้ย? ผมไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ"

"ตกลง แจ๊ค"

"พวกเด็ก ๆ ด้วย?"

"นั่นคงจะดี... แจ๊ค จนถึงตอนนี้ คุณทำได้ดีแล้ว"

"คนร่างสุนทรพจน์โมโหผมรึเปล่า?" เขาถาม ตรวจดูเนคไทแล้วออกจากห้องน้ำ

"สัญชาตญาณของคุณใช้ได้ไม่เลว แต่คราวหน้าเราเตรียมร่างคำพูดอย่างนั้นไว้ได้"

ไรอันคิดเรื่องนั้น ยื่นรายชื่อกลับให้แวน แดมม์ "รู้มั้ย เพราะว่าผมเป็นประธานาธิบดีไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ได้เป็นมนุษย์อีกแล้วนะ"

"แจ๊ค รับมันให้ได้หน่อย ได้มั้ย? คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เป็น "แค่คนคนหนึ่ง" อีกต่อไปแล้วนะ เอาล่ะ คุณมีเวลาสองสามวันทำตัวให้คุ้นเคยกับแนวความคิดนี้ ตอนคุณเดินลงบันไดไป คุณเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่แค่คนคนหนึ่ง ทั้งคุณ ทั้งภรรยาคุณ และในบางอย่างก็ทั้งลูก ๆ ของคุณด้วย" จากสายตาของเขา หัวหน้าสต๊าฟฟ์ได้เห็นแววตาแสดงความโกรธแค้นเป็นเวลาอาจจะหนึ่งหรือสองวินาที อาร์นี่ทำเป็นไม่สนใจมัน เป็นแค่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องงาน "พร้อมหรือยังครับท่านประธานาธิบดี?"

แจ๊คพยักหน้า สงสัยว่าอาร์นี่พูดถูกหรือเปล่า และสงสัยว่าทำไมความเห็นนั้นถึงทำให้เขาโกรธมากขนาดนั้น จากนั้นก็สงสัยอีกครั้งว่ามันเป็นความจริงขนาดไหน เราคาดอาร์นี่ไม่ได้ เขาเป็นและจะยังเป็นครูต่อไป และเช่นเดียวกับครูที่ชำนาญส่วนใหญ่ บางครั้งเขาโกหกเพื่อเตือนอย่างโหดร้ายให้เห็นถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ลึกลงไป

ดอน รัสเซลปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดิน เดินจูงมือนำเคที่มา เธอมีริบบิ้นสีแดงผูกผม รีบปล่อยมือแล้ววิ่งไปหาแม่ "ดูซิคะว่าลุงดอนทำอะไร!" สมาชิกของชุดคุ้มกันอย่างน้อยคนหนึ่งก็กลายเป็นสมาชิกของครอบครัวไปแล้ว

"คุณน่าจะเอาพวกแกเข้าห้องน้ำตอนนี้ครับคุณนายไรอัน เพราะไม่มีห้องน้ำอยู่ชั้นล่าง"

"ไม่มีเลยเหรอคะ?"

รัสเซลส่ายหน้า "ไม่ครับ พวกเขาคงลืมตอนที่สร้างที่นี่"

แคโรไลน์ ไรอันจับเด็กสองคนเล็กแล้วนำพวกแกไป ทำหน้าที่แม่ของเธอ เธอกลับมาในอีกหลายนาทีถัดมา

"คุณอยากให้ผมอุ้มแกลงไปแทนมั้ยครับ?" รัสเซลถามพร้อมกับยิ้มแบบคุณปู่ "ขั้นบันไดเดินลำบากสำหรับส้นสูงซักหน่อย ผมจะส่งแกคืนให้ข้างล่าง"

"ตกลงค่ะ" หลายคนเริ่มเดินไปที่บันได แอนเดรีย ไพรซ์กดไมโครโฟนของเธอ

"นักดาบกับคณะกำลังออกจากที่พักไปชั้นหนึ่งแล้ว"

"ทราบแล้ว" เจ้าหน้าที่อีกคนตอบมาจากชั้นล่าง

พวกเขาได้ยินเสียงก่อนจะเลี้ยวครั้งสุดท้ายบนขั้นบันไดหินอ่อนด้วยซ้ำ รัสเซลวางเคที่ ไรอันลงที่พื้นข้างแม่ของแก หน่วยคุ้มกันค่อย ๆ หายไป กลายเป็นล่องหนไปอย่างน่าประหลาดขณะครอบครัวไรอัน ครอบครัวหมายเลขหนึ่ง เดินเข้าไปในห้องตะวันออก

"ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี" สมาชิกสต๊าฟฟ์ประกาศ "ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ดร. ไรอันและครอบครัว" ทุกใบหน้าหันมา มีเสียงปรบมือสั้น ๆ แล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่สายตายังอยู่ พวกเขาดูเป็นมิตรทีเดียว แจ๊คคิด รู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นอย่างนั้น เขากับแคธี่เดินไปทางซ้ายอีกเล็กน้อยแล้วตั้งเป็นแถวต้อนรับ

พวกเขามาทีละคนเป็นส่วนมาก ถึงแม้ผู้นำประเทศบางคนนำภรรยามาด้วย เจ้าหน้าที่พิธีการทางซ้ายของไรอันกระซิบชื่อแต่ละคนกับเขา ทำให้แจ๊คสงสัยว่าเธอจำหน้าและชื่อของทุกคนได้อย่างไร ขบวนที่เคลื่อนมาที่เขาไม่ได้จัดตัวขึ้นโดยไม่มีระเบียบเหมือนอย่างที่ดูมันจะเป็น เอกอัครราชทูตตัวแทนประเทศที่ผู้นำตัดสินใจไม่เดินทางมาหยุดรอก่อน แต่แม้แต่พวกนั้น ยืนอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ รวมกับผู้ช่วยพร้อมกับจิบเพริญอง ก็ไม่ได้ซ่อนความสงสัยตามหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาพิจารณาดูประธานาธิบดีคนใหม่ และวิธีการที่เขาทักทายชายหญิงที่เข้าไปหา

"ท่านนายกรัฐมนตรีเบลเยี่ยม เอ็ม อาโนด" เจ้าหน้าที่พิธีการกระซิบ ช่างภาพเริ่มถ่ายภาพการทักทายอย่างเป็นทางการทุกครั้ง และกล้องทีวีอีกสองกล้องก็ทำอย่างเดียวกัน แต่เสียงเบากว่า

"โทรเลขของท่านเป็นความกรุณาอย่างมากครับท่านนายก ฯ มันมาถึงในช่วงเวลาที่เหมาะสมทีเดียว" ไรอันกล่าว สงสัยว่าความจริงฟังดูเข้าท่าพอหรือเปล่า สงสัยว่าอาโนดได้อ่านมันจริง ๆ หรือเปล่า เอาล่ะ เขาอ่านมันแน่นอน ถึงเขาอาจจะไม่ใช่คนร่างมันก็ตาม

"คำกล่าวของท่านต่อเด็ก ๆ ซาบซึ้งมากครับ ผมคิดว่าทุกคนในที่นี้ก็คิดอย่างเดียวกัน" ท่านนายก ฯ ตอบพร้อมจับมือไรอัน ทดสอบความมั่นคงของมัน และมองตรงในตาของเขา ค่อนข้างพอใจกับตัวเองในการทักทายโกหกอย่างมีศิลปะ เขาได้อ่านโทรเลขและลงความเห็นว่ามันเหมาะสมแล้ว และพอใจที่ได้ยินปฏิกิริยาของไรอันต่อมัน เบลเยี่ยมเป็นพันธมิตร อาโนดได้รับฟังบรรยายสรุปอย่างเต็มที่โดยหัวหน้าหน่วยข่าวกรองการทหารของประเทศเขา ผู้ที่เคยร่วมงานกับไรอันในการประชุมนาโต้หลายครั้ง และชอบการตีความท่าทีพวกโซเวียต และตอนนี้คือพวกรัสเซียน ของไรอันเสมอ ใจความหลักของคำบรรยายสรุปกล่าวถึงความสามารถในฐานะผู้นำการเมืองที่ยังไม่มีใครทราบ แต่เป็นนักวิเคราะห์ที่ฉลาดและมีความสามารถคนหนึ่ง อาโนดซึ่งเป็นคนแรกในแถวโดยบังเอิญ อ่านท่าทีด้วยตัวเองในตอนนี้ด้วยการจับมือและใช้สายตาประกอบกับประสบการณ์นานหลายปีในสิ่งเหล่านี้ จากนั้นเขาเดินต่อไป

"ดร.ไรอัน ผมได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับคุณ" เขาจูบมือเธอในกิริยานุ่มนวลตามแบบยุโรป ไม่มีใครบอกเขาว่าสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งมีเสน่ห์ขนาดไหน และมือของเธอน่ารักขนาดไหน เธอเป็นศัลยแพทย์นี่นะ จริงไหม? เธอยังใหม่ในเกมและรู้สึกอึดอัดกับมัน แต่ก็เล่นมันไปอย่างที่เธอต้องทำ

"ขอบคุณค่ะท่านนายก ฯ อาโนด" แคธี่ตอบตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่พิธีการของเธอเอง (คนนี้อยู่ข้างหลังเธอ) ว่าสุภาพบุรุษคนนี้เป็นใคร เรื่องมือนั่น เธอคิด เป็นเหมือนละคร ... แต่ก็น่ารักดี

"ลูก ๆ ของคุณเหมือนเทวดาน้อย ๆ เลยนะครับ"

"ดีใจที่ได้ยินคุณพูดอย่างนั้นค่ะ"

กล้องข่าวเคลื่อนไปรอบ ๆ ห้อง พร้อมกับนักข่าวสิบห้าคน เพราะนี่เป็นหน้าที่การงานอย่างนั้น เปียนโนที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของห้องเล่นเพลงคลาสสิคแบบสบาย ๆ ไม่เชิงเป็นแบบที่วิทยุเรียกว่า "อีซี่ ลิสซึนนิ่ง" ((easy listening)) แต่ก็ใกล้เคียง

"แล้วคุณรู้จักกับท่านประธานาธิบดีมานานแค่ไหนแล้ว?" คำถามมาจากนายกรัฐมนตรีเคนยา ยินดีที่ได้เจอนายพลเรือผิวดำในห้องนี้ด้วย

"เรารู้จักกันมานานพอควรแล้วครับท่าน" ร็อบบี้ แจ๊คสันตอบ

"ร็อบบี้! ขอโทษ ท่านนายพลเรือแจ๊คสัน" เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงแก้ไขรับสั่งของพระองค์เอง

"กัปตัน" แจ๊คสันจับพระหัตถ์อย่างอบอุ่น "นานเหมือนกันพระเจ้าข้า"

"คุณรู้จักกัน อ้อ! ใช่แล้ว!" นายก ฯ เคนยาเข้าใจทันที เขาเห็นเพื่อนร่วมทวีปจากแทนซาเนียจึงแยกตัวไปตกลงธุระ ปล่อยให้ทั้งสองอยู่ตามลำพัง

"เขาเป็นอย่างไรบ้าง ฉันถามจริง ๆ" เจ้าชายตรัสถาม ทำให้แจ๊คสันเสียใจเล็กน้อย แต่เจ้าชายพระองค์นี้มีพระราชกรณียกิจต้องทรงปฏิบัติ ถูกทูลเชิญเสด็จมาในฐานะเพื่อนซึ่งร็อบบี้รู้ดีว่าเป็นเรื่องการเมือง เมื่อเสด็จกลับไปยังสถานทูตของสมเด็จพระราชินีอังกฤษ พระองค์ต้องทรงเรียบเรียงรายงานการพบปะ มันเป็นธุรกิจ ในอีกแง่หนึ่ง พระราชปุจฉานั้นสมควรจะได้รับคำตอบ ทั้งสามเคย "ปฏิบัติหน้าที่" ด้วยกันเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในคืนร้อนและมีพายุแรงคืนหนึ่งในฤดูร้อน

"เรามีการพบปะสั้น ๆ กับรักษาการณ์หัวหน้าเสนาธิการต่าง ๆ หลายวันก่อน ประชุมจะมีในวันพรุ่งนี้ แจ๊คจะไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าข้า" เจ-3 ตัดสินใจกราบบังคมทูล เขาเชื่ออย่างนั้น เขาจำเป็นต้องทำ ตอนนี้แจ๊คเป็นผู้บัญชาการแห่งชาติ ((NCA - National Command Authority หมายถึงประธานาธิบดีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้ที่รักษาการณ์ตำแหน่งนั้น)) และความซื่อสัตย์ของแจ๊คสันต่อเขาก็จากกฏหมายและชั้นยศ ไม่ใช่แค่เพียงมนุษยธรรมเท่านั้น

"แล้วภรรยาของคุณล่ะ?" พระองค์ทอดพระเนตรซิสซี่ แจ๊คสันที่กำลังคุยกับแซลลี่ ไรอัน

"ยังเป็นเปียนโนมือสองของเนชั่นแนลซิมโฟนีพระเจ้าข้า"

"ใครเป็นมือหนึ่งล่ะ?"

"มิคลอส ดิมิตรีพระเจ้าข้า เขามือใหญ่กว่า" แจ๊คสันกราบบังคมทูลอธิบาย เขาเห็นว่าคงไม่เหมาะที่จะกราบบังคมทูลถามคำถามเกี่ยวกับพระราชวงศ์บ้าง

"คุณทำได้ดีในแปซิฟิคนะ"

"พระเจ้าข้า โชคดีที่เราไม่ต้องฆ่าคนมากขนาดนั้น" แจ๊คสันมองพระเนตรของผู้ทรงเป็นเกือบเหมือนเพื่อนของเขา "นั่นจะทำให้หมดสนุกจริง ๆ พระเจ้าข้า"

"เขาจะจัดการกับงานเขาได้หรือเปล่า ร็อบบี้? คุณรู้จักเขาดีกว่าฉัน"

"กัปตัน เขาต้องจัดการกับมันพระเจ้าข้า" แจ๊คสันกราบบังคมทูลตอบ มองไปที่ผู้บัญชาการที่เป็นเพื่อนของเขาด้วย รู้ดีว่าแจ๊คเกลียดงานพิธีเป็นทางการมากขนาดไหน การมองดูประธานาธิบดีคนใหม่ของเขาผจญกับแถวที่หมุนเวียนกันเข้ามา เขาอดจะคิดย้อนกลับไปไม่ได้ "เขามาไกลจากการสอนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนสาขาอาชีพพิเศษพระเจ้าข้า ใต้ฝ่าละอองพระบาท" ท่านนายพลเรือกราบบังคมทูลถวายความเห็นเป็นเสียงกระซิบ

สำหรับแคธี่ ไรอัน การปกป้องมือของเธอเป็นมากกว่าอะไรอื่นทั้งหมด แปลกที่เธอรู้ขั้นตอนงานเป็นทางการดีกว่าสามีของเธอ ในฐานะแพทย์อาวุโสของสถาบันจักษุวิทยาวิลเมอร์แห่งจอห์น ฮอบกิ้นส์ เธอต้องพบกับงานจัดหาทุนมากมายนานนับปี แท้จริงก็คือรูปแบบขั้นสูงของการขอทาน ซึ่งส่วนใหญ่แจ๊คไม่ได้ไปและนำความไม่พอใจมาให้เธอ ดังนั้น เธออยู่ที่นี่ อีกครั้ง พบเจอกับผู้คนที่เธอไม่รู้จัก จะไม่มีโอกาสทำความสนิทสนมด้วย และไม่มีแม้คนเดียวที่จะสนับสนุนงานวิจัยของเธอ

"นายกรัฐมนตรีอินเดีย" เจ้าหน้าที่พิธีการของเธอพูดเบา ๆ

"สวัสดีค่ะ" สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งยิ้มรับ จับมือ ซึ่งโชคดีที่เป็นไปอย่างนุ่มนวล

"คุณต้องภูมิใจกับสามีของคุณมากเลย"

"ดิฉันภูมิใจในตัวแจ๊คเสมอมาค่ะ" ทั้งคู่สูงไล่เลี่ยกัน ผิวของท่านนายก ฯ เป็นสีคล้ำ และแคธี่เห็นเธอกระพริบตาเบื้องหลังแว่น เธอคงต้องเปลี่ยนแว่นใหม่ด้วยคำแนะนำของแพทย์ และเธอคงมีอาการปวดหัวจากแว่นที่เก่าเกินไปแล้วนั้น แปลก พวกเขามีหมอดี ๆ อยู่ในอินเดียบ้างเหมือนกัน พวกนั้นไม่ได้มาอเมริกาทั้งหมดหรอก

"และลูก ๆ ที่น่ารักอย่างนั้น" ท่านนายก ฯ พูดเสริม

"ดีใจที่ได้ยินคุณพูดอย่างนั้นค่ะ" แคธี่ยิ้มอีกครั้งในแบบอัตโนมัติกับความเห็นที่พูดขึ้นลอย ๆ เหมือนกับเมฆในท้องฟ้า การมองตาของผู้หญิงคนนี้ใกล้ ๆ บอกแคธี่ถึงอะไรบางอย่างที่เธอไม่ค่อยชอบ เธอคิดว่าเธอดีกว่าฉัน แต่ทำไมล่ะ? เพราะเธอเป็นนักการเมืองและแคธี่เป็นแค่ศัลยแพทย์? มันจะต่างไปหรือเปล่าถ้าเธอเลือกเป็นทนาย? ไม่หรอก คงไม่ใช่อย่างนั้น สมองของเธอคิดต่อไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนที่การผ่าตัดแย่ลงอย่างคาดไม่ถึง ไม่หรอก มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย แคธี่จำคืนที่เธออยู่ในห้องตะวันออกนี้และเผชิญหน้ากับอลิซาเบ็ธ เอลเลียตได้ มันเป็นความคิดอย่างดูหมิ่นแบบเดียวกัน ฉันดีกว่าเธอเพราะว่าสิ่งที่ฉันเป็นและสิ่งที่ฉันทำ หมอผ่าตัด ซึ่งเป็นชื่อรหัสของเธอสำหรับหน่วยคุ้มกัน ซึ่งไม่ทำให้เธอผิดหวังเลยจริง ๆ มองลึกลงไปในตาสีเข้มต่อหน้าเธอคู่นั้น มันมีอะไรมากกว่านั้นอีก แคธี่ปล่อยมือของเธอพร้อมกับที่คนใหญ่คนโตคนต่อไปเข้ามาเหมือนอย่างบนสายพานเครื่องจักร

ท่านนายก ฯ ออกจากแถวตรงไปหยิบแก้วเครื่องดื่มกับบริกรที่เดินวนเวียนอยู่รอบงาน มันจะดูเด่นชัดเกินไปถ้าเธอจะทำสิ่งที่เธออยากจะทำจริง ๆ นั่นเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ในนิวยอร์ค ในตอนนี้เธอมองที่เพื่อนนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง คนนี้เป็นตัวแทนของสาธารณรัฐประชาชนจีน เธอยกแก้วขึ้นประมาณหนึ่งเซนติเมตรแล้วผงกศีรษะโดยไม่ยิ้ม ยิ้มเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น สายตาของเธอส่งความหมายที่ต้องการ

"จริงหรือเปล่าที่พวกเขาเรียกคุณว่านักดาบ?" เจ้าชายอาลี บิน ชีค ตรัสถามพร้อมกับทรงขยิบพระเนตร

"ใช่พะยะค่ะ และใช่เพราะสิ่งที่ใต้ฝ่าพระบาทประทานให้ข้าพระพุทธเจ้า" แจ๊คกราบบังคมทูล "รู้สึกเป็นพระเดชพระคุณเป็นล้นเกล้า ฯ ที่เสด็จมา"

"เพื่อนรัก เหมือนมีสายใยระหว่างเราอยู่" เจ้าชายไม่เชิงเป็นผู้นำประเทศ แต่เนื่องจากอาการประชวรขององค์กษัตริย์ เจ้าชายอาลีต้องทรงรับภาระของพระราชอาณาจักรมากและมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้พระองค์ทรงรับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและข่าวกรอง เรื่องแรกทรงศึกษาจากไวท์ฮอล เรื่องหลังจากมอสสาดของอิสราเอล ((Mossad เป็นหน่วยข่าวกรองของอิสราเอล)) ในสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างน่าตลกที่สุดและเป็นที่รู้กันน้อยที่สุดในส่วนหนึ่งของโลกที่รู้จักกันดีในเรื่องราวไม่เป็นไปตามเหตุผลที่ผูกโยงกันอยู่มากมาย โดยรวมแล้ว ไรอันพอใจกับเรื่องนี้ ถึงพระองค์ต้องทรงแบกรับภาระมาก แต่เจ้าชายอาลีก็ทรงมีพระปรีชาสามารถ

"แคธี่คงไม่เคยเข้าเฝ้าใต้ฝ่าพระบาทแน่?"

เจ้าชายทรงเปลี่ยนสายพระเนตร "ไม่หรอก แต่ฉันเคยพบเพื่อนร่วมงานของคุณมาแล้ว ดร.แคทซ์ เขาฝึกสอนจักษุแพทย์ของฉัน อันที่จริงแล้ว สามีของคุณเป็นคนที่โชคดีมากเลยนะ ดร.ไรอัน"

พวกอาหรับควรจะเย็นชา ไม่มีอารมณ์ขัน แล้วก็ไม่เคารพผู้หญิงไม่ใช่เหรอ? แคธี่ถามตัวเอง ไม่ใช่เจ้าชายพระองค์นี้ เจ้าชายอาลีจับมือของเธออย่างนุ่มนวล

"อ๋อ เบอร์นี่คงได้เข้าเฝ้าใต้ฝ่าพระบาทตอนเขาไปที่นั่นปี 1994 เพคะ" วิลเมอร์ช่วยก่อตั้งสถาบันจักษุในริยาดห์ และเบอร์นี่อยู่ที่นั่นห้าเดือนเพื่อทำการสอนตามห้องผู้ป่วย

"เขาทำการผ่าตัดลูกพี่ลูกน้องของฉันที่บาดเจ็บจากเครื่องบินตก เขาได้กลับไปบินอีกครั้ง แล้วนั่นคือลูก ๆ ของคุณหรือ?"

"เพคะใต้ฝ่าพระบาท" เจ้าชายองค์นี้ถูกส่งเข้าแฟ้มคนดี

"คุณจะว่าอะไรหรือเปล่าถ้าฉันจะขอคุยกับพวกเด็กสักหน่อย?"

"ตามแต่จะโปรดเพคะ"

แคโรไลน์ ไรอัน พระองค์ทรงพระดำริ ทรงบันทึกไว้ในพระทัย เฉลียวฉลาด ความรู้ดี ภูมิใจในตัวเอง จะเป็นสมบัติมีค่าต่อสามีถ้าเขาฉลาดพอจะใช้เธอ น่าเสียดาย พระองค์ทรงพระดำริ ที่วัฒนธรรมของพระองค์ใช้ผู้หญิงอย่างไม่มีประสิทธิภาพ แต่พระองค์ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ อาจจะไม่ทรงมีโอกาสเลยก็ได้ และถึงแม้ว่าพระองค์ทรงได้เป็นกษัตริย์ ก็มีขอบเขตของสิ่งที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงได้ถึงในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยที่สุดก็ตาม ประเทศของพระองค์ยังต้องก้าวเดินไปอีกไกล แม้หลายคนจะลืมไปแล้วว่าราชอาณาจักรมาได้ไกลอย่างน่าทึ่งขนาดไหนในระยะเวลาเพียงสองชั่วอายุคน กระนั้น มีสายใยระหว่างพระองค์กับไรอัน และเพราะสิ่งนั้น จึงมีสายใยระหว่างอเมริกากับราชอาณาจักร พระองค์ทรงพระดำเนินไปที่ครอบครัวไรอัน แต่ก็ทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่ต้องพระประสงค์ พวกเด็ก ๆ ดูจะรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ค่อยทัน ลูกสาวคนเล็กดูจะสบายที่สุด จิบเครื่องดื่มเบา ๆ ของแกภายใต้สายตาที่เฝ้าดูอยู่ของเจ้าหน้าที่คุ้มกัน ขณะที่ภรรยานักการทูตสองสามคนพยายามจะคุยกับแก แกชินกับการมีคนคอยรักคอยเอาใจ เหมือนอย่างที่เด็กเล็ก ๆ ขนาดนี้ควรจะเป็น ส่วนลูกชายซึ่งโตกว่าท่าทางสับสนที่สุด แต่ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กชายวัยขนาดเขา ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแต่ก็ยังไม่ได้เป็นหนุ่ม คนโตที่สุด เรียกว่าโอลิเวียในเอกสารสรุป แต่พ่อของเธอเรียกว่าแซลลี่ เธอทำได้ดีในวัยที่น่าจะอึดอัดที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นภายในพระทัยของเจ้าชายอาลีคือพวกเขาไม่คุ้นเคยกับเรื่องทั้งหมดนี้ พ่อแม่กันพวกแกจากชีวิตการงานของแจ๊ค ถึงแน่นอนว่าพวกแกเสียไปในบางเรื่อง แต่ก็ไม่มีท่าทางเบื่อหรือจองหองอย่างเด็กอื่น ๆ เรารู้อะไรเกี่ยวกับพ่อกับแม่ได้มากดูจากลูกของพวกเขา ไม่กี่อึดใจต่อมา พระองค์ทรงโน้มพระวรกายเหนือเคที่ ตอนแรกแกดูตกใจกับฉลองพระองค์ที่ผิดจากคนอื่น เจ้าชายอาลีทรงเคยกลัวหิมะกัดเมื่อเพียงสองชั่วโมงก่อน แต่ในตอนนี้แย้มพระโอษฐ์อย่างอบอุ่นทำให้แกยื่นมือขึ้นมาแตะพระทาฐิกะ ((เครา)) ขณะที่ดอน รัสเซลยืนอยู่ห่างไปเมตรหนึ่งเหมือนกับหมีเฝ้ายาม พระองค์ทอดพระเนตรดอนและต่างสบตากัน พระองค์ทรงทราบดีว่าแคธี่คงจะดูอยู่เช่นกัน จะมีทางผูกมิตรใดที่ดีกว่าแสดงความห่วงใยลูก ๆ ของเขา? แต่ยังมีมากกว่านั้น ในรายงานที่พระองค์จะประทานให้คณะรัฐมนตรี พระองค์ต้องทรงเตือนพวกเขาว่าอย่าตัดสินไรอันจากสุนทรพจน์ในพิธีศพที่ไม่ค่อยเหมาะสมของเขา จากที่เขาไม่ใช่ผู้นำประเทศแบบปกติไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้น

แต่บางคนจะตัดสินอย่างนั้น

หลายคนอยู่ในห้องนี้


ซิสเตอร์จัง แบบติสท์ทำดีที่สุดที่จะละเมินมัน ทำงานท่ามกลางความร้อนของวันจนพระอาทิตย์ตก พยายามสลัดความไม่สบายกายที่ในไม่ช้าเพิ่มขึ้นกลายเป็นความเจ็บปวดจริง หวังว่ามันจะจางหายไป เหมือนอย่างที่โรคเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็น มันมักจะเป็นอย่างนั้น เธอเคยล้มเจ็บด้วยโรคมาลาเรียในช่วงประมาณสัปดาห์แรกของเธอในประเทศนี้ และโรคนั้นไม่เคยหายไปอย่างแท้จริง ในตอนแรกเธอคิดว่านั่นคือสิ่งที่เธอเป็น แต่มันไม่ใช่ ไข้ที่เธอโยนว่ามาจากวันที่ร้อนระอุในคองโกก็ไม่ใช่เช่นกัน มันทำให้เธอประหลาดใจที่รู้ว่าเธอกลัว เพราะบ่อยครั้งที่เธอรักษาเยียวยาคนอื่น เธอไม่เคยเข้าใจจริงถึงความกลัวที่พวกเขารู้สึก เธอรู้ว่าเขากลัว เข้าใจความจริงที่ว่าความกลัวนั้นมีอยู่ แต่การตอบสนองของเธอก็มีเพียงความช่วยเหลือและความเมตตา และคำสวดมนต์ ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มเข้าใจ เพราะเธอคิดว่ารู้ดีว่ามันคืออะไร เธอเคยเห็นมันมาแล้ว ถึงไม่บ่อยนัก คนไข้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาไกลขนาดนั้น แต่เบเนดิก มคูซ่าเคยมาถึงแล้วจากความปรานีเล็กน้อยที่มันมีให้ เขาจะตายภายในวันนี้แน่นอน ซิสเตอร์มาเรีย แมกดาเลนาบอกกับเธอหลังพิธีมิซซาเช้านี้ ถ้าเป็นเพียงสามวันก่อนเธอคงจะถอนหายใจ แล้วปลอบใจตัวเองว่าจะมีเทวดาองค์ใหม่จุติบนสวรรค์ แต่คราวนี้ไม่ใช่ ตอนนี้เธอกลัวว่าอาจจะเป็นเทวดาสององค์ ซิสเตอร์จัง แบบติสท์เอนกายพิงกรอบประตู เธอทำอะไรพลาดไปหรือ? เธอเป็นนางพยาบาลที่ระมัดระวัง เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ใช่แล้ว

เธอต้องออกจากวอร์ด เดินออกไปตามซุ้มทางเดินไปยังอาคารถัดไป ตรงเข้าสู่ห้องแล็บ ดร.มูดิอยู่ที่โต๊ะทดลองเหมือนเช่นเคย จดจ่อกับสิ่งที่ทำเหมือนที่เขาเป็นอยู่เสมอ และไม่ได้ยินเสียงเธอเดินเข้ามา เมื่อเขาหันมาพร้อมกับขยี้ตาหลังจากส่องกล้องจุลทรรศน์นานยี่สิบนาที เขาแปลกใจที่เห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์กับปลายแขนเสื้อที่พับขึ้น เชือกยางรัดแน่นรอบแขนท่อนบนของเธอ เข็มฝังอยู่ตรงเส้นเลือดดำแอนติคิวบิทัล ((antecubital vein)) กำลังเจาะเลือดใส่หลอด 5 ซีซีหลอดที่สาม และหลังจากวางมันไปก็เจาะเป็นหลอดที่สี่อย่างชำนาญ

"มีอะไรเหรอครับ ซิสเตอร์?"

"คุณหมอคะ ฉันคิดว่าต้องทดสอบเลือดพวกนี้ทันที กรุณาใส่ถุงมือคู่ใหม่ด้วยค่ะ"

มูดิเดินไปที่เธอ หยุดอยู่ห่างเมตรหนึ่งขณะที่เธอถอนปลายเข็มออกจากท่อนแขน เขามองหน้าและตาของเธอ เหมือนกับผู้หญิงในเมืองโคมบ้านเกิดของเขา ((Qom หรือ Qum เมืองในภาคกลางของอิหร่าน)) เธอแต่งกายอย่างรัดกุมและเคร่งครัดมาก เมื่อหลายอย่างที่ควรชื่นชมในตัวแม่ชีเหล่านี้ จิตใจแจ่มใส ทำงานหนัก และศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในการรับใช้พระเจ้าปลอมของพวกเธอ แต่นั่นไม่จริงเท่าไรนัก พวกเธอเป็นคนแห่งคัมภีร์ ผู้ที่ศาสดาเคารพนับถือ แต่นิกายชีอะห์ของศาสนาอิสลามนักถือคนเหล่านั้นค่อนข้างน้อยกว่า... ไม่ เขาจะเก็บความคิดนั้นไว้ทีหลัง เขามองเห็นมันได้ในตาของเธอ ชัดยิ่งกว่าอาการเห็นได้ชัดอื่นที่ประสาทรับรู้ที่ฝึกมาอย่างดีเริ่มจะมองเห็น เขาเห็นสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้ว

"กรุณานั่งลงครับ ซิสเตอร์"

"ไม่ค่ะ-ฉันต้อง-"

"ซิสเตอร์ครับ" นายแพทย์ยืนกรานอีกครั้ง "คุณเป็นคนไข้แล้วตอนนี้ กรุณาทำตามที่ผมบอก ได้ไหมครับ?"

"คุณหมอคะ ฉัน-"

เสียงเขานุ่มนวลขึ้น ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดก้าวร้าว และแท้จริงแล้วสตรีผู้นี้ไม่สมควรรับการปฏิบัติอย่างนั้นต่อพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า "ซิสเตอร์ครับ จากความห่วงใยและเสียสละที่คุณให้กับคนอื่น ๆ ในโรงพยาบาลนี้ กรุณาให้แขกผู้ต่ำต้อยคนนี้ได้แสดงมันกับคุณบ้างเถอะครับ"

จัง แบบติสท์ทำตามที่บอก ก่อนอื่น ดร.มูดิสวมถุงมือลาเท็กซ์คู่ใหม่ จากนั้นเขาตรวจชีพจรของเธอ ได้ 88 ความดันเลือด 138/90 และวัดอุณหภูมิได้ 39 องศา ตัวเลขทุกอย่างสูง สองตัวแรกเป็นเพราะตัวที่สาม และเพราะสิ่งที่เธอคิดว่ามันเป็น มันอาจจะเป็นโรคอะไรก็ได้ ตั้งแต่เล็กน้อยจนอาจถึงตาย แต่เธอเป็นคนดูแลเจ้าหนูมคูซ่า และเด็กชายผู้โชคร้ายคนนั้นกำลังตาย เขาทิ้งเธอไว้ที่นั่น หยิบหลอดทดลองอย่างระมัดระวังแล้วย้ายมันไปที่โต๊ะทดลองของเขา

มูดิเคยอยากจะเป็นศัลยแพทย์ เขาเป็นลูกชายคนเล็กที่สุดในบรรดาลูกชายทั้งหมดสี่คน ทั้งหมดเป็นหลานของผู้นำประเทศของเขา เขาอดทนรอให้โตขึ้นแทบไม่ไหว เฝ้าดูพี่ชายของเขาจากไปทำสงครามกับอิรัก พี่สองคนตายไป และอีกคนกลับมาอย่างพิการ เพื่อจะตายด้วยมือตัวเองอย่างสิ้นหวังในเวลาต่อมา เขาจึงอยากเป็นหมอผ่าตัด เพื่อช่วยชีวิตนักรบของพระอัลเลาะห์ เพื่อให้พวกเขาได้สู้ต่อไปเพื่อความเชื่อศักดิ์สิทธิ์ในพระองค์ ความปรารถนานั้นเปลี่ยนไป และเขาเรียนเกี่ยวกับโรคติดต่อแทน เพราะมีหลายวิธีที่จะต่อสู้เพื่อความเชื่อนั้น และด้วยความอดทนนานหลายปี ทางของเขาก็เริ่มปรากฏขึ้นในที่สุด

หลายนาทีต่อมา เขาเดินเข้าสู่วอร์ดผู้ป่วยโรคติดต่อ มีรังสีของความตาย มูดิรู้ บางทีภาพที่อยู่เบื้องหน้าเขาเป็นจินตนาการบางอย่าง แต่ที่จริงมันไม่ใช่ ในทันทีที่ซิสเตอร์นำตัวอย่างเลือดมาให้ เขาแบ่งมันเป็นสองส่วน ส่วนแรกบรรจุหลอดทดลองอย่างระมัดระวังแล้วส่งด่วนทางอากาศไปที่ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อในแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ((CDC - Centers for Disease Control)) ศูนย์กลางของโลกในการวิเคราะห์พาหะนำโรคที่หายากและเป็นอันตราย อีกส่วนเขาเก็บในช่องเก็บเย็นเพื่อรอให้แพร่ตัว ซีดีซีมีประสิทธิภาพเหมือนเคย เทเล็กซ์มาถึงหลายชั่วโมงก่อน ระบุชนิดเป็นอีโบลา แซร์ ตามด้วยคำเตือนและแนะนำเป็นชุดยาวเหยียดซึ่งไม่จำเป็นเลย เช่นเดียวกับการวินิจฉัยโรค มีไม่กี่อย่างที่ฆ่าคนได้อย่างนี้ และไม่มีอะไรเลยที่ทำได้เร็วขนาดนี้

เหมือนกับว่าเบเนดิก มคูซ่าถูกพระอัลเลาะห์สาปด้วยพระองค์เอง แต่มูดิรู้ดีว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะพระอัลเลาะห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา ผู้ซึ่งไม่ทรงทำให้เด็กและคนบริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตาย การบอกว่า "มันถูกลิขิตไว้แล้ว" จะถูกต้องกว่า แต่ก็ไม่ได้ปรานีต่อผู้ป่วยหรือครอบครัวของเขามากขึ้นเลย พวกเขานั่งอยู่ข้างเตียง อยู่ในชุดป้องกัน มองดูโลกของเขาตายไปต่อหน้าต่อตา เด็กชายกำลังเจ็บปวด อันที่จริงทรมานอย่างแสนสาหัส หลายส่วนในร่างเขาตายไปแล้วและกำลังเน่าเปื่อยในขณะที่หัวใจยังพยายามเต้นและสมองพยายามคิด สิ่งเดียวนอกจากนี้ที่สามารถทำแบบนี้กับร่างกายมนุษย์ได้ก็คือการได้รับรังสีอย่างรุนแรง ผลโดยรวมจะคล้ายคลึงกัน ทีละหนึ่งในตอนแรก จากนั้นเป็นคู่ แล้วก็เป็นกลุ่ม แล้วก็ทั้งหมดพร้อมกัน อวัยวะภายในถูกเชื้อโรคโจมตีจนหยุดทำงาน เด็กชายอ่อนแอเกินกว่าจะอาเจียนแล้วในตอนนี้ แต่เลือดซึมผ่านเนื้อเยื่อออกมาจากปลายอีกด้านของอวัยวะในระบบย่อยอาหารของเขา ((GI tract - gastrointestinal tract)) มีเพียงดวงตาที่ดูใกล้เคียงตอนปกติ ถึงแม้จะมีเลือดอยู่ตรงนั้นเช่นกัน ตาเยาว์วัยสีเข้ม เศร้าและไม่เข้าใจไม่รับรู้ว่าชีวิตที่พึ่งเริ่มต้นกำลังจบลงอย่างแน่นอนในตอนนี้ มองที่พ่อแม่ของเขาให้ทำให้ทุกอย่างกลับดีเหมือนเดิม เหมือนที่พวกเขาทำเสมอในระหว่างเวลาแปดปีของเขา ห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเหงื่อและของเหลวจากร่างกายอื่น ๆ สีหน้าของเด็กชายดูห่างไกลออกไปอีก แม้ขณะที่เขานอนนิ่งดูเหมือนกับว่าเขาจมลึกลงไป แล้ว ดร.มูดิปิดตาของเขาและกระซิบสวดมนต์ให้กับเด็กชาย ซึ่งแค่เป็นเพียงเด็กชาย และถึงแม้จะไม่ใช่มุสลิมก็ยังเป็นเด็กที่เคร่งในศาสนา คนแห่งคัมภีร์ที่ถูกปฏิเสธจากคำสอนของศาสดาอย่างไม่เป็นธรรม พระอัลเลาะห์ทรงเมตตาเหนือสิ่งใด แน่นอนว่าพระองค์จะทรงแสดงพระเมตตาต่อเด็กคนนี้ นำเขาไปยังดินแดนสวรรค์อย่างปลอดภัย และจะดีกว่าถ้าจะทำอย่างรวดเร็ว

ถ้าไอรังสีจากร่างเป็นสีดำได้ มันก็จะเป็นอย่างนั้น ความตายค่อย ๆ ครอบคลุมร่างผู้ป่วยน้อยทีละเซนติเมตร การหอบหายใจอย่างเจ็บปวดเริ่มสั้นลง ดวงตาหันไปที่พ่อแม่ของเขาแล้วหยุดนิ่ง แขนขากระตุกอย่างทรมานในวาระสุดท้ายจนกระทั่งเหลือเพียงปลายนิ้วที่เคลื่อนไหว เพียงเล็กน้อย แล้วก็นิ่งลง

ซิสเตอร์มาเรีย แมกดาเลนา ยืนอยู่หลังระหว่างพ่อและแม่ วางมือเธอไว้บนบ่าของทั้งคู่ ดร.มูดิเข้าไปใกล้ จับหูฟังที่หน้าอกของคนไข้ มีเสียงขลุกขลักและเสียงฉีกขาดเบา ๆ เมื่อเชื้อโรคทำลายเนื้อเยื่อ กระบวนการที่ร้ายกาจแต่ดำเนินไปอย่างมีพลัง ไม่มีเสียงใดจากหัวใจ เขาเคลื่อนเครื่องมือเก่าแก่นั้นไปมาเพื่อความแน่ใจ แล้วก็เงยหน้าขึ้น

"เขาจากไปแล้ว ผมเสียใจด้วยครับ" เขาอาจเสริมว่าสำหรับอีโบลา ความตายครั้งนี้เป็นอย่างกรุณาแล้ว หรือใกล้เคียงตามนั้นจากที่บทความและหนังสือกล่าวไว้ นี่เป็นประสบการณ์โดยตรงครั้งแรกของเขากับไวรัสนี้ และมันก็เลวร้ายพออยู่แล้ว

พ่อแม่เด็กรับมันได้ดี พวกเขารู้มากว่าวันหนึ่งแล้ว นานพอจะยอมรับแต่ก็สั้นพอที่ความสะเทือนใจยังไม่หายไป พวกเขาจะออกไปสวดมนต์ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุด

ร่างของเบเนดิก มคูซ่าจะถูกเผาไปพร้อมกับไวรัส เทเล็กซ์จากแอตแลนตาระบุไว้ชัดเจนในเรื่องนี้ แย่ไปหน่อย


ไรอันเกร็งมือของเขาเมื่อแถวหมดไปในที่สุด เขาหันไปเห็นภรรยาเขากำลังนวดมือของเธอและสูดลมหายใจลึก "คุณจะเอาอะไรรึเปล่า?" แจ๊คถาม

"อะไรเบา ๆ ก็ได้ค่ะ มีผ่าตัดสองครั้งพรุ่งนี้เช้า" และพวกเขายังไม่มีวิธีสะดวกในการนำแคธี่ไปทำงาน "เราต้องทำพวกนี้อีกกี่ครั้งคะ?" ภรรยาของเขาถาม

"ผมไม่รู้เหมือนกัน" ท่านประธานาธิบดียอมรับ ถึงเขารู้ดีว่าตารางเวลาจัดไว้ล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว และรายการส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นไปตามนั้นไม่ว่าเขาจะหวังอย่างไร เมื่อแต่ละวันผ่านไป เขาประหลาดใจมากขึ้นและมากขึ้นว่าทำไมถึงมีคนต้องการอยากได้งานนี้ งานที่มีหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องมากมายจนแทบจะทำมันไม่ได้ แต่หน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องนั้นในแง่ความเป็นจริงแล้วเป็นงาน มันแค่ดำเนินต่อไป ๆ แล้วสต๊าฟฟ์ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเครื่องดื่มเบา ๆ สำหรับท่านประธานาธิบดีกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ถูกเรียกมาโดยใครคนที่ได้ยินคำพูดของแคธี่ กระดาษถูกประทับตรา ตอก อะไรก็ตามที่ใช้เรียกขั้นตอนนั้น ด้วยภาพของทำเนียบขาว และภายใต้รูปมีข้อความ ทำเนียบประธานาธิบดี สองสามีภรรยาสังเกตเห็นในเวลาเดียวกัน แล้วจึงมองสบตากัน

"จำครั้งแรกที่เราเอาแซลลี่ไปเที่ยวดิสนีย์เวิร์ลได้มั้ยคะ?" แคธี่ถาม

แจ๊ครู้ดีว่าภรรยาของเขาหมายถึงอะไร หลังวันเกิดปีที่สามของลูกสาว ไม่นานก่อนจะไปอังกฤษ...และก่อนการเริ่มต้นของการเดินทางที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด แซลลี่ติดใจกับปราสาทในกลางอาณาจักรเวทมนตร์ มองหามันอยู่เสมอไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน เธอเรียกมันว่าบ้านของมิคกี้ เอาล่ะ พวกเขามีปราสาทของตัวเองแล้วตอนนี้ เพียงชั่วระยะหนึ่งก็ตาม แต่ค่าเช่าก็สูงทีเดียว แคธี่เดินไปที่ร็อบบี้กับซิสซี่ แจ๊คสันที่อยู่กับเจ้าชายแห่งเวลส์ แจ๊คพบหัวหน้าคณะทำงานของเขา

"มือเป็นไงบ้าง?" อาร์นี่ถาม

"ไม่มีปัญหา"

"คุณโชคดีที่ไม่ได้หาเสียงนะ หลายคนคิดว่าการจับมืออย่างเพื่อนคือแบบที่ทำให้นิ้วหลุดไปเลย ตัวต่อตัวอะไรแบบนั้น อย่างน้อยคนพวกนี้รู้ดีกว่า" แวน แดมม์จิบเปอริยองของเขาและมองสำรวจรอบห้อง งานเลี้ยงต้อนรับเป็นไปด้วยดี ผู้นำรัฐและเอกอัครราชทูตกับคนอื่น ๆ กำลังสนทนากันอย่างเป็นมิตร มีเสียงหัวเราะดังมาไกล ๆ เมื่อมีการแลกเปลี่ยนมุขตลกและคำพูดเล่นหัว บรรยากาศของวันเปลี่ยนไปแล้ว

"แล้วผมสอบผ่านสอบตกกี่ครั้งแล้วล่ะ?" ไรอันถามเบา ๆ

"พูดตรง ๆ เหรอ? ไม่รู้เหมือนกัน พวกนั้นทุกคนมองหาอะไรที่แตกต่างไป จำให้ดีล่ะ" และบางคนก็ไม่แยแส พวกเขามาที่นี่จากเหตุผลด้านการเมืองภายในเท่านั้น แต่ถึงแม้ในสภาพอย่างนี้ก็ไม่เหมาะจะพูดอย่างนั้น

"ผมคงต้องคิดเอาเองมั้ง อาร์นี่ คราวนี้ผมก็ออกวนรอบ ๆ ใช่มั้ย?"

"จับอินเดีย" แวน แดมม์แนะนำ "แอดเลอร์คิดว่าสำคัญ"

"รับทราบ" อย่างน้อยเขาจำได้ว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร ใบหน้ามากมายในแถวเปลี่ยนไปเป็นภาพเบลอทันที เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงขนาดใหญ่เกินไป มันทำให้ไรอันรู้สึกเหมือนเป็นคนขี้โกง นักการเมืองควรจะจำชื่อและหน้าได้อย่างแม่นยำเหมือนดูภาพถ่าย เขาไม่เป็นอย่างนั้น แต่สงสัยว่าจะมีวิธีฝึกฝนให้มีความสามารถอย่างนั้นหรือเปล่า แจ๊คส่งแก้วของเขาให้กับบริกร เช็ดมือกับผ้าเช็ดปากพิเศษ แล้วตรงไปพบอินเดีย แต่รัสเซียหยุดเขาไว้ก่อน

"ท่านเอกอัครราชทูต" แจ๊คกล่าวทัก วาเลรี่ บ็อกดาโนวิช เลอมอนซอฟอยู่ในแถวต้อบรับ แต่ตอนนั้นไม่มีเวลาพูดสิ่งที่เขาต้องการ อย่างไรก็ตามทั้งคู่จับมืออีกครั้ง เลอมอนซอฟเป็นนักการทูตอาชีพ เป็นที่นิยมในหมู่เพื่อนร่วมอาชีพในประเทศของเขา มีข่าวว่าเขาเคยเป็นเคจีบีหลายปี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ไรอันจะเอามาใช้ยืนยันได้

"รัฐบาลของผมต้องการทราบว่าท่านจะรับคำเชิญไปเยือนมอสโคว์ได้หรือไม่ครับ"

"ผมไม่ขัดข้องในเรื่องนั้นครับ ท่านเอกอัครราชทูต แต่เราเพิ่งไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และเวลาของผมมีความจำเป็นต้องใช้มากมายในขณะนี้"

"ผมไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนั้น แต่รัฐบาลของผมต้องการจะกล่าวถึงปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างเรา" คำรหัสนั้นทำให้ไรอันหันตัวมาทางทูตรัสเซียเต็มตัว

"โอ?"

"ผมเกรงว่าตารางเวลาของท่านอาจจะเป็นปัญหาครับ ท่านประธานาธิบดี ดังนั้นท่านจะกรุณาพบตัวแทนส่วนตัวเพื่อเจรจาถึงเรื่องต่าง ๆ ได้หรือไม่ครับ?"

นั่นเป็นได้เพียงคนเดียวเท่านั้น แจ๊ครู้ "เซอไก นิโคเลวิชหรือครับ?"

"ท่านจะรับพบเขาหรือเปล่าครับ?" ท่านเอกอัครราชทูตถามย้ำ

ไรอันรู้สึกถ้าไม่ตื่นตกใจก็ไม่สบายใจชั่ววูบหนึ่ง เซอไก โกลอฟโกเป็นประธานอาร์วีเอส ((RVS)) องค์การเคจีบีเกิดใหม่ ขนาดเล็กลง แต่ยังน่าเกรงขามอยู่เช่นเดิม เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในรัฐบาลรัสเซียที่ได้ทั้งสมองและความไว้วางใจของประธานาธิบดีรัสเซียคนปัจจุบัน เอดูอาร์ด เปตราวิช กรูชาวอย ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกนี้ที่มีปัญหามากกว่าไรอัน ยิ่งกว่านั้น กรูชาวอยเก็บโกลอฟโคไว้ใกล้ตัวเช่นเดียวกับสตาลินเก็บเบริยา ((Beriya หัวหน้าตำรวจลับรัสเซียสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2)) เขาต้องการที่ปรึกษาที่มีสมอง ประสบการณ์ และกำลัง การเปรียบเทียบอย่างนั้นไม่ยุติธรรมนัก แต่โกลอฟโกคงไม่ได้มาเพื่อบอกสูตรทำบอร์ชแน่ ((borscht ซุปผักบีท)) "สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน" ปกติหมายถึงธุระสำคัญ การมาหาประธานาธิบดีโดยตรงและไม่ผ่านกระทรวงการต่างประเทศเป็นเครื่องบ่งชี้อีกอย่างหนึ่ง การยืนกรานของเลอมอนซอฟก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก

"เซอไกเป็นเพื่อนเก่า" แจ๊คกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร ย้อนไปถึงตอนที่เขาจ่อปืนตรงหน้าฉัน "ผมยินดีต้อนรับเขาที่บ้านของผมเสมอ แจ้งให้อาร์นี่ทราบเรื่องเวลานัดหมายด้วยนะครับ?"

"ผมจะทำตามนั้นครับท่านประธานาธิบดี"

ไรอันพยักหน้าแล้วเดินจากไป เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงรั้งนายกรัฐมนตรีอินเดียเอาไว้อยู่ เพื่อทรงรอให้ไรอันปรากฏตัว

"ท่านนายกรัฐมนตรี ใต้ฝ่าละอองพระบาท" ไรอันทักพร้อมกับผงกศีรษะ

"เราคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำเรื่องบางอย่างให้กระจ่าง"

"เรื่องนั้นคืออะไรหรือครับ?" ท่านประธานาธิบดีถาม เขารู้สึกกระตุกใต้ผิวหนังเหมือนถูกจี้ด้วยไฟฟ้า เพราะรู้ดีว่ามีอะไรกำลังจะมาต่อไป

"เรื่องเหตุการณ์ที่น่าเศร้าในมหาสมุทรอินเดียค่ะ" ท่านนายก ฯ บอก "เรื่องนั้นเป็นความเข้าใจผิด"

"ผม-ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น..."


แม้แต่กองทัพก็มีวันพัก และวันพิธีศพประธานาธิบดีก็เป็นวันนั้นด้วย ทั้งบลูฟอร์ซและออปฟอร์พักการฝึกในวันนี้ รวมถึงผู้บังคับบัญชา บ้านพักของนายพลดิกส์อยู่บนยอดเนินมองลงไปแลเห็นหุบเขาเงียบร้างอย่างน่าประหลาด แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นภาพที่งดงาม ทะเลทรายวันนั้นอุ่นสบายจากลมเม็กซิกัน ทำให้เขาย่างบาบีคิวภายในรั้วสวนหลังบ้านของตัวเอง

"คุณเคยพบประธานาธิบดีไรอันรึเปล่า?" บอนดาเรนโกถาม จิบเบียร์ยามบ่ายอ่อน ๆ ของเขา

ดิกส์ส่ายหน้าขณะที่พลิกแฮมเบอเกอร์และเอื้อมมือหยิบซอสพิเศษของเขา "ไม่เคยเลย เห็นชัดว่าเขามีส่วนร่วมในการส่งกรมทหารม้ายานเกราะที่ 10 ไปอิสราเอล แต่ ไม่หรอกครับ แต่ผมรู้จักร็อบบี้ แจ๊คสัน ตอนนี้เขาเป็นเจ-3 ร็อบบี้พูดถึงเขาในแง่ดีมากเลย"

"นี่เป็นธรรมเนียมอเมริกัน คุณทำอะไรนั่น?" ชายรัสเซียนบุ้ยไปทางเตาถ่าน

ดิกส์เงยหน้าขึ้น "ผมเรียนจากพ่อผม ช่วยส่งเบียร์ผมให้หน่อยสิ เกนนาดี้?" นายพลรัสเซียส่งแก้วมาให้เจ้าภาพของเขา "ผมเกลียดที่ไม่ได้ฝึก แต่ว่า..." แต่เขาชอบวันพักมากพอ ๆ กับชายที่อยู่ข้าง ๆ

"ที่ของคุณนี่น่าทึ่งมากเลย แมเรียน" บอนดาเรนโกหันไปพิจารณาหุบเขา เขตฐานทัพส่วนนี้ดูเป็นแบบอเมริกันธรรมดา มีเส้นสายตัดกันของถนนและอาคาร แต่ห่างออกไปมันเป็นอีกสิ่งหนึ่ง แทบไม่มีต้นอะไรขึ้น มีแต่ต้นที่พวกอเมริกันเรียกว่าพุ่มครีโอโสท แล้วมันก็ดูเหมือนพืชพันธุ์จากดวงดาวอันไกลโพ้น ดินที่นี่เป็นสีน้ำตาล แม้แต่ภูเขาก็ดูปราศจากชีวิต แต่มันก็มีบางสิ่งที่งดงามเกี่ยวกับทะเลทราย แล้วมันก็เตือนให้เขานึกถึงยอดเขาในทาจิคิสถาน บางทีนั่นอาจจะเป็นสิ่งนั้น

"แล้วจริง ๆ แล้วคุณได้เหรียญตราพวกนั้นมาได้ยังไงครับท่านนายพล?" ดิกส์ไม่รู้เรื่องทั้งหมด แขกของเขายักไหล่

"พวกมูจาฮิดินตัดสินใจเยี่ยมประเทศของผม มันเป็นสถานีวิจัยลับ ปิดไปตั้งแต่นั้น มันเป็นอีกประเทศแล้ว อย่างที่คุณก็รู้"

ดิกส์พยักหน้า "ผมเป็นทหารม้า ไม่ใช่นักฟิสิกส์พลังสูง เพราะงั้นคุณเก็บเรื่องความลับนั่นไปได้เลย"

"ผมป้องกันอาคารที่พัก บ้านของพวกนักวิทยาศาสตร์กับครอบครัว ผมมีทหารรักษาพรมแดนเคจีบีหมวดหนึ่ง พวกมูจาฮิดีนประมาณหนึ่งกองร้อยโจมตีเราโดยอาศัยกลางคืนกับพายุหิมะเป็นเครื่องกำบัง มันค่อนข้างน่าตื่นเต้นอยู่ประมาณชั่วโมงกว่าเลย" เกนนาดี้ยอมรับ

ดิกส์เคยเห็นบาดแผลบางส่วนแล้ว เขาบังเอิญเจอแขกของเขาในห้องอาบน้ำเมื่อวันก่อน "พวกนั้นเก่งขนาดไหน?"

"พวกอัฟกันเหรอ?" บอนดาเรนโกคำรามในลำคอ "คุณไม่อยากจะโดนพวกนั้นจับเป็นเชลยแน่ พวกนั้นไม่กลัวอะไรเลย แต่บางทีนั่นก็เป็นจุดอ่อน คุณบอกได้เลยว่ากลุ่มไหนมีผู้นำที่มีความสามารถและกลุ่มไหนไม่มี กลุ่มนั้นมี พวกมันกวาดสถานีวิจัยไปครึ่งหนึ่ง แล้วครึ่งของผม" ยักไหล่ "เราโชคดีเป็นบ้า ในตอนสุดท้ายเรายันอยู่ในชั้นล่างของอาคาร ผบ. หน่วยของศัตรูนำคนของเขาอย่างกล้าหาญ แต่ผมทำให้เห็นว่าผมดีกว่า"

"วีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต" ดิกส์พูดขึ้น ดูเบอเกอร์ของเขาอีกครั้ง พันเอกแฮมม์ฟังอยู่เงียบ ๆ นี่เป็นวิธีที่คนในวงการวัดค่าอีกฝ่าย จากวิธีการเล่าเรื่องมากกว่าสิ่งที่พวกเขาทำ

นายพลรัสเซียยิ้ม "แมเรียน ผมไม่มีทางเลือกนี่นะ ไม่มีที่ให้หนี แล้วผมรู้ดีว่าพวกนั้นทำยังไงกับนายทหารรัสเซียที่โดนจับได้ พวกเขาก็ให้เหรียญแล้วก็เลื่อนยศผม แล้วประเทศของผมก็ คุณพูดยังไงนะ? ละลายหายไป?" ที่จริงมีอะไรมากกว่านั้น บอนดาเรนโกอยู่ในมอสโคว์ระหว่างที่มีรัฐประหาร และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาต้องเผชิญกับทางเลือกด้านศีลธรรม เขาเลือกทางที่ถูก ได้รับความสนใจจากหลายคนที่ตอนนี้ได้รับตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาลของประเทศใหม่และเล็กลง

"แล้วประเทศเกิดใหม่ล่ะครับ?" ผู้การแฮมม์กล่าวขึ้น "แล้วตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันได้รึเปล่า?"

"ดา คุณพูดดี ผู้การ แล้วคุณก็บังคับบัญชาได้ดีด้วย"

"ขอบคุณครับผม ส่วนใหญ่ผมแค่นั่งเฉย ๆ ปล่อยให้กรมทำงานไปด้วยตัวมันเอง" มันเป็นคำโกหกที่ไม่ว่านายทหารที่ดีจริงคนใดย่อมเข้าใจได้ในฐานะความจริงรูปแบบพิเศษ

"แล้วก็ใช้หลักยุทธวิธีของโซ- รัสเซียด้วย!" มันฟังดูบ้ามากสำหรับนายพลรัสเซีย

"มันใช้ได้ ไม่ใช่เหรอครับ?" แฮมม์กระดกเบียร์ของเขาจนหมดแก้ว

T-34
รถถังที-34

มันจะใช้ได้แน่ บอนดาเรนโกให้สัญญากับตัวเอง มันจะใช้ได้กับกองทัพของเขาเช่นเดียวกับที่มันใช้ได้กับพวกอเมริกัน เมื่อเขากลับไปและหาการสนับสนุนทางการเมืองที่ต้องการสำหรับสร้างกองทัพรัสเซียขึ้นมาใหม่ให้เป็นบางสิ่งที่มันไม่เคยเป็น แม้แต่ที่จุดสูงสุดในอำนาจการรบของมัน ขับไล่พวกเยอรมันกลับไปถึงเบอร์ลิน กองทัพแดงเป็นกองทัพที่ใหญ่และทื่อ อาศัยปริมาณเป็นหลักมากกว่าสิ่งอื่นใด เขายังรู้ดีถึงโชคที่เกิดขึ้น ประเทศเก่าของเขาได้นำรถถังที่เยี่ยมที่สุดในโลก ที-34 มาใช้งาน มันขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลออกแบบในฝรั่งเศส ระบบกันสะเทือนออกแบบโดยคนอเมริกันชื่อ เจ. วอลเตอร์ คริสตี้ และแนวคิดในการออกแบบแปลกใหม่ที่ชาญฉลาดของวิศวกรรัสเซียหนุ่ม ๆ นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สหภาพโซเวียตที่เพื่อนร่วมชาติของเขาสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับโลกได้ ในกรณีนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม ถ้าปราศจากมันแล้วประเทศของเขาต้องจบลงอย่างแน่นอน แต่วันเวลาที่ประเทศของเขาหวังพึ่งโชคและปริมาณได้ผ่านไปแล้ว ในต้นทศวรรษ 1980 พวกอเมริกันได้คิดสูตรที่เหมาะสมขึ้น กองทัพขนาดเล็กอย่างมืออาชีพ คัดเลือกมาอย่างระมัดระวัง ฝึกมาอย่างหนัก และทุ่มเทยุทโธปกรณ์อย่างเต็มที่ กองกำลังออปฟอร์ของพันเอกแฮมม์ กรมทหารม้าที่ 11 นี้ไม่เหมือนอะไรที่เขาเคยพบเห็นมาก่อน การบรรยายสรุปก่อนออกเดินทางบอกเขาถึงสิ่งที่ควรคาดถึง แต่นั่นแตกต่างไปจากการเชื่อว่ามันมีจริง เราต้องเห็นถึงจะเชื่อได้ ในภูมิประเทศที่เหมาะสมแล้ว กรมเดียวนี้สามารถรับข้าศึกได้ทั้งกองพลและทำลายมันภายในไม่กี่ชั่วโมง ฝ่ายบลูฟอร์ซไม่ใช่ว่าจะไร้ความสามารถ ถึงผู้บังคับบัญชาจะไม่ยอมมาร่วมทานที่นี่แต่ไปทำงานกับผู้นำหน่วยย่อย ๆ ของเขาแทนวันนี้ พวกเขาโดนยำเสียเละเลยทีเดียว

มีมากมายต้องเรียนรู้ที่นี่ แต่บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือวิธีที่พวกอเมริกันเผชิญหน้ากับบทเรียนของตัวเอง นายทหารระดับสูงต้องขายหน้าเป็นประจำ ทั้งในการรบจำลองและหลังจากนั้นในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า เอเออาร์ "วิเคราะห์หลังการรบ" ((After-Action Review)) ในระหว่างที่นายทหารสังเกตการณ์-ควบคุมวิเคราะห์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น อ่านบันทึกของพวกเขาจากการ์ดหลากสีเหมือนกับหมอเวชศาสตร์ในโรงพยาบาล

"ผมจะบอกให้" บอนดาเรนโกพูดหลังจากหยุดคิดสองสามวินาที "ในกองทัพของผม ทหารจะเริ่มต้นชกปากกันใน-"

"อ๋อ เราก็ใกล้เคียงอย่างนั้นในตอนเริ่มแรกครับ" ดิกส์บอกเขา "ตอนที่พวกเขาเริ่มใช้ที่นี่ ผู้บังคับบัญชาหน่วยจะถูกปลดหลังจากแพ้การฝึก จนทุกคนกลับมาหยุดคิดได้ว่าที่นี่ควรจะยากอยู่แล้ว พีท เทย์เลอร์เป็นคนที่ทำให้เอ็นทีซีทำงานได้อย่างถูกต้อง พวกนายทหารสังเกตการณ์-ควบคุมต้องเรียนรู้ชั้นเชิงการทูต แล้วพวกบลูฟอร์ซก็ต้องรู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ แต่ผมจะบอกอะไรให้ เกนนาดี้ ในโลกนี้ไม่มีกองทัพไหนที่ทำให้ ผบ. หน่วยขายหน้าได้แบบที่เราทำแล้ว"

"นั่นเป็นความจริงครับผม ผมคุยกับฌอน คอนเนลลี่เมื่อวันก่อน เขาเป็น ผบ. กรมทหารม้ายานเกราะที่ 10 ในทะเลทรายเนเกฟ" แฮมม์อธิบายให้นายพลรัสเซียนฟัง "พวกอิสราเอลยังไม่เข้าใจมันทั้งหมด พวกนั้นยังโวยตอนที่นายทหารสังเกตการณ์-ควบคุมบอกเขา"

"ขนาดเรายังติดตั้งกล้องเพิ่มเข้าไปอีกด้วยที่นั่น" ดิกส์หัวเราะขณะที่เขาตักเบอเกอร์ใส่จาน "แล้วบางครั้งพวกอิสราเอลยังไม่เชื่อว่าเกิดอะไรขึ้นถึงเราจะให้พวกนั้นดูวีดีโอเทปด้วยก็เถอะ"

"ยังมีเสียงฮู่อยู่มากไปที่นั่น" แฮมม์เห็นด้วย "เฮ้ ผมเป็น ผบ.พัน ตอนมาที่นี่ แล้วผมก็เคยโดนเข้าแบบนั้นไปแล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว"

"เกนนาดี้ หลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย กรมทหารม้ายานเกราะที่ 3 มาที่นี่ในรอบการฝึกหมุนเวียนตามปกติของพวกเขา คุณจำได้มั้ย พวกนั้นนำกองพลทหารราบยานยนต์ที่ 24 ของแบรี่ แมคคาฟฟรี่-"

"ลุยไปสองร้อยยี่สิบไมล์ภายในเวลาแค่สี่วัน" แฮมม์ย้ำ บอนดาเรนโกพยักหน้า เขาศึกษาการรบครั้งนั้นมาแล้วอย่างละเอียด

"อีกหลายเดือนต่อมา พวกนั้นมาที่นี่แล้วโดนอัดยับไปเลย จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ล่ะครับท่านนายพล การฝึกที่นี่ยากกว่าการรบจริง ไม่มีหน่วยไหนในโลกที่ฉลาดและเร็วและแข็งไปกว่าแบล็คฮอร์ส คาฟของอัล-"

"ยกเว้นทหารควายป่าของท่านครับท่านนายพล" แฮมม์สอด

ดิกส์ยิ้มในคำกล่าวถึงกรมที่ 10 เขาชินกับการขัดจังหวะของแฮมม์อยู่แล้ว "นั่นเป็นความจริง อัล ถึงยังไง ถ้าคุณแค่เสมอกับออปฟอร์ได้ คุณก็พร้อมรับใครก็ได้ในโลกนี้แบบหนึ่งต่อสาม แล้วเตะพวกนั้นกระเด็นไปอีกซีกโลกได้เลย"

บอนดาเรนโกยิ้มและพยักหน้า เขาเรียนรู้อย่างรวดเร็ว กลุ่มเล็ก ๆ ที่มากับเขายังสำรวจรอบ ๆ ฐาน คุยกับเพื่อนนายทหาร แล้วก็เรียนรู้ เรียนรู้ และเรียนรู้ การรบแบบหนึ่งต่อสามไม่ได้เป็นธรรมเนียมของกองทัพรัสเซีย แต่นั่นจะเปลี่ยนไปในไม่ช้า ภัยคุกคามของประเทศเขาคือจีน และถ้าการรบนั้นเกิดขึ้น มันจะอยู่ที่แนวรบไกลสุดปลายเส้นทางส่งกำลังบำรุงที่ยาวเหยียด กับกองทัพที่เกณฑ์มาขนาดมหึมา คำตอบเดียวต่อภัยคุกคามนั้นคือการเลียนแบบสิ่งที่พวกอเมริกันทำไปแล้ว ภารกิจของบอนดาเรนโกคือเปลี่ยนนโยบายการทหารทั้งหมดของประเทศเขา เอาล่ะ เขามาเรียนถูกที่แล้ว เขาบอกกับตัวเอง


ตอแหล ท่านประธานาธิบดีคิดหลังรอยยิ้มแสดงความเข้าใจ มันยากที่จะชอบอินเดีย พวกนั้นเรียกตัวเองเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่มันไม่ใช่เรื่องจริงอะไรนัก พวกนั้นพูดเรื่องหลักการชั้นสูงของจิต แต่เมื่อได้โอกาสแล้วพวกเขาก็บีบเพื่อนบ้าน พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และให้เหตุผลเพื่อให้อเมริกันออกจากมหาสมุทรอินเดียว่า "ยังไงแล้วมันก็ชื่อว่ามหาสมุทรอินเดีย" นายก ฯ คนก่อนบอกกับเอกอัครราชทูตอเมริกันคนก่อน ตกลงว่าหลักการของเสรีภาพในการเดินเรือมันเปลี่ยนแปลงได้ในการบังคับใช้ และที่แน่ที่สุด พวกนั้นพร้อมและกำลังจะเริ่มจัดการศรีลังกา แค่เพราะว่าตอนนี้การเริ่มต้นนั้นถูกทำลายลงแล้ว พวกเขาจึงได้พูดว่าไม่มีการวางแผนกระทำการอะไรแบบนั้นเลย แต่เราไม่สามารถมองเข้าไปในดวงตาของผู้นำประเทศแล้วยิ้ม แล้วพูดว่า "ตอแหล"

ทำแบบนั้นไม่ได้

แจ๊คนิ่งฟังอย่างอดทน จิบเพริญองอีกแก้วที่ผู้ช่วยชื่ออะไรไม่รู้นำมาให้ สถานการณ์ในศรีลังกาเป็นเรื่องซับซ้อน และโชคร้ายที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด อินเดียเสียใจในเรื่องนั้น และไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่คงจะดีถ้าทั้งสองฝ่ายถอยกลับได้ กองเรืออินเดียกำลังถอนกลับไปที่ฐาน การฝึกเสร็จสิ้นลงแล้ว มีเรือไม่กี่ลำที่เสียหายจากการกระทำของอเมริกา ซึ่ง ท่านนายก ฯ กล่าวโดยใช้ถ้อยคำไม่มากนัก ไม่เป็นการยุติธรรมนัก การกระทำอย่างพาลเช่นนั้น

แล้วศรีลังกาคิดกับคุณยังไงล่ะ? ไรอันอยากจะถาม แต่ก็ไม่ได้ทำ

"ถ้าเพียงคุณกับท่านเอกอัครราชทูตวิลเลี่ยมส์สื่อสารกับชัดเจนกว่านี้ในเรื่องนี้" ไรอันกล่าวเศร้า ๆ

"เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ค่ะ" ท่านนายก ฯ ตอบ "ท่านเดวิด พูดตามตรงแล้วถึงจะเป็นคนที่น่าคบ แต่ดิฉันเกรงว่าสภาพอากาศคงจะร้อนเกินไปสำหรับคนวัยขนาดนั้น" ซึ่งเป็นการบอกให้ไรอันไล่ชายคนนั้นออกเสียอย่างชัดเจนที่สุดที่เธอจะพูดได้แล้ว การประกาศว่าเอกอัครราชทูตวิลเลี่ยมส์เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนานั้นเป็นสิ่งที่รุนแรงเกินไปมาก ไรอันพยายามสะกดอารมณ์ของเขาไว้ แต่ล้มเหลว เขาต้องการสก็อต แอดเลอร์ที่นี่ แต่รักษาการณ์ รมต. ต่างประเทศอยู่ที่อื่นในตอนนี้

"ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจความจริงที่ว่าผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากในรัฐบาลขณะนี้" ไปตายซะเถอะ

"ขอโทษเถอะค่ะ ดิฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ดิฉันเข้าใจสถานการณ์ของท่านเต็มที่ ความหวังของดิฉันคือช่วยบรรเทาเรื่องที่อาจจะเป็นปัญหาเพื่อให้งานของท่านง่ายขึ้น" หรือชั้นจะทำให้มันยากขึ้นก็ได้เหมือนกัน

"ขอบคุณในเรื่องนั้นครับท่านนายกรัฐมนตรี บางทีท่านเอกอัครราชทูตของคุณที่นี่คงสามารถพูดคุยเรื่องต่าง ๆ กับสก็อตได้ไหมครับ?"

"ดิฉันจะพูดกับเขาในเรื่องนั้นอย่างแน่นอนค่ะ" เธอจับมือไรอันอีกครั้งแล้วเดินจากไป แจ๊คหยุดรอหลายวินาทีก่อนจะหันไปมองที่องค์มกุฏราชกุมาร

"ใต้ฝ่าละอองพระบาทจะทรงเรียกมันว่าอะไรเมื่อบุคคลระดับสูงโกหกต่อหน้าต่อตาของพระองค์?" ท่านประธานาธิบดีถามกับรอยยิ้มแหย ๆ

"การทูตอย่างไรล่ะ"


By Kaii


This page hosted by Get your own Free Home Page