คุณพิพัฒน์ เหลืองวงศ์วาน เล่ามาว่า
มีคุณพ่อเป็นอัมพฤกษ์ เส้นเลือดในสมองตีบ ๘ เส้น ร่างกายซีกขวาขยับไม่ได้ รับประทานอาหารเอง ไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่ยังพอรับรู้สิ่งต่างๆ ได้บ้าง แพทย์ชี้แจงว่า คงรักษาให้หายไม่ได้ ทำได้เพียงรักษาร่างกายซีกซ้ายให้คงอยู่
ลูกชายปรารถนาให้บิดาได้เห็นพระภิกษุ เพื่อเตือนความทรงจำที่เคยทำบุญต่างๆ ไว้ จึงนิมนต์พระภิกษุจาก วัดพระธรรมกายมาเยี่ยม ลูกชายได้ชวนแม่ ให้ทำบุญสร้างองค์พระ ที่แกนกลาง แต่แม่เกรงเงินไม่พอ ค่ารักษาบิดา จึงขอทำบุญสร้างองค์พระภายในให้พ่อ โดยให้คนป่วย ถวายปัจจัยหลวงพี่ ด้วยตนเอง คนป่วยตื้นตันใจมากถึงกับร้องไห้โฮออกมา
เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็มีอาการดีขึ้น จนแพทย์อนุญาตให้กลับไปพักที่บ้านได้ ต่อมาคุณพ่อก็มีอาการดีขึ้นมาก มีอารมณ์ดี พูดได้หลายคำขึ้น เริ่มฝึกเดินก้าวเท้าขวาได้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นกระดิกไม่ได้เลย
คุณพิพัฒน์ยังไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาโท จึงไม่มีเงิน แต่ใจปรารถนาทำบุญสร้างองค์พระที่แกนกลางมาก ยิ่งได้ฟังเทป อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ ยิ่งอยากเป็นเจ้าของสักหนึ่งองค์ แต่เมื่อยังไม่เห็นหนทาง จึงได้แต่ชวนพี่ชาย และพี่สาวทำบุญกองทุน วารสารกองละ ๑ หมื่นบาท คนละกอง ซึ่งจะได้รับของขวัญเป็น พระมหาสิริราชธาตุเช่นเดียวกัน ต่อมาก็สามารถชวนคุณแม่ และพี่สาว ทำบุญสร้างพระแกนกลาง ให้คุณพ่อได้สำเร็จ
วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ พระภิกษุซึ่งเคยบวชเป็นธรรมทายาทรุ่นเดียวกับคุณพิพัฒน์ ได้โทรศัพท์มาชวนทำบุญสร้างพระแกนกลาง คุณพิพัฒน์ต้องการทำบุญสร้างพระแกนกลางของตนเองมาก เพื่อถวายบูชาหลวงพ่อธัมมชโย จึงตัดสินใจขอยืมเงินผู้นำบุญที่รู้จัก ซึ่งท่านยินดี ให้ยืมเงิน ทำให้ดีใจมาก ได้ทำบุญสมใจ
จากนั้นพระรูปนั้น ได้แนะนำคุณพิพัฒน์ชวนผู้อื่นทำบุญด้วย คุณพิพัฒน์ยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ พระท่านพูดว่า คำว่าไม่สำเร็จ ไม่มีอยู่ใน พจนานุกรมวัดพระธรรมกาย เป็นถ้อยคำที่กินใจคุณพิพัฒน์มาก ตัดสินใจชวนผู้คนทำบุญทันที พอดีได้รับพระของขวัญ พระมหาสิริราชธาตุ มีสิทธิธาตุสีแดงแทบทั้งองค์ ยิ่งเพิ่มกำลังใจทวีคูณ ตั้งใจจะชวนคนทำบุญให้ได้ อย่างน้อย ๒๐ องค์ โดยอธิษฐานจิต ขอพรจากองค์พระ ทุกครั้ง ที่เชิญชวนผู้คน เป็นเรื่องแปลก ที่คุณพิพัฒน์สามารถชวนคนทำบุญได้ถึง ๒๓ องค์
นอกจากนั้น ยังมีเพื่อนรุ่นน้องมาช่วยเพิ่มเงินเติมองค์พระที่ยังส่งค้างอยู่ เพื่อให้ได้รับพระมหาสิริราชธาตุ นอกจากนี้ ค่าโทรศัพท์ที่ใช้ ในเดือนนั้น สูงถึง ๖ พันบาท แต่คุณแม่และพี่สาวไม่บ่นเลย ปกติแล้วค่าโทรศัพท์ทางไกลไม่กี่ร้อยบาทจะถูกบ่นไปหลายวัน
ส่วนพี่สาวที่ได้รับพระมหาสิริราชธาตุจากการทำบุญกองทุนวารสารไปแล้ว เวลานั้นประสบปัญหาหนี้สินคือซื้อบ้านไว้ถึง ๓ ล้านบาท จ่ายครั้งแรก ๕ แสนบาท ที่เหลือต้องผ่อนส่งเดือนละ ๓ หมื่น ๙ พันบาท อีก ๒๐ ปี ในระยะนี้รายได้ลดลงจนไม่สามารถผ่อนส่งได้ ทุกคนจึง เห็นพร้อมกันว่าควรทิ้งบ้าน ยอมเสียเงิน ๕ แสนบาท
พี่สาวเสียดายเงินด้วย เสียดายบ้านด้วย จึงอธิษฐานขอพรพระมหาสิริราชธาตุของตนเองให้ได้มีทางออกเรื่องนี้ดีที่สุด อธิษฐาน เพียงครู่เดียว ก็มีความคิดขึ้นมาในใจ ให้ทดลองติดต่อบริษัท ขอแลกเปลี่ยนบ้านในโครงการอื่นที่ราคาต่ำกว่า จึงรีบติดต่อไปทางโทรศัพท์
เพียง ๓ นาที ทางบริษัทก็ตอบตกลง ให้เปลี่ยนไปเป็นบ้านเดี่ยวอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งราคาลดลงมาก สามารถผ่อนส่งเดือนละ ๑ หมื่นบาท ในระยะเวลาเพียง ๕ ปี และบอกว่านี่เป็นรายแรกที่บริษัททำให้ ขอให้ไปเลือกดูบ้านได้ ถ้าพอใจก็เปลี่ยนสัญญาได้ ส่วนเงิน ๕ แสนที่ชำระไว้ ก็เป็นราคาของบ้านใหม่ไปโดยไม่สูญเปล่า
ทุกคนในบ้านเชื่อมั่นว่า เพราะอานุภาพแห่งบุญที่ได้ร่วมสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ และอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาสิริราชธาตุ จึงทำให้เกิดแต่สิ่งดีๆ ขึ้นในครอบครัว