อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ สภาพหน้ารถของคุณโอภาส ที่ถูกชนท้าย แล้วพุ่งชนคันหน้า

๓๐๙. ทำไมไม่เบรค

คุณโอภาส พูลเพิ่ม อยู่ที่แขวงวังทองหลาง เขตบางกะปิ จังหวัด กรุงเทพฯ เล่าว่า

เข้าวัดครั้งแรกเพราะได้ มาบวชสามเณรแก้วเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๑ เนื่องจากได้ เห็นข้อความเชิญชวน ในเศษหนังสือ พิมพ์ ที่มีคนเขาทิ้งลงถังขยะว่า หนึ่งนาทีที่เป็นบันฑิต ดีกว่าตลอดชีวิตที่เป็นพาล เมื่ออ่านจบ ก็เกิดศรัทธาขึ้นทันที และมีความรู้สึกอยาก จะบวชมาก จึงตัดสินใจสมัครบวชทันที

เมื่อได้เข้ามาสัมผัสวัดพระธรรมกาย รู้สึกตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจมาก ทั้งความใหญ่โต ความมี ระเบียบวินัยของสาธุชน ที่มาวัด ความ สะอาด ความสวยงาม และความเรียบร้อย มีระเบียบของสิ่งก่อสร้าง ในวัด และที่สำคัญคือ ที่วัดพระธรรมกายแห่งนี้ เป็นเสมือนโรงเรียน สอน สมาธิภาวนา ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีความรู้สึกว่า ตัวเองแสวงหาสถานที่เช่นนี้มานานแล้ว

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้มาวัดทุกวันอาทิตย์ไม่เคยขาด และได้มีโอกาสสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ โดยได้ร่วมบุญสร้าง พระธรรมกาย ประจำตัว ให้ภรรยา ๑ องค์ และตั้งใจไว้ว่า ถ้ามีเงินมาเมื่อใด ก็จะมาสร้างองค์พระให้ตัวเองและลูกๆ ทุกคนด้วย

คุณโอภาสและครอบครัวเมื่อครั้งมาร่วมงานบวชอุบาสิกาแก้ว ต่อมาได้ทราบข่าวบุญว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมตตาจะมอบพระของขวัญ พระมหาสิริราชธาตุให้กับ สาธุชนทุกคน ที่สร้าง พระธรรมกาย ประจำตัว เมื่อได้ทราบ ข่าว ก็รู้สึกศรัทธา ต้องการจะร่วมบุญ สร้างพระมาก และอยากจะได้ พระมหาสิริราชธาตุ มาบูชาบ้าง แต่ในตอนนั้น ยังไม่มีเงินเลย จึงมาคิดว่า เราโชคดีที่ได้ทราบ บุญใหญ่ อย่างนี้ แล้ว เหตุใดเราถึงไม่รีบสร้าง

จึงตัดสินใจไปปรึกษากับญาติ และได้เงินมาหนึ่งหมื่นบาท สร้างองค์พระ ให้ลูก เลย ทันที ซึ่งขณะนั้น ยังไม่ได้รับ พระมหาสิริราชธาตุ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลารับพระ เจ้าหน้าที่ที่วัด ได้มอบรูปภาพ พระมหาสิริราชธาตุให้มาก่อน

นับจากวันที่สร้างองค์พระและได้รับภาพพระมหาสิริราชธาตุมา สิ่งดีๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นกับครอบครัว หลายเรื่อง และผ่านมาไม่กี่วันนี้ บุญช่วยคุ้มครอง ครอบครัวคุณโอภาส ให้รอดตายอย่างอัศจรรย์ คือ

เมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๒ คุณโอภาสและครอบครัว ได้เดินทางไปทำธุระที่จังหวัดราชบุรี ด้วยรถกระบะส่วนตัว หลังจาก เสร็จธุระ ก็จะเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ เหลืออีกประมาณ ๕-๖ กิโลเมตร จะเข้าตัวเมือง จังหวัดนครปฐม ได้มองเห็น รถกระบะ ที่วิ่งอยู่ ข้างหน้า ขับส่ายไปส่ายมา น่าหวาดเสียว จึงพูดกับภรรยาว่า อย่าขับไปใกล้รถคันนั้นเลย เพราะหากรถคันนั้น ไปชนกับรถคันอื่นเข้า เราวิ่งตามหลังอยู่ อาจจะเบรคไม่ทัน จึงขับตามหลังห่างๆ มาเรื่อยๆ ถนนที่รถวิ่งอยู่นั้น มี ๔ เลน

ท้ายรถของคุณโอภาสที่ถูกชน

รถคันนั้นก็ขับส่ายไปส่ายมา จนไปชิดเลนซ้ายสุด เกือบจะลงข้างทาง พอคุณโอภาสเห็นดังนั้น ก็เบนรถไปเลนขวาสุด และเร่งเครื่อง เพื่อแซงรถกระบะคันนั้น พอแซงได้แล้ว และมองกระจกหลัง เห็นรถกระบะคันนั้น ขับปาดขวา เข้ามาทางเลนเดียวกับ รถของคุณโอภาส ทันที และเหยียบคันเร่งตามหลัง เหมือนกับว่า จะตามมาให้ติดๆ 

คุณโอภาสตกใจ เหยียบคันเร่งเต็มที่ ซึ่งก็ได้เต็มที่แค่ความเร็ว ๑๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง มองดูกระจกหลังอีกที รถคันนั้น ก็ยังขับตาม มาติดๆ ด้วยความเร็วมาก เช่นเดียวกัน บังเอิญมาถึงทางข้างหน้า ซึ่งเป็นทางแยกไฟแดง คุณโอภาสเห็นไฟเหลือง มาแต่ไกล จึงลดความเร็ว ลงและจอดที่ไฟแดง แต่รถกระบะคันนั้น ไม่มีทีท่าว่า จะผ่อนความเร็ว หรือหยุดรถ 

รถกระบะคันนั้น ขับเหมือนกับว่า มองไม่เห็นรถของคุณโอภาส ที่ขับอยู่ข้างหน้าเลย คุณโอภาสตกใจมาก ร้องบอกภรรยาว่า ระวัง เขาจะชนเราแล้ว พอสิ้นเสียงเท่านั้น รถกระบะคันนั้น ก็ชนท้ายรถของคุณโอภาส เสียงดังสนั่นหวั่นไหว โดยรถกระบะคันนั้น ไม่ได้เหยียบเบรค เลย 

รถกระบะที่ชนท้ายรถคุณโอภาส

ในเสี้ยววินาทีขณะนั้น คุณโอภาสมีสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวตลอดเวลา ไม่รู้สึกห่วงตัวเองเลย เพราะมีความรู้สึกว่า ตัวเราไม่เป็นอะไร อยู่แล้ว คิดแต่เพียงว่า จะทำอย่างไรให้ลูก และภรรยาปลอดภัย เพราะในตอนนั้น ภรรยาไม่ได้รัดเข็มขัด นิรภัย ลูกชายคนเล็ก ก็นั่งอยู่บนตัก แม่ คนโตก็นั่งอยู่ตรงที่วางเทปข้างคนขับ ส่วนด้านหลังไม่มีคนนั่ง

ด้วยแรงชน ทำให้รถของคุณโอภาส พุ่งไปข้างหน้า ชนกับรถเก๋งอีกคันหนึ่ง ที่สวนมารอสัญญาณไฟ เพื่อจะเลี้ยวขวา ขณะที่รถกำลังพุ่ง ไป ด้วยแรงกระแทกนั้น ก็พยายามหักพวงมาลัย เอาด้านที่ตนเองนั่งอยู่ ไปกระแทกกับรถเก๋งคันหน้า เพราะความรู้สึกในตอนนั้น จะต้องให้ลูก และภรรยา ปลอดภัยที่สุด 

เสียงชนกับรถคันหน้าดังตูม สนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง หน้ารถของคุณโอภาส ไปชนหน้ารถเก๋งคันนั้น อย่างแรง แรงขนาดที่ว่า หน้ารถเก๋ง คันนั้น หมุนจากหน้า ไปอยู่ด้านหลัง ทันที กระจกหน้าของรถเก๋ง แตกละเอียด ส่วนด้านหน้าพังยับ แต่แรงชนของรถ ก็ยังไม่หมด ยังพุ่งไปชน กับเสาลวดสลิง ที่เกาะกลางถนน ทำให้เสาหัก เส้นลวดขาดทันที รถจึงหมดฤทธิ์หยุดอยู่แค่ตรงนั้น นับว่ายังโชคดีที่รถไปชนกับ เสาลวงสลิง เพราะถ้าเลยไปอีก ก็เป็นถนนที่รถกำลังวิ่ง สวนไปสวนมาอยู่ ซึ่งไม่อยากจะนึกภาพเลย

รถเก๋งที่ถูกรถคุณโอภาสชน จนหมุนกลับหน้าหลัง

ทันทีที่รถหยุดก็ รีบมองดูลูกๆ และภรรยา รู้สึกโล่งอก เพราะไม่มีใคร เป็นอะไรเลย เด็กสองคน ไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้ เมื่อมั่นใจว่า ตน และ ครอบครัว ไม่เป็นอะไร รู้สึกเป็นห่วงรถเก๋งคันที่พุ่งไปชน จึงรีบลงจากรถมาดู สภาพรถเก๋งนั้น พังยับเยิน คนในรถ ๔ คนเจ็บหนัก ๒ คน ในนั้น เป็นเด็กเล็ก ก็เลยรีบโทรศัพท์ เรียกรถพยาบาล 

ประมาณ ๑๕ นาที เจ้าหน้าที่มูลนิธิ ก็มาถึง และช่วยพาคนเจ็บ ไปส่งที่โรงพยาบาล คุณโอภาสจึงฝากลูกและภรรยา ไปตรวจที่โรง พยาบาล ด้วย เผื่อว่า อาจจะมีอะไร กระทบกระเทือนภายใน ที่มองไม่เห็น เมื่อตามไปที่โรงพยาบาล คุณหมอก็บอกว่า ไม่เป็นอะไรเลย แม้แต่ นิดเดียว 

คุณโอภาสดูสภาพรถของตนเองแล้ว รู้สึกซาบซึ้งในอานุภาพ พระรัตนตรัยมาก รถพังยับทั้งคัน ด้านหลัง ยุบเข้าหาด้านหน้า ด้านหน้า ก็ยุบเข้าหาด้านหลัง คัชซีหัก เบาะที่นั่งอยู่หักทั้งสองเบาะ กระจกหลังแตกละเอียด แต่แปลกๆ มาก ที่กระจกหน้าไม่แตกเลย พอมองเห็นรูป ภาพ พระมหาสิริราชธาตุ ติดอยู่ที่กระจก ก็หายสงสัย คงเป็นเพราะอานุภาพของท่าน คุ้มครองรักษาตนเอง และครอบครัวเอาไว้ 

เพราะตนเอง ก็มี พระมหาสิริราชธาตุ รุ่นพิชิตมาร ได้มาเมื่อครั้งมาบวชอุบาสกแก้ว ภรรยาและลูกๆ ก็มี เพราะได้ไปร่วมอนุโมทนา และได้รับในวันงานด้วย

คุณโอภาสบอกในตอนท้ายไว้ว่า จะรอดมาได้ด้วยอานุภาพแห่งบุญ หรืออานุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตาม ครอบครัวของเรา ก็มั่นใจ ในความศักดิ์สิทธิ์ มั่นใจในอานุภาพ ของพระรัตนตรัย และพระมหาสิริราชธาตุมาก และซาบซึ้งศรัทธา ในปฏิปทาของ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อธัมมชโย และพระภิกษุสามเณร ในวัดพระธรรมกาย อย่างเหนียวแน่น เพราะเราเชื่อ เรารู้ เราเห็น และได้มาพิสูจน์แล้ว ด้วยตนเอง จึงมีความมั่นใจอย่างมากเช่นนี้


[สารบัญ] [๓๐๕] [๓๐๖] [๓๐๗] [๓๐๘] [๓๐๙] [๓๑๐]
[๓๑๑] [๓๑๒] [๓๑๓] [๓๑๔] [๓๑๕] [๓๑๖] [๓๑๗]