หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I

 

 

คู่มือมนุษย์

 

"พุทธทาส อินฺทปัญฺโญ"

 

พุทธศาสนามุ่งชี้อะไรเป็นอะไร

คำว่า "ศาสนา" มีความหมายกว้างขวางกว่า "ศีลธรรม" ศีลธรรมหมายถึงข้อปฏิบัติเกี่ยวกับประโยชน์สุขในขั้นพื้นฐานทั่วไป ; และมีตรงกันแทบทุกศาสนา, ศาสนาหมายถึงระเบียบปฏิบัติในขั้นสูง ผิดแปลกแตกต่างกันไป เฉพาะศาสนาหนึ่ง ๆ ทีเดียว ศีลธรรม ทำให้เป็นคนดี มีการปฏิบัติไม่เบียดเบียนตน หรือคนอื่น ตามหลักสังคมทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อได้ปฏิบัติครบถ้วนตามนั้นแล้ว คนก็ยังไม่พ้นทุกข์ที่มาจากการเกิดแก่เจ็บตาย ยังไม่พ้นทุกข์จากการเบียดเบียนของกิเลส อำนาจของศีลธรรมได้สิ้นสุดลงเสียก่อน ที่จะกำจัดโลภะ โทสะ โมหะ ให้สิ้นสุดไปได้ และไม่สามารถกำจัดความทุกข์อันเกิดจาก การ เกิด แก่ เจ็บ ตายได้


ส่วนขอบเขตของศาสนานั้นยังไปไกลต่อไปอีก, โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ย่อมมุ่งหมายโดยตรงที่จะ กำจัดกิเลสโดยสิ้นเชิง หรือดับทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจาก การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้สิ้นไป นี้ชี้ให้เห็นว่า ศาสนากับศีลธรรมนั้นต่างกันอย่างไร, พุทธศาสนาไปได้ไกลกว่าศีลธรรมสากล ของโลกทั่ว ๆ ไปอย่างไร เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว เราจะได้สนใจ พุทธศาสนาโดยเฉพาะ

พุทธศาสนา คือ วิชารวมทั้งระเบียบปฏิบัติ สำหรับจะให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขอให้สนใจในคำจำกัดความนี้ ให้มากเป็นพิเศษ เพื่อประโยชน์ที่จะเข้าใจพุทธศาสนา ได้โดยเร็วและโดยง่าย

ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูว่า ท่านรู้จักอะไรเป็นอะไรกันหรือเปล่า แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร, ชีวิต หน้าที่การงาน อาชีพ เงินทอง ข้าวของ เกียรติยศ ชื่อเสียง คืออะไรก็ตาม ใครกล้ายืนยันว่ารู้ถึงที่สุดบ้าง ถ้าเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริง ๆ แล้ว เราย่อมไม่ปฏิบัติผิดต่อสิ่งทั้งปวง เมื่อปฏิบัติถูกแล้ว ก็เป็นอันแน่นอนว่า ความทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร เราจึงปฏิบัติผิดไม่มากก็น้อย ; ความทุกข์ก็เกิดขึ้นตามส่วน การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาก็คือ ปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร ; เมื่อรู้แจ้งแท้จริงก็ย่อมหมายถึง การบรรลุมรรคผลขั้นใดขั้นหนึ่ง หรือถึงขีดสูงสุดเพราะความรู้นั่นเอง เป็นตัวทำลายกิเลสไปในตัว

เมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไรจริง ๆ แล้ว ความเบื่อหน่ายคลายความอยาก และความหลุดพ้นจากทุกข์ ย่อมจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ : เราทำความเพียรปฏิบัติก็แต่ขั้นที่ยัง ไม่รู้อะไรเป็นอะไรกันเท่านั้น โดยเฉพาะก็ในขั้นที่ยังไม่รู้ว่า สิ่งทั้งหลายนี้ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน ขณะนี้เราไม่รู้ว่าชีวิตหรือสิ่งทั้งปวงที่เรากำลัง หลงรักใคร่ยินดี เป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา จึงหลงรักยินดีติดพันยึดถือในสิ่งเหล่านั้น ครั้นรู้จริงตามวิธีของพระพุทธศาสนาคือ มองเห็นชัดว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีอะไรน่าผูกมัดตัวเราเข้ากับ สิ่งนั้นจริง ๆ แล้ว จิตก็จะเกิดความหลุดพ้นจากอำนาจ ครอบงำของสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาทันที

ขอยืนยันในคำจำกัดความข้อนี้ว่า เป็นคำจำกัดความที่เพียงพอ และเหมาะสมแก่ท่านทั้งหลาย ที่จะเอาไปใช้สำหรับการปฏิบัติของตน ; เพราะเหตุว่าหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งพระไตรปิฎก ก็ล้วนแต่เป็นการบ่งระบุให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร? เท่านั้นเอง เช่นหลักเรื่องอริยสัจจ์ 4 ประการ ซึ่งจะนำมาเปรียบเทียบกับ คำจำกัดความดังกล่าวเพื่อดูว่า จะลงรอยกันได้เพียงใด

อริยสัจจ์ข้อที่ 1 แสดงว่าสิ่งปรุงแต่งทั้งปวงเป็นทุกข์ นี่คือบอกตรง ๆ ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไรนั่นเอง สิ่งทั้งปวงเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ใจ แต่คนทั้งหลายไม่รู้ไม่เห็นว่า สิ่งทั้งปวงเป็นความทุกข์ จึงได้มีความอยากในสิ่งเหล่านั้น ถ้ารู้ว่ามันเป็นความทุกข์ ไม่น่าอยากและไม่น่ายึดถือ ไม่น่าผูกพันตัวเองเข้ากับสิ่งใดแล้ว เขาก็คงจะไม่ไปอยาก

อริยสัจจ์ข้อที่ 2 แสดงว่าความอยากด้วยอวิชชานั้น เป็นต้นเหตุของความทุกข์ คนทั้งหลายก็ยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจว่า ความอยากนี่แหละ เป็นตัวต้นเหตุของความทุกข์ใจ จึงได้พากันอยากนั่นอยากนี้ ร้อยแปดพันประการ เพราะไม่รู้ว่าความอยากด้วยอวิชชานั้นคืออะไร

อริยสัจจ์ข้อที่ 3 แสดงว่านิโรธหรือนิพพานคือ การดับความอยากเสียได้สิ้นเชิง เป็นความไม่มีทุกข์ คนทั้งหลายยิ่งไม่รู้จักกันใหญ่ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่อาจลุถึงได้ในที่ทั่ว ๆ ไป คือพบได้ตรงที่ความอยากมันดับลงไปนั่นเอง, นี่คือไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงไม่มีใครปรารถนาที่จะดับความอยาก ไม่ปรารถนานิพพาน เพราะไม่รู้ว่าอะไรคือนิพพาน

อริยสัจจ์ข้อที่ 4 ที่เรียกว่ามรรคอันได้แก่ วิธีดับความอยากนั้น ๆ เสีย, ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่า การทำอย่างนี้เป็นวิธีดับความอยาก ไม่มีใครสนใจเรื่องอริยมรรคอันมีองค์ 8 ประการ ซึ่งดับความอยากเสียได้ ; ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ; อะไรควรขวนขวายอย่างยิ่ง ; จึงไม่สนใจกับเรื่องอริยมรรคของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เลิศประเสริฐที่สุดในบรรดา วิชาความรู้ของมนุษย์เราในโลกนี้ นี่แหละ คือการไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างน่าหวาดเสียว

ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า อริยสัจจ์ 4 ประการ นั้นคือ ความรู้ที่บอกให้เห็นชัดว่า อะไรเป็นอะไรอย่างครบถ้วน นั่นเอง : เรื่องความอยากนั้นบอกให้รู้ว่า เมื่อไปเล่นกับมันจึงเป็นความทุกข์ใจขึ้นมา เราก็ยังขืนไปเล่นกับความอยาก จนเต็มไปด้วยความทุกข์นี่แหละเป็นความโง่เขลา ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรตามที่เป็นจริง จึงปฏิบัติผิดทุกอย่าง ; จะมีถูกบ้างก็เล็กน้อยเกินไป และมักจะถูกตามความหมาย ของคนที่มีกิเลสตัณหา ซึ่งถือกันว่าถ้าได้อะไรมา ตรงตามความต้องการของตนแล้ว ก็จัดว่าเป็นการปฏิบัติถูก อย่างนี้ทางธรรมไม่ถือว่าถูกเลย

ทีนี้ลองเอาหลักทางบาลี ที่เรียกว่าหัวใจของพระพุทธศาสนา หรือคาถาของพระอัสสชิมาพิจารณากัน ; เมื่อพระอัสสชิได้มาพบกับ พระสารีบุตรก่อนได้บวช ; พระสารีบุตรได้ถามถึงใจความของ พระพุทธศาสนาว่า มีอยู่อย่างไรโดยย่อที่สุด พระอัสสชิได้ตอบว่า "สิ่งเหล่าใดเกิดมาเพราะมีเหตุทำให้เกิด พระตถาคตเจ้าแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น พร้อมทั้งแสดงความดับสิ้นเชิง ของสิ่งเหล่านั้นเพราะหมดเหตุ : พระมหาสมณเจ้าตรัสอย่างนี้" นี่คือการบอกว่าสิ่งทั้งปวงมีเหตุปรุงแต่งขึ้นมา มันดับไม่ได้จนกว่าจะดับเหตุเสียก่อน, นี้เป็นการชี้ให้รู้ว่า อย่าไปเห็น อะไรเป็นตัวตนที่ถาวร เพราะมีแต่สิ่งที่เกิดจากเหตุ และงอกงามต่อไปตามอำนาจของเหตุ และจะดับไปเพราะสิ้นเหตุ เพราะฉะนั้น ปรากฏการณ์ทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นผลิตผลของสิ่งที่เป็นเหตุ เป็นความเลื่อนไหลไปไม่มีหยุด เพราะอำนาจของธรรมชาติ ที่มีลักษณะไม่หยุดปรุง สิ่งต่าง ๆ จึงปรุงแต่งกันไม่หยุด และเปลี่ยนแปลงไม่หยุด

พระพุทธศาสนาบอกให้เรา รู้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน มีแต่การปรุงแต่งกันไป และมีความทุกข์รวมอยู่ในนั้นด้วย เพราะความไม่มีอิสระ จึงต้องเป็นไปตามอำนาจของเหตุ จะไม่มีความทุกข์ก็ต่อเมื่อหยุด, จะหยุดได้ก็เมื่อดับเหตุ เพื่อไม่ให้มีการปรุง ข้อนี้เป็นการบอกให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างลึกซึ้งที่สุดเท่าที่ผู้มีสติปัญญา จะบอกได้ นับว่าเป็นหัวใจพุทธศาสนาจริง ๆ การบอกนี้คือบอกให้รู้ว่า สิ่งทั้งปวงเป็นแต่เรื่องของมายา อย่าไปหลงยึดถือ จนชอบหรือชังมันเข้า เมื่อทำจิตใจให้เป็นอิสระได้จริง ๆ แล้วนั่นแหละ คือการออกมาเสียได้จากอำนาจของเหตุ เป็นการดับเหตุเสียได้ เราก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะความชอบหรือความชังอีกต่อไป

อีกทางหนึ่งนั้น อยากจะชี้ให้สังเกตดูถึง วัตถุประสงค์แห่งการออกผนวชของพระพุทธเจ้า ว่าท่านออกผนวชโดยความประสงค์อันใด พระพุทธภาษิตที่ตรัสถึงข้อนี้มีอยู่อย่างชัดเจนว่า พระองค์ออกผนวชเพื่อแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล คำ "กุศล" ของพระองค์ ในที่นี้ หมายถึงความฉลาด หมายถึงความรู้ที่ถูกต้องถึงที่สุด โดยเฉพาะก็คือรู้ว่าอะไรเป็นความทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นความไม่มีทุกข์ อะไรเป็นวิธีให้ถึงความไม่มีทุกข์ เพราะถ้ารู้อย่างถูกต้องสิ้นเชิงจริง ๆ แล้ว ก็คือความฉลาดหรือความรู้ถึงที่สุด ; ฉะนั้น ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่าง บริสุทธิ์บริบูรณ์นั่นแหละคือ ตัวพุทธศาสนา

 

"พุทธทาส อินฺทปัญฺโญ"
-------------------------------------------------------------------------------

Next : Page 4>>

หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้า I บททำวัตรเช้า-เย็น แปลI จิตสังเขป I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I

Non Copyright 2002. Buddhamamaka Home Page. All Rights Reserved. Comment or suggestion : webmaster@yahoo.com