Executive Orders

"เครื่องจัมโบ้เจทที่หลุดรอดแนวป้องกันพุ่งเข้าชนอาคารรัฐสภาในวอชิงตัน ฆ่าประธานาธิบดี พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาเกือบทั้งหมด ท่ามกลางความงุนงงสับสน ชายผู้พึ่งรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีเป็นการชั่วคราวเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น ได้รู้ว่าตอนนี้เขาคือประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

"ท่านประธานาธิบดี จอห์น แพทริค ไรอัน

"แต่จะบริหารได้อย่างไรเมื่อปราศจากรัฐบาล? จะเริ่มต้นที่ตรงไหน? ไรอันรู้ว่าทั่วโลกกำลังจับตาดูเขาอยู่ และมีสายตาหลายคู่ในนั้นที่มองอย่างไม่เป็นมิตร ในปักกิ่ง เตหราน หรือแม้แต่ในวอชิงตัน ล้วนแต่มีผู้จ้องจะชิงความได้เปรียบ พวกนั้นจะเริ่มลงมือในไม่ช้า และในไม่ช้าที่แจ๊ค ไรอัน จะได้เผชิญกับวิกฤตการณ์ใหญ่ที่แม้แต่เขาก็ไม่อาจคาดถึงได้"

Ronald Reagan
อุทิศแก่
โรนัลด์ วิลสัน เรแกน
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่สี่สิบ
ชายผู้เคยชนะสงคราม

John Adams
ข้าฯ ขอวิงวอนให้สวรรค์จงโปรดคุ้มครองสภาและผู้ซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ในสภาแห่งนี้ในภายภาคหน้า จงอย่ามีผู้ใดนอกจากบุคคลซึ่งซื่อสัตย์และปราดเปรื่อง ได้ปกครองภายใต้หลังคานี้เลย
จอห์น อดัม
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่สอง
เขียนในจดหมายถึงอาบีเกล วันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1800
ระหว่างการย้ายเข้าสู่ทำเนียบขาว

อารัมภบท
เริ่มตรงนี้

ต้องเป็นแรงช็อคจากเหตุการณ์แน่นอน ไรอันคิด ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนสองคนในเวลาเดียวกัน มองผ่านหน้าต่างของห้องอาหารกลางวันของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นประจำวอชิงตัน ซีกหนึ่งของเขาเห็นไฟซึ่งเกิดจากเศษซากของอาคารรัฐสภา - จุดเหลืองเต้นขึ้นจากแสงเรื่อเรืองสีส้มเหมือนกับกลุ่มดอกไม้ที่จัดไว้อย่างน่าหดหู่ คล้ายเป็นตัวแทนของนับพันชีวิตที่สูญไปไม่ถึงชั่วโมงก่อน อาการชากดความโศกเศร้าเอาไว้ในขณะนี้ แต่เขาก็รู้ว่ามันจะมาทีหลังเหมือนกับความเจ็บที่ไม่ได้เกิดทันทีแต่จะตามมาหลังจากถูกชกที่หน้า อีกครั้งที่อุ้งมืออันร้ายกาจของมัจจุราชได้เอื้อมมาหาเขา เขาเห็นมันเข้ามา หยุดลง และล่าถอยไป ส่วนดีที่สุดถ้าจะกล่าวไปก็คือ ลูกๆของเขาไม่ได้รู้ว่าชีวิตของพวกแกเฉียดความตายก่อนเวลาอันควรไปใกล้ขนาดไหน สำหรับพวกแก มันก็แค่เป็นอุบัติเหตุที่ไม่อาจเข้าใจ ตอนนี้เด็กๆอยู่กับแม่แล้ว รู้สึกปลอดภัยที่ได้อยู่กับเธอในขณะที่พ่อของพวกแกอยู่ห่างไปที่ไหนซักแห่ง เป็นสถานการณ์ที่ทั้งเขาและพวกเด็กๆคุ้นเคย อย่างไม่น่าดีใจนัก ดังนั้น จอห์น แพทริค ไรอัน จ้องมองที่ซากของความตาย ซีกหนึ่งของเขายังไม่มีความรู้สึกใด

อีกซีกหนึ่งของเขามองภาพเดียวกัน รู้ว่าเขาจะต้อง ทำ อะไรซักอย่าง ถึงแม้เขาพยายามจะคิดหาเหตุผล แต่การใช้เหตุผลกลับพ่ายแพ้ เพราะตรรกไม่ รู้ ว่าควรต้องทำอะไรหรือจะเริ่มทำที่ตรงไหน

"ท่านประธานาธิบดีคะ" เสียงของเจ้าหน้าที่พิเศษ แอนเดรีย ไพรซ

"ว่าไง?" ไรอันพูดโดยไม่หันหน้าออกไปจากหน้าต่าง ข้างหลังเขา - มองจากเงาสะท้อนในกระจกหน้าต่าง - มีเจ้าหน้าที่หน่วยคุ้มกัน 6 คน ยืนอยู่พร้อมกับอาวุธในมือ เพื่อกันคนอื่นออกไป ต้องมีพนักงานของซีเอ็นเอ็นอยู่นอกประตูนั่น รวมตัวกันส่วนหนึ่งด้วยความสนใจจากอาชีพเพราะยังไงพวกเขาก็เป็นคนวงการข่าว แต่สาเหตุหลักคือความสงสัยพื้นฐานของมนุษย์จากการเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่เป็นประวัติศาสตร์ พวกเขาอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าได้อยู่ตรงนี้ แต่ไม่ได้คิดถึงความจริงที่ว่าเหตุการณ์อย่างนี้มีผลเช่นเดียวกันกับทุกคน ไม่ว่าพบกับอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือการเจ็บป่วยอย่างกระทันหัน ใจมนุษย์ที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า จะหยุดคิดแล้วพยายามหาเหตุผลจากสิ่งที่ไม่มีเหตุผล และยิ่งเหตุการณ์เลวร้ายเท่าใด การคืนกลับสู่ปกติก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น แต่อย่างน้อยคนที่ฝึกมาเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินจะมีขั้นตอนปฏิบัติรองรับอยู่แล้ว

"ท่านคะ เราต้องพาท่านไปที่-"

"ที่ไหน? ที่ปลอดภัยเหรอ? มีอยู่ที่ไหนเรอะ?" แจ๊คถาม แล้วก็ด่าตัวเองในใจที่ถามอย่างมีอารมณ์แบบนั้น มีหน่วยคุ้มกันอย่างน้อยยี่สิบคนอยู่ในเศษซากห่างไปไมล์เดียวนั่น ทั้งหมดเป็นเพื่อนของชายและหญิงที่ยืนอยู่ตอนนี้ในห้องอาหารเที่ยงกับประธานาธิบดีคนใหม่ของพวกเขา แจ๊คไม่มีสิทธิจะส่งถ่ายความไม่สบายใจให้พวกนี้ "ครอบครัวผมล่ะ?" เขาถามหลังจากนั้น

"อยู่ที่ค่ายทหารนาวิกโยธิน ถนนสายที่แปดตัดกับหนึ่ง ตามที่ท่านสั่งค่ะ"

ใช่ เป็นเรื่องดีของพวกนั้นที่ได้รายงานว่าพวกเขาปฏิบัติตามคำสั่ง ไรอันคิดพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ และก็ดีสำหรับเขาที่รู้ว่าคำสั่งของเขาได้รับการปฏิบัติตาม เขาทำถูกไปแล้วอย่างหนึ่ง นั่นจะเป็นพื้นฐานที่ดีรึเปล่านะ?

"ท่านคะ ถ้านี่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการ-"

"ไม่หรอก มันไม่เคยเป็น จริงมั้ย แอนเดรีย?" ประธานาธิบดีไรอันถาม เขาแปลกใจที่เสียงของเขาฟังดูเหนื่อยล้าขนาดนั้น พร้อมเตือนตัวเองว่าแรงช็อคและแรงกดดันทำให้รู้สึกเหนื่อยได้มากกว่าการออกกำลังอย่างหนักที่สุดเสียอีก เขาเหมือนกับไม่มีแม้แค่กำลังจะสั่นหัวแรงๆเพื่อสลัดความเมื่อยล้าออกไป

"แต่มันอาจเป็นก็ได้" เจ้าหน้าที่คุ้มกันแอนเดรีย ไพรซ์กล่าวชี้

ใช่ ฉันหวังว่าเธอคิดถูก "งั้นเราต้องทำยังไงต่อ?"

NEACP

"นีแค็บค่ะ" ไพรซ์ตอบ หมายถึงศูนย์บัญชาการฉุกเฉินแห่งชาติทางอากาศ ((National Emergency Airborne Command Post - NEACP, นีแค็บเป็นการอ่านตามคำย่อ)) เป็นเครื่องบิน 747 ดัดแปลง ประจำอยู่ที่ฐานทัพอากาศแอนดรูวส์ แจ๊คพิจารณาคำแนะนำครู่หนึ่งแล้วก็นิ่วหน้า

"ไม่ ผมหนีไม่ได้ ผมคิดว่าผมต้องกลับไปที่นั่น" ประธานาธิบดีไรอันชี้ไปที่แสงเรื่อของไฟ ใช่ นั่นเป็นที่ที่ฉันควรจะอยู่ไม่ใช่เหรอ?

"ไม่ค่ะท่าน มันอันตรายเกินไป"

"นั่นเป็นที่สำหรับผม แอนเดรีย"

เขาเริ่มคิดเหมือนนักการเมืองซะแล้ว ไพรซ์คิดอย่างผิดหวัง

ไรอันเห็นสีหน้าของเธอและรู้ว่าเขาต้องอธิบาย เขาได้เรียนรู้บางสิ่งมาแล้ว สิ่งที่บางทีอาจเป็นสิ่งเดียวที่เหมาะสำหรับตอนนี้ ความคิดนั้นผุดวาบขึ้นในใจเขาเหมือนกับป้ายบนทางหลวงที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว "มันเป็นหน้าที่ของผู้นำ เขาสอนผมที่ควอนติโก ((Quantico ที่ตั้งของโรงเรียนฝึกนาวิกโยธิน)) พวกทหารจำเป็นต้องเห็นคุณสั่งการ พวกเขาต้องรู้ว่าเราอยู่ที่นั่นเพื่อเขา" และฉันต้องแน่ใจว่านี่เป็นจริง ว่าฉันเป็นประธานาธิบดีจริงๆ

หรือไม่?

หน่วยคุ้มกันคิดอย่างนั้น เขากล่าวคำปฏิญาณแล้ว อ้างพระนามพระผู้เป็นเจ้าเพื่อทรงอำนวยพรให้กับความพยายามของเขา แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างเร็วเกินไป เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ จอห์น แพทริค ไรอัน หลับตาอย่างยากลำบากและสั่งตัวเองให้ตื่นขึ้นจากฝันร้ายที่เลวร้ายเกินกว่าจะเป็นจริง แต่เมื่อเขาเปิดตาอีกครั้ง แสงสีส้มเรืองก็ยังอยู่ พร้อมกับเปลวไฟสีเหลืองที่เต้นระริก เขารู้ว่าเขากล่าวคำปฏิญาณไปแล้ว - ยังกล่าวสุนทรพจน์สั้นๆด้วยซ้ำ ไม่จริงหรือ?- แต่เขาจำสิ่งที่เขากล่าวไม่ได้แม้แต่คำเดียวถึงตอนนี้

ทำงานกันได้แล้ว เขาพูดเมื่อนาทีที่แล้ว เขายังจำได้อยู่ คำที่กล่าวไปโดยอัตโนมัติ มันมีความหมายบ้างรึเปล่านะ?

แจ๊ค ไรอันสั่นศีรษะของเขา - ถึงจะทำได้แค่นั้นก็ดูเป็นความสำเร็จอย่างสูงแล้ว- เขาเบือนหน้าจากกระจกหน้าต่างกลับไปมองเจ้าหน้าที่คุ้มกันในห้องตรง

"เอาล่ะ มีอะไรเหลือบ้าง?"

"รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และมหาดไทยค่ะ" เจ้าหน้าที่คุ้มกันแอนเดรีย ไพรซ์ตอบ รับข่าวคืบหน้าทางวิทยุประจำตัว "รมต.พาณิชย์อยู่ในซานฟรานซิสโก มหาดไทยอยู่นิว เม็กซิโก เราเรียกพวกเขามาแล้วโดยกองทัพอากาศจะส่งเครื่องรับกลับมา เราเสียรัฐมนตรีอื่นทุกคนในคณะรัฐบาล รวมทั้งผู้อำนวยการชอว์ ผู้พิพากษาศาลฏีกาทั้งเก้าคน และคณะเสนาธิการร่วมทั้งหมด เรายังไม่แน่ใจว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนไหนบ้างที่ไม่อยู่ตอนเกิดเหตุ"

"คุณนายเดอร์ลิ่งล่ะ?"

ไพรซ์ส่ายหน้า "เธอหนีออกมาไม่ทันค่ะ ลูกๆของเธออยู่ที่ทำเนียบขาว"

แจ๊คพยักหน้าเศร้าๆเมื่อได้ยินเรื่องน่าสลดใจอีก เขาเม้มปาก แล้วหลับตาลงขณะคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งที่เขาต้องทำด้วยตัวเอง สำหรับลูกๆของโรเจอร์และแอนน์ เดอร์ลิ่ง นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ของสาธารณะ สำหรับพวกเด็กๆ จะตีความทันทีอย่างน่าเศร้าว่าพ่อแม่ตายแล้ว และตอนนี้พวกแกเป็นเด็กกำพร้า แจ๊คเคยเห็นเคยพูดกับพวกเขา ถึงไม่มีอะไรมากไปกว่าส่งยิ้มและคำทักทายสั้นๆสำหรับลูกของคนรู้จักกัน แต่พวกเขาเป็นเด็กจริงๆ มีชื่อและหน้าจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้นามสกุลเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาเหลืออยู่ และใบหน้าที่จะบิดเบี้ยวด้วยความช็อคและไม่เชื่อความจริง พวกเขาจะเป็นเหมือนแจ๊ค พยายามสลัดฝันร้ายที่ไม่มีวันหายไป แต่สำหรับพวกเขาเป็นเรื่องยากกว่าเพราะอายุและความอ่อนแอ "เด็กๆรู้หรือยัง?"

"ค่ะท่านประธานาธิบดี" แอนเดรียพูด "พวกเขากำลังดูทีวีอยู่และเจ้าหน้าที่หน่วยคุ้มกันจำเป็นต้องบอก พวกเขายังมีคุณปู่คุณย่าอยู่ และญาติคนอื่นๆอีก เรากำลังนำพวกเขามาเหมือนกัน" เธอไม่ได้เสริมว่ามีการซักซ้อมขั้นตอนสำหรับการนี้แล้ว และในศูนย์ปฏิบัติการของหน่วยคุ้มกันห่างออกไปไม่กี่บล็อคทางตะวันตกของทำเนียบขาว มีตู้เก็บแฟ้มเอกสารที่เก็บซองปิดผนึกของแผนรับเหตุการณ์ทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นได้ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงหนึ่งในนั้น

ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้ก็มีเด็กนับร้อย - ไม่สิ นับพันคน- ที่กำพร้าพ่อแม่ไปแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงเด็กสองคนนั้น แจ๊คต้องเก็บเรื่องเด็กๆครอบครัวเดอร์ลิ่งไว้ก่อน แม้จะทำได้ยาก แต่ก็โล่งใจที่ได้หยุดคิดเรื่องนั้นในตอนนี้ เขาหันกลับไปที่ไพรซ์อีกครั้ง

"คุณกำลังบอกผมว่าตอนนี้ผมเป็นคนเดียวในคณะรัฐบาลที่ยังเหลืออยู่งั้นหรือ?"

"เหมือนจะเป็นอย่างนั้นค่ะท่านประธานาธิบดี เราจึงต้อง-"

"ผมจึงต้องทำสิ่งที่ผมต้องทำ" แจ๊คก้าวออกไปที่ประตู ทำให้เจ้าหน้าที่คุ้มกันตอบสนองทันที มีกล้องหลายตัวที่ทางเดินซึ่งเขาก้าวตรงผ่านไป หน่วยคุ้มกันสองคนนำหน้าคอยกันขบวนนักข่าวที่ตระหนกเกินกว่าจะทำอย่างอื่นนอกจากถ่ายภาพ ไม่มีใครถามคำถาม แจ๊คคิดปราศจากยิ้มว่ามันเป็นเรื่องพิลึก เขาไม่ได้คิดว่าหน้าของเขาจะดูเป็นอย่างไร ลิฟท์กำลังคอยเขาอยู่ อีกสามสิบวินาทีต่อมาเขาก็ก้าวออกมาที่ห้องล็อบบี้อันกว้างขวาง แต่ไม่มีใครอยู่นอกจากหน่วยคุ้มกันที่มากกว่าครึ่งถือปืนกลมืออยู่ ปากกระบอกปืนหันขึ้นเพดาน พวกเขาต้องมาจากที่อื่น เพราะจำนวนมากกว่าที่แจ๊คเห็นเมื่อยี่สิบนาทีก่อน เขาเห็นนาวิกโยธินยืนอยู่ข้างนอก ส่วนใหญ่ยังแต่งเครื่องแบบไม่เรียบร้อย บางคนยืนสั่นในชุดเสื้อยืดสีแดงกับกางเกงลายพราง

"เราต้องเพิ่มการรักษาความปลอดภัยค่ะ" ไพรซ์อธิบาย "ฉันขอความช่วยเหลือจากทางค่ายไป"

"ดี" แจ๊คพยักหน้ารับ ในเวลาอย่างนี้คงไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะอยู่ใต้การอารักขาของนาวิกโยธิน พวกนั้นส่วนใหญ่ยังหนุ่ม หน้าอ่อนใสของพวกเขาไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของคนที่มีอาวุธอยู่ในมือ สายตาพวกเขาสอดส่ายไปตามที่จอดรถเหมือนสุนัขเฝ้ายามในขณะที่มือกุมปืนไรเฟิลแน่น ร้อยเอกคนหนึ่งยืนพูดกับหน่วยคุ้มกันอยู่นอกประตู เมื่อไรอันก้าวออกมา นายทหารคนนั้นรีบชิดเท้าและวันทยหัตถ์อย่างแข็งแรง เขาก็คิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงเหมือนกัน แจ๊คคิด ก้มหัวรับ แล้วพยักไปทางรถฮัมวี่ ((HMMWV - รถเอนกประสงค์ทางทหาร ใช้เหมือนรถจี๊บ มีชื่อเล่นว่า Hummer หรือ Humvee))

HMMWV

"ไปรัฐสภา" ประธานาธิบดีจอห์น แพทริค ไรอัน สั่งสั้น

Suburban

การเดินทางใช้เวลาน้อยกว่าที่เขาคิด ตำรวจกั้นถนนสายหลักทั้งหมดและรถดับเพลิงก็อยู่ที่นั่นแล้ว อาจจากสัญญาณเตือนโดยรวม พวกเขาแค่มาดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง รถซับเบอร์บานของหน่วยคุ้มกันที่เป็นลูกผสมระหว่างรถสเตชั่นแวกอนและรถกระบะ ขับขึ้นนำหน้า เปิดไฟหลังคาและเปิดหวอเสียงดังลั่น ระหว่างที่เจ้าหน้าที่คุ้มกันเหงื่อไหลไคลย้อยและอาจหอบพร้อมสบถด่าความโง่ของ 'นาย' - ศัพท์ในวงการหมายถึงประธานาธิบดี

JAL 747-300

ส่วนหางของเครื่อง 747 ยังคงรูปทรงได้อยู่อย่างน่าทึ่ง อย่างน้อยก็แพนหางดิ่งที่ยังมองเห็นรูปร่างเดิมได้ ฝังอยู่เหมือนกับลูกศรที่ปักคาสีข้างของซากสัตว์ ไรอันประหลาดใจเมื่อเห็นไฟที่ยังลุกไหม้อยู่ อาคารรัฐสภาเป็นอาคารสร้างจากหิน แต่ภายในก็มีโต๊ะไม้กับกระดาษจำนวนมหาศาล และพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามีอะไรอื่นอีกบ้างที่สลายมวลสารไปกับความร้อนและออกซิเจน บนท้องฟ้า เฮลิคอปเตอร์ทหารบินวนอยู่เหมือนกับฝูงผีเสื้อกลางคืน ใบพัดสะท้อนแสงสีส้มกลับมายังพื้นดิน รถดับเพลิงสีแดงขาวมีอยู่เต็มไปหมด กับไฟหลังคาสีแดงขาวเช่นกันที่ส่งแสงวูบวาบเพิ่มสีสันให้กับควันและไอน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงวิ่งผ่านไปมา และที่พื้นก็เต็มไปด้วยสายส่งน้ำที่วางคดเคี้ยวไปยังหัวก๊อกดับเพลิงภายในบริเวณ ทำหน้าที่ส่งน้ำต่อไปยังปั๊มน้ำ จุดต่อหลายแห่งรั่วส่งให้ละอองน้ำพุ่งขึ้นแล้วแข็งตัวอย่างรวดเร็วในอากาศยามกลางคืนที่เยือกเย็น

Capitol Hill

อาคารรัฐสภาด้านทิศใต้พังไปทั้งแถบ ถึงจะพอมองเห็นขั้นบันไดได้อยู่แต่ทั้งเสาและหลังคาหายไปหมดแล้ว และห้องประชุมสภาก็กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่มุมของหินบังไว้อยู่ สีขาวของมันไหม้เกรียมและเปลี่ยนเป็นสีดำจากเขม่า ส่วนทางเหนือ หลังคาครึ่งทรงกลมทลายลงมาเหลือเพียงบางส่วนที่สร้างจากเหล็กตีขึ้นรูปสมัยสงครามกลางเมือง และส่วนของทรงกลมหลายส่วนก็ยังคงรูปอยู่ งานดับเพลิงส่วนใหญ่อยู่ที่นี่ที่ซึ่งเคยเป็นใจกลางอาคาร สายส่งน้ำมากมายทั้งที่พื้นดิน บางส่วนจากบันไดดับเพลิงและสูบน้ำดับเพลิงชนิดตั้งสูง กำลังพ่นน้ำหวังจะสกัดไม่ให้เพลิงลุกลามออกไปอีก แม้มองจากจุดที่ไรอันดูอยู่ยังไม่เห็นว่าความพยายามนั้นจะประสบความสำเร็จสักเพียงไห

แต่จุดหลักของสิ่งที่กำลังเป็นไปทั้งหมดก็คือกลุ่มรถพยาบาลที่รวมกันอยู่เป็นกลุ่มๆ เจ้าหน้าที่พยาบาลยืนอยู่เฉยๆอย่างขมขื่นกับเปลพับได้ที่ว่างเปล่า พวกที่มีความชำนาญ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดูแพนหางพ่นสีรูปนกกระเรียนสีแดงของเครื่องบินซึ่งไหม้ดำ แต่ก็ยังมองเห็นได้เป็นสัญลักษณ์ของแจแปนแอร์ไลน์ที่น่ารังเกียจ สงครามกับญี่ปุ่นได้จบลงแล้ว ทุกคนคิด แต่นี่ล่ะ? เหตุการณ์สุดท้ายนี้ทำเพื่อแสดงว่าญี่ปุ่นยังไม่ยอมจำนนหรือเพื่อแก้แค้น? หรือเพียงเป็นอุบัติเหตุเลวร้ายที่เกิดเพราะความบังเอิญอย่างน่าขัน? มันส่งผลต่อแจ๊คแทบเหมือนกับจากอุบัติเหตุรถยนต์ อย่างน้อยก็ถูกประเภทแต่แตกต่างเรื่องขนาด และสำหรับชายหญิงที่ฝึกมาให้รับสถานการณ์ เรื่องนี้ก็เป็นเหมือนนิทานเรื่องเดิมที่ใครๆเล่ากันซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ สายเกินไป สายไปที่จะยับยั้งไฟให้ทันเวลา สายไปที่จะช่วยชีวิต ชีวิตที่พวกเขาปฏิญาณว่าจะปกป้องช่วยเหลือ และสายไปที่จะแก้ไขไปในทางที่ดีขึ้นกว่าที่เป็น

ฮัมวี่จอดลงใกล้กับมุมอาคารด้านตะวันออกเฉียงใต้ นอกกลุ่มรถดับเพลิง ก่อนที่ไรอันจะก้าวออกมา นาวิกโยธินทั้งหมู่ก็เข้ามาล้อมรอบเขาอีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือร้อยเอกที่รีบเปิดประตูรถให้กับท่านประธานาธิบดีคนใหม่

"ใครเป็นคนรับผิดชอบที่นี่?" ไรอันถามไพรซ์ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของกลางคืน

"คงเป็นใครซักคนจากหน่วยดับเพลิงค่ะ"

"งั้นก็ไปหาเขากัน" แจ๊คออกเดินไปหากลุ่มปั๊มน้ำ เขาเริ่มสั่นหนาวในชุดสูทขนสัตว์บางๆของเขา หัวหน้าต้องเป็นคนที่ใส่หมวกสีขาว ใช่มั้ย? และก็ขับรถธรรมดา เขาจำได้จากประสบการณ์ตอนเด็กในบัลติมอร์ หัวหน้าจะไม่นั่งรถดับเพลิง เขามองเห็นรถซีดานสีแดงสามคันจึงหันเดินไปทางนั้น

"บ้าจริง ท่านประธานาธิบดีคะ!" แอนเดรีย ไพรซ์ตะโกนตามหลังเขา หน่วยคุ้มกันคนอื่นรีบวิ่งไปข้างหน้า ส่วนพวกนาวิกโยธินยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะนำหรือตามกลุ่มดี เหตุการณ์อย่างนี้ไม่มีในหนังสือคู่มือของใคร และสำหรับกฏที่หน่วยคุ้มกันมีอยู่ ตอนนี้นายใหม่ของพวกเขาก็ทำให้เป็นโมฆะเสียหมดแล้ว หน่วยคุ้มกันคนหนึ่งคิดอะไรออกจึงรีบวิ่งไปที่รถดับเพลิงที่ใกล้ที่สุดแล้วกลับมาพร้อมกับเสื้อยางกันไฟ

"นี่จะทำให้ท่านอุ่นขึ้นครับท่าน" เจ้าหน้าที่คุ้มกัน รามาน บอกและช่วยใส่เสื้อให้แจ๊ค ทำให้แจ๊คดูเหมือนหนึ่งในบรรดานักดับเพลิงนับร้อยที่อยู่ในบริเวณนั้น ไพรซ์ขยิบตาอย่างเห็นด้วยและพยักหน้าให้เขา ทำตลกเป็นครั้งแรกตั้งแต่เครื่อง 747 พุ่งเข้าชนอาคารรัฐสภา สิ่งที่รามานทำจะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่คุ้มกันถือเป็นจุดแรกในการแข่งการจัดการ ระหว่างหน่วยคุ้มกันกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือจะเรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันระหว่างความยึดมั่นตัวเองกับการขอร้องแกมบังคับก็ว่าได้

หัวหน้าดับเพลิงคนแรกที่ไรอันเจอ กำลังพูดวิทยุมือถือพร้อมกับพยายามสั่งการให้หน่วยดับเพลิงของเขาเข้าใกล้ไฟเข้าไปอีก มีคนใส่ชุดพลเรือนยืนอยู่ข้างๆ กำลังจับม้วนกระดาษขนาดใหญ่กางไว้บนกระโปรงรถ น่าจะเป็นแผนผังอาคาร แจ๊คคิด เขาหยุดยืนห่างไปเล็กน้อย ขณะที่ชายสองคนนั้นชี้มือไปตามจุดต่างๆบนแผนผัง และคนหัวหน้าสั่งกรอกวิทยุเป็นระยะ

"แล้วก็ เพื่อเห็นแก่พระเจ้า ระวังพวกก้อนหินที่จะหล่นใส่หัวแกเอาไว้นะ" หัวหน้าหน่วย พอล แมกกิล จบคำสั่งของเขา แล้วก็หมุนตัวกลับมา ขยี้ตาตัวเอง "นายเป็นใครกันวะ?"

"นี่คือท่านประธานาธิบดี" ไพรซ์บอกกับเขา

แมกกิลกระพริบตา เขากวาดสายตาอย่างรวดเร็วไปยังพวกที่ถือปืนแล้วกลับมาที่ไรอัน "นี่มันแย่ชะมัดเลยครับ" เขากล่าวขึ้นก่อน

"มีใครออกมาได้มั้ย?"

แมกกิลส่ายหน้า "ทางด้านนี้ไม่มีครับ มีสามคนออกจากอีกฟาก แต่ทั้งหมดอาการหนัก เราคิดว่าพวกนี้อยู่ในห้องฝากเสื้อของประธานสภาสามัญ แถวๆตรงนั้น แรงระเบิดคงทำให้พวกนี้ปลิวผ่านหน้าต่างออกมา สองคนเป็นเจ้าหน้าที่สภา อีกคนเป็นหน่วยคุ้มกัน ทั้งหมดโดนทั้งไฟและระเบิด เรากำลังเริ่มค้นหา อืม เราพยายามอยู่ แต่จนถึงตอนนี้แม้แต่คนที่ไม่โดนเผา แรงระเบิดก็จะดูดเอาออกซิเจนออกไปหมดแล้วก็จะสลบไป เท่ากับตายแล้วนั่นแหละครับ" พอล แมกกิลสูงเท่าไรอัน ผิวดำและหน้าอกบึกบึน มือเขาบางส่วนด่างเป็นสีซีดแสดงให้เห็นผลจากการทำงานต่อสู้กับเพลิงในอดีต หน้ากร้านของเขาตอนนี้แสดงออกแต่ความเศร้า เพราะไฟไม่ใช่ศัตรูของมนุษย์ มันเป็นสิ่งไร้จิตใจที่แค่ขู่พวกที่โชคยังดี แต่ฆ่าพวกโชคร้าย "เราอาจมีโชคดีเพราะมีบางคนอยู่ในห้องปิดเล็กๆเหมือนอย่างนั้นครับ ที่นี่มีห้องบ้านั่นเป็นล้าน ตามที่ดูจากผัง เราอาจจะเอาบางคนออกมาเป็นๆได้ ผมเคยเห็นมาแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็..." แมกกิลส่ายหน้า "เราสกัดไฟไว้ได้แล้ว มันคงไม่ลุกลามไปกว่านี้ครับ"

"ไม่มีใครในห้องประชุมสภาออกมาได้เหรอ?" รามานถาม เขาอยากรู้ชื่อเจ้าหน้าที่คุ้มกันที่โดนระเบิดไปมากกว่า แต่มันคงไม่เข้าท่าที่จะถามอย่างนั้น แมกกิลก็แค่สั่นศีรษะไม่ว่าจะถามอะไร

"ไม่มีครับ" เขาเหม่อมองไปที่แสงเรืองที่กำลังสลัวลง แล้วเสริม "คงจะเกิดขึ้นเร็วมาก" แล้วเขาก็ส่ายหน้าอีกครั้ง

"ผมอยากจะเห็น" แจ๊คพูดขึ้นทันที

"ไม่ครับ" แมกกิลตอบสวน "อันตรายเกินไปครับท่าน นี่เป็นความรับผิดชอบของผม และผมเป็นคนควบคุม เข้าใจไหม?"

"ผมต้องเห็น" ไรอันกล่าว เสียงเบาลง สายตาสองคู่ประสานกันและส่งความหมาย แมกกิลไม่ชอบนัก เขามองที่พวกที่ถือปืนอีกครั้งแล้วคาดไปอย่างผิดๆว่าพวกนี้คงจะสนับสนุนประธานาธิบดีคนใหม่นี่ ถ้าเขาเป็นประธานาธิบดีจริงๆ เพราะแมกกิลไม่ได้ดูทีวีตอนที่โทรศัพท์แจ้งเหตุ

"คงไม่ใช่ภาพที่น่าดูนักนะครับท่าน"

.

.

Barbers Point Naval Air Station

พระอาทิตย์พึ่งลับขอบฟ้าที่ฮาวาย พลเรือตรีโรเบิร์ต แจ๊คสัน กำลังร่อนลงที่สถานีบินนาวี บาร์เบอร์ส พอยท์ ((Barbers Point Naval Air Station)) เขามองด้วยหางตาสังเกตเห็นแสงสีของโรงแรมบนชายฝั่งทิศใต้ของเกาะโออาฮู เขาคิดแวบหนึ่งว่าห้องพักพวกนั้นต้องเสียเงินเท่าไหร่นะ เขาไม่เคยพักแบบนั้นตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าๆ ตอนนั้นนักบินสองสามคนจะพักอยู่ในห้องเดียวกันเพื่อประหยัดเงินไว้เที่ยวบาร์ แล้วก็อวดรวยเชิงเจ้าชู้ให้สาวๆประทับใจ เครื่องทอมแคท ((F-14 Tomcat เครื่องบินขับไล่สกัดกั้นประจำเรือบรรทุกเครื่องบินกองทัพเรืออเมริกา)) ของเขาแตะบินอย่างนิ่มนวล ทั้งที่เขาบินมาไกลขนาดเติมน้ำมันกลางอากาศมาตั้งสามครั้ง ก็เพราะร็อบบี้ยังถือว่าตัวเองเป็นนักบินขับไล่ ซึ่งก็เป็นศิลปินอีกแบบหนึ่ง เครื่องบินของเขาลดความเร็วลงอย่างถูกต้องแล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ลู่แท็กซี่

F-14 Tomcat

"ทอมแคท-ไฟว์-ซีโร่-ซีโร่ มาจนสุด-"

"ผมเคยลงที่นี่แล้วครับ คุณผู้หญิง" แจ๊คสันตอบยิ้มๆ ถึงเป็นการละเมิดกฏ แต่เขาเป็นนายพลเรือ หรือไม่ใช่? นักบินขับไล่ และ เป็นนายพลเรือด้วย ใครจะสนเรื่องกฏกันล่ะ?

"ไฟว์-ซีโร่-ซีโร่ มีรถรอคุณอยู่"

"ขอบคุณ" ร็อบบี้เห็นรถแล้ว มันจอดอยู่ที่โรงเก็บเครื่องบินไกลสุด พร้อมกับทหารเรือกำลังโบกคทาสัญญาณตามปกติ

"ไม่เลวครับสำหรับคนแก่" นักบินที่นั่งหลังให้ข้อสังเกตขณะที่เก็บแผนที่และเอกสารอื่นที่ไม่จำเป็นแต่สำคัญอย่างมาก

"ผมจะรับการลงมติรับรองของคุณไว้" ฉันไม่เคยเมื่อยขนาดนี้เลย แจ๊คสันยอมรับกับตัวเอง เขาขยับตัวบนเก้าอี้ รู้สึกบั้นท้ายแข็งเหมือนตะกั่ว ทำไมเมื่อไม่มีความรู้สึกแล้วแต่ยังปวดอยู่ล่ะ? เขาถามตัวเองแล้วยิ้มเศร้าๆ แก่เกินไปไงล่ะ ใจของเขาตอบ แล้วมีความรู้สึกที่ขา โรคข้ออักเสบเฮงซวย เขาถึงกับต้องออกคำสั่งเพื่อให้ซานเชสยอมปล่อยเครื่องบินมาให้เขา มันไกลเกินว่าจะมากับไปรษณีย์เก็บเงินปลายทางจากเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส จอห์น สเตนนิส มาถึงเพิร์ล แล้วคำสั่งก็เจาะจงว่าให้ กลับโดยด่วน ด้วยเหตุนี้ เขายืมเครื่องทอมแคทที่ระบบควบคุมการยิงเสีย ซึ่งก็ปฏิบัติภารกิจไม่ได้อยู่แล้ว กองทัพอากาศสนับสนุนเครื่องเติมน้ำมันกลางอากาศ ดังนั้นหลังจากความเงียบตลอด 7 ชั่วโมง เขาได้บินข้ามครึ่งหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิคด้วยเครื่องขับไล่ ไม่ต้องสงสัยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเขา ขณะที่เขาเลี้ยวเครื่องเข้าสู่จุดจอดเครื่องแจ๊คสันขยับตัวอีกครั้งส่งผลให้เกิดอาการกระตุกหลังอีก

"นั่นซิงค์แพครึเปล่า" ((CinCPac - Commander IN Chief, PACific ผู้บัญชาการภาคพื้นแปซิฟิค)) แจ๊คสันถามเมื่อเห็นคนแต่งเครื่องแบบขาวยืนข้างรถสีฟ้าของกองทัพเรือ

นั่นคือพลเรือเอกเดวิด ซีตัน เขาไม่ได้ยืนตรงแต่พิงรถและพลิกอ่านเอกสารในขณะที่ร็อบบี้ดับเครื่องยนต์แล้วเปิดฝาครอบห้องนักบิน ทหารเอาขั้นบันไดแบบที่ช่างเครื่องใช้มาเทียบเพื่อให้ร็อบบี้ก้าวลงได้ง่ายขึ้น พลทหารอีกนาย -ที่จริงเป็นผู้หญิง- เก็บเอาถุงสัมภาระของเขาจากที่เก็บใต้ท้องเครื่องออกมา ต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนแน่

"มีปัญหา" ซีตันพูดทันทีที่เท้าทั้งคู่ของร็อบบี้แตะพื้นลานบิน

"ผมคิดว่าเราชนะซะอีก" แจ๊คสันตอบ หยุดยืนนิ่งทั้งๆบนพื้นคอนกรีตร้อนๆ สมองเขาเหนื่อยล้าด้วย ต้องใช้เวลาสองสามนาทีก่อนที่เขาจะคิดได้เร็วเหมือนปกติ สัญชาตญาณบอกว่าต้องมีเรื่องไม่ปกติเกิดขึ้นแน่

"ท่านประธานาธิบดีตายแล้ว และเราก็ได้ประธานาธิบดีใหม่แล้ว" ซีตันยื่นคลิบบอร์ดให้ "เพื่อนคุณเอง เรากลับไปพร้อมรบระดับสามเหมือนเดิมไปก่อน"

"เรื่องบ้าอะไรกัน..." นายพลแจ๊คสันพูด อ่านเอกสารหน้าแรกแล้วก็เงยหน้าขึ้น "ทำไมแจ๊คได้เป็น...?"

"คุณไม่รู้เหรอว่าเขารับตำแหน่งรองประธานาธิบดี?"

แจ๊คสันส่ายหน้า "ผมยุ่งกับเรื่องอื่นอยู่ก่อนจะขึ้นจากเรือเมื่อเช้า พระเจ้า" ร็อบบี้ส่ายหน้าอีกครั้ง

ซีตันผงกศีรษะ เอ็ด เคลตี้ลาออกเพราะเรื่องเซ็กส์อื้อฉาว ประธานาธิบดีหว่านล้อมให้ไรอันรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งปีหน้า สภาคองเกรสรับรองแล้ว แต่ก่อนเขาจะเข้าห้องประชุมสภา คุณก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เครื่องบินพุ่งชนกลางวงพอดี "คณะเสนาธิการร่วมตายเรียบ พวกรองกำลังเข้าแทน มิคกี้ มัวร์" - นายพลกองทัพบก มิคกี้ มัวร์ รองประธานคณะเสนาธิการร่วม - "เรียกตัวผู้บัญชาการทุกคนไปดีซี ด่วนที่สุด มีเครื่องเคซี-10 รอเราอยู่ที่ฮิคแคม" ((Hickam AFB ฐานทัพอากาศฮิคแคม อยู่ที่ฮาวาย))

KC-10

"ภัยคุกคามตอนนี้ล่ะ" แจ๊คสันถาม ตำแหน่งประจำของเขาคือรอง เจ-3 นั่นคืออันดับสองของฝ่ายวางแผนในคณะเสนาธิการร่วม

ซีตันยักไหล่ "ในทางทฤษฎี ยังไม่มีอะไร ฝ่ายข่าวกรองเงียบลงไป พวกญี่ปุ่นระงับสงครามแล้ว"

แต่แจ๊คสันกล่าวสรุป "แต่อเมริกาไม่เคยโดนหนักขนาดนี้มาก่อน"

"เครื่องกำลังรออยู่ คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าบนนั้นได้ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเรียบร้อยหรอกร็อบบี้"

.

.

เหมือนเช่นเคย โลกแบ่งออกเป็นส่วนด้วยเวลาและระยะทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลา เธออาจจะคิดได้ถ้ามีเวลาคิด แต่เธอแทบไม่มี อายุที่เกินกว่าหกสิบ ร่างเล็กคุ้มลงด้วยการเสียสละทำงานนานนับปี ยิ่งทำให้ลำบาก เพราะมีคนหนุ่มสาวน้อยเกินไปที่จะช่วยแบ่งภาระให้เธอได้พักบ้าง ไม่ยุติธรรมจริงๆ เธอช่วยงานให้คนอื่นมาแล้วตอนยังสาว คนรุ่นก่อนๆก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ไม่มีสำหรับเธอ เธอพยายามที่สุดเพื่อสลัดความคิดนั้นทิ้งไป มันไม่เหมาะสมกับเธอ ไม่เหมาะกับฐานะ และไม่เหมาะกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้าเมื่อสี่สิบปีก่อนอย่างแน่นอน ตอนนี้เธอเริ่มไม่แน่ใจในคำสัญญานั้น แต่ไม่มีวันยอมรับกับใคร แม้แต่กับพระที่ฟังคำสารภาพบาป การพูดกับใครไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่มากกว่าความไม่แน่ใจเสียอีก เธอคาดได้ว่าพระผู้นั้นจะพูดอย่างอ่อนโยนถึงบาปของเธอ ถ้าสิ่งนั้นเป็นบาป - หรือไม่ใช่นะ? เธอสงสัย ถึงจะเป็น แน่นอนว่าเขาจะยังพูดปลอบเธออยู่ดี เขาเป็นอย่างนั้นเสมอ อาจจะเพราะว่าเขาก็สงสัยเช่นเดียวกัน ทั้งคู่อยู่ในวัยที่เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตแล้วจะเกิดแคลงใจว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปได้อย่างไรจากจุดนั้น ถึงในตอนนี้จะได้เห็นผลสำเร็จจากการใช้ชีวิตที่อุทิศประโยชน์อยู่แล้วก็ตาม

น้องสาวของเธอ ซึ่งยึดมั่นในศาสนาพอๆกัน ได้เลือกทางเดินเหมือนกับคนทั่วไป และตอนนี้ก็ได้เป็นคุณย่าแล้ว และซิสเตอร์เอ็ม. จัง แบ็พทิสท์ ((M. Jean Babtiste เป็นภาษาฝรั่งเศส ไม่ทราบอ่านถูกหรือเปล่า)) สงสัยว่ามันจะเป็นอย่างไร เธอเลือกทางของเธอเองนานมาแล้ว ในวัยเยาว์ที่เธอยังจำได้ แต่เหมือนกับการตัดสินใจอื่นในวัยนั้น ที่ทำโดยไม่ได้ไตร่ตรองก่อน ถึงทางเลือกนั้นจะถูกต้องขนาดไหนก็ต้อง มันดูง่ายในตอนนั้น พวกเธอ สตรีในชุดดำ เป็นที่นับถือ นานมาแล้วตอนเด็ก เธอยังจำภาพของทหารเยอรมันผู้ยึดครอง ก้มศีรษะอย่างสุภาพเมื่อพวกแม่ชีเดินผ่าน ถึงแม้จะสงสัยว่าแม่ชีเป็นผู้ช่วยเหลือนักบินของฝ่ายสัมพันธมิตร หรือกระทั่งพวกยิวที่พยายามจะหนีออกไป เพราะเป็นที่รู้กันว่าหลักพยาบาลให้ปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกัน ตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และพวกเยอรมันก็ยังต้องการโรงพยาบาลของแม่ชีเมื่อพวกเขาบาดเจ็บ เพราะมีโอกาสรอดมากกว่าที่อื่นๆ เป็นประเพณีที่น่าภาคภูมิใจ ถึงความภาคภูมิใจเป็นหนึ่งในบาปมหันต์ แต่แม่ชีเหล่านั้นละข้อนี้ไว้แล้วบอกกับตัวเองว่าบางทีพระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานอภัย เพราะประเพณีนั้นทำในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เธอก็ได้ตัดสินใจ และมันก็เป็นเช่นนั้น บางคนละจากไป แต่สำหรับเธอเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจแบบเดียวกันในเวลานั้น เพราะสภาพของประเทศหลังจากสงคราม ความชำนาญของเธอเป็นที่ต้องการอย่างมาก และโลกตอนนั้นยังเปลี่ยนไปไม่มากพอสำหรับเธอที่จะมองเห็นทางเลือกอื่น ดังนั้นเธอคิดถึงการเลิกเป็นชีเพียงชั่วสั้นๆ ก็ทิ้งความคิดนั้นและทำงานของเธอต่อไป

ซิสเตอร์จัง แบ็พทิสต์ เป็นนางพยาบาลที่เชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง เธอมาที่แห่งนี้ตอนนี้มันยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศบ้านเกิดของเธอ แล้วก็ยังอยู่ต่อไปหลังจากที่สภานภาพของมันเปลี่ยนไปแล้ว ในเวลานั้นเธอทำงานของเธอในวิธีเดิม ด้วยความชำนาญแบบเดิม ถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรงเหมือนพายุได้ดำเนินไปรอบตัวเธอ ไม่ว่าคนไข้จะเป็นชาวแอฟริกาหรือยุโรป แต่ช่วงเวลาสี่สิบปี ซึ่งมากกว่าสามสิบปีที่เธออยู่ที่แห่งนี้ ได้เริ่มมีผลต่อเธอแล้ว

ไม่ใช่ว่าเธอไม่สนใจอีกต่อไป ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน แต่เป็นเพราะว่าอายุเกือบหกสิบห้าปี ซึ่งชราเกินไปสำหรับนางพยาบาลที่มีผู้ช่วยไม่กี่คน เกินไปสำหรับการทำงานติดต่อกันสิบสี่ชั่วโมงต่อวันในบ่อยครั้ง บวกกับเวลาสวดมนต์อีกสองสามชั่วโมงที่ดีต่อใจของเธอ แต่มากเกินไปสำหรับสิ่งอื่นทุกอย่าง ตอนยังสาวร่างกายของเธอแข็งแรงสุขภาพสมบูรณ์จนหมอต่างเรียกเธอว่าซิสเตอร์เหล็ก แต่พวกหมอก็ไปตามทางของตัว ส่วนเธอยังอยู่ อยู่ที่นี่ แม้แต่เหล็กก็ยังผุกร่อนได้ และความอ่อนล้ามักจะเป็นสาเหตุของความผิดพลาด

เธอรู้ว่าจะต้องระวังอะไรบ้าง คุณเป็นมืออาชีพด้านรักษาสุขภาพในแอฟริกาแล้วไม่ระวังไม่ได้ถ้าคุณต้องการมีชีวิตอยู่ คริสต์ศาสนาพยายามลงหลักปักฐานที่นี่มานับศตวรรษ แม้จะฝังรากลงได้บางส่วน แต่คงไม่มีทางทำได้มากกว่านี้ ปัญหาหนึ่งมาจากความสำส่อน สิ่งที่ทำให้เธอขยะแขยงตั้งแต่มาที่นี่เมื่อเกือบสองรุ่นคนก่อน แต่ตอนนี้เป็นแค่...เรื่องปกติ แต่ก็ยังมีผลร้ายแรงถึงตายได้เหมือนเดิม คนไข้หนึ่งในสามของโรงพยาบาลมีโรคที่คนที่นี่เรียกกันว่า 'โรคผอม' หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าโรคเอดส์ การป้องกันโรคนี้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนจารึกไว้บนแผ่นศิลา และซิสเตอร์จัง แบ็พทิสต์เคยสอนเรื่องนั้นมาแล้ว แต่ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ เหมือนกับโรคระบาดในอดีต สิ่งที่พวกหมอทำได้ก็เพียงป้องกันตัวเอง

โชคดีที่ไม่ต้องคำนึงเรื่องนั้นสำหรับคนไข้คนนี้ เด็กชายอายุเพียงแปดขวบ เด็กเกินไปที่จะมีความต้องการทางเพศ หน้าตาท่าทางดีและฉลาดเฉลียว เขาเป็นนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนคาธอลิคใกล้ๆ และเป็นอโคไลท์ ((Acolyte ผู้ช่วยพระในพิธีมิซซา)) บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะได้ยินเสียงเรียก แล้วบวชเป็นพระ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายสำหรับชาวแอฟริกามากกว่าชาวยุโรป เพราะว่าทางคริสตจักรอนุโลมตามธรรมเนียมท้องถิ่นให้พระที่นี่แต่งงานได้ เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้มากนักในส่วนอื่นของโลก แต่เด็กชายกำลังป่วย เขาเข้ามารับการรักษาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ตอนเที่ยงคืน พ่อของเขาซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงในหน่วยงานท้องถิ่นของรัฐ มีรถของตัวเองและนำเขามาส่ง แพทย์เวรวินิจฉัยว่าเป็นมาลาเรียขึ้นสมอง แต่สิ่งที่ลงในชาร์ทไม่ตรงกับผลทดสอบจากห้องปฏิบัติการ ตัวอย่างเลือดอาจจะหายไป อาการปวดศีรษะอย่างหนัก อาเจียน แขนขาสั่น วิงเวียน ไข้สูง อาการของมาลาเรียขึ้นสมอง เธอหวังว่าโรคนั้นคงจะไม่แพร่กระจายอีกครั้ง มันเป็นโรคที่รักษาได้ แต่ปัญหาคือการนำผู้ป่วยเข้ามารับการรักษา

ส่วนอื่นในวอร์ดเงียบสงบในเวลาดึก ไม่สิ ที่จริงต้องพูดว่าเวลาเช้าขนาดนี้ ช่วงเวลาที่สบายสำหรับซีกโลกนี้ อากาศเย็นที่สุดในช่วงยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่มีลม และเงียบสงบ เหมือนกับบรรดาผู้ป่วย ปัญหาใหญ่ของเด็กชายตอนนี้คืออาการไข้ เธอจึงเอาผ้าห่มออกแล้วเช็ดตัวให้เขา เหมือนมันจะช่วยให้ร่างกระสับกระส่ายของเขาสงบลง และเธอถือโอกาสตรวจหาสิ่งบอกอาการป่วยอื่น หมอก็คือหมอ เธอเป็นแค่พยาบาล แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็เป็นพยาบาลมานานมากแล้ว และก็รู้ดีว่าจะต้องมองหาอะไร จริงแล้วไม่มีอะไรมาก นอกจากผ้าพันแผลเก่าๆที่มือซ้ายของเขา หมอมองผ่านตรงนี้ไปได้ยังไงนะ? ซิสเตอร์จัง แบ็พทิสต์เดินกลับไปที่ผู้ช่วยของเธอแต่ทั้งสองคนกำลังงีบหลับอยู่ ที่จริงสิ่งที่เธอจะทำต้องเป็นหน้าที่ของพวกเขา แต่ไม่เหมาะที่จะปลุกพวกเขาขึ้นมา เธอกลับไปที่คนป่วยพร้อมผ้าพันแผลใหม่และยาฆ่าเชื้อ แล้วค่อยๆแกะผ้าพันแผลออกอย่างระมัดระวังและกระพริบช้าด้วยความเมื่อยล้า เธอเห็นรอยกัด เหมือนกับรอยของหมา ... หรือลิง ทำให้เธอต้องกระพริบตาถี่ๆ นี่อาจเป็นอันตรายก็ได้ เธอควรเดินกลับไปเอาถุงมือยาง แต่มันอยู่ไกลไปตั้งสี่สิบเมตร และขาของเธอล้า คนไข้ก็ยังนอนนิ่งอยู่ มือไม่เคลื่อนไหว เธอเปิดขวดยาฆ่าเชื้อและจับมือคนไข้หมุนช้าๆ อย่างนุ่มนวล เพื่อให้เห็นแผลทั้งหมด เมื่อเธอเขย่าขวดยาด้วยมืออีกข้างหนึ่ง หยดยาเล็กๆลอดหัวแม่มือของเธอพรมไปที่หน้าของคนไข้ หัวของเขาผงกขึ้นแล้วจามเอาเสมหะออกมาในอากาศทั้งๆที่ยังหลับ ซิสเตอร์สะดุ้งตกใจแต่ไม่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำ เธอหยดยาฆ่าเชื้อลงบนสำลีแล้วซับแผลอย่างระวัง จากนั้นก็ปิดขวดยาแล้ววางลง พันผ้าใหม่ แล้วถึงตอนนี้เธอก็ยกหลังมือเช็ดหน้าตัวเอง โดยไม่รู้ว่าตอนที่คนไข้จาม มือข้างที่มีแผลของเขาที่เธอจับไว้กระตุกขึ้น และป้ายเลือดเอาไว้บนมือเธอ ซึ่งก็ป้ายผ่านดวงตาของเธอ ดังนั้นถุงมือก็คงช่วยอะไรไม่ได้ในกรณีนี้ และก็คงไม่มีความสำคัญอะไรถึงเธอจะนึกขึ้นได้ ในอีกสามวันต่อมา

.

.

น่าจะอยู่กับที่ดีกว่า แจ๊คคิด เจ้าหน้าที่พยาบาลสองคนนำเขาขึ้นมาที่ทางเดินโล่งด้านบันไดทิศตะวันตก พร้อมด้วยขบวนนาวิกโยธินและหน่วยคุ้มกันที่เคลื่อนไปพร้อมกับปืนในมือ เป็นภาพที่ดูตลกอย่างร้ายกาจ ไม่มีใครรู้แน่ว่าต้องทำอะไร แล้วพวกเขาก็เจอกับแนวของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและสายส่งน้ำ ที่กำลังพ่นน้ำดับไฟซึ่งปลิวกลับมาใส่หน้าของทุกคน ส่งความเย็นเยือกเข้าไปถึงกระดูก ตรงนี้ไฟถูกกลบด้วยม่านละอองน้ำ ถึงแม้ทุกอย่างจะโดนฉีดจนเปียกหมดแล้ว แต่ปลอดภัยกว่าสำหรับหน่วยกู้ภัยจากหน่วยบันไดที่จะคลานเข้าไปในส่วนที่เหลืออยู่ของห้องประชุมสภา ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญก็เข้าใจสิ่งที่เจอได้ ไม่มีศีรษะที่ผงกขึ้น ไม่มีการเร่ง ไม่มีเสียงตะโกน เหล่าชาย -และหญิงด้วย ถึงจะแยกไม่ออกจากระยะห่างขนาดนี้- ต่างเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ระวังความปลอดภัยของตัวเองมากกว่าสิ่งอื่น ง่ายๆเพราะว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเสี่ยงชีวิตคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อคนที่ตายไปแล

พระเจ้า แจ๊คคิด ไม่ใช่เพียงเป็นคนอเมริกัน แต่เป็นคนที่เขารู้จักอยู่ที่นี่ ส่วนชั้นลอยทั้งหมดพังลงมาข้างล่างของห้องประชุมสภา ส่วนของนักการทูต ถ้าเขาจำไม่ผิด บุคคลระดับสูงและครอบครัว หลายคนที่เขารู้จัก ผู้ซึ่งมาที่รัฐสภาเพื่อชมการสาบานตัวของเขา นี่กลายเป็นความผิดของเขาหรือเปล่าสำหรับความตายของคนเหล่านั้น?

เขาออกจากสำนักงานซีเอ็นเอ็นเพราะต้องการจะทำอะไรสักอย่าง หรือนั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาบอกกับตัวเอง ตอนนี้ไรอันไม่ค่อยแน่ใจแล้ว อาจแค่ฉากที่เปลี่ยนไป หรือเขาอาจถูกดึงดูดเข้ามาเหมือนกับคนอื่นในบริเวณรัฐสภาตอนนี้ที่ยืนอย่างเงียบงันเหมือนกับเขา ได้เพียงแค่ดู เหมือนกับเขา และทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับเขา ความรู้สึกชาด้านยังไม่หายไป เขามาที่นี่หวังจะได้เห็น ได้รู้สึก และได้ทำอะไรบ้าง แต่กลับพบแค่สิ่งอื่นที่ทำให้ใจห่อเหี่ยวลง

"ที่นี่หนาวนะคะท่านประธานาธิบดี อย่างน้อยก็ออกจากละอองน้ำพวกนี้เถอะค่ะ" ไพรซ์เตือน

"ตกลง" ไรอันพยักหน้าแล้วกลับลงบันได เขาพบว่าเสื้อโค้ทไม่ได้อุ่นอย่างที่คิด ไรอันเริ่มสั่นอีกครั้ง และหวังว่ามันเกิดจากความหนาวเท่านั้น

กล้องถ่ายเริ่มติดตั้งช้าแต่ไรอันเห็นอยู่ที่นั่นแล้ว กล้องแบบเคลื่อนย้ายได้อันเล็กๆ ของญี่ปุ่นทั้งหมดพร้อมกับไฟส่องแรงสูง เขาสังเกตพร้อมกับคำรามในคอ พวกนี้ผ่านแนวของตำรวจและหัวหน้าดับเพลิงเข้ามาได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หน้ากล้องแต่ละกล้องมีผู้รายงานข่าว ทั้งสามคนที่เขาเห็นเป็นผู้ชาย ยืนถือไมโครโฟนและพยายามทำให้ดูเหมือนตัวเขารู้เรื่องมากกว่าใครๆทั้งหมด ไฟเริ่มส่องมาที่แจ๊ค ประชาชนทั่วประเทศและทั่วโลกกำลังดูเขาอยู่พร้อมกับหวังว่าเขารู้ดีว่าต้องทำอะไร พวกนั้นรับเอาเรื่องเหลวไหลที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงจะฉลาดกว่าหมอประจำครอบครัวพวกเขา หรือกว่าทนาย หรือนักบัญชี ได้อย่างไร? ความคิดของเขาหวนกลับไปตอนที่เขายังเป็นร้อยโทให้หน่วยนาวิกโยธิน ตอนนั้นสถาบันที่เขาประจำการอยู่มักคาดว่าเขาจะรู้วิธีสั่งการและนำหมวดทหารได้ และตอนที่จ่าที่อยู่มานานกว่าเขาเป็นสิบปีมาหาเขาปรึกษาเรื่องปัญหาครอบครัว หวังว่า 'เอล-ที' ของเขา ((ell-tee มาจาก Lt. ซึ่งย่อจาก Lieutnant ผู้หมวด)) ผู้ซึ่งยังไม่มีแม้แต่ลูกและเมีย จะรู้วิธีแนะนำคนที่มีปัญหากับครอบครัวอย่างนั้น ในตอนนี้ แจ๊คเตือนตัวเอง สถานการณ์แบบนั้นเรียกว่า 'ความท้าทายของความเป็นผู้นำ' หมายถึงคุณไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำอะไรต่อไป แต่กล้องอยู่ที่นั่น และคุณต้องทำอะไรซักอย่าง

ยกเว้นแต่เขายังไม่รู้ทางแก้เลย เขามาที่นี่เพราะหวังว่าจะหาสิ่งกระตุ้นเตือน แต่รู้สึกเพียงว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ และก็อาจจะมีคำถามอีกด้วย

"อาร์นี่ แวน แดมน์ล่ะ?" เขาต้องการอาร์นี่ แน่นอนที่สุด

"อยู่ที่ทำเนียบค่ะ" ไพรซ์ตอบ หมายถึงทำเนียบขาว

"เอาล่ะ งั้นไปที่นั่นกัน" ไรอันสั่ง

"ท่านคะ" ไพรซ์พูด หลังจากอึกอักอยู่ชัวครู่ "ที่นั่นอาจไม่ปลอดภัย ถ้าเผื่อ-"

"ผมจะวิ่งหนีไปไม่ได้ บ้าจริง ผมจะขึ้นนีแค็บหนีไปไม่ได้ ผมจะแอบไปแคมป์เดวิดไม่ได้ ผมจะคลานไปหลบในรูบ้าอะไรไม่ได้ทั้งนั้น คุณยังไม่รู้อีกเรอะ?" เขารู้สึกท้อแท้มากกว่าโมโห แขนขวาของเขาชี้ไปที่ตึกรัฐสภา "คนพวกนี้ตายไปแล้ว และผมเป็นรัฐบาลตอนนี้ พระเจ้าช่วยข้าพระองค์ด้วยเถอะ รัฐบาลจะวิ่งหนีไม่ได้"

. . .

เพราะไม่มีอะไรมากที่จะแสดงให้สาธารณชนเห็น สถานีข่าวจึงเปิดเทปสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีเดอร์ลิ่งอีกครั้ง กล้องของซี-สแปนในห้องประชุมสภาควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรล และช่างเทคนิคในห้องควบคุมก็แช่ภาพต่างๆเพื่อให้เห็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด และจัดทำรายชื่อผู้ที่เสียชีวิต อีกครั้งหนึ่ง คณะรัฐมนตรีทั้งหมดยกเว้นรัฐมนตรีสองคน คณะเสนาธิการร่วม ผู้อำนวยการระดับสูงขององค์การต่างๆ ประธานคณะกรรมการกองทุนสำรองกลาง ผู้อำนวยการบิล ชอว์ แห่งเอฟบีไอ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและการจัดการ ผู้บริหารนาซ่า ผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งเก้าคน ผู้ประกาศข่าวอ่านรายชื่อและตำแหน่งของพวกเขา และเปิดเทปทีละเฟรมจนถึงตอนที่เห็นหน่วยคุ้มกันวิ่งเข้ามาในห้องประชุมสภา ทำความตกใจให้ประธานาธิบดีเดอร์ลิ่งและทำให้เกิดความวุ่นวายชั่วขณะ ผู้คนหัวหน้าไปมา เฝ้าระวังอันตราย บางทีคนที่หัวไวสักหน่อยในที่นั้นอาจแปลกใจว่าทำไมมีคนถือปืนเข้ามาให้ชั้นลอยต่างๆ จากนั้นก็เป็นภาพต่อเนื่องสามเฟรมจากกล้องมุมกว้างแสดงภาพกำแพงข้างหลังที่พร่ามัว ตามด้วยความมืด ภาพผู้ประกาศข่าวและนักวิเคราะห์กลับชึ้นมาบนจอ สายตามองไปที่จอมอนิเตอร์ตั้งโต๊ะของพวกเขา และเงยขึ้นมองหน้ากันเอง และตอนนี้บางทีพวกเขาคงรู้สึกถึงความเลวร้ายของสถานการณ์เหมือนกับที่ประธานาธิบดีคนใหม่รู้สึกอยู่

"งานหลักของประธานาธิบดีไรอันคือสร้างคณะรัฐบาลขึ้นมาใหม่ ถ้าเขาทำได้" จอห์น นักวิเคราะห์กล่าว หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง "พระเจ้า คนดีๆมากมายต้องมา... ตาย..." ความคิดเกิดขึ้นกับเขาด้วยว่า ไม่กี่ปีก่อน ก่อนที่เขาจะเป็นผู้บรรยายข่าวอาวุโส เขาคงได้อยู่ในห้องนั้น พร้อมกับเพื่อนร่วมอาชีพของเขา และเช่นกันสำหรับเขา ช่วงเวลาช็อคได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้มือเขาภายใต้โต๊ะประกาศข่าวเริ่มจะสั่น ถึงเป็นมืออาชีพประสบการณ์สูงที่คุมไม่ให้เสียงสั่นได้ แต่เขาก็ควบคุมการแสดงออกบนใบหน้าไม่ได้หมด หน้าซึ่งเหี่ยวย่นลงไปด้วยความรู้สึกสยองที่เกิดขึ้นทันที และในจอภาพ หน้าของเขาซีดเผือดภายใต้เมคอัพ

"การพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้า" มาหมุด ฮาจิ ดาริเย พึมพำห่างออกไปหกพันไมล์ ยกรีโมทขึ้นปิดเสียงเพื่อขจัดคำพูดไร้สาระที่ไม่ต้องการฟังทิ้งไป

การพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้า ฟังดูมีเหตุผล จริงไหม? อเมริกา ยักษ์ที่ทำลายไปมากมาย แผ่นดินที่ไม่มีพระเจ้า ของผู้คนที่ไม่นับถือพระเจ้า ที่จุดสูงสุดของอำนาจ ผู้ชนะการแข่งขันอีกครั้ง - ตอนนี้ถูกทำร้ายอย่างสาหัส สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรนอกจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า? และจะหมายความได้อย่างไรนอกจากการพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้า และการอำนวยพรของพระองค์? อำนวยพรให้กับอะไรหรือ? เขาสงสัย บางทีอาจจะกระจ่างขึ้นด้วยการไตร่ตรอง

เขาพบไรอันมาแล้วครั้งหนึ่งและพบว่าไรอันนิสัยร้ายกาจและหยิ่งยโส ลักษณะทั่วไปของคนอเมริกัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ กล้องซูมให้เห็นเขาซุกในเสื้อคลุม หันหน้าซ้ายขวา เผยอปากเล็กน้อย ไม่ ไม่ยโสแน่ในตอนนี้ มึนงงไม่มีสติพอจะเกิดความกลัว เป็นสิ่งที่เขาเคยเห็นบนใบหน้าหลายคนมาแล้ว น่าสนใจจริง

.

.

ภาพและถ้อยคำเดียวกันกระจายไปทั่วโลกแล้วตอนนี้ ส่งผ่านดาวเทียมไปสู่สายตานับพันล้านคู่ที่กำลังดูรายงานข่าวอยู่ หรือได้รับข่าวแล้วเปลี่ยนช่องจากรายการช่วงเช้าในบางประเทศ รายการช่วงเที่ยงและเย็นในอีกหลายประเทศ เป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ และน่าประทับใจที่ได้ชม

เป็นจริงสำหรับผู้มีอำนาจ ผู้ถือว่าข้อมูลข่าวสารคือวัตถุดิบของอำนาจ ชายอีกคนในอีกที่มองดูนาฬิกาอิเลคทรอนิค์บนโต๊ะของเขาแล้วคำนวณง่ายๆว่าตอนนี้วันที่โหดร้ายในอเมริกากำลังจะผ่านไป ในขณะที่ตอนเช้าพึ่งจะเริ่มต้นในที่ที่เขานั่งอยู่ ผ่านหน้าต่างในห้องของเขาเป็นภาพของจตุรัสอันกว้างใหญ่ ปูลาดด้วยหิน และเต็มไปด้วยผู้คนผ่านไปมาบนจักรยานของพวกเขา แม้ว่าจำนวนรถยนต์ที่เขาเห็นในตอนนี้จะมีมาก เพิ่มขึ้นนับสิบเท่าภายในเวลาไม่กี่ปี แต่จักรยานก็ยังเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง และนั่นไม่ยุติธรรมเลย

เขาวางแผนเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น อย่างรวดเร็วและเด็ดขาดถ้ากล่าวในเชิงประวัติศาสตร์ และเขาก็เป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจังคนหนึ่ง แต่กลับถูกพวกอเมริกันทำลายแผนการที่วางไว้อย่างดีแล้ว เขาไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่เคยเชื่อและไม่มีวันจะเชื่อ แต่เขาเชื่อในชะตาลิขิต และชะตาลิขิตนั่นเองเป็นสิ่งที่เขาเห็นในหน้าจอฟอสฟอรัสของโทรทัศน์ที่ผลิตในญี่ปุ่น โชคชะตาเหมือนกับผู้หญิงใจโลเล เขาบอกกับตัวเองขณะที่เอื้อมมือไปยกถ้วยชา ไม่กี่วันก่อนที่เธออำนวยโชคให้พวกอเมริกัน และตอนนี้ สิ่งนี้... แล้วความตั้งใจของเทพธิดาแห่งโชคชะตาคืออะไรกันแน่? ตอนนี้จุดหมายและความต้องการและความตั้งใจของเขาสำคัญกว่า เขาคิดในใจ เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์แล้วหยุดคิด มันจะดังขึ้นไม่ช้า คนอื่นๆจะถามความเห็นของเขา และเขาต้องตอบอะไรสักอย่าง ดังนั้นนี่เป็นเวลาคิด เขาจิบชา น้ำร้อนจัดจนลวกปาก แต่นั่นเป็นสิ่งที่ดี เขาต้องตื่นตัวและความเจ็บปวดทำให้เขามีสมาธิในใจ ที่ซึ่งความคิดสำคัญๆมักจะเกิดขึ้น

จะถูกทำลายหรือไม่ แผนของเขาก็ไม่ใช่แผนที่ไม่ดี แต่ลูกน้องโง่ๆที่ปฏิบัติได้แย่ และส่วนใหญ่เป็นเพราะเทพธิดาแห่งโชคที่เข้าข้างพวกอเมริกันมากกว่าในตอนนั้น - แต่มันเป็นแผนที่ดี เขาบอกตัวเองอีกที เขาจะมีโอกาสพิสูจน์มันอีกครั้ง เพราะเทพธิดาแห่งโชค ความคิดนี้ทำให้เขายิ้มน้อยๆ สายตาเหม่อลอยไปไกล ในขณะที่ใจหยั่งไปอนาคตและพอใจกับสิ่งที่คิด เขาหวังว่าโทรศัพท์คงไม่ดังอีกสักพัก เพราะเขาจะต้องมองให้ไกลออกไปอีก ซึ่งจะดีที่สุดถ้าไม่มีใครขัดจังหวะ หลังจากพิจารณาต่อไปอีกครู่เขาก็ได้ว่าเป้าหมายจริงของแผนเขาได้สำเร็จไปแล้ว ไม่ใช่หรือ? เขาหวังให้อเมริกาเจ็บหนัก ตอนนี้อเมริกาก็เป็นอย่างนั้นแล้ว ถึงไม่ใช่แบบที่เขาคิดไว้ แต่ก็เจ็บหนักเหมือนเดิม หรือหนักกว่าเดิม? เขาถามตัวเอง

ใช่แล้ว

ดังนั้นเกมก็จะดำเนินต่อไป จริงมั้ย?

นั่นเป็นเทพธิดาแห่งโชคชะตา หยอกล้อเหมือนกับที่เธอเคยทำในกระแสแห่งประวัติศาสตร์ เธอไม่ใช่เพื่อนหรือศัตรูของมนุษย์หน้าไหน หรือใช่? เขาหายใจยาว บางทีเธออาจแค่เกิดอารมณ์ขันขึ้นมาเท่านั้น

.

.

สำหรับอีกคนหนึ่ง ความรู้สึกคือโกรธ ไม่กี่วันก่อนที่ถูกเย้ยหยัน อย่างเจ็บปวดด้วยการต้องยอมรับคำชี้แนะจากคนต่างชาติ ผู้เสมือนกับอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้น! มาชี้บอกว่าประเทศชาติของเธออันมีเอกราชจะต้องทำอย่างไร แน่นอนว่าเธอใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ทุกอย่างทำด้วยความชำนาญอย่างสูง รัฐบาลไม่ได้พัวพันกับอะไร นอกจากการซ้อมรบทางทะเลอย่างกว้างขวางในทะเลเปิด ซึ่งแน่นอนว่าใครก็เดินทางผ่านไปมาได้ ไม่มีการส่งเอกสารขู่ ไม่มีการยื่นเอกสารทางการทูต ไม่มีการเล่นบทบาท สำหรับพวกอเมริกันก็ไม่มีอะไรเกินกว่า -พวกนั้นใช้คำว่าไงนะ 'เขย่ากรง' หรือ?- และก็การเรียกประชุมสภาความมั่นคง ซึ่งจริงแล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน เพราะไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ประเทศของเธอไม่ได้ออกประกาศใดๆ พวกเราไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการซ้อมรบ หรือไม่จริง? การซ้อมรบอย่างสงบ แน่นอนว่าการซ้อมรบนั่นช่วยแยกกองกำลังอเมริกันออกจากการเผชิญหน้ากับญี่ปุ่น แต่เธอไม่สามารถล่วงรู้ได้ก่อนหน้านั้น หรือเธอรู้? ไม่อย่างแน่นอน

เธอมีเอกสารวางอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ เอกสารบอกเวลาที่ต้องใช้ในการฟื้นฟูกองเรือให้กลับสู่สภาพพร้อมเต็มที่ แต่ ไม่พอ เธอส่ายหน้า มันไม่เพียงพอ ทั้งเธอหรือประเทศของเธอไม่สามารถทำการคนเดียวได้ในตอนนี้ ต้องมีเวลา พันธมิตร และแผนการ แต่ประเทศมีความต้องการ และเป็นหน้าที่เธอที่จะจัดการ ไม่ใช่หน้าที่รับคำสั่งของคนอื่น

ไม่

เธอก็ดื่มชาเหมือนกัน จากถ้วยชาจีนอันสวยงาม ใส่น้ำตาลและนมนิดหน่อยตามแบบอังกฤษ ผลจากชาติกำเนิด การเติบโตและการศึกษาของเธอ ทั้งหมดรวมทั้งความอดทน ได้นำเธอมาสู่เก้าอี้นี้ ในบรรดาคนทั่วโลกที่ดูภาพเดียวกันจากเครือข่ายดาวเทียมเดียวกันนี้ เธออาจเป็นผู้เดียวที่เข้าใจคำว่าโอกาสได้ดีที่สุด เข้าใจความยิ่งใหญ่และดึงดูดของมัน ความหวานหอมที่มันนำมากับเธอสู่เก้าอี้ตัวนี้ โดยชายที่ตอนนี้ตายไปแล้ว มันดีเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไป จริงมั้ย?

ใช่แล้ว

.

.

"เรื่องนี้น่ากลัวนะ คุณซี" โดมิงโก้ ชาเวซขยี้ตา แล้วพยายามรวบรวมความคิด เขาตื่นอยู่นานเกินกว่าสมองที่ล้าจากการเดินทางของเขาจะคิดได้ เขานอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้นั่งเล่น ยกเท้าเปล่าพาดโต๊ะกาแฟ พวกผู้หญิงในบ้านนี้นอนหลับหมดแล้ว คนหนึ่งเพราะต้องทำงานในวันพรุ่งนี้ อีกคนเพราะข้อสอบของวิทยาลัยที่เธอจะต้องเจอ คนหลังไม่ได้คิดว่าอาจไม่มีการเรียนก็ได้ในวันพรุ่งนี้

"บอกฉันซิว่าทำไม ดิง" จอห์น คล๊าคสั่ง เวลาที่เค้าจะเปรียบเทียบความสามารถของคนต่างๆในทีวีได้ผ่านไปแล้ว อีกทั้งคู่หูหนุ่มของเขาก็กำลังทำปริญญาโทให้สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่

ชาเวซพูดทั้งๆที่หลับตา "ผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในเวลาสงบมาก่อน โลกยังไม่แตกต่างจากที่เป็นเมื่ออาทิตย์ก่อน จอห์น อาทิตย์ก่อน เรื่องมันวุ่นวายมาก เราชนะสงครามเล็กๆที่เรามี แต่โลกไม่ได้เปลี่ยนไปมากอะไร และเราก็ไม่ได้มั่นคงกว่าตอนนั้น จริงมั้ย?"

"ธรรมชาติรังเกียจภาวะสูญญากาศ อย่างนั้นเหรอ?"

"ประมาณนั้น" ชาเวซหาว "คงบ้าพิลึกถ้าไม่เป็นแบบนั้นที่นี่และตอนนี้"

.

.

"ผมทำไปไม่ได้มาก ใช่มั้ย?" แจ๊คถามเบาๆด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ เขาได้รับผลจากมันเต็มที่แล้วตอนนี้ ยังมีแสงเรืองรองอยู่แม้จะเป็นไอน้ำ ไม่ใช่ควันไฟ ที่ลอยอยู่ในท้องฟ้า สิ่งที่นำเข้าสู่อาคารเป็นภาพที่น่าสลด ถุงใส่ศพ ทำจากผ้ายางมีห่วงจับตรงปลายสองด้านและซิปอยู่ตรงกลาง มากมาย และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังถือออกมาแล้วในขณะนี้เป็นแถวลดเลี้ยวไปตามกองเศษอิฐหิน มันพึ่งจะเริ่มและคงไม่จบลงเร็วนัก เขาไม่ได้เห็นศพช่วงสองสามนาทีที่เขาขึ้นไปบนนั้น แต่อย่างไรการเห็นถุงแรกๆที่ออกมายิ่งแย่ไปกว่า

"ไม่ค่ะ" ไพรซ์ตอบ ใบหน้าของเธอแสดงความรู้สึกเช่นเดียวกับเขา "นี่ไม่ดีสำหรับท่านนะคะ"

"ผมรู้" ไรอันผงกศีรษะแล้วมองไปทางอื่น

ฉันไม่รู้ว่าจะทำอะไร เขาบอกตัวเอง มีคู่มือหรือว่าชั้นฝึกสอนสำหรับงานนี้อยู่ที่ไหน? ฉันจะถามใครได้? ฉันจะไปที่ไหนดี?

ฉันไม่ต้องการตำแหน่งนี้! ใจของเขาตะโกนใส่ตัวเอง ไรอันตำหนิตัวเองกับความคิดที่เห็นแก่ตัวอย่างนั้น แต่เขาไปที่ที่น่ากลัวอย่างนั้นเพื่อแสดงความเป็นผู้นำ พาตัวไปอยู่หน้ากล้องทีวีเหมือนกับเขารู้ว่าควรทำอะไร และนั่นก็เป็นเรื่องหลอกลวง บางทีอาจไม่ใช่เจตนาร้าย แค่ความโง่ เดินไปหาหัวหน้าหน่วยดับเพลิงแล้วถามว่าเหตุการณ์เป็นยังไง เหมือนว่าใครที่แค่มีตากับการศึกษาต่ำๆจะมองไม่ออก!

"ผมยินดีรับฟังความเห็น" ไรอันกล่าวในที่สุด

เจ้าหน้าที่คุ้มกัน แอนเดรีย ไพรซ์สูดลมหายใจลึกๆ และทำสิ่งที่เจ้าหน้าที่คุ้มกันทุกคนของสหรัฐอเมริกาฝันหาตั้งแต่ยุคของพิงเคอร์ตัน ((หมายถึง Allan Pinkerton เป็นนักสืบอเมริกันเกิดในสก็อตแลนด์และเป็นผู้ก่อตั้งหน่วยคุ้มกันประธานาธิบดีในสมัยของประธานาธิบดีลินคอร์น)) "ท่านประธานาธิบดีคะ ท่านต้องรวบรวม เอ่อ สติ" เธอพูดเกินกว่านั้นไม่ได้ "บางอย่างท่านทำได้ และบางอย่างทำไม่ได้ ท่านมีคนที่ทำงานให้ท่าน เริ่มแรกท่านต้องหาว่ามีใครบ้างแล้วให้เค้าทำงานของตัวเอง จากนั้น บางที ท่านจะสามารถทำงานของท่านเองได้ค่ะ"

"กลับไปที่ทำเนียบหรือ?"

"นั่นเป็นที่ที่มีโทรศัพท์ค่ะท่านประธานาธิบดี"

"ใครเป็นหัวหน้าหน่วยคุ้มกัน?"

"แอนดี้ วอล์คเกอร์ค่ะ" ไพรซ์ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเขาอยู่ที่ไหนในตอนนี้ ไรอันมองที่เธอแล้วตัดสินใจในฐานะประธานาธิบดีเป็นครั้งแรก

"คุณได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว"

ไพรซ์ผงกศีรษะรับ "เชิญตามมาค่ะท่าน" เธอรู้สึกพอใจที่ประธานาธิบดีคนนี้รู้จักเรียนรู้การทำตามคำสั่ง เหมือนกับประธานาธิบดีคนอื่นๆ บางคน พวกเขาเดินต่อไปได้อีกสิบฟุตก่อนที่ไรอันจะลื่นบนแผ่นน้ำแข็งล้มลง แล้วลุกขึ้นมาได้ด้วยความช่วยเหลือของหน่วยคุ้มกันสองคน ภาพนี้ทำให้เขายิ่งดูอ่อนแอมากขึ้น ตากล้องภาพนิ่งคนหนึ่งถ่ายเอาไว้ได้ซึ่งกลายเป็นภาพปกของนิวส์วีคในอีกสัปดาห์ต่อมา

.

.

"อย่างที่คุณเห็น ตอนนี้ประธานาธิบดีไรอันกำลังออกไปจากบริเวณรัฐสภาในรถที่ดูเหมือนเป็นของทหาร แทนที่จะเป็นรถของหน่วยคุ้มกัน คุณคิดว่าเขากำลังจะทำอะไรครับ?" ผู้ประกาศข่าวถาม

"ถ้าจะพูดอย่างยุติธรรมสำหรับท่านแล้ว" จอห์นกล่าว "ในตอนนี้ท่าทางท่านจะยังไม่รู้เหมือนกัน"

ความเห็นนั้นดังไปทั่วโลกในอีกหนึ่งในสามของวินาทีต่อมา ผู้คนทั่วทุกประเภทต่างเห็นชอบด้วย ทั้งมิตรและศัตรู

.

.

ต้องทำอะไรซักอย่าง อย่างเร็ว เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรหรือเปล่า - อืม เขารู้ และมันไม่ใช่- พอถึงระดับหนึ่งของความสำคัญ กฏกติกาก็จะจางหายไป ไม่ใช่เหรอ? เชื้อสายของตระกูลนักการเมืองซึ่งรับใช้ประเทศมาหลายชั่วคน ในความเป็นจริงแล้วเขาก้าวมาอยู่ในสายตาของสาธารณชนตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียนกฏหมาย ซึ่งก็เป็นอีกวิธีที่จะพูดว่าเขาไม่ได้ทำงานจริงของเขาเลยในชีวิต เขาอาจมีประสบการณ์ภาคปฏิบัติเล็กน้อยเรื่องเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากมัน เพราะผู้จัดการการเงินของครอบครัวเขาจัดการบัญชีเงินฝากต่างๆอย่างชำนาญ พอที่เขาไม่ต้องทนพบกับพวกนี้ยกเว้นเวลาจ่ายภาษี เขาอาจไม่เคยใช้กฏหมายจริงๆ แต่พูดได้ว่าเคยมีเรื่องผ่านมือมานับพัน เขาอาจไม่เคยเป็นทหารรับใช้ชาติ แต่ถือว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง อาจมีหลายสิ่งที่แย้งกับการบอกว่าเขาเคยทำอะไรจริง แต่เขารู้จักรัฐ และนั่นเป็นอาชีพตลอดชีวิตการทำอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่การทำงาน และในเวลาเช่นนี้ ชาติต้องการคนที่รู้จักรัฐจริงๆ ประเทศต้องการการเยียวยา เอ็ด เคลตี้ คิด และเขารู้เรื่องนั้น

ดังนั้น เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นแล้วหมุนเบอร์ "คลิฟ นี่ผมเอ็ดนะ..."

.

.

.

.


By Kaii


This page hosted by Get your own Free Home Page