ึคุณบุศรินทร์ เนียมนิยม เดิมเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ย้ายไปอยู่จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันทำงานอยู่บริษัท โพลีเมอร์รับเบอร์ ครั้งแรกที่รู้จักวัดพระธรรมกาย เพราะเคยเห็นจาก ปฏิทิน บนโต๊ะอาจารย์ในห้องเรียน สมัยยังเรียนหนังสือปี พ.ศ. ๒๕๒๕ แต่ตอนนั้นยังไม่ทราบว่า เป็นวัดอะไร พอปี พ.ศ. ๒๕๒๗ น้องสาวคือ คุณบุศกร เนียมนิยม ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ ของวัดพระธรรมกาย ได้ส่งหนังสือมาให้อ่าน ชื่อ หนังสือ "เดินไปสู่ความสุข" เมื่ออ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจ และใฝ่ฝันที่จะมาวัดพระธรรมกาย พอได้มาเข้าวัด และได้ ศึกษาธรรมะจากครูบาอาจารย์ จนเข้าใจถึงหลักการนั่งสมาธิ จึงประพฤติปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด
ทุกวันจะนั่งธรรมะ เช้า-เย็น ช่วงเช้าจะนั่งได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ส่วนตอนเย็นถ้ามีเวลาคุณบุศรินทร์ก็จะสวดมนต์ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิและสวดสรรเสริญ แต่ถ้าวันใดอ่อนเพลีย มากๆ รู้สึกว่า ร่างกายไม่ไหวจริงๆ ก็จะตรึกธรรมะ เปิดเทปสรรเสริญ และหลับไป เพราะคุณบุศรินทร์มีโรคประจำตัวคือ ไวรัสบี จะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าคนปกติ
คุณบุศรินทร์หมั่นสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ ในช่วงทำงานไปด้วย และจะสวดในใจเมื่อนึกได้ทุกครั้งไป หมั่นตรึกระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอยู่เสมอๆ
คุณบุศรินทร์กล่าวถึงการร่วมบุญสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัว ด้วยความปีติอย่างยิ่งว่ามีทั้งหมด ๘ องค์ คือองค์พระประจำตัวบนโดม องค์พระประจำตัว บริเวณเชิงลาด สร้างบูชาธรรมคุณยายอาจารย์ สร้างให้คุณแม่และตัวเอง
คุณบุศรินทร์ได้เล่าถึงอานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ ที่ช่วยคุ้มครองชีวิตลูกชายของนายจ้าง ที่รอดตายเป็นอัศจรรย์
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๒ ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง ตอนช่วงพักเที่ยง หลังจากรับประทานอาหาร กลางวันเสร็จแล้ว ตอนนั้นน้องน๊อต (เด็กชายรัตติชัย สร้อยสุดา อายุ ๑๑ ขวบ) กำลังวิ่งขึ้นบันไดประมาณขั้นที่ ๒-๓ และกระโดดขี่หลังเพื่อนคนหนึ่ง ในขณะเดียวกัน นั้นก็มีเด็กนักเรียนรุ่นๆ เดียวกัน วิ่งสวนมาชนเพื่อนน้องน๊อต อย่างจัง ทำให้น้องน๊อตซึ่งยังไม่ทันได้ระวังตัว ล้มหงายหลังศีรษะกระแทกขั้นบันไดอย่างแรง อาจารย์และเจ้าหน้าที่รีบวิ่งมาดู และพาน้องน๊อตไปนอนพักห้องพยาบาล
ในตอนเย็นวันนั้น คุณบุศรินทร์พักอยู่ที่บริษัท ซึ่งเป็นบ้านของคุณพ่อ คุณแม่น้องน๊อต เจอน้องน๊อตขณะที่ลงจากรถโรงเรียนเดินด้วยอาการ สะลึม สะลือคล้ายๆ คนง่วงนอน เดินได้สัก ๓-๔ ก้าวก็อาเจียนออกมา
คุณบุศรินทร์ ตกใจคิดว่า น้องน๊อตต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน จึงรีบวิ่งไปดูแล้วถามว่า "น้องน๊อตเป็นอะไรครับ" เขาตอบว่า พี่ปุ๋ม ไม่ไหวแล้วน๊อตปวดหัว อยากนอน
ปกติคุณบุศรินทร์จะชอบลูบศีรษะน้องน๊อตด้วยความเอ็นดู จึงตรงเข้าไปลูบศรีษะน้องน๊อตและรู้สึกมีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น จึงถามว่า เอ๊ะ... ทำไมน้องน๊อตหัวเป็นอะไร
พอจับๆ ดูช่วงท้ายทอยก็ถามว่า เกิดอะไรขึ้น น้องน๊อตจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง คุณบุศรินทร์คลำดูรู้สึกใจหายวาบ เพราะเหมือนกับมีถุงน้ำอยู่ โดยมีน้ำกลิ้งอยู่ข้างใน สันนิษฐานว่า อาจมีเลือดคั่งในสมอง รีบบอกพี่เลี้ยง ให้โทรศัพท์ถึงคุณพ่อน้องน๊อตทันที เพื่อนำไปส่งโรงพยาบาล แต่ตอนนั้น ยังไม่กล้าบอกใครถึงอาการน้องน๊อต และคิดว่า น้องคงไม่เป็นอะไร มาก เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแห่งแรก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใกล้ๆ บ้าน
พอเอ็กซเรย์ปรากฏว่า เยื่อกะโหลกแยกออกจากกัน เลือดไหลออกมาคั่งอยู่บริเวณสมอง ซึ่งหมอลงความเห็นว่า ต้องผ่าตัดแน่นอน แต่ทางโรงพยาบาล ไม่มีเครื่องมือเพียงพอ สำหรับผ่าตัดสมอง จะต้องส่งไปยังโรงพยาบาล ที่ทันสมัยกว่า
พอไปถึงโรงพยาบาลแห่งที่สอง คุณหมอได้เอ็กซเรย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เพื่อตรวจดูอย่างละเอียด แล้วบอกว่า กะโหลกตรงท้ายทอย (โหนกด้านซ้าย) มีรอยแยก เป็น รอยร้าวแนวนอน มีเลือดคั่งอยู่ประมาณ ๕ ซีซี แต่น้องน๊อตทานยาแก้ปวดไปก่อนแล้ว คุณหมอจึงยังทำอะไรไม่ได้ ต้องรอดูอาการก่อน
คุณพ่อน้องน๊อตคอยเฝ้าดูอาการด้วยความเป็นห่วง ประมาณ ๒ ทุ่ม เห็นอาการลูกชายเริ่มหนักขึ้น มีอาการง่วงซึมลงทุกขณะ ไม่ยอมทานอะไร มีอาการเบลอๆ จึงอยู่เฝ้าดูอาการ ตลอดเวลาไม่กลับบ้าน ส่วนคุณแม่นั้นรับภาระดูแลลูกๆ อยู่ที่บ้าน ประมาณเที่ยงคืน เลือดที่คั่งในสมองสูงถึง ๗ ซีซี หมอแจ้งว่าต้องผ่าตัดด่วน คุณพ่อจึงได้แจ้งให้ทางบ้านทราบ
คืนนั้นคุณบุศรินทร์ไหว้พระสวดมนต์และนั่งสมาธิเข้านอนไปแล้ว ประมาณเที่ยงคืน คุณแม่น้องน๊อตโทรมาพูดกับคุณบุศรินทร์ ด้วยความเป็นห่วงลูกชายว่า มอบอกว่า ต้องผ่า สถานเดียว ถ้าผ่าแล้วไม่รับรอง ๑๐๐% ว่าจะหายเป็นปกติเหมือนเดิมหรือเปล่า ซึ่งบางรายคุณหมอบอกว่า อาจเป็นเจ้าชายนิทรา หรือปัญญาอ่อนไปเลย คุณแม่น้องน๊อต รู้สึก กังวลใจ สงสารลูก แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
สักพักคุณแม่ของน้องน๊อตตัดสินใจมาหาคุณบุศรินทร์ และเคาะประตูเรียกคุณบุศรินทร์ว่า บุ๋ม ช่วยนั่งสมาธิให้น้องด้วยนะ
คุณแม่น้องน๊อตบอกว่า ฝากความหวังทั้งหมดที่คุณบุศรินทร์ เพราะ เห็นว่าคุณบุศรินทร์นั่งสมาธิ และแผ่เมตตาเป็นประจำ ซึ่งตอนนั้น คุณบุศรินทร์คิดหนัก ไม่รู้ว่า จะช่วยได้ ขนาดไหน เพราะตนเองนั่งได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยความรักและเมตตาในตัวน้องน๊อต และประกอบกับคุณแม่ ซึ่งขอร้องให้ช่วยถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา ก่อนเดินจากไป คุณบุศรินทร์จึงรับคำ พอรับปากเสร็จก็รีบปูอาสนะ กราบบูชาคุณพระรัตนตรัยและสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ
ภายใน ๑๕ นาทีแรก คุณบุศรินทร์ไม่สามารถกำหนดใจให้นิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายได้ เพราะความง่วงและเพลีย เริ่มรู้สึกห่วงและกังวลใจ จึงกราบอาราธนา องค์พระมหาสิริราชธาตุ ที่แขวนอยู่ ซึ่งปกติน้องน๊อตจะชอบมาก เวลาไปปฏิบัติธรรมทุกวันจันทร์ที่ศูนย์อุดมโชติพันธ์ น้องน๊อตจะขอดูและชื่นชมท่านมาก และรู้สึกอยากได้องค์พระมหาสิริราชธาตุ มาไว้ เป็น เจ้าของด้วย
ช่วงจังหวะนั้นใจเริ่มรู้สึกเบาสบาย ใจเริ่มบริสุทธิ์เกิดความปีติ และคิดว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่จิตสงบและมีพลัง คุณบุศรินทร์จึงอธิษฐานจิต ตอกย้ำลงไปในศูนย์กลางกายว่า ขอให้องค์พระมหาสิริราชธาตุที่น้องเคยดูบ่อยๆ ช่วยให้น้องหาย ถ้าผ่าตัดในคืนนี้ขอให้เขาฟื้น ช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย ด้วย
คุณบุศรินทร์ตรึกระลึกนึกถึงบุญบารมีที่ได้ทำมาดีแล้ว ที่สามารถจะระลึกได้ในตอนนั้น และบุญทั้งหมดที่เคยได้ทำมา เพื่อรวมบุญทั้งหมดให้น้องปลอดภัย นั่งสมาธิเป็นชั่วโมง ตั้งแต่เที่ยงคืน ถึงตีหนึ่ง อธิษฐานจิตย้ำลงไปอีกว่า ขอบุญกุศลจากพระมหาสิริราชธาตุ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ช่วยน้องน๊อตให้ผ่าตัดแล้ว กลับมาเป็นปกติ ฟื้นขึ้นมาเป็น อัศจรรย์ทันตาเห็น จนรู้สึกง่วงจึงเข้านอน
ขณะที่คุณบุศรินทร์นอนหลับอยู่ก็รู้สึก เหมือนมีคนมาเรียก น้องน๊อตเขากำลังคอย เราอยู่ ต้องลุกขึ้นมานั่งให้ได้ ซึ่งตอนนั้น คุณบุศรินทร์ลุกไม่ไหว แต่รู้สึกเหมือนมีคนมาดึง ให้ลุก ขึ้น ขณะนั้นเวลาตี ๕ คุณบุศรินทร์จึงรีบนั่งสมาธิทันที ประมาณครึ่งชั่วโมง ใจจึงเริ่มสงบนิ่ง นั่งไปเรื่อยๆ นึกถึงองค์พระมหาสิริราชธาตุ จนรู้สึกเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ท่าน จึงอธิษฐานจิต ขอให้น้องน๊อตหาย ให้มีกำลังใจนึกถึงพระ และนึกคำว่า "สัมมา อะระหัง" ให้ก้องอยู่ในหัวใจให้ได้ ในขณะที่ผ่าตัด
พอ ๖ โมงเช้าของวันที่ ๑๐ กรกฎาคม คุณบุศรินทร์ลงมาจากห้อง เห็นคุณแม่น้องน๊อต ซึ่งเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล กำลังจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย คุณบุศรินทร์ถามว่า ห้องผ่าตัดตอนตี ๕ ใช่ไหม คุณแม่ตอบว่า ใช่ รู้ได้ยังไง คุณบุศรินทร์จึงเล่าให้ฟังว่า มีคนมาปลุกให้ลุกขึ้นนั่งสมาธิ คุณแม่น้องน๊อตน้ำตาไหล บอกว่า เธอไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว และยังบอกว่า ช่วงเวลาเดียวกันตอนตี ๕ ก็ได้โทรไปปรึกษาคุณมาลี จุลจิราภรณ์ ซึ่งเป็นคุณน้าของน้องน๊อต และเข้าวัดพระธรรมกายมาก่อน ให้นั่งสมาธิในช่วงนั้นด้วย
คุณบุศรินทร์มั่นใจเลยว่า ช่วงเวลาเดียวกันที่ทั้งสองคนนั่งสมาธิ ทำให้สามารถสื่อถึงกันได้ และทำให้เกิดพลัง ซึ่งเชื่อว่า น้องน๊อตต้องหายเป็นปกติแน่นอน
คุณบุศรินทร์จึงรีบไปทำงาน แต่ก็ไม่ลืมที่จะนั่งสมาธิต่อให้น้องอีกครึ่งชั่วโมง อธิษฐานจิตตอกย้ำไปเรื่อยๆ ขอให้น้องน๊อตหาย ขอให้ฟื้นเร็วที่สุด วันนี้ได้ยิ่งดีที่สุด
ช่วงแปดโมง เช้าอยู่ที่ทำงานคุณ บุศรินทร์ตรึกองค์พระไว้ที่ศูนย์กลางกาย และเรียกชื่อน้องน๊อต พยายามเรียกชื่อน้องน๊อตอยู่ตลอดเวลา ให้เขานึกถึงองค์พระ และในวันนั้น คุณบุศรินทร์รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทราบข่าวว่า น้องน๊อตเริ่มรู้สึกตัว และเพ้อออกมาคำหนึ่งว่า อาม้า แต่คุณพ่อบอกว่า คุณแม่ยังไม่มา น้องน๊อตจึงหลับต่อ ส่วนคุณ บุศรินทร์ ยังไม่ไว้ใจสถานการณ์ ตอนเที่ยงจึงยังไม่ไปทานข้าว นั่งสมาธิต่ออีกครึ่งชั่วโมง อธิษฐานจิต ขอให้น้องน๊อตฟื้นตื่นขึ้นมา ขอให้น้องน๊อตเข้มแข็ง ตอนนั้นน้องน๊อต ยังอยู่ที่ ห้องไอซียู
พอตกเย็น ประมาณ ๔-๕ โมงเย็น คุณแม่กลับมาที่บ้านเจอคุณมาลีพอดี จึงปรึกษาคุณบุศรินทร์ด้วยว่า ทำอย่างไรจะให้หลานหายเป็นอัศจรรย์ คุณบุศรินทร์จึงแนะนำว่า ควรเติมบุญให้ โดยการสร้างองค์พระธรรมกาย ประจำตัวให้เขา คุณมาลีจึงตัดสินใจทันที เขียนชื่อ นามสกุล ของน้องน๊อตลงในใบปวารณา ติดรูปภาพด้วย ตั้งใจจะถวายให้ หลวงพ่อ และเล่าเรื่องให้ท่านรับทราบเวลาทุ่มครึ่ง แต่พอดีช่วงนั้น หลวงพ่อท่านติดสมณกิจ จึงกราบเรียนท่านทางโทรศัพท์ เล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านย้ำว่า ให้คุณพ่อ คุณแม่นั่งธรรมะ และตรึกระลึกถึงบุญ มีบุญใหญ่ๆ อะไรบ้าง ให้นั่งให้น้องน๊อต
พอออกจากวัดคุณมาลีรีบโทรศัพท์ไปบอกคุณแม่น้องน๊อตว่า ได้ทำบุญองค์พระให้น้องน๊อตแล้ว และคุณแม่พูดด้วยเสียงตื่นเต้นดีใจว่า คุณหมออนุญาตให้ออกจาก ห้องไอซียู ได้แล้ว คุณบุศรินทร์แทบไม่เชื่อเลยว่า ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง น้องน๊อตสามารถออกมาอยู่ที่ห้องธรรมดาได้ ตอนนั้นเวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่คุณน้า และคุณบุศรินทร์เข้ามากราบหลวงพ่อ และถวายองค์พระ น้องน๊อตผ่าตัดสมองเย็บถึง ๓๗ เข็ม หมอให้พักอยู่โรงพยาบาล ๗ วัน ก็อนุญาตให้กลับบ้านได้
น้องน๊อตกลับมาพักฟื้นที่บ้านอีก ๒ อาทิตย์ และเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ทางครอบครัวของน้องน๊อต ได้เป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเลี้ยงพระ ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคน ปีติ เบิกบานในบุญมาก แต่น่าเสียดายที่น้องน๊อตมาไม่ได้ เพราะต้องไปเรียนหนังสือตามเพื่อนๆ ให้ทัน
ปัจจุบันน้องน๊อตได้รับพระของขวัญพระมหาสิริราชธาตุ และ อาราธนาท่านคล้องคอตลอดเวลา คุณบุศรินทร์ได้แนะนำการนั่งสมาธิเบื้องต้น เพื่อให้น้องตรึกระลึกถึงคุณของ พระรัตนตรัยอยู่เสมอมิให้ขาด น้องน๊อตดีใจและปลื้มใจมาก ที่ได้รับพระของขวัญ พอเจอหน้าคุณบุศรินทร์ก็จะชูให้ดู พร้อมกับพูดว่า น๊อตมีแล้วนะ พูดแล้วก็ชื่นชมองค์พระ ท่านมาก ดูจากแววตาและน้ำเสียงที่สดใสบริสุทธิ์
ในท้ายบทสวดมนต์ของศาสนาเรา มีบทสวดอยู่บทหนึ่ง มีไว้เตือนสติตนเองให้พิจารณาเนืองๆ ถึงความจริงอยู่ ๕ ประการ เป็นสิ่งที่เราต้องพบ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และทำกรรมใดไว้ต้องรับผลของกรรมนั้น
ความจริงทั้ง ๕ อย่างนี้ ไม่จำกัดว่า จะต้องเกิดกับเราเมื่อนั่นเมื่อนี่ อายุเท่านั้น เท่านี้จึงเกิดอันที่จริงเกิดอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราไม่ได้ให้ความสนใจจริงจัง เนื่องจากบางเรื่อง มองเห็นไม่ชัดเจน เราไปสนใจตื่นเต้นตกใจกัน เฉพาะเรื่องที่เด่นๆ ปรากฏชัด ซึ่งนี่เองเป็นสาเหตุให้ใช้ชีวิตกันอย่างประมาท
ความเจ็บป่วย ก็ทำนองเดียวกัน เราจะไม่สบายอยู่ตลอดเวลา อยู่ในอิริยาบถใดเพียงอย่างเดียวนานนาน ย่อมเมื่อยขบ ต้องคอยเปลี่ยนอิริยาบถ เดี๋ยวร้อนไปเย็นไป ต้องแก้ไขให้ ตนเอง หิวก็ไม่สบาย อิ่มก็ไม่สบาย ยังต้องถ่ายหนักถ่ายเบาให้วุ่นวาย ขืนกลั้นไว้ไม่ยอมปล่อยออกมา ย่อมแทบขาดใจตาย เหล่านี้ผู้คนมักลืมนึกถึง ต้องคอยเวลาจนเจ็บป่วยชัดเจน เลือดตกยางออก เป็นไข้ หรือพิการเจ็บปวด จึงยอมเรียกว่า ป่วย
ความตายก็เช่นกัน ต้องรอจนหมดลมหายใจจึงเรียกว่าตาย ความจริงเซลล์ต่างๆ ในร่างกายของเราตายอยู่ตลอดเวลา
ความพลัดพรากจากของที่รักก็เกิดอยู่เป็นประจำ เช่นเรารักความสะอาด แต่ร่างกายของเราจะสั่งสมแต่ความสกปรก ต้องคอยหมั่นรักษา สารพัดจะต้องหาอุปกรณ์มาใช้กำจัด เรารักสวยรักงาม ร่างกายกลับมีแต่เสื่อมโทรม นี่เป็นของรักในตัว ส่วนของรักนอกตัวมีอีกมากมาย ที่ต้องพลัดพรากกันอยู่เป็นประจำ เพียงแต่สิ่งใดพอทนได้ ก็นึกไม่ถึง ไปคอยรู้สึก เอาตอนพลัดพรากจากของรักที่สำคัญๆ จึงเป็นทุกข์หนักหนาสาหัส
เพราะไม่เข้าใจความจริงของชีวิต คนส่วนใหญ่จึงประมาท ไม่สะสมสร้างคุณงามความดี สร้างบุญกุศลไว้ให้ตลอดเวลา คอยผัดวันประกันพรุ่ง จะทำทานสักครั้ง ก็จะขอทำ ตอนรวย เสียก่อน จะเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็จะขอเอาไว้ตอนอายุมากๆ เลิกประกอบอาชีพการงานแล้ว กว่าจะรวย อาจจะตายไปแล้ว (เพิ่งได้เงินประกัน) รอจนแก่ก็หมดเรี่ยวแรง ฟังเทศน์หลับตั้งแต่ต้นจนจบ จะได้ประโยชน์อะไร
ดังนั้นคนฉลาด คนเข้าใจความจริงของชีวิต อย่างคุณบุศรินทร์ หรืออย่างคุณมาลี น้าของหนูน๊อตจึงพยายามสั่งสมบุญกุศลเรื่อยมา นานกว่าสิบปี นอกจากบุญที่กระทำไว้ จะใช้เป็นที่พึ่งให้ตนเองเป็นอย่างดีแล้ว ยามคับขันอย่างกรณีเรื่องที่เล่า นายจ้างยังต้องอาศัยพึ่ง
นี่ถ้าผู้เป็นนายจ้างเข้าใจหลักความจริงของชีวิตเสียบ้าง ได้พยายามสร้างบุญกุศลต่อเนื่อง ยาวนานมาเหมือนลูกจ้าง ก็จะมีบุญเป็นที่พึ่งให้ตนเองเต็มเปี่ยม
ถึงอย่างไรก็ยังนับว่า โชคดีที่ไม่ดื้อรั้น เมื่อสิ้นหนทาง ได้นึกถึงบุญกุศลของผู้อื่นก็ยังดี พอได้มีโอกาสสร้างบุญเพิ่มเติม ให้คนป่วยทันเวลา บุญพอมีอำนาจตัดรอน ผ่อนหนักเป็นเบา หายป่วยเป็นอัศจรรย์
ถ้าคุณบุศรินทร์ไม่ได้สร้างบุญกุศลไว้ เทวดา ที่ไหนจะสามารถช่วยเหลือได้ในยามคับขัน ถึงกับปลุกให้ตื่น เพื่อทำสมาธิจิต เอาพลังบุญช่วยคนป่วย อย่างไรก็ดี ขอทุกคนอย่า หวังพึ่งบุญผู้อื่น ขอให้พึ่งบุญตนเองเป็นดีที่สุด