Executive Orders

บทที่ 9 เสียงหอนอันห่างไกล

โกลอฟโกอ่านรายงานของท่านเอกอัครราชทูตเลอมอนซอฟโดยไม่ได้รู้สึกเห็นใจในบุคคลที่รายงานนั้นกล่าวถึงแต่อย่างใด ไรอันดูท่าทาง "อึดอัดรำคาญใจ" "ตั้งสติไม่ทัน" และ "แสดงท่าทางเหนื่อยอ่อน" อืม นั่นเป็นสิ่งที่คาดไว้แล้ว จากสุนทรพจน์ของเขาในพิธีศพประธานาธิบดีเดอร์ลิ่ง วงการทูตเช่นเดียวกับสื่อมวลชนอเมริกันซึ่งพยายามสุภาพที่สุดแล้วต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ใช่ลักษณะของประธานาธิบดี ใช่ ใครที่รู้จักไรอันรู้ดีว่าเขามักแสดงความรู้สึกออกมา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความสุขของเด็ก ๆ โกลอฟโกคงให้อภัยเรื่องนั้นได้ไม่ยาก คนรัสเซียนก็เป็นเช่นกัน แต่ไรอันควรจะทำอีกแบบหนึ่ง โกลอฟโกอ่านคำปราศรัยเป็นทางการที่ไม่ได้ใช้นั้นแล้ว มันเป็นร่างที่ดี เต็มไปด้วยการให้ความมั่นใจกับผู้ฟังทุกคน แต่ไรอันมักเป็นคนแบบที่พวกอเมริกันเรียกว่ามาเวอริค ((maverick)) (เขาต้องเปิดหาความหมายของคำนั้น พบว่ามันหมายถึงม้าป่าที่ไม่ได้ฝึกให้เชื่อง ซึ่งไม่ไกลจากความจริงเลย) นั่นทำให้โกลอฟโกวิเคราะห์ไรอันได้ทั้งง่ายและทั้งเป็นไปไม่ได้เลย ไรอันเป็นอเมริกัน แล้วพวกอเมริกันเป็นพวกที่คาดเดาไม่ได้เอาเสียเลยจากมุมมองของโกลอฟโก เขาใช้ชีวิตการทำงานเริ่มแรกจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองภาคสนามจากนั้นเป็นฝ่ายเสนาธิการที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในมอสโคว์ ทั้งหมดเพื่อพยายามคาดเดาสิ่งที่พวกอเมริกันจะทำในสถานการณ์ทุกรูปแบบ และหลีกเลี่ยงความล้มเหลวได้เพราะเขาไม่เคยลืมเสนอทางเลือกปฏิบัติสามทางที่เป็นไปได้ในรายงานของเขาต่อผู้บังคับบัญชา

แต่อย่างน้อยก็คาดได้ว่าอิวาน เอ็มเมโตวิช ไรอันเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ และโกลอฟโกภูมิใจในตัวเองที่ถือว่าไรอันเป็นเพื่อน บางทีนั่นออกจะเกินไป แต่ทั้งคู่เล่นเกมกันมา ส่วนใหญ่อยู่ในด้านตรงข้ามของสนาม แต่ส่วนใหญ่ทั้งคู่เล่นมันอย่างดีและด้วยความเชี่ยวชาญ โกลอฟโกเป็นมืออาชีพประสบการณ์สูงกว่า ไรอันเป็นมือสมัครเล่นที่มีพรสวรรค์ ถูกคุ้มครองด้วยระบบที่ทนรับพวกมาเวอริคได้ดีกว่า มีความเคารพนับถือกันระหว่างชายทั้งสองคน

"นายคิดอะไรอยู่ตอนนี้ แจ๊ค?" เซอไกกระซิบกับตัวเอง ตอนนี้ประธานาธิบดีอเมริกันคนใหม่กำลังนอนอยู่ แน่นอน เวลาแปดชั่วโมงเต็มช้ากว่ามอสโคว์ซึ่งดวงอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นในช่วงวันของฤดูหนาวที่แสนสั้น

ท่านเอกอัครราชทูตเลอมอนซอฟไม่ได้รู้สึกเกินไป โกลอฟโกจะต้องเพิ่มบันทึกของเขาต่อท้ายรายงานเพื่อไม่ให้รัฐบาลของเขาเชื่อการประเมินนั้นมากเกินไป ไรอันเป็นศัตรูของสหภาพโซเวียตที่ชำนาญมากเกินกว่าจะมองข้ามไปไม่ว่าในกรณีใด ปัญหาคือเลอมอนซอฟคิดว่าไรอันจะเป็นไปตามรูปแบบหนึ่ง แต่อิวาน เอ็มเอโตวิชไม่ใช่คนที่จะถูกจัดประเภทได้ง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนเหมือนความซับซ้อนในอีกรูปแบบหนึ่ง รัสเซียไม่มีคนแบบไรอัน ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมแบบโซเวียตที่ยังคงอยู่กับสหพันธรัฐรัสเซีย โดยเฉพาะในกลุ่มข้ารัฐการ เขาเบื่อง่ายและความโกรธของเขา ถึงจะควบคุมไว้ได้เกือบทุกครั้ง แต่ก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่ครั้งเดียวที่โกลอฟโกเคยเห็นมันเริ่มเดือดขึ้นมา แต่เพียงเคยได้ฟังตอนที่มันระเบิดออกมา เรื่องเหล่านั้นหลุดรอดจากซีไอเอมาสู่หูซึ่งรายงานตรงต่อจตุรัสเซอซินสกี้ ((Dzerzhinskiy Square)) ขอให้พระเจ้าทรงช่วยเขาในฐานะหัวหน้ารัฐบาล

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของโกลอฟโก

เขามีปัญหามากพออยู่แล้ว เขาไม่ได้ปล่อยอำนาจควบคุมหน่วยข่าวกรองต่างประเทศไปเสียทั้งหมด ประธานาธิบดีกรูชาวอยไม่มีเหตุผลจะไว้ใจหน่วยงานที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น "ดาบและโล่ห์ของพรรค" และต้องการให้ใครสักคนที่เขาไว้ใจได้คอยเฝ้าดูหน่วยล่าสังหารที่ถูกล่ามไว้นั้น แน่นอน คนคนนั้นคือโกลอฟโก ในเวลาเดียวกัน เซอไกเป็นที่ปรึกษาหลักด้านนโยบายต่างประเทศให้กับประธานาธิบดีรัสเซียที่กำลังถูกต้อนเข้ามุม ปัญหาภายในของรัสเซียหนักหนาจนทำให้ประธานาธิบดีไม่สามารถประเมินปัญหาภายนอกได้ และนั่นหมายความว่าในความเป็นจริงแล้วอดีตสายลับคนนี้ให้คำปรึกษาที่ประธานาธิบดีปฏิบัติตามในแทบทุกครั้ง รัฐมนตรีใหญ่ ((chief minister)) ซึ่งเป็นหน้าที่ของเขา ไม่ว่าจะมีชื่อตำแหน่งหรือไม่ เขาก็รับภาระอย่างจริงจัง กรูชาวอยมีตัวไฮดร้าภายในประเทศที่ต้องจัดการ มันเหมือนกับสัตว์ประหลาดในตำนานเก่า ที่เมื่อถูกตัดหัวใดไปจะมีหัวใหม่งอกขึ้นมาแทนที่ โกลอฟโกมีปัญหาน้อยกว่า แต่ว่ามันชดเชยกันด้วยขนาดที่ใหญ่กว่า ส่วนหนึ่งในใจเขาคิดถึงการกลับไปเป็นเคจีบีแบบเก่า เพียงแค่ไม่กี่ปีก่อน มันคงเป็นเรื่องเด็ก ๆ แค่ยกโทรศัพท์ พูดไม่กี่คำ แล้วพวกอาชญากรก็จะถูกเก็บไป ก็เท่านั้นเอง ก็ไม่เชิง แต่มันจะทำให้ทุกอย่าง... สงบสุขกว่านี้ คาดเดาได้ง่ายกว่านี้ เป็นระเบียบกว่านี้ และประเทศของเขาต้องการความเป็นระเบียบ แต่คณะบัญชาการใหญ่ที่สอง แผนก "ตำรวจลับ" ของหน่วยงาน ไม่มีอีกแล้ว มันหลุดไปเป็นหน่วยงานอิสระ อำนาจหายไป และความเคารพของสาธารณะชนซึ่งเป็นความกลัวจนเกือบจะเป็นความตื่นตระหนกในวันที่ผ่านมาไม่นานเท่านั้น ก็ละลายหายไปหมด ประเทศของเขาไม่เคยอยู่ในการควบคุมระดับที่พวกตะวันตกคาดไว้ แต่ตอนนี้มันแย่ลงกว่านั้น สหพันธรัฐรัสเซียเอนเอียงอยู่บนเส้นขอบของความสับสนปราศจากกฏหมายในขณะที่ประชาชนในประเทศคลำหาสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย ความวุ่นวายเป็นสิ่งที่ทำให้เลนินขึ้นสู่อำนาจ เพราะชาวรัสเซียต้องการการปกครองที่เข้มแข็ง โดยแทบจะไม่รู้จักแบบอื่นเลย ในขณะที่โกลอฟโกไม่ต้องการอย่างนั้น ในฐานะเจ้าหน้าที่เคจีบีระดับสูง เขารู้ดีว่าลัทธิมาร์กซิสซึ่ม-เลนินนิสซึ่ม ทำความเสียหายให้กับชาติของเขาขนาดไหน เขาต้องการประเทศที่มีระเบียบเรียบร้อยคอยหนุนอยู่เบื้องหลัง เพราะปัญหาภายในดึงดูดให้เกิดปัญหาภายนอก ดังนั้นตำแหน่งไม่เป็นทางการของเขาในฐานะรัฐมนตรีใหญ่ด้านความมั่นคงแห่งชาติก็เป็นเหมือนถูกจับอยู่ระหว่างปัญหาต่าง ๆ มากมายทุกรูปแบบ ตำแหน่งเขาเป็นแขนของร่างกายที่บาดเจ็บ พยายามจะไล่พวกหมาป่าไปในขณะที่ร่างกายพยายามรักษาตัวเอง

ดังนั้นเขาจึงแทบจะไม่สงสารไรอัน เพราะประเทศของไรอันอาจจะถูกโจมตีอย่างหนักที่ส่วนหัว แต่ส่วนอื่นยังแข็งแรงดีอยู่ ไม่ว่ามันจะดูแตกต่างอย่างไรในสายตาผู้อื่น โกลอฟโกรู้ดีกว่านั้น และเพราะอย่างนั้น เขาจึงจะขอความช่วยเหลือจากไรอัน

จีน ถึงพวกอเมริกันชนะญี่ปุ่น แต่ศัตรูที่แท้จริงไม่ได้เป็นญี่ปุ่น บนโต๊ะของเขาเต็มไปด้วยภาพถ่ายจากดาวเทียมสอดแนม กองทัพปลดปล่อยประชาชนมีทหารหลายกองพลเกินไปที่กำลังออกฝึกซ้อมภาคสนาม หน่วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ของจีนยังอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมกว่าปกติเล็กน้อย ประเทศของเขาเองกำจัดขีปนาวุธนิวเคลียร์ไปแล้ว ถึงจะมีภัยคุกคามจากจีน แต่ผลที่ได้เป็นเงินกู้เพื่อการพัฒนาก้อนโตจากธนาคารในอเมริกาและยุโรปทำให้การเสี่ยงดูน่าสนใจเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นอกจากนี้ ประเทศของเขา เช่นเดียวกับอเมริกา ก็ยังมีเครื่องบินทิ้งระเบิดกับจรวดร่อนที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ ดังนั้นข้อเสียเปรียบจึงเป็นแค่เพียงทฤษฎีในแผ่นกระดาษมากกว่าเรื่องจริง ถ้าคิดว่าจีนยึดตามทฤษฎีเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรจีนยังคงรักษาระดับการเตรียมพร้อมของกองทัพในระดับที่สูงอยู่ ส่วนกองทัพภาคตะวันออกไกลของรัสเซียกลับอยู่ในระดับต่ำอย่างเป็นประวัติการณ์ เขาปลอบใจตัวเองว่าเมื่อญี่ปุ่นอยู่นอกวงแล้ว จีนจะไม่เคลื่อนไหว คงจะไม่เคลื่อนไหว เขาแก้ความคิดตัวเอง ถ้าการทำความเข้าใจพวกอเมริกันเป็นเรื่องยาก พวกจีนก็ต้องอาจจะเรียกได้เป็นมนุษย์ต่างดาวเลยทีเดียว ไม่ยากที่จะนึกถึงว่าจีนเคยมาไกลถึงทะเลบอลติกแล้ว เช่นเดียวกับคนรัสเซียส่วนใหญ่ โกลอฟโกให้ความเคารพประวัติศาสตร์อย่างสูง เขาอยู่ตรงนั้น เซอไกคิด นอนอยู่บนหิมะ ถือไม้อยู่ในมือคอยไล่หมาป่าไปขณะที่เขาพยายามรักษาตัว แขนของเขายังแข็งแรงพอ และไม้ก็ยังยาวพอจะไล่คมเขี้ยวไปไกล แต่ถ้ามีหมาป่าอีกตัวล่ะ? เอกสารทางซ้ายของภาพถ่ายดาวเทียมเป็นสิ่งชี้ให้เห็นอย่างนั้น เหมือนกับเสียงหอนจากห่างไกลลับแนวขอบฟ้า แบบที่ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบลงได้ โกลอฟโกไม่ได้คิดต่อไปอีกว่าเมื่อนอนอยู่บนพื้นดิน ขอบฟ้านั้นจะอยู่ใกล้จนน่าตกใจ


สิ่งที่น่าทึ่งคือมันใช้เวลานานขนาดนั้น การคุ้มกันบุคคลสำคัญจากการลอบสังหารอย่างเลว ๆ ก็เป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดอยู่แล้ว มันยิ่งยากเข้าไปอีกเมื่อคนคนนั้นชอบออกไปสร้างศัตรู ความอำมหิตช่วยให้มันแย่ลง การดึงคนมาจากริมถนน ทำให้คนคนนั้นหายสาบสูญไป นั่นก็ทำให้แย่ลงได้อีกเยอะ ความมุ่งมั่นจะเอาตัวคนไม่ใช่เพียงคนเดียว แต่ทั้งครอบครัว บางครั้งทั้งตระกูล และทำอย่างเดียวกันก็ยิ่งมีผลเข้าไปอีก คนคนหนึ่งเลือกผู้ที่จะ "หายไป" คำกริยาแฝงที่เกิดขึ้นในอาร์เจนตินาในวงการข่าวกรอง นั่นเป็นคำอย่างสุภาพที่พวกสายสืบใช้ พวกนั้นรับค่าตอบแทนเป็นเงินหรืออำนาจซึ่งดียิ่งกว่าอีก พวกนั้นจะรายงานคำพูดคุยที่มีใจความยุยงให้ก่อความไม่สงบ จนแม้กระทั่งการล้อเลียนหนวดของใครบางคนจะลงเอยด้วยคำตัดสินประหารคนล้อนั้น และในไม่ช้า เพราะว่าองค์กรก็เป็นองค์กร และสายสืบต้องทำผลงานให้ได้ตามยอดที่กำหนด และเพราะว่าพวกสายสืบเองก็เป็นมนุษย์ที่มีทั้งชอบและเกลียด รายงานของพวกนั้นก็แสดงให้เห็นความรู้สึกเหยียดหยามหรืออิจฉาพอ ๆ กัน เพราะอำนาจชี้เป็นชี้ตายที่มีมันมีผลร้ายต่อคนระดับล่างเช่นเดียวกับคนระดับสูง ในที่สุดระบบที่เลวร้ายก็เสียไปเอง และหลักเหตุผลของความหวาดกลัวก็ถึงจุดสรุปตามเหตุผล กระต่ายน้อยที่ถูกหมาจิ้งจอกไล่ต้อนไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วนอกจากหันกลับมาสู้ และกระต่ายก็มีฟัน และบางครั้งกระต่ายก็โชคดี

เป็นเพราะความหวาดกลัวยังไม่พอ ยังมีมาตรการภาครับอีกด้วย งานลอบสังหารบุคคลสำคัญอาจจะทำให้ยากได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะในรัฐเผด็จการ จัดองค์รักษ์สองสามแถวเพื่อจำกัดการเข้าหา รถเหมือนกันหลายคัน ในกรณีนี้ก็มากถึงยี่สิบคันอยู่บ่อย ๆ ที่เป้าหมายอาจจะใช้เดินทางช่วยป้องกันไม่ให้ใครรู้ว่าจะต้องโจมตีคันไหน ชีวิตของคนระดับนั้นมีงานยุ่ง ดังนั้นจะทำให้ทั้งสะดวกขึ้นพร้อมทั้งเป็นมาตรการป้องกันด้วยการมีตัวปลอมคนสองคนเพื่อปรากฏตัว กล่าวปราศรัย แล้วเสี่ยงเพื่อตอบแทนกับชีวิตที่สะดวกสบายในฐานะเหยื่อล่อบนเวทีสาธารณะ

จากนั้นก็เป็นการคัดเลือกผู้คุ้มกัน จะเลือกปลาที่ไว้ใจได้จากทะเลที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังได้อย่างไร? คำตอบที่ชัดเจนที่สุดที่นี่คือเลือกคนจากตระกูลตัวเอง แล้วให้ชีวิตแก่พวกเขาแบบที่ต้องตั้งอยู่บนความอยู่รอดของผู้นำอย่างเดียวเท่านั้น สุดท้ายก็โยงพวกเขาเข้ากับเครือข่ายการคุ้มกันผู้นำเพื่อว่าความตายของเขามีความหมายมากเกินไปกว่าการสูญเสียงานรัฐบาลที่ได้ค่าตอบแทนสูงเท่านั้น เมื่อชีวิตของผู้คุ้มกันขึ้นอยู่กับชีวิตของผู้รับการคุ้มกันเป็นการกระตุ้นอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ

แต่จริงแล้วมีสิ่งสำคัญสิ่งเดียว บุคคลจะอยู่ยงคงกระพันได้ก็เพียงเพราะคนอื่นคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้น ดังนั้นความปลอดภัยของบุคคลนั้นก็เป็นเรื่องของจิตใจเหมือนกับแง่มุมสำคัญอื่น ๆ ของชีวิต

แต่แรงจูงใจของมนุษย์ก็เป็นเรื่องของจิตใจเช่นกัน แล้วความกลัวก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่รุนแรงที่สุด ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้คนเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อความรัก เพื่อชาตินิยม เพื่อหลักการ และเพื่อพระเจ้า บ่อยครั้งเกินกว่าที่ความกลัวทำให้พวกเขาวิ่งหนีไป และบนความจริงนั้นยังขึ้นอยู่กับการดำเนินตามขั้นตอน

ผู้พันเคยเสี่ยงชีวิตของเขาเองมาแล้วหลายรูปแบบจนเขาแทบจะจำมันไม่ได้หมด ทำไปเพื่อเรียกร้องความสนใจ เพียงเพื่อจะได้รับเชิญเข้าเป็นส่วนเล็ก ๆ ของเครื่องจักรที่ใหญ่กว่า จากนั้นก็เพื่อก้าวหน้าขึ้นภายในตัวมัน เขาใช้เวลาแสนนานกว่าจะเข้ามาใกล้ไอ้หนวดได้ขนาดนี้ อันที่จริงคือแปดปี ในระหว่างนั้นเขาต้องทรมานและฆ่าชาย หญิง และเด็ก จากเบื้องหลังดวงตาที่ว่างเปล่าและไร้ความปรานี เขาได้ข่มขืนลูกสาวต่อหน้าต่อหน้าพ่อของเธอ ข่มขืนแม่ต่อหน้าลูกชาย เขาประกอบอาชญากรรมที่แปดเปื้อนวิญญาณของคนนับร้อย เพราะมันไม่มีทางอื่น เขาดื่มเหล้าไปมากมายเพื่อสร้างความประทับใจให้ไอ้คนนอกศาสนาเพื่อละทิ้งศีลข้อนั้นในศาสนาของเขา ทั้งหมดนี้เขาทำในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า เขาสวดมนต์เพื่อขอพระองค์ทรงให้อภัย บอกกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าชีวิตของเขาถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ว่าไม่ เขาไม่ได้มีความสุขกับมันเลย ว่าชีวิตมากมายที่เขาคร่าไปเป็นสิ่งสังเวยที่จำเป็นต่อแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่า ว่าพวกนั้นต้องตายอยู่แล้วไม่ว่าอย่างไร และว่าโดยวิธีนี้ ความตายของพวกนั้นด้วยมือของเขาเป็นการทำเพื่อความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ เขาต้องเชื่อในสิ่งเหล่านั้นไม่อย่างนั้นเขาจะต้องเป็นบ้าไป แต่เขาก็ใกล้เคียงอย่างนั้นอยู่แล้ว จนกระทั่งเป้าหมายที่ยึดถือไว้แน่วแน่มีความสำคัญมากเกินกว่าความหมายของคำว่า "สิ่งครอบงำจิตใจ" และเขากลายเป็นอย่างนั้นซึ่งเขาได้ทำทุกวิถีทาง ทั้งหมดเพื่อจุดประสงค์เดียว เพื่อเขาจะได้เข้าใกล้พอและได้รับความไว้วางใจพอสำหรับงานที่ใช้เวลาวินาทีเดียว แล้วตามด้วยความตายของเขาเองในทันที

เขารู้ว่าเขาได้กลายเป็นสิ่งที่เขาและทุกคนรอบตัวเขาถูกฝึกมาให้กลัวเหนือสิ่งใด ทั้งในการพร่ำบ่นและในระหว่างดื่มกับเพื่อนมักจะกลับมาที่สิ่งเดิม พวกเขาคุยกันถึงภารกิจและอันตรายของภารกิจนั้น และนั่นมีใจความสำคัญอยู่เรื่องเดียว มือสังหารคนเดียวที่ยอมสละตัว คนที่ยินยอมโยนชีวิตของตัวเองทิ้งเหมือนกับโยนชิปพนัน คนที่อดทนรอโอกาสของเขา นั่นเป็นศัตรูที่เจ้าหน้าที่คุ้มกันทุกคนในโลกต่างกลัว ทั้งขณะเมาและไม่เมา นอกและในหน้าที่ แม้แต่ในความฝันของตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลของการทดสอบทั้งหมดที่จำเป็นในการได้มาคุ้มกันไอ้หนวด เพื่อให้มายืนตรงนี้ คุณต้องถูกทั้งพระเจ้าและมนุษย์สาปแช่ง เพราะเมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว คุณจะเห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร

ไอ้หนวดเป็นคำที่เขาใช้เรียกเป้าหมายของเขา ไม่ใช่มนุษย์เลย แต่เป็นคนไม่มีศาสนาที่ทำลายศาสนาอิสลามได้โดยไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย คนชั่วขนาดนี้ต้องได้อยู่ในห้องที่สร้างขึ้นใหม่โดยเฉพาะในนรก จากระยะไกลไอ้หนวดดูมีอำนาจและอยู่ยงคงกระพัน แต่ไม่ใช่เมื่อมองใกล้ ๆ พวกองครักษ์ของมันรู้ดีเพราะพวกนั้นรู้ทุกอย่าง พวกนั้นมองเห็นความลังเลและความกลัว ความทารุณที่มีให้กับคนที่ไม่ควรจะได้รับมัน เขาเคยเห็นไอ้หนวดฆ่าคนเพียงเพื่อความสนุก บางทีเพื่อดูว่าปืนพกบราวนิ่งของมันใช้ได้หรือเปล่าวันนั้น เขาเคยเห็นมันมองออกนอกหน้าต่างรถเบนซ์ขาวเกียร์ออโต้คันหนึ่งของมัน เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ชี้นิ้ว ออกคำสั่ง จากนั้นใช้สาวเคราะห์ร้ายนั้นเพียงคืนเดียว คนที่โชคดีได้กลับบ้านพร้อมกับเงินและความเสื่อมเสีย พวกที่โชคร้ายได้คอขาดลอยอืดอยู่ในแม่น้ำยูเฟรติส หลายคนด้วยฝีมือของไอ้หนวดเอง ถ้าพวกนั้นดิ้นรนปกป้องความบริสุทธิ์ของตัวเองมากเกินไป แต่ถึงมันจะมีอำนาจขนาดนั้น ฉลาด เจ้าเล่ห์ขนาดนั้น โหดเหี้ยมไร้ความปรานีขนาดนั้น แต่ไม่ มันไม่ได้เป็นอมตะ แล้วตอนนี้ก็เป็นเวลาที่มันจะได้เฝ้าองค์อัลเลาะห์แล้ว

ไอ้หนวดโผล่ออกมาจากอาคารไปยังระเบียงกว้าง องครักษ์ของมันเดินตามหลัง มันยื่นแขนขวาออกทักทายฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ ผู้คนในจตุรัสรวมตัวกันอย่างเร็วส่งเสียงร้องแสดงความรัก ซึ่งหล่อเลี้ยงไอ้หนวดเหมือนกับแสงแดดหล่อเลี้ยงดอกไม้ จากนั้น ห่างออกไปสามเมตร ผู้พันดึงปืนพกอัตโนมัติของเขาออกมาจากซองหนังยกขึ้นด้วยมือข้างเดียว แล้วยิงออกไปนัดหนึ่งตรงที่หลังหัวของเป้าหมายของเขา คนที่อยู่หน้าฝูงชนเห็นกระสุนทะลุจากตาซ้ายของผู้เผด็จการของเขา หลังจากนั้นก็เป็นเหมือนช่วงเวลาประวัติศาสตร์ แบบที่ทั้งโลกดูจะหยุดหมุน หัวใจหยุดเต้น แม้แต่ผู้คนที่ร้องตะโกนแสดงความภักดีต่อคนที่ตายไปแล้วก็จะจำได้เพียงความเงียบ

ผู้พันไม่เสียเวลายิงซ้ำอีกนัด เขาเป็นนักแม่นปืนคนหนึ่งที่ฝึกซ้อมกับสหายของเขาเกือบทุกวัน และดวงตาว่างเปล่าที่เบิกกว้างของเขามองเห็นผลของกระสุนแล้ว เขาไม่ได้หันหนี ไม่เสียเวลาพยายามป้องกันตัวซึ่งเปล่าประโยชน์ ทั้งไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าสหายที่เขาได้กินเหล้าและข่มขืนเด็กมาด้วยกัน คนอื่นจะจัดการเรื่องนั่นเองในไม่ช้า เขาไม่ได้ยิ้มถึงแม้มันน่าขันจริง ๆ ไม่ใช่หรือ ที่ไอ้หนวดมีโอกาสเห็นจตุรัสเต็มไปด้วยผู้คนที่มันเหยียดหยามจากความเคารพบูชาที่มีต่อตัวมัน ก่อนจะได้เห็นพระพักตร์ของพระอัลเลาะห์พร้อมกับสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ความคิดนั้นมีโอกาสก่อตัวขึ้นเป็นเวลาอาจจะสองวินาทีก่อนเขารู้สึกว่าตัวเขากระตุกจากแรงกระทบของกระสุนนัดแรก ไม่มีความเจ็บปวด เขารวมสมาธิไปที่เป้าหมายของเขาซึ่งตอนนี้นอนอยู่บนหินปูพื้นระเบียง เลือดไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็วจากส่วนหัวที่แหลกเละ เขาถูกกระสุนอีกหลายนัด มันดูแปลกไปชั่วขณะที่เขารู้สึกมันแต่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากเส้นทางที่มันทะลวงผ่าน ในช่วงวินาทีสุดท้ายเขาสวดมนต์วิงวอนให้พระอัลเลาะห์ทรงเข้าใจและยกโทษให้กับความเลวร้ายทั้งหมดที่เขาทำในนามของพระเจ้าและการพิพากษาของพระองค์ สุดท้าย หูของเขาไม่ได้ยินเสียงปืนแต่กลับเป็นเสียงร้องของฝูงชนที่ยังอยู่เพราะยังไม่ตระหนักว่าผู้นำของพวกเขาตายไปแล้ว


"ใคร?" ไรอันดูนาฬิกาของเขา บ้าชะมัด ได้นอนอีกซักสี่สิบนาทีก็จะดีเลย

"ท่านประธานาธิบดีครับ ผมชื่อพันตรีแคนนอน สังกัดนาวิกโยธิน" เสียงคนแปลกหน้ากล่าว

"ก็ดีนะ ผู้พัน แล้วคุณเป็นใคร?" แจ๊คกระพริบตา ลืมความสุภาพไป แต่นายทหารคนนั้นคงเข้าใจ

"ท่านครับ ผมเป็นนายทหารเวรห้องสื่อสาร เราได้รับรายงานลับมากมาว่าประธานาธิบดีอิรัคถูกลอบสังหารเมื่อสิบนาทีที่แล้วครับ"

"แหล่งข่าวล่ะ?" แจ๊คถามทันที

"ทั้งคูเวตและซาอุครับ มันเป็นการถ่ายทอดสดของทีวีอิรัค เป็นงานอะไรสักอย่าง แล้วเรามีคนอยู่ที่นั่นคอยดูทีวีพวกนั้น ตอนนี้เรากำลังรับเทปอยู่ ข้อมูลเบื้องต้นคือกระสุนปืนพกที่ศีรษะในระยะประชิดครับ" น้ำเสียงของนายทหารคนนั้นไม่เชิงแสดงความเสียใจ ใช่แล้ว พวกนั้นเป่าไอ้เลวนั่นจนได้! แน่นอน เราพูดแบบนั้นกับประธานาธิบดีไม่ได้

แล้วเราก็ต้องรู้ให้ได้ว่า "พวกนั้น" เป็นใคร

"เอาล่ะ ผู้พัน ขั้นตอนปฏิบัติคืออะไร?" คำตอบส่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ไรอันวางหูโทรศัพท์

"อะไรคะคราวนี้?" แคธี่ถาม แจ๊คยกเท้าออกจากเตียงก่อนจะตอบ

"ประธานาธิบดีอิรัคถูกฆ่า"

ภรรยาของเขาเกือบจะพูดว่าดีค่ะแต่ชะงัก การตายของคนอย่างนั้นไม่ได้ดูห่างไกลเหมือนกับที่เคยเป็น เป็นเรื่องแปลกที่รู้สึกอย่างนั้นกับคนที่ตอบแทนโลกนี้ได้ดีที่สุดด้วยการจากมันไป

"เป็นเรื่องสำคัญเหรอคะ?"

"พวกนั้นจะบอกผมในยี่สิบนาทีนี้แหละ" ไรอันไอก่อนจะพูดต่อ "แต่ไม่เห็นเป็นไร ผมเคยคุมเรื่องแถบนั้นนี่นะ ใช่จ้ะ มันมีความสำคัญมากเลย" จากนั้นเขาก็ทำเหมือนกับชายทุกคนในอเมริกาทำตอนเช้า เขาตรงไปที่ห้องน้ำก่อนภรรยาของเขา สำหรับเธอ แคธี่ยกรีโมทแล้วทำหน้าที่อีกอย่างของผู้ชายด้วยการกดเปิดทีวีในห้องนอน แปลกใจที่พบว่าซีเอ็นเอ็นไม่มีอะไรต้องรายงานยกเว้นข่าวสนามบินใดทำงานล่าช้ากว่ากำหนด แจ๊คเคยบอกเธอสองสามครั้งแล้วว่าห้องสื่อสารของทำเนียบขาวเก่งขนาดไหน

"มีอะไรรึเปล่า?" สามีของเธอถามขณะก้าวออกมา

"ยังไม่มีค่ะ" คราวนี้เป็นตาของเธอ

แจ๊คต้องหยุดคิดว่าเสื้อผ้าของเขาอยู่ที่ไหน สงสัยในใจว่าประธานาธิบดีควรแต่งตัวยังไง เขาเจอเสื้อคลุมที่นำมาจากศูนย์สังเกตุการณ์ทางทะเลหลังจากนำมาจากถนนสายที่แปดกับหนึ่งหลังจากนำมาจากบ้านของพวกเขา...บ้าจริง ๆ แล้วเขาก็เปิดประตูห้องนอน เจ้าหน้าที่คุ้มกันในห้องโถงยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าสามเล่มให้เขา "ขอบใจ"

แคธี่เห็นแล้วหยุดชะงักกึก พึ่งตระหนักว่ามีคนอยู่นอกห้องนอนของเธอตลอดทั้งคืน เธอหันหน้าหนีไป ฝืนยิ้มแบบที่จะทำเมื่อบังเอิญเห็นสภาพห้องครัวที่ยุ่งเหยิง

"แจ๊คคะ?"

"อะไรจ๊ะที่รัก?"

"ถ้าคืนหนึ่งฉันฆ่าคุณบนเตียง พวกที่มีปืนข้างนอกนั่นจะจับฉันเลยหรือว่าจะรอถึงเช้าก่อนคะ?"


งานจริงทำกันอยู่ที่ฟอร์ทมี้ด ((Fort Meade)) ภาพวีดีโอเดินทางจากสถานีเฝ้าจับสัญญาณแห่งหนึ่งที่ชายแดนคูเวต-อิรัค และอีกแห่งในซาอุดิอาระเบีย รู้จักกันในชื่อปาล์มโบล์ว ((Palm Bowl)) กับสตอร์มแทร็ค ((Storm Track)) ตามลำดับ ที่หลังตั้งขึ้นเพื่อบันทึกสัญญาณที่ส่งมาจากแบกแดด ส่วนที่แรกเฝ้าดูภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ รอบเมืองบาสรา ข้อมูลจากทั้งสองที่เดินทางผ่านสายใยแก้วนำแสงมายังอาคารของหน่วยรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ((National Security Agency: NSA)) ที่ดูลวงตาว่าเป็นอาคารเล็ก ๆ ในเมืองการทหารพระเจ้าคาลิด (KKMC) ((King Khalid Military City)) แล้วส่งขึ้นไปยังดาวเทียมสื่อสารซึ่งจากนั้นยิงกลับมาที่กองบัญชาการเอ็นเอสเอ ภายในห้องรับข่าว คนสิบคนที่นายทหารเวรเรียกมานั่งรวมกลุ่มอยู่หน้าจอทีวีเพื่อดูเทป ขณะที่นายทหารระดับสูงกว่าจิบกาแฟอย่างสงบอยู่ในห้องทำงานกระจกอีกห้องหนึ่ง

"เจ๋ง!" พันจ่าอากาศคนหนึ่งร้องเมื่อได้เห็นภาพ "กลางห่วงเลย!" มีการผลัดกันตบมืออีกหลายครั้ง นายทหารเวรอาวุโสผู้ซึ่งแจ้งทางทำเนียบขาวไปแล้วพยักหน้ารับแล้วส่งสัญญาณต้นฉบับต่อไป แล้วสั่งให้ปรับปรุงภาพแบบดิจิตอล ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ไม่กี่ภาพเท่านั้นที่สำคัญขนาดนั้น แล้วพวกเขาก็มีเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครย์จัดการให้อยู่แล้ว


ไรอันสังเกตุเห็นว่าขณะที่แคธี่กำลังเตรียมให้ลูก ๆ ไปโรงเรียน และเตรียมตัวเธอให้พร้อมผ่าตัดตาของคนอื่น เขากลับอยู่ที่นี่ในกองสื่อสารคอยดูภาพย้อนหลังของฆาตกร เจ้าหน้าที่ข่าวกรองแห่งชาติที่แต่งตั้งแล้วของเขายังอยู่ที่ซีไอเอกำลังสรุปข้อมูลข่าวสารสำหรับช่วงเช้าที่เข้ามา เพื่อคายต่อให้ประธานาธิบดีในรูปแบบของรายงานสรุปข่าวกรองภาคเช้า ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติยังว่างอยู่ อีกอย่างที่ต้องทำในวันนี้

"วู้!" พันตรีแคนนอนพ่นลมหายใจ

ท่านประธานาธิบดีผงกศีรษะ จากนั้นก็เปลี่ยนกลับไปเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองแบบที่เขาเคยเป็น "เอาล่ะ บอกผมซิว่าเรารู้อะไรมั่ง"

"ครับผม เรารู้ว่าใครบางคนถูกฆ่า ซึ่งอาจจะเป็นประธานาธิบดีอิรัค"

"ตัวปลอม?"

แคนนอนพยักหน้า "อาจใช่ครับ แต่ตอนนี้สตอร์ม แทร็ครายงานว่ามีสัญญาณวีเอชเอฟจำนวนมากที่เริ่มต้นส่งในทันทีทันใดในเครือข่ายทหารและตำรวจ และสัญญาณนั้นส่งกระจายออกจากแบกแดด" นายทหารนาวิกโยธินชี้ไปที่จอคอมพิวเตอร์ของเขาที่กำลังแสดง "ภาพ" ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจากจุดรับข้อมูลหลายแห่งของเอ็นเอสเอ "การแปลจะใช้เวลาเล็กน้อย แต่ผมวิเคราะห์แบบแผนการส่งสัญญาณเป็นอาชีพอยู่แล้ว มันดูเหมือนจริงมากครับผม ผมคิดว่าอาจจะปลอมขึ้นได้ แต่ผมไม่ - นั่นไง!"

ข้อความแปลกำลังแสดงขึ้นมา ระบุว่าส่งมาจากเครือข่ายบัญชาการทหาร ท่านตายแล้ว ท่านตายแล้ว เตียมหน่วยของคุณให้พร้อมและเตรียมตัวเคลื่อนกำลังเข้าเมือหลวงทันที - ผู้รับคือหน่ยปิบัตการพิเสษรีพับกันการ์ดประจำซัลมาน ปัค - ข้อความตอบคือ : ครับผมจะทำ ครับผมจะทำ ใครเป็นคนออกคำสัง คำสั่งของผมคืออะไร -

"พิมพ์ผิด ๆ ถูก ๆ" แจ๊คตั้งข้อสังเกตุ

"ท่านครับ มันยากจะให้คนของเขาแปลและพิมพ์ในเวลาเดียวกัน ปกติแล้วเราจะแก้ไขก่อน-"

"ใจเย็น ผู้พัน ผมใช้แค่สามนิ้วเอง บอกผมสิว่าคุณเห็นว่ายังไง"

"ท่านครับ ผมเป็นเพียงนายทหารระดับล่างที่นี่ ผมถึงเข้าเวรดึกแล้วก็-"

"ถ้าคุณโง่ คุณคงไม่ได้มาอยู่นี่หรอก"

แคนนอนพยักหน้า "เขาตายแหง ๆ ครับผม อิรัคต้องหาเผด็จการคนใหม่แล้ว เราได้ภาพ เราได้รูปแบบการสื่อสารที่ผิดปกติซึ่งเข้ากับรูปแบบของเหตุการณ์ผิดปกติ นั่นเป็นการประเมินของผมครับ" เขาหยุดแล้วพูดป้องกันตัวเองต่อ เหมือนกับสายลับที่ดี "นอกจากมันจะเป็นการกระทำที่เจตนาเพื่อหาคนที่ไม่จงรักภักดีภายในรัฐบาลของเขา นั่นเป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะใช่ ไม่ใช่ในสาธารณะอย่างนี้"

"ละครกามิกาเซ่?"

"ใช่ครับท่านประธานาธิบดี แบบที่คุณทำได้ครั้งเดียว แล้วก็อันตรายในครั้งแรก"

"เห็นด้วย" ไรอันเดินไปที่หม้อกาแฟ กองสื่อสารประจำทำเนียบขาวเป็นหน่วยงานทางทหารและพวกเขาก็ทำกาแฟกันเอง แจ๊คถือกาแฟสองถ้วยแล้วเดินกลับมา ส่งถ้วยหนึ่งให้ผู้พันแคนนอน ยังความตระหนกให้กับทุกคนในห้อง "ทำงานได้เร็วดี ส่งคำ "ขอบใจ" ไปให้พวกที่ทำงานนี้ด้วยนะ?"

"ครับผม"

"ผมจะคุยกับใครให้เริ่มสั่งการจากแถวนี้ได้มั่ง?"

"เรามีโทรศัพท์อยู่ตรงนี้ครับท่านประธานาธิบดี"

"ผมต้องการตัวแอดเลอร์ที่นี่ด่วนที่สุด แล้วก็ดีซีไอ ((DCI – Director of Central Intelligence ผอ. ซีไอเอ))... ใครอีก? แผนกอิรัคของกระทรวงการต่างประเทศ ซีไอเอ กับหน่วยข่าวกรองกลาโหม ((DIA – Defense Intelligence Agency)) ประเมินสภาพกองทัพของพวกนั้น ดูว่าเจ้าชายอาลียังอยู่ในเมืองรึเปล่า ถ้าท่านอยู่ ขอให้ท่านเตรียมตัวไว้ ผมต้องการคุยกับท่านเช้านี้ถ้าเป็นไปได้ แล้วอะไรอีกนะ...?" เสียงไรอันค่อย ๆ เงียบลงไป

"ผบ. บก. กลาง ครับผม ((CentCom – Central Command กองบัญชาการร่วมกองทัพสหรัฐ ฯ ที่รับผิดชอบพื้นที่ตะวันออกกลางกับเอเชียตะวันตกเฉียงใต้)) ท่านมีหน่วยข่าวกรองทหารที่ดีที่สุดอยู่ที่แทมป้า ผมหมายถึงพวกนั้นคุ้นกับพื้นที่แถบนั้นที่สุด"

"เอาเขามาที่นี่ ไม่ เราจะทำผ่านทางสายสื่อสารทางพื้นดิน เราจะให้เวลาเขาฟังข้อมูลสรุปก่อน"

"เราจะทำตามนั้นครับผม" ไรอันตบบ่านายทหารแล้วออกจากห้องไป ประตูหนาหนักปิดตามหลังเขาก่อนที่พันตรีชาร์ลส์ แคนนอนพูดได้อีกครั้ง "เฮ้ ผบ. ใหญ่รู้งานดีเป็นบ้าเลย"

"มันเป็นอย่างที่ดิฉันได้ยินมาหรือเปล่าคะ?" ไพรซ์ถามขณะเดินเข้ามาตามทางเดิน

"คุณเคยนอนมั่งรึเปล่าเนี่ย?" แล้วเขาก็คิดทบทวนมัน "ผมอยากให้คุณเข้ามาเกี่ยวเรื่องนี้ด้วย"

"ทำไมต้องเป็นดิฉันคะท่าน ดิฉันไม่ใช่-"

"คุณน่าจะรู้เรื่องการลอบสังหารดีไม่ใช่เหรอ?"

"ค่ะท่านประธานาธิบดี"

"งั้นตอนนี้คุณก็มีค่ากับผมมากกว่าสายลับซะอีก"


จังหวะน่าจะดีกว่านี้ ดาริเยประหลาดใจเมื่อได้รับข่าวสารที่ส่งมา พอใจกับมันอย่างที่สุด อาจจะยกเว้นเรื่องจังหวะเวลา เขาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ กระซิบคำสวดเพื่อขอบพระทัยองค์อัลเลาะห์ จากนั้นก็แก่ดวงวิญญาณของมือสังหารนิรนามคนนั้น มือสังหารหรือ? เขาถามตัวเอง บางที "ผู้พิพากษา" น่าจะเป็นคำที่ดีกว่าสำหรับคนผู้นั้น หนึ่งในหลายคนที่แทรกซึมเข้าในอิรัคนานมาแล้ว ระหว่างที่สงครามยังดำเนินอยู่ ส่วนใหญ่หายสาบสูญไปเฉย ๆ บางทีอาจจะถูกยิงทิ้งไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ปฏิบัติการทั้งหมดเป็นความคิดของเขา ถึงไม่ประทับใจพวก "มืออาชีพ" ที่ทำงานหน่วยข่าวกรองของเขาก็ตาม พวกของเหลือจากซาวัค ((Savak หน่วยสืบราชการลับของอิหร่านในสมัยพระเจ้าชาห์)) ของพระเจ้าชาห์ ฝึกมาโดยอิสราเอลในช่วงปี 1960 ถึง 1970 พวกนั้นใช้ได้ดี แต่ก็ที่สุดแล้วก็เป็นมือปืนรับจ้างไม่ว่าพวกนั้นอาจจะต่อต้านความบ้าคลั่งศาสนาและความภักดีต่อระบอบใหม่ขนาดไหนก็ตาม พวกนั้นจะทำไปตามวิถีทาง "ตามแบบ" สำหรับภารกิจนอกแบบ พยายามติดสินบนหรือไม่ก็มองหาผู้ต่อต้านภายใน เพื่อจะพบกับความล้มเหลวทุกครั้งไป หลายปีที่ดาริเยสงสัยว่าเป้าหมายนั้นอาจจะได้รับความคุ้มครองอย่างผิดวิสัยจากองค์อัลเลาะห์ก็ได้ แต่นั่นมาจากความสิ้นหวัง ไม่ใช่เหตุผลหรือศรัทธา และแม้แต่ดาริเยก็มีความอ่อนแอได้เช่นกัน แน่นอนพวกอเมริกันก็พยายามช่วยเขาด้วยเหมือนกัน บางทีอาจเป็นวิธีเดียวกัน พยายามค้นหาผู้นำหน่วยทหารที่อาจจะอยากกุมเก้าอี้แห่งอำนาจ พยายามสนับสนุนรัฐประหารแบบที่พวกนั้นทำบ่อย ๆ ในที่อื่น ๆ ของโลก แต่ไม่ได้ เป้าหมายนี้เชี่ยวชาญเรื่องนั้นกว่า และทุกครั้งมันก็ชำนาญขึ้นเรื่อย ๆ พวกอเมริกันจึงล้มเหลว เช่นเดียวกับพวกอิสราเอล เช่นเดียวกับคนอื่นทั้งหมด ทั้งหมดยกเว้นฉัน

มันเป็นธรรมเนียมตั้งแต่โบราณ คนคนเดียวทำงานตามลำพัง คนที่ศรัทธาจนสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุภารกิจของเขา คนแบบนั้นสิบเอ็ดคนถูกส่งไปอิรัคเพื่อจุดประสงค์นี้ ถูกสั่งให้ฝังตัวลึก ถูกฝึกมาให้ลืมทุกอย่างที่เคยเป็นมา โดยปราศจากการติดต่อหรือผู้ควบคุม หลักฐานที่ระบุตัวตนของพวกเขาถูกทำลายไปหมดเพื่อไม่ให้สายลับอิรัคในหน่วยงานของเขาค้นพบภารกิจไม่มีชื่อเรียกนี้ได้ ภายในหนึ่งชั่วโมง เพื่อนแก่ ๆ ด้วยกันกับเขาจะเข้ามาห้องทำงานนี้ สรรเสริญพระเจ้าและปัญญาของผู้นำพวกเขา อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่แม้แต่พวกนั้นก็ไม่รู้ทุกอย่างที่เขาได้ทำลงไป หรือทุกคนที่เขาส่งออกไป


ภาพเหตุการณ์ที่ผ่านการปรับปรุงด้วยดิจิตอลแล้วไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ถึงในตอนนี้เขาจะได้ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมากกว่าถึงสิ่งที่เป็นไปได้

"ท่านประธานาธิบดีครับ คนที่มีเครื่องซิลิคอนกราฟฟิคก็ทำปลอมขึ้นได้" เจ้าหน้าที่ข่าวกรองแห่งชาติบอกกับเขา "ท่านก็เคยเห็นจากหนัง ฟิล์มหนังมีความละเอียดสูงกว่าทีวีด้วย เดี๋ยวนี้เราสามารถทำปลอมได้แทบทุกอย่าง"

"ดีแล้ว แต่หน้าที่ของคุณคือบอกผมว่าเกิดอะไรขึ้นจริง" ไรอันชี้ประเด็น เขาดูเทปไม่กี่วินาทีนี้มาแปดครั้งแล้ว และเริ่มเบื่อกับการเล่นภาพซ้ำพวกนี้

"เรากล่าวอย่างแน่นอนไม่ได้ครับ"

อาจเป็นเพราะอดนอนมาตลอดสัปดาห์ อาจเป็นเพราะความกดดันจากหน้าที่ อาจเป็นเพราะความกดดันที่ต้องพบกับวิกฤตการณ์ครั้งที่สองของเขา อาจเป็นเพราะตามเอกสารแล้วตัวไรอันเองยังเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองแห่งชาติอยู่ "ฟังนะ ผมจะแค่พูดหนเดียว หน้าที่คุณไม่ใช่ปัดสวะให้พ้นตัวเอง หน้าที่คุณคือปัดสวะให้พ้นตัวผม!"

"ผมทราบครับท่านประธานาธิบดี ผมถึงได้ให้ข้อมูลทั้งหมดที่ผมมีกับท่าน..." ไรอันไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดที่เหลือ เขาเคยได้ยินมันทั้งหมดมาแล้วหลายร้อยครั้ง และยังมีบางครั้งที่เขาพูดคล้ายกันนั้นเองด้วย แต่ในกรณีของแจ๊ค เขามักปักหลักกับความเป็นไปได้อันใดอันหนึ่งเสมอ

"สก๊อต?" แจ๊คถามรักษาการณ์ รมต. ต่างประเทศ

"ไอ้บ้านั่นเน่าพอ ๆ กับปลาค้างคืนแล้วล่ะ" แอดเลอร์ตอบ

"มีใครไม่เห็นด้วยมั้ย?" ประธานาธิบดีไรอันถามคนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้อง ไม่มีใครขัดแย้งคำประเมินนั้น เป็นเหมือนกับให้การปกป้องมัน แม้แต่เจ้าหน้าที่ข่าวกรองแห่งชาติก็จะเห็นด้วยกับความเห็นโดยรวมของทุกคน เขาเสนอการประเมินสถานการณ์ของเขาแล้ว ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้เป็นปัญหาของ รมต. ต่างประเทศเท่านั้น สมบูรณ์แบบ

"ใครเป็นมือปืนเหรอคะ?" แอนเดรีย ไพรซ์ถาม คำตอบมาจากเจ้าหน้าที่แผนกอิรัคของซีไอเอ

"ไม่มีใครรู้จักครับ ผมให้คนดูเทปย้อนหลังแล้วให้แน่ใจว่าเคยเห็นเขาก่อนแล้ว เอาล่ะ จากภาพทั้งหมดเขาเป็นสมาชิกระดับสูงในชุดคุ้มกัน ยศพันเอกกองทัพบก และ-"

"และฉันก็รู้จักทุกคนในชุดคุ้มกันของฉันดีอยู่แล้ว" ไพรซ์สรุปประโยค "ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาสังกัดอยู่ในนั้น และนั่นหมายความว่าไม่ว่าใครที่วางแผนจัดการเรื่องนี้ เขาต้องส่งคนเข้าไปข้างในให้ใกล้พอจะลงมือได้ แล้วก็ยอมรับผลที่จะตามมา มันต้องใช้เวลาหลาย ๆ ปีทีเดียว" เทปส่วนต่อไปพวกเขาได้ดูเพียงห้าครั้ง แสดงให้เห็นภาพชายคนนั้นฟุบลงจากการกระหน่ำยิงของปืนพกจากระยะเผาขน นั่นทำให้ไพรซ์รู้สึกแปลก เราต้องอยากจับคนแบบนั้นเป็น ๆ แน่ คนตายพูดอะไรไม่ได้ แล้วจะจัดการประหารเมื่อไรก็ได้ ยกเว้นเพื่อนร่วมแผนการเป็นคนฆ่าเขา แต่มันจะเป็นไปได้แค่ไหนที่มือสังหารมากกว่าหนึ่งคนจะเข้ามาได้ขนาดนี้? ไพรซ์รู้ดีว่าเธออาจถามอินทิรา คานธีสักวัน ชุดคุ้มกันของเธอทุกคนหันมาเล่นงานเธอบ่ายวันหนึ่งในสวน สำหรับไพรซ์นั่นเป็นเรื่องเสื่อมเสียที่สุด ฆ่าคนที่เราเคยปฏิญาณว่าจะปกป้อง แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่เคยปฏิญาณจะปกป้องคนแบบนั้น อีกสิ่งหนึ่งในเทปที่ดึงดูดความสนใจของเธอ "คุณสังเกตุเห็นภาษากายมั้ยคะ?"

"คุณหมายความว่าไง?"

"วิธีที่ยกปืนขึ้น วิธีที่เขายิง การที่เขาแค่ยืนดูอยู่ตรงนั้น เหมือนกับนักกอล์ฟ มันเรียกว่าฟอลโลว์-ธรู ((follow-through)) เขาต้องรอโอกาสนี้มานานมากเลยทีเดียว เขาแน่ใจเรื่องนี้มานานมาก ๆ เขาต้องฝันถึงมันเลยล่ะ เขาต้องการให้ช่วงเวลานี้สมบูรณ์แบบ เขาอยากจะดูและมีความสุขกับมันก่อนเขาจะตาย" เธอส่ายหน้าช้า ๆ "นั่นเป็นมือสังหารที่ทุ่มเทเต็มที่" ที่จริงไพรซ์กำลังสนุกกับความคิดของตัวเองถึงหัวข้อของการประชุมครั้งนี้จะน่าขนลุกขนาดไหนก็ตาม ไม่ใช่ประธานาธิบดีคนเดียวที่ทำกับเจ้าหน้าที่หน่วยคุ้มกันเหมือนกับเป็นเฟอร์นิเจอร์หรืออย่างดีก็เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ไม่บ่อยที่พวกคนใหญ่ ๆ โต ๆ จะถามความเห็นของพวกเขาเกินไปกว่าความรู้แคบ ๆ ในด้านอาชีพ อย่างเช่นคนร้ายอาจจะอยู่ตรงไหนในฝูงชน

"พูดต่อไปครับ" ซีไอเอกล่าว

"เขาต้องเป็นคนนอก คนที่ประวัติสะอาด ไม่มีสิ่งโยงกับใครที่วุ่นวายอยู่ในแบกแดด นี่ไม่ใช่คนที่ล้างแค้นให้กับแม่ของเขา มันเป็นคนที่ก้าวขึ้นมาตามระบบช้า ๆ และระมัดระวัง"

"อิหร่าน" ซีไอเอพูด "แต่แค่เดาอย่างดีที่สุด แรงจูงใจจากศาสนา เขาไม่มีทางยิงแล้วหนีไปได้ ดังนั้นต้องเป็นคนที่ไม่สนใจเลย อาจจะหมายถึงการล้างแค้นอย่างเดียวก็ได้ แต่คุณไพรซ์พูดถูก คนของเขาสะอาดในเรื่องนั้น แต่ไม่ว่ายังไงนี่ก็ไม่ใช่พวกอิสราเอล ไม่ใช่พวกฝรั่งเศส พวกอังกฤษไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ส่วนแผนการภายในประเทศคงถูกกำจัดไปตามขั้นตอนกวาดล้างของพวกนั้นไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่เหตุจูงใจส่วนตัวหรือจากครอบครัว ผมคิดว่าเราคงตัดลัทธิการเมืองไปได้ ก็เหลือศาสนา และนั่นหมายถึงอิหร่าน"

"ฉันไม่คุ้นกับเรื่องข่าวกรอง แต่ที่ดูจากเทปก็ใช่อย่างนั้นค่ะ" แอนเดรีย ไพรซ์เห็นด้วย "เหมือนกับว่าเขากำลังสวดมนต์ วิธีที่เขาฆ่าหมอนั่น เขาอยากให้ช่วงเวลานั้นสมบูรณ์แบบ เขาไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว"

"มีใครตรวจสอบเรื่องนั้นได้บ้าง?" ไรอันถาม

"เอฟบีไอค่ะ พวกศึกษาด้านพฤติกรรมของพวกเขาอ่านใจได้ดีทีเดียว เราทำงานกับพวกนั้นตลอด" ไพรซ์ตอบ

"เป็นความคิดที่ดี" ซีไอเอ เห็นด้วย "เราจะสั่นพุ่มไม้เพื่อหาชื่อมือปืน แต่ถึงเราจะได้ข้อมูลดี ๆ มันก็อาจไม่มีความหมายเลยก็ได้"

"แล้วเรื่องจังหวะเวลาล่ะ?"

"ถ้าเราคิดว่ามือปืนฝังตัวอยู่อย่างนั้นสักพักแล้ว เรามีเทปการปรากฏตัวต่อสาธารณะมากพอจะตรวจสอบเรื่องนั้นได้ เรื่องจังหวะเวลาก็เป็นเหตุผลหลักครับ" ซีไอเอคิด

"โอ งั้นก็เยี่ยม" ท่านประธานาธิบดีให้ความเห็น "สก๊อต? คราวนี้อะไรต่อ?"

"เบิร์ต?" รมต. ต่างประเทศพูดกับเจ้าหน้าที่แผนกของเขา เบิร์ต วาสโกเป็นเจ้าหน้าที่ประจำแผนกของประเทศนั้นของกระทรวงการต่างประเทศ คล้ายกับผู้เชี่ยวชาญพิเศษในวงการค้า เขามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การเรียนรู้ทุกอย่างที่ทำได้เกี่ยวกับประเทศหนึ่ง ๆ

"ท่านประธานาธิบดีครับ อย่างที่เราอยู่กัน อิรัคเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนามุสลิมนิกายชีอะห์ ขณะที่ปกครองโดยนิกายสุหนี่ซึ่งเป็นกลุ่มน้อยผ่านทางพรรคบาธ เป็นเรื่องน่าหนักใจอยู่เสมอมาว่าการกำจัดเพื่อนของเราที่นั่นไปจะเป็นการล้ม-"

"บอกอะไรที่ผมไม่รู้สิ" ไรอันขัดจังหวะ

"ท่านประธานาธิบดีครับ เราไม่รู้กำลังของกลุ่มต่อต้านที่อาจจะมีหรือไม่มีอยู่ก็ได้ ระบอบปกครองปัจจุบันมีประสิทธิภาพมากในการกำจัดผู้ต่อต้านแต่เนิ่น ๆ มีคนสำคัญทางการเมืองหลายคนของอิรัคที่หนีไปอิหร่าน แต่ไม่มีใครที่อยู่ในระดับสูงเลย และไม่มีใครที่มีโอกาสสร้างฐานการเมืองที่มั่นคงพอ มีสถานีวิทยุสองสถานีที่กระจายเสียงจากอิหร่านเข้าไปในอิรัค เราทราบชื่อของพวกทรยศที่ใช้คลื่นกระจายเสียงเหล่านั้นคุยกับเพื่อนร่วมชาติ แต่บอกไม่ได้ว่ามีคนฟังและสนใจมากแค่ไหน ระบอบนี้ไม่ได้เป็นที่นิยมนัก เรารู้เรื่องนั้น แต่เราไม่รู้กำลังของพวกต่อต้าน หรือองค์กรแบบไหนที่อาจจะใช้ประโยชน์จากโอกาสอย่างนี้ได้"

ซีไอเอพยักหน้า "เบิร์ตพูดถูกครับ เพื่อนเราเก่งเป็นบ้าเรื่องหาตัวศัตรูที่อาจมีแล้วกำจัดไปจากเวที เราพยายามช่วยระหว่างและหลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย แต่สิ่งที่เราทำได้จริง ๆ คือทำให้คนตาย แน่ใจได้เลยว่าไม่มีใครที่นั่นไว้ใจเราแล้ว"

ไรอันจิบกาแฟของเขาแล้วผงกศีรษะ เขาให้คำแนะนำเองในตอนปี 1991 แต่พวกนั้นไม่ยอมทำ ยังไงเขาก็เป็นแค่ผู้บริหารระดับล่างตอนนั้น

"เรามีทางเลือกเล่นรึเปล่า?" ท่านประธานาธิบดีถามต่อไป

"ถ้าจะตอบตรง ๆ แล้ว ไม่มีครับ" วาสโกตอบ

ซีไอเอเห็นด้วย "ไม่มีสายในนั้น ไม่กี่คนที่เรามีทำงานอยู่ในประเทศนั้นรับหน้าที่สืบเรื่องการพัฒนาอาวุธ นิวเคลียร์ เคมี และอื่น ๆ ไม่มีใครสืบเรื่องการเมือง ที่จริงเรามีคนมากกว่าในนั้นอิหร่านคอยดูด้านการเมือง เราเขย่าพุ่มไม้พวกนั้นได้ แต่ไม่ใช่ในอิรัค"

เลิศมาก แจ๊คคิด ประเทศอาจจะล่มหรือไม่ก็ได้ในพื้นที่ที่อ่อนไหวที่สุดที่หนึ่งในโลก แล้วชาติที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งดูรายงานข่าวเหตุการณ์ อำนาจประธานาธิบดีอเมริกาช่างมีมากซะเหลือเกิน

"อาร์นี่?"

"ครับท่านประธานาธิบดี" หัวหน้าคณะทำงานตอบ

"เราเลื่อนนัดแมรี่ แพทจากตารางเวลาเมื่อหลายวันก่อน ผมอยากให้เธอเข้ามาวันนี้ถ้าเราแก้ไขตารางได้"

"ผมจะดูว่าเราทำได้หรือเปล่า แต่-"

"แต่เมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาควรจะมีอะไรอยู่ในมือมากกว่าไอ้นั่นของตัวเอง" ไรอันหยุดไปชั่วขณะ "อิหร่านจะเคลื่อนไหวรึเปล่า?"



By Kaii


This page hosted by Get your own Free Home Page