ถ้าอายตนะ
๖ เป็นไฟไปหมดแล้ว ตนตัวคนเราทั้งหมดก็เป็นเชื้อที่ให้ไฟไหม้ไปหมดแล้วแต่นาน
หรือไม่ก็เป็นนรกตลอดกาลเท่านั้นเอง ที่ว่าเป็นของร้อนเพราะมันมีเชื้อไฟสามอย่างดังอธิบายมาแล้วอยู่ในนั้น
หรือไม่ก็มีอยู่ในอายตนะภายนอกทั้ง ๖ มีรูปเป็นต้น เปรียบเหมือนไม้แห้งสองอันเอามาสีกันเข้า
ต่างก็มีเชื้อไฟอยู่ในตัวของแต่ละอันอยู่แล้ว เมื่อเอามาสีกันเข้าจึงจะเกิดไฟขึ้นมาฉะนั้น
ถ้าไม่เอามาสีกันถึงจะมีเชื้อไฟอยู่ในตัว ไฟนั้นก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้
ฉะนั้น
พระพุทธองค์จึงสอนให้ระวังสังวรเมื่อตาเห็นรูปเป็นต้น ก็อย่าให้กระทบแรง
ได้แก่ให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่า ตาก็มีเชื้อไฟอยู่ในตัว รูปก็มีเชื้อไฟอยู่ในตัว
แล้วก็ให้ระวังใจว่าราคะก็เกิดขึ้นที่ใจนี้ โทสะก็เกิดที่ใจนี้ โมหะก็เกิดที่ใจนี้
ทั้งสามอย่างนี้มันล้วนแต่เป็นของร้อนทั้งนั้น คนรู้จักของร้อนแลเคยได้ประสบความร้อนมาด้วยตนเองก่อนแล้ว
เมื่อมีผู้รู้เรื่องนั้นดีกว่า ฉลาดกว่า มาแสดงโทษให้ฟัง เขาก็จะเข้าใจได้ดีแลได้ความรู้ฉลาดเพิ่มขึ้น
หากเขาผู้นั้นไม่รู้จักความร้อนแลโทษของความร้อน หรือไม่เคยได้ประสบความร้อนมาด้วยตนเองก่อนแล้ว
ท่านผู้รู้ทั้งหลายก็ไม่ทราบว่าจะสอนให้เขาเข้าใจได้อย่างไร ท่านอุปมาความร้อนของไฟสามกองไว้ว่า
"ราคะมีความร้อนเหมือนกับน้ำร้อน"
น้ำปกติเป็นของเย็น
คนที่ถูกความร้อนแผดเผาย่อมระลึกถึงน้ำ หรืออาบน้ำไม่ก็ดื่มเพื่อระงับความร้อนกระวนกระวายเสีย
แต่เมื่อน้ำมากลายเป็นของร้อนไปจึงยากที่บุคคลผู้จะรู้ได้ ตราบใดความร้อนของน้ำยังไม่สัมผัสกับตัวด้วยตนเอง
ก็ยังไม่รู้โทษของความร้อนของน้ำอยู่ตราบนั้น
ความใคร่ความพอในยินดีในกามคุณห้า
ย่อมเป็นที่พอใจแลปรารถนาของผู้ยังมีความหิวอยู่ เหมือนกับผู้ถูกความร้อนแล้วรู้สึกแลหิวกระหายน้ำฉะนั้น
เมื่อดื่มน้ำเข้าไป ความร้อนหรือความหิวกระหายนั้นก็ระงับไป แล้วความหิวกระหายอื่นก็เกิดขึ้นมาแทน
มิฉะนั้นเปรียบเหมือนอสรพิษกัด แล้วมียาดีๆ มาใส่ให้หายพิษได้ทันที
แต่แล้วก็กัดอีกอยู่อย่างนั้นร่ำไป แต่ท่านผู้หมดความหิวแล้วย่อมไม่มีความอยากกรหาย
แม้แต่ไฟคือราคะความกำหนัดรักใคร่ ก็ไม่เข้าไปย้อมใจของท่านให้ชุ่มได้
ฉะนั้น ท่านจึงไม่มีความหิวแลความอยากแล้ว อายตนะทั้งหลายของท่านจะเป็นเหตุให้เกิดไฟคือราคะได้อย่างไร
โทสะ
มีความร้อนเปรียบเหมือนไฟไหม้ป่า ธรรมดาไฟป่าเมื่อเผาตนเองแล้ว ก็ย่อมลุกลามไหม้สิ่งที่อยู่รอบๆ
ไฟไม่เหลือ แม้ที่สุดของแห้งแลของสด จะเป็นของสะอาดหรือโสโครกก็ตาม
ไฟย่อมไหม้หมดโดยไม่เลือก ไฟคือโทสะนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมันติดลุกเกิดขึ้นในใจของผู้ใดแล้ว
ย่อมเผากายใจของตนเองให้เดือดร้อนกระวนกระวาย แล้วเผาคนอื่นให้เดือดร้อนตามๆ
กันไป คนผู้ดีมีจนมีคุณไม่มีคุณแม้แต่บิดามารดาผู้เกิดเกล้า ไฟคือโทษ
ย่อมเผาไม่เลือก ไม่ว่าไฟป่าหรือไฟบ้านเมื่อมันลุกลามขึ้นมาแล้ว ใครๆ
เห็นเข้าย่อมกลัวทั้งนั้น
กิ้งก่ากิ้งกือตักแตนแมลงต่างเห็นเข้าแล้ว
ต่างก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อเอาตนรอดทั้งนั้น มนุษย์ได้สามัญญนามว่าเป็นผู้มีปัญญา
มีใจสูงแต่ก็อดที่จะเอาไฟคือโทสะมาเผากายใจของตนเองไม่ได้ นามบัญญัติที่ว่านั้นมันมีความหมายอะไรอยู่ที่ตรงไหนกันแน่
หรือว่ามันเป็นเพียงมนุษย์ปลอมๆ เปล่าๆ เท่านั้นหรือ
โมหะ
มีความร้อนเปรียบเหมือนกับไฟไหม้แกลบ ไฟแกลบใครๆ ก็ทราบอยู่แล้วว่ามันมีเถ้าปกคลุมอยู่ข้างบน
แต่ข้างใต้มันร้อนระอุไม่แพ้ไฟอื่นเลย นานๆ ถ้ามีผู้ไปเขี่ยเถ้าของมัน
จึงจะแสดงประกายให้ปรากฏออกมา ครั้นแล้วก็ค่อยเศร้าๆ สงบลงไปร้อนกรุ่นอยู่ภายในตามเดิม
โมหะจริตก็เช่นนั้นเหมือนกัน อารมณ์อันใดเกิดขึ้นในจิตจะร้อนแสนก็ไม่ค่อยจะแสดงอาการออกมาภายนอก
แต่มิใช่เพราะความรู้เท่าเข้าใจในอารมณ์นั้นๆ ตามเป็นจริงแล้วปล่อยวางได้
ความร้อนมีอยู่แต่ไม่ทราบว่าจะแก้ไขความร้อนนั้นด้วยอุบายใด มันมีแต่ความร้อนกับตันตื้อไปหมด
ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนมันทำให้มึนงงไปทั้งนั้น หรือที่เรียกว่ามืดแปดด้าน
ไม่มองเห็นช่องสว่างเอาเสียเลย
เรื่องนี้พูดไม่ถูกถ้าใครได้ประสบการณ์ด้วยตนเองแล้วจึงจะรู้ชัดยิ่งกว่าคนอื่นเล่าให้ฟัง
นี่พูดถึงลักษณะของไฟคือโมหะ แต่ลักษณะของโมหะแท้ท่านแสดงไว้ในที่ต่างๆ
ว่า ไม่รู้ในอริยสัจสี่ ไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต
แลไม่รู้ปัจจุบัน หรือไม่รู้ในทั้งหมด ที่กล่าวมาแล้วนั้นด้วยไม่รู้ทั้งที่จะทำให้หมดกิเลสสิ้นทุกข์ทั้งปวงด้วย
เรียกว่าโมหะ ความจริงโมหะนี้มิใช่ไม่รู้อะไรทั้งหมด โดยเฉพาะความร้อน
โมหะก็ยังรู้ว่าร้อนอยู่ แลเหตุให้เกิดความร้อนก็รู้อยู่เหมือนกัน
แต่ไม่ยอมละเหตุนั้น เรียกว่ารู้แล้วแต่ไม่ยอมละ รู้แล้วยิ่งเกิดมานะเพิ่มกิเลสขึ้นมาอีก
ความจริง โมหะนี้ย่อมมีแก่สามัญญชนทั่วไปตลอดตั้งแต่พระเสขบุคคลก็ยังมีโมหะเหลืออยู่
ต่างแต่ว่าใครจะมีมากมีน้อยกว่ากันเท่านั้น ใครมีความร้อนแลทุกข์ก็มาก
ใครมีน้อยความร้อนแลทุกข์ก็มีน้อย
อายตนะเป็นบ่อเกิดของอารมณ์ทั้งดีแลไม่ดี
ใจเป็นผู้รับอารมณ์ ถ้าดีก็ชอบใจติดใจ ถ้าไม่มีก็ไม่ชอบใจเสียใจ วิสัยของปุถุชนย่อมเป็นอยู่อย่างนี้
ผู้เห็นโทษของอารมณ์ว่าเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ดังนี้แล้ว ย่อมตั้งสติระวังสังวรในอายตนะนั้นๆ
โดยยึดอุดมคติว่า "อารมณ์ที่เข้ามาทางอายตนะทั้ง ๖ เป็นเครื่องทำลายความสุขสงบของจิตอย่างยิ่งแล้ว
ก็ตั้งสติระวังสังวรในอายตนะนั้นๆ ต่อไป
เพื่อความเกษมสุขอันปราศจากอามิส
นี้เป็นทางเอกทางเดียวเท่านั้นที่จะนำผู้ประพฤติปฏิบัติตามให้ถึงนิรามิสสุข"
นอกนี้แล้วไม่มีหวัง สมดังพระพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงสอนพระภิกษุ
๕ รูปที่ต่างก็พากันระวังสังวรในทวารทั้ง ๕ มีตาเป็นต้น แล้วเห็นอำนาจประโยชน์ว่าที่ตนทำนั้นถูกต้องดีแล้ว
แลนำความสุขมาให้สมดังประสงค์ โดยสรุปใจความได้ว่า "ภิกษุผู้สำรวมในแต่ละทวาร
ย่อมยังคุณประโยชน์ให้สำเร็จได้ทั้งนั้น ภิกษุผู้สำรวมแล้วในทวารทั้งปวง
ย่อมพ้นทุกข์ได้" ดังนี้ฯ
เนื่องจากไฟสามกองอันเป็นข้าศึกเกิดติดอยู่กับตัวตลอดกาล
จึงเป็นของลำบาทยากที่จะไม่ให้ไฟนั้นร้อนถึงตัวได้ ผู้ที่คุ้มกันไฟอันติดอยู่กับตัวแต่ไม่ให้ร้อนถึงตัวได้จึงนับว่าเป็นบุคคลน่าอัศจรรย์อย่างเยี่ยม
เราท่านทั้งหลายโดยเฉพาะผู้ที่ออกบวชแล้วหรือผู้ที่เห็นโทษในกามทั้งหลายโดยได้นามสมัญญาว่า
เนกฺขมฺม ขอได้ติดตามยุทธวิธี ซึ่งจะได้อธิบายต่อไปนี้ดูว่า เมื่อทำตามแล้วจะได้คุณประโยชน์สมจริงหรือไม่
โดยยึดเอาอุดมคติดังกล่าวแล้วข้างต้นเป็นที่ตั้ง ทั้งผู้ที่ออกบวชแล้วแลไม่ออกบวช
หากยังไม่เห็นโทษในกามคุณห้าอยู่แล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปต่อสู้กับใครเพื่อประโยชน์อันใด
เพราะไฟสามกองดังกล่าวแล้วย่อมเกิดขึ้น ณ ที่อายตนะ ๖ อันมีอยู่ในตัวของเราท่านทุกคนนี้เอง
ผู้ไม่เคยทำจิตของตนให้สงบก็จะทราบว่าความสุขเกิดจากความสงบได้อย่างไร
จึงเป็นที่น่าเสียดายมาก จะเห็นได้แต่ความเพลิดเพลินของจิตอันหลงระเริงสนุกเฮฮาไปตามอารมณ์ที่ตนชอบใจเท่านั้น
ว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง เหมือนกับปลาผู้ไม่รู้เรื่องความสนุกสนานที่มีอยู่ในป่าเถื่อนดงดอนอันเต่าผู้เป็นสหายเห็นแล้วนำมาเล่าสู่ฟัง
ฉะนั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีฉันทะความพอใจในอันที่จะระวังสังวรในอายตนะ
๖ ต่อไป ผู้ที่ได้ฝึกฝนอบรมจิตให้เข้าถึงความสุขสงบอันปราศจากอามิสได้แล้ว
ย่อมเห็นภัยในอารมณ์ที่เกิดจากอายตนะเหมือนข้าศึกที่น่ากลัวฉะนั้น
ชั้นสูงจากสวรรค์ลงมา
ต่ำแต่นรกขึ้นมา เป็นภูมิที่อยู่ของกามาพจรสัตว์ผู้ล่องลอยอยู่ในกามคุณห้า
มนุษย์เกิดมาด้วยอำนาจวิบากของกามาพจรกุศล จึงต้องวนวุ่นอยู่กับกลิ่น
คือกามารมณ์ อายตนะทั้ง ๖ จึงทำหน้าที่รับเอาอารมณ์ขนาดหนักอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้จะเห็นโทษว่าเป็นของวุ่นวายนำมาซึ่งความเดือดร้อน แต่ก็จำต้องรับวิบากไปตามกาล
เพราะได้ตกอยู่ในห้วงของกรรมแล้ว ผู้เห็นโทษเท่านั้นจึงคิดที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะมันได้
แล้วดำเนินตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า
"ให้ตั้งสติระวังอย่าให้หลงใหลไปตามกระแสของอารมณ์ทั้ง
๖ เพราะทวารทั้ง ๖ นี้จำต้องใช้มันอยู่ตลอดเวลา"
ตาเห็นรูปก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกามาพจรกุศล
รูปที่ตาเห็นก็เป็นวัตถุที่อยู่ในกามภูมิ ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกามาพจรกุศล
ใจผู้รับรู้รับเห็นอารมณ์ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกามาพจรกุศล ฉะนั้น
อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากสัมผัสของสองอย่างนั้นจึงต้องเป็นกามาพจรสืบไปด้วย
คือมียินดียินร้าย ชอบใจแลไม่ชอบใจแล้วแต่ไฟสามกองคือ
ราคะความรักใคร่ชอบใจ
โทสะความไม่พอใจขึ้งโกรธ
ความคับแค้นแน่นอุรา
โมหะความลุ่มหลงมัวเมาเข้าใจผิด
ติดในอารมณ์นั้นๆ แล้วเข้าไปยึดถือเอามาเป็นตนเป็นของตน ก็เข้ามารุมเผากายใจของตนให้เร่าร้อนเป็นทุกข์
หูแลเสียง จมูกแลกลิ่น ลิ้นแลรส กายแลสัมผัส
ใจแลธรรมารมณ์
ทั้ง ๕ นี้ก็มีอาการเช่นเดียวกัน แล้วบางที่ก็ต้องใช้พร้อมๆ กันทั้ง
๖ ทวารก็มี บางที่ก็ต้องเพียง ๒-๓-๔-๕ บ้าง สุดแล้วแต่กรณี ตลอด ๒๔
ชั่วโมง หากตนคนนั้นมีอายุ ๕๐-๖๐-๗๐ ขึ้นไปละ ลองคิดดูว่าความเร่าร้อนเป็นทุกข์ของเขานั้นจะมีมากน้อยสักเท่าไร
บางคนอาจสงสัยว่า อายตนะนี้นอนหลับแล้วไม่ต้องใช้ ขอเฉลยไว้ ณ ที่นี้เลยว่าต้องใช้
คือ "มโนทวาร" คือใจ มีอายตนะครบถ้วนอยู่แล้วเรียกว่า "อายตนะภายใน"
มันทำงานอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน กายพักผ่อนนอนหลับแล้ว ใจไม่หลับที่เราเรียกกันว่าฝัน
แล้วในฝันนั้น มันมีขันธ์ ๕ อายตนะคนบริบูรณ์เลย แต่ที่ไม่ฝันนั่นเป็นเพราะสัญญานามธรรมไม่ร่วมทำงานด้วย
แท้ที่จริงใจนี้ไม่มีการพักผ่อนหลับนอนเลย
ใจจะพักทำงานได้ก็ต่อเมื่อใจได้อบรมกรรมฐานโดยถูกต้อง
แล้วเข้าถึงฌาน (คือภวังค์จิต) ถ้าจะพูดให้ชัด ภวังค์จิต ก็ยังไม่ชื่อว่า
"จิตพักโดยสมบูรณ์ ต้องเข้าถึงนิโรธสมาบัติ ดับความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด
แม้แต่ลมหายใจก็ไม่ปรากฏ"
เพราะภวังค์เป็นแต่หยุดงานอันเกี่ยวข้องด้วยอารมณ์หรืออายตนะภายนอกเท่านั้น
ส่วนอายตนะภายในใจซึ่งเกิดกับดับพร้อมอยู่ ณ ที่ใจโดยเฉพาะแล้วหาได้หยุดไม่
ยังคงทำงานอยู่ตามเดิม แต่มันเป็นงานอันละเอียดเฉพาะส่วนตัว
ถ้าจะเปรียบแล้วเหมือนกับเราหยุดรับงานอื่นๆ
มีงานรับแขกเป็นต้น แล้วเข้าห้องเขียนหนังสือเป็นต้น ฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้ระวังสังวรในอายตนะทั้งหลาย
จึงต้องได้รับความเดือดร้อนเป็นทุกข์มาก เพราะอารมณ์มากแลมีทั้งดีทั้งชั้ว
ผู้มาพิจารณาเห็นโทษแล้ว จึงต้องระวังสังวรในอายตนะทั้งหลาย เพื่อมิให้ใจหลงใหลไปในอารมณ์ต่างๆ
|