ส่วนขอบเขตของศาสนานั้นยังไปไกลต่อไปอีก,
โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ย่อมมุ่งหมายโดยตรงที่จะ กำจัดกิเลสโดยสิ้นเชิง
หรือดับทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจาก การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้สิ้นไป
นี้ชี้ให้เห็นว่า ศาสนากับศีลธรรมนั้นต่างกันอย่างไร, พุทธศาสนาไปได้ไกลกว่าศีลธรรมสากล
ของโลกทั่ว ๆ ไปอย่างไร เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว เราจะได้สนใจ พุทธศาสนาโดยเฉพาะ
พุทธศาสนา
คือ วิชารวมทั้งระเบียบปฏิบัติ สำหรับจะให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขอให้สนใจในคำจำกัดความนี้
ให้มากเป็นพิเศษ เพื่อประโยชน์ที่จะเข้าใจพุทธศาสนา ได้โดยเร็วและโดยง่าย
ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูว่า
ท่านรู้จักอะไรเป็นอะไรกันหรือเปล่า แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร, ชีวิต
หน้าที่การงาน อาชีพ เงินทอง ข้าวของ เกียรติยศ ชื่อเสียง คืออะไรก็ตาม
ใครกล้ายืนยันว่ารู้ถึงที่สุดบ้าง ถ้าเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริง ๆ
แล้ว เราย่อมไม่ปฏิบัติผิดต่อสิ่งทั้งปวง เมื่อปฏิบัติถูกแล้ว ก็เป็นอันแน่นอนว่า
ความทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร เราจึงปฏิบัติผิดไม่มากก็น้อย
; ความทุกข์ก็เกิดขึ้นตามส่วน การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาก็คือ ปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร
; เมื่อรู้แจ้งแท้จริงก็ย่อมหมายถึง การบรรลุมรรคผลขั้นใดขั้นหนึ่ง
หรือถึงขีดสูงสุดเพราะความรู้นั่นเอง เป็นตัวทำลายกิเลสไปในตัว
เมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไรจริง
ๆ แล้ว ความเบื่อหน่ายคลายความอยาก และความหลุดพ้นจากทุกข์ ย่อมจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
: เราทำความเพียรปฏิบัติก็แต่ขั้นที่ยัง ไม่รู้อะไรเป็นอะไรกันเท่านั้น
โดยเฉพาะก็ในขั้นที่ยังไม่รู้ว่า สิ่งทั้งหลายนี้ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน
ขณะนี้เราไม่รู้ว่าชีวิตหรือสิ่งทั้งปวงที่เรากำลัง หลงรักใคร่ยินดี
เป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา จึงหลงรักยินดีติดพันยึดถือในสิ่งเหล่านั้น
ครั้นรู้จริงตามวิธีของพระพุทธศาสนาคือ มองเห็นชัดว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีอะไรน่าผูกมัดตัวเราเข้ากับ สิ่งนั้นจริง
ๆ แล้ว จิตก็จะเกิดความหลุดพ้นจากอำนาจ ครอบงำของสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาทันที
ขอยืนยันในคำจำกัดความข้อนี้ว่า
เป็นคำจำกัดความที่เพียงพอ และเหมาะสมแก่ท่านทั้งหลาย ที่จะเอาไปใช้สำหรับการปฏิบัติของตน
; เพราะเหตุว่าหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งพระไตรปิฎก ก็ล้วนแต่เป็นการบ่งระบุให้รู้ว่า
อะไรเป็นอะไร? เท่านั้นเอง เช่นหลักเรื่องอริยสัจจ์ 4 ประการ ซึ่งจะนำมาเปรียบเทียบกับ
คำจำกัดความดังกล่าวเพื่อดูว่า จะลงรอยกันได้เพียงใด
อริยสัจจ์ข้อที่
1 แสดงว่าสิ่งปรุงแต่งทั้งปวงเป็นทุกข์ นี่คือบอกตรง ๆ ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไรนั่นเอง
สิ่งทั้งปวงเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ใจ แต่คนทั้งหลายไม่รู้ไม่เห็นว่า
สิ่งทั้งปวงเป็นความทุกข์ จึงได้มีความอยากในสิ่งเหล่านั้น ถ้ารู้ว่ามันเป็นความทุกข์
ไม่น่าอยากและไม่น่ายึดถือ ไม่น่าผูกพันตัวเองเข้ากับสิ่งใดแล้ว เขาก็คงจะไม่ไปอยาก
อริยสัจจ์ข้อที่
2 แสดงว่าความอยากด้วยอวิชชานั้น เป็นต้นเหตุของความทุกข์ คนทั้งหลายก็ยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจว่า
ความอยากนี่แหละ เป็นตัวต้นเหตุของความทุกข์ใจ จึงได้พากันอยากนั่นอยากนี้
ร้อยแปดพันประการ เพราะไม่รู้ว่าความอยากด้วยอวิชชานั้นคืออะไร
อริยสัจจ์ข้อที่
3 แสดงว่านิโรธหรือนิพพานคือ การดับความอยากเสียได้สิ้นเชิง เป็นความไม่มีทุกข์
คนทั้งหลายยิ่งไม่รู้จักกันใหญ่ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่อาจลุถึงได้ในที่ทั่ว
ๆ ไป คือพบได้ตรงที่ความอยากมันดับลงไปนั่นเอง, นี่คือไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
จึงไม่มีใครปรารถนาที่จะดับความอยาก ไม่ปรารถนานิพพาน เพราะไม่รู้ว่าอะไรคือนิพพาน
อริยสัจจ์ข้อที่
4 ที่เรียกว่ามรรคอันได้แก่ วิธีดับความอยากนั้น ๆ เสีย, ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่า
การทำอย่างนี้เป็นวิธีดับความอยาก ไม่มีใครสนใจเรื่องอริยมรรคอันมีองค์
8 ประการ ซึ่งดับความอยากเสียได้ ; ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง
; อะไรควรขวนขวายอย่างยิ่ง ; จึงไม่สนใจกับเรื่องอริยมรรคของพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นสิ่งที่เลิศประเสริฐที่สุดในบรรดา วิชาความรู้ของมนุษย์เราในโลกนี้
นี่แหละ คือการไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างน่าหวาดเสียว
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า
อริยสัจจ์ 4 ประการ นั้นคือ ความรู้ที่บอกให้เห็นชัดว่า อะไรเป็นอะไรอย่างครบถ้วน
นั่นเอง : เรื่องความอยากนั้นบอกให้รู้ว่า เมื่อไปเล่นกับมันจึงเป็นความทุกข์ใจขึ้นมา
เราก็ยังขืนไปเล่นกับความอยาก จนเต็มไปด้วยความทุกข์นี่แหละเป็นความโง่เขลา
ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรตามที่เป็นจริง จึงปฏิบัติผิดทุกอย่าง ; จะมีถูกบ้างก็เล็กน้อยเกินไป
และมักจะถูกตามความหมาย ของคนที่มีกิเลสตัณหา ซึ่งถือกันว่าถ้าได้อะไรมา
ตรงตามความต้องการของตนแล้ว ก็จัดว่าเป็นการปฏิบัติถูก อย่างนี้ทางธรรมไม่ถือว่าถูกเลย
ทีนี้ลองเอาหลักทางบาลี
ที่เรียกว่าหัวใจของพระพุทธศาสนา หรือคาถาของพระอัสสชิมาพิจารณากัน
; เมื่อพระอัสสชิได้มาพบกับ พระสารีบุตรก่อนได้บวช ; พระสารีบุตรได้ถามถึงใจความของ
พระพุทธศาสนาว่า มีอยู่อย่างไรโดยย่อที่สุด พระอัสสชิได้ตอบว่า "สิ่งเหล่าใดเกิดมาเพราะมีเหตุทำให้เกิด
พระตถาคตเจ้าแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น พร้อมทั้งแสดงความดับสิ้นเชิง
ของสิ่งเหล่านั้นเพราะหมดเหตุ : พระมหาสมณเจ้าตรัสอย่างนี้" นี่คือการบอกว่าสิ่งทั้งปวงมีเหตุปรุงแต่งขึ้นมา
มันดับไม่ได้จนกว่าจะดับเหตุเสียก่อน, นี้เป็นการชี้ให้รู้ว่า อย่าไปเห็น
อะไรเป็นตัวตนที่ถาวร เพราะมีแต่สิ่งที่เกิดจากเหตุ และงอกงามต่อไปตามอำนาจของเหตุ
และจะดับไปเพราะสิ้นเหตุ เพราะฉะนั้น ปรากฏการณ์ทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นผลิตผลของสิ่งที่เป็นเหตุ
เป็นความเลื่อนไหลไปไม่มีหยุด เพราะอำนาจของธรรมชาติ ที่มีลักษณะไม่หยุดปรุง
สิ่งต่าง ๆ จึงปรุงแต่งกันไม่หยุด และเปลี่ยนแปลงไม่หยุด
พระพุทธศาสนาบอกให้เรา
รู้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน มีแต่การปรุงแต่งกันไป และมีความทุกข์รวมอยู่ในนั้นด้วย
เพราะความไม่มีอิสระ จึงต้องเป็นไปตามอำนาจของเหตุ จะไม่มีความทุกข์ก็ต่อเมื่อหยุด,
จะหยุดได้ก็เมื่อดับเหตุ เพื่อไม่ให้มีการปรุง ข้อนี้เป็นการบอกให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
อย่างลึกซึ้งที่สุดเท่าที่ผู้มีสติปัญญา จะบอกได้ นับว่าเป็นหัวใจพุทธศาสนาจริง
ๆ การบอกนี้คือบอกให้รู้ว่า สิ่งทั้งปวงเป็นแต่เรื่องของมายา อย่าไปหลงยึดถือ
จนชอบหรือชังมันเข้า เมื่อทำจิตใจให้เป็นอิสระได้จริง ๆ แล้วนั่นแหละ
คือการออกมาเสียได้จากอำนาจของเหตุ เป็นการดับเหตุเสียได้ เราก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์
เพราะความชอบหรือความชังอีกต่อไป
อีกทางหนึ่งนั้น
อยากจะชี้ให้สังเกตดูถึง วัตถุประสงค์แห่งการออกผนวชของพระพุทธเจ้า
ว่าท่านออกผนวชโดยความประสงค์อันใด พระพุทธภาษิตที่ตรัสถึงข้อนี้มีอยู่อย่างชัดเจนว่า
พระองค์ออกผนวชเพื่อแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล คำ "กุศล" ของพระองค์
ในที่นี้ หมายถึงความฉลาด หมายถึงความรู้ที่ถูกต้องถึงที่สุด โดยเฉพาะก็คือรู้ว่าอะไรเป็นความทุกข์
อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นความไม่มีทุกข์ อะไรเป็นวิธีให้ถึงความไม่มีทุกข์
เพราะถ้ารู้อย่างถูกต้องสิ้นเชิงจริง ๆ แล้ว ก็คือความฉลาดหรือความรู้ถึงที่สุด
; ฉะนั้น ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่าง บริสุทธิ์บริบูรณ์นั่นแหละคือ
ตัวพุทธศาสนา
"พุทธทาส
อินฺทปัญฺโญ"
-------------------------------------------------------------------------------
|