โมเด็ม ( MODEM )
โมเด็ม ย่อมาจาก Modulator Demodulator ใช้ในการแปลงสัญญาณทางลอจิกให้เหมาะสมก่อนที่จะส่งผ่านตัวกลางที่มีความกว้างของแถบคลื่นต่ำ ๆ อย่างเช่นสายโทรศัทพ์ ทำไมสัญญาณทางลอจิกจึงส่งออกไปโดยตรงไม่ได้ อย่าลืมว่าสัญญาณลอจิกมีลักษณะเป็นคลื่นสี่เหลี่ยม ( Square wave ) " 0 " และ " 1 " ซึ่งอาจจะแทนด้วยค่าของแรงดันสองค่า คลื่นรูปสี่เหลี่ยมประกอบด้วยรูปคลื่นรูปซายน์หลายความถี่ ที่เป็นทวีคูณของความถี่พื้นฐาน หากผ่านตัวกลางที่มีแถบความกว้างของคลื่นต่ำแล้วความถี่สูง ๆ ก็จะหายไป เหลือสัญญาณที่ปลายทางผิดเพี้ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะโทรศัทพ์เขาออกแบบให้ใช้กับการสื่อสารที่เสียงมนุษย์เท่านั้น แถบความกว้างของคลื่นแค่ 3 กิโลเฮิรตซ์เท่านั้น จำเป็นที่เราจะต้องเปลี่ยนสัญญาณลอจิกให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ก่อนที่จะส่งออกไป ( ผจญกับโลกภายนอก ) ข้างฝ่ายรับก็จำเป็นต้องเปลี่ยนสัญญาณที่ถูกแปลงมานี้กลับให้เป็นสัญญาณทางลอจิก และก็จะต้องมีขบวนการที่ตรงกันข้ามกับฝ่ายส่ง อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ทั้งสองอันนี้จึงเรียกว่า โมเด็ม ( MODEM )

การทำงานของโมเด็ม แรกเริ่มเดิมทีเดียวการแปลงสัญญาณลอจิก ให้เหมาะสมกับการส่งผ่านไปในสายโทรศัพท์ใช้วิธีการที่เรียกว่า Frequency Shift Keying คือใช้ความถี่ของเสียงสองความถี่สำหรับแทนสัญญาณลอจิก " 0 " และ " 1 " ฝ่ายรับก็พยายามจับเอาสองความถี่ที่ว่านี้มาแปลงเป็นสัญญาณลอจิกกลับคืน ความถี่ของเสียงทั้งสองเสียงต้องห่างกันพอที่จะแยกออกจากกันได้โดยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และก็จะต้องไม่ห่างเกินจนตกขอบของความสามารถของสายโทรศัทพ์จะนำพาไปได้

เนื่องจากแถบความถี่คลื่นที่สายโทรศัพท์ยอมให้ผ่านไปได้อยู่ในช่วง 300 Hz ถึง 3000 Hz เราสามารถแบ่งความถึ่ในย่านนั้นออกเป็น 4 คลื่นเสียงที่สำคัญสำหรับสถานีส่งสองเสียงและสถานีรับสองเสียง เนื่องจากเราต้องการให้การติดต่อเป็นฟูลดูเพล็กซ์ คือทั้งรับและส่งได้ในเวลาเดียวกัน จำเป็นจะต้องแยกสถานีออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า originate หรือฝ่ายเริ่มการติดต่อ และอีกฝ่ายเรียกว่า answer ฝ่าย originate จะใช้ความถี่สำหรับส่งสองความถี่ สำหรับสัญญาณลอจิก " 0 " และ " 1 " ฝ่าย answer จะต้องใช้ความถี่อีกสองความถี่ที่แตกต่างไปจากฝ่ายส่ง ( เพื่อป้องกันการรบกวนกันเอง ) สำหรับแทนสัญญาณลอจิก " 0 " และ " 1 " จะได้รับและส่งในเวลาเดียวกัน เป็นฟูลดูเพล็กซ์ได้ คราวนี้ก็มาถึงปัญหาว่าความถี่ไหนล่ะที่ใช้กันอยู่ ก็มีมาตรฐานอยู่สองแห่งเช่นเดิมคือ ของระบบ CCITT และของบริษัทเบลเทลีโฟน สำหรับโมเด็มที่มีความเร็วไม่เกิน 300 บอด ห้องปฏิบัติการวิจัยเบลใช้มาตรฐาน 103 ส่วน CCITT ใช้มาตรฐานที่ชื่อว่า V.21

จากรูปจะพบว่าสถานีรับและสถานีส่งใช้ความถี่ต่าง ๆ กันในการมอดูเลต สัญญาณลอจิก " 0 " และ " 1 " การดีมอดูเลตก็จะต้องให้ตรงกับความถี่ของฝ่ายตรงกันข้ามส่งมา ยกตัวอย่างเช่น โมเด็มชนิด 103 ถ้าหากใช้เป็นผู้ริเริ่มการติดต่อ ( ซึ่งโดยมากผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์เวลาติดต่อกับฝ่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ จะเป็นฝ่ายที่เรียกว่า originate ) จะส่งสัญญาณลอจิก " 1 " ด้วยความถี่ 1270 Hz ลอจิก " 0 " ด้วยความถี่ 1070 Hz ขณะเดียวกันจะต้องรับด้วยความถี่ 2025 และ 2225 ทั้งรับและส่งของโมเด็มก็จำเป็นต้องมีวงจรกรองความถี่ เพื่อป้องกันความถี่อื่นหลงเข้ามารบกวนเครื่องรับ วงจรกรองความถี่ที่ว่าจะต้องแยกแถบความถี่ของฝ่ายรับและส่งออกจากกัน วงจรกรองความถี่ที่ว่าจะต้องแยกแถบความถี่ของฝ่ายรับและส่งออกจากกัน

โมเด็มชนิด 103 เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอยู่ในอเมริกา ส่วน CCITT ใช้กันเกือบทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทยด้วย

เนื่องจากความถี่ของเสียงที่ใช้มีความถี่ต่ำการมอดูเลตแบบ FSK ย่อมทำให้การถ่ายโอนข้อมูลเร็วกว่าความถี่นั้นไม่ได้แน่นอน เนื่องจากวงจรรับจะต้องดีเทกให้ได้ว่ามีความถี่เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อย่างน้อยความถี่จะต้องปรากฎให้เห็น 2 ถึง 3 ไซเกิลเป็นอย่างน้อย ลองคำนวณดูง่าย ๆ ความถี่ต่ำสุดที่ใช้ในโมเด็มชนิด 103 คือ 1070 Hz ต้องใช้อย่างน้อย 2 ไซเกิล ต่อการมอดูเลต 1 บิต จะเห็นว่าการถ่ายโอนข้อมูลจะไปกว่า 600 บิตต่อวินาทีได้ยาก

ถ้าเราใช้เทคนิค FSK เหมือนเดิมแต่แยกความถี่ของสองเสียงที่ใช้แทน " 0 " และ " 1 " ให้ห่างกัน จำนวนไซเกิลที่ใช้มอดูเลตก็จะน้อยลง เราจะแยกความถี่ให้ห่างกันได้ก็ต้องส่งได้ที่ละข้างหรือเป็นแบบฮาล์ฟดูเพล็กซ์ โดยใช้ความถี่ 1200 แทนมาร์ค และ 2000 แทนสเปซ และเพื่อเป็นการประกันว่าฝ่ายรับกำลังรับอยู่ ฝ่ายรับจะส่งความถี่ 387 Hz ควบกลับมาให้รู้ว่า " ฉันกำลังฟังอยู่ " บางครั้งความถี่ 387 Hz นี้อาจจะใช้ในการบอกฝ่ายส่งว่า ข้อความที่ส่งมามีข้อผิดพลาดอยู่กรุณาส่งมาใหม่

สำหรับ CCITT หรือที่ใช้กันในประเทศสากล มาตรฐานจะเป็นโมเด็มแบบ V.23 ซึ่งจำลองมาจากเบล 202 แต่จะต่างกันตรงที่มีโหมดให้เลือก 2 โหมด คือ 600 บอด และ 1200 บอด โดยทั้งสองโหมดใช้ความถี่ต่างกัน คือ
 

 
มาร์ก
สเปซ
โหมด 1 ( 600 บอด )
1300 Hz
1700 Hz
โหมด 2 ( 1200 บอด )
1300 Hz
2100Hz
 นอกเหนือไปจากนั้น V.23 ยังสามารถให้ฝ่ายรับส่งข้อมูลกลับมาได้ด้วยความเร็ว 75 บอด โดยใช้ FSK จริง ๆ 390 Hz แทนมาร์ก และ 450 Hz แทนสเปซ ในกรณีเช่นนี้เหมาะสำหรับการติดต่อกับเทอร์มินัลที่ผู้ใช้ป้อนข้อมูลทางคีย์บอร์ด เนื่องจากความเร็วของการพิมพ์ของมนุษย์คงไม่มีใครทำได้เกิน 100 คำต่อนาที เป็นแน่ 1 คำใช้ 4 ตัวอักษร อักษร 1 ตัวใช้ 8 บิต บวกสตาร์ตบิตอีก 2 บิต รวมแล้ว 200 คำ/นาที เทียบเท่ากับ 40 * 100/60 = 66 บิตต่อวินาที
โมเด็มความเร็วสูง

ในการถ่ายโอนที่ต้องใช้ความเร็วสูง การมอดูเลตโดย FSK เห็นจะไปไม่ไหว เลยเปลี่ยนมาใช้วิธีการที่เรียก PSK หรือ Phase Shift Keying แทนที่จะใช้ความถี่ในการแทนสัญญาณลอจิก กลับใช้สัญญาณเสียงความถี่เดียว แต่ใช้เฟสที่ต่างกันออกไปสำหรับแทนสัญญาณลอจิก
 


 
 
 

การกำเนิดของคลื่นรูปซายน์ก็เหมือนกับการหมุนของเข็มนาฬิกาไปเป็นเส้นรอบวง ถ้าเราวัดความสูงของเข็มนาฬิกาเทียบกับแนวนอนขณะใดขณะหนึ่ง แลัวนำมาพล็อตเทียบกับแกนเวลาเราจะได้รูปร่างของคลื่นรูปซายน์ เข็มที่เราใช้หมุนเรียกว่าเวกเตอร์ มุมที่หมุนไปเรียกว่า เฟส ฉะนั้นเฟสของสัญญาณรูปคลื่นซายน์จะมีตั้งแต่ 0 ถึง 360 องศา ถ้าหากเราจะเลือกใช้เฟสในการมอดูเลตสัญญาณลอจิกเราก็แบ่งเฟสที่เราจะใช้ออกเป็น 2 เฟส ในการมอดูเลตสัญญาณลอจิก “ 0 ” และ “ 1 ” คือใช้เฟส 0 แทน 0 และเฟส 180 องศาแทน 1 ลักษณะของสัญญาณจากโมเด็มก็จะเป็นดังรูป
 
 


 

ถ้าหากเราแบ่งสัญญาณ PSK ออกเป็น 4 เฟส คือ 0, 90, 180 และ 270 องศา โดยเราแทนเฟสทั้ง 4 เฟสด้วยเลขฐานสอง สองหลักหรือสองบิต ในกรณีเช่นนี้การเปลี่ยนเฟสครั้งหนึ่งเท่ากับว่าเราได้ข้อมูล 2 บิตเข้าไปแล้ว ในลักษณะนี้ อัตราบิตจะเป็น 2 เท่าของอัตราบอด เพราะอัตราบอดคืออัตราการเปลี่ยนแปลงสัญญาณใน 1 วินาที แต่การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณ 1 ครั้งข้อมูลเปลี่ยนแปลง 2 บิต ความเร็วในการถ่ายโอน จึงเป็น 2 เท่าของอัตราบอด

โมเด็มชนิด 201 B ของเบล ใช้ Phase Shift Keying โดยการแบ่งเฟสเป็น 4 เฟสดังกล่าว อัตราในการส่ง 1200 บอด เท่ากับได้ความเร็วสนการถ่ายโอนข้อมูล 2400 บิตต่อวินาที

ถ้าเราแบ่งเฟสของสัญญาณออกเป็น 8 คือ 0, 45, 90, 125, 180, 225, 270, และ 315 โดยแต่ละเฟสแทนได้ด้วยข้อมูล 3 บิต จะเห็นว่าความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลจะกลายเป็น 3 เท่าของอัตราบอด ถ้าใช้อัตราบอด 1600 ก็จะได้ความเร็วของการถ่ายโอนข้อมูล 4800 บิดต่อวินาที โมเด็มชนิด 201C ของบริษัทเบลใช้เทคนิคทำการถ่ายโนข้อมูลทำได้เร็วถึง 4800 บิตต่อวินาที
 


 

คิดดูง่าย ๆ ก็จะเห็นว่าถ้าเราแบ่งเฟสของสัญญาณออกเป็น 2n เฟส เราจะได้ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลเป็น n เท่าของอัตราบอด ความจริงไม่ง่ายอย่างนั้น เนื่อจากถ้าเฟสเข้ามาใกล้กันมาก การแยกสัญญาณออกจะทำได้ยากมาก n=3 หรือ 8 เฟส ก็นับว่าเต็มกลืน ถ้า n=4 ก็คงจะเป็น 16 เฟส โอกาสที่จะแยกสัญญาณอย่างผิดพลาดคงจะมีแน่ ๆ

วิธีการที่จะเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนให้สูงขึ้นก็โดยการเอาความสูงหรือแอมพลิจูดของสัญญาณเข้ามามอดูเลตด้วยเรียกว่า Quardrature Modulation โมเด็มที่ส่งด้วยความเร็ว 9600 บิตต่อวินาที เขาแบ่งเฟสออกเป็น 12 เฟส มีอยู่ 4 เฟส ที่มีโอกาสมีแอมพลิจูดได้สองค่า รวมแล้วทั้งหมดสามารถใช้เลขฐานสอง 4 บิตแทนเฟสและแอมพลิจูดทั้ง 16 สถานภาพสัญญาณในสายใช้ความเร็ว 2400 บอด ก็จะสามารถให้ความเร็วในการถ่ายโอนได้ถึง 9600 บิตต่อวินาที
 


 

นอกจากมาตรฐานของโมเด็มดังที่กล่าวมายังมีมาตรฐานออกมาใหม่ ๆ อีกหลายอย่าง หากท่านต้องการจะซื้อโมเด็มใช้ อย่างลืมถามฝ่ายตรงข้ามที่ท่านจะติดต่อสื่อสารข้อมูลก่อนว่าเขาใช้โมเด็มชนิดใด ท่านจะไม่สามารถติดต่อกับเขาได้อย่างแน่นอน ถ้าหากเป็นโมเด็มชนิดที่ต่างกัน
 

ชนิดของโมเด็มและวิธีการมอดูเลต


 
 
 
ชนิด
ความเร็ว
วิธีการมอดูเลต
อัตราบอด
ดูเพล็กซ์
103
300 bps
FSK
300 baud
Full/FDM
202
1200 bps
FSK
300 baud
HALF
212
1200 bps
DPSK
600 baud
Full/FDM
v. 22
1200 bps
DPSK
600 baud
Full/FDM
201
2400 bps
DPSK
1200 baud
HALF
v.22 bis
2400 bps
QAM
600 baud
Full/FDM
v.26 ter
2400 bps
DPSK
1200 baud
Full/ECT
208
4800 bps
DPM
1600 baud
HALF
209
9600 bps
QAM
2400 baud
HALF
v.29
960 bps
MQAM
2400 baud
HALF
v.32
4800 bps
QAM
2400 baud
Full/ECT
v.32
9600 bps
MQAM
2400 baud
Full/ECT
DPM =  Differential Phase Modulation
FSK = Frequency Shift Keying
FDM = Frequency Division Multiplex
DPSK = Different Phase Shift Keying
QAM =  Quadrature Amplitude Modulation
ECT = Echo Cancellation Technique



| home | menu | เทคโนโลยี |

1 : 08 : 2541