หน้าแรก I บททำวัตรเช้า-เย็น แปล I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I มงคลชีวิต ๓๘ ประการI การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ

 

 

 

 

 

 

ประวัติพระพุทธเจ้า (ต่อ)

ผู้ยิ่งใหญ่เหนือจักรพรรดิ

ผู้ที่ไม่เห็นก็อยากเห็นผู้ที่เห็นแล้วก็เกิดความเลื่อมใสจนน้อมหันมานับถือพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ก็เสด็จเข้ามาใกล้นครราชคฤห์ จนมาประทับอยู่ที่สวนตาลหนุ่ม (สวนลัฎฐิวัน) และแล้วข่าวต่าง ๆ ก็ได้ถึงพระกรรณของพระเจ้าพิมพิสาร จนเจ้าหน้าที่มาทูลให้ทราบ พระองค์ก็ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงพร้อมกับข้าราชบริพารเป็นอันมากเสด็จมาที่สวนตาลหนุ่ม เห็นพระศาสดาซึ่งประทับอยู่ตรงกลางมีอาการสงบอันมีภิกษุสงฆ์แวดล้อมมองไปทางไหนก็เหลือง ไปหมดพระองค์ปลึ้มเป็นอย่างมากจึงเข้าไปทำการถวายบังคมแล้วก็ประทับในที่ควร ข้าราชบริพารต่าง ๆ ยังมีความกระด้างกระเดื่องบางคนก็อภิวาท บางคนก็ยืนเฉย ๆ ไม่ทำความเคารพ พระพุทธเจ้าดำริครั้งจะทรงแสดงธรรมก็คงจะไม่ได้ผลมาก ดังนั้นจึงถาม อุรุเวลกัสสปะซึ่งมหาชนให้ความเคารพนับถือมากและเป็นอาจารย์มาก่อนว่าทำไม่จึงละลัทธิเสีย อุรุเวลกัสสปะทูลว่า เพราะลัทธิของตนเองไม่มีแก่นสารจึงละแล้วหันมาบวช มหาชนเมื่อได้ยินจาก ปากของอุรุเวลกัสสปะดังนั้นจึงยอมทำความเคารพและตั้งใจฟังธรรมโดยเคารพ

 

พระเจ้าพิมพิสารหันมานับถือพุทธศาสนา

พระองค์ก็เทศนาธรรมเรื่องอนุบุพพิกถาและอริยสัจจ์ 4 ถวายพระเจ้าพิมพิสารและบริวาร เมื่อเทศนาจบลงพระเจ้าพิมพิสารก็ได้ดวงตาเห็นธรรมพร้อมกับบริวารเป็นอันมาก อีกส่วนหนึ่งก็ถึงตั้งมั่นในพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต พระเจ้าพิมพิสารตรัสกับพุทธเจ้าว่า บัดนี้ความปรารถนาของพระองค์สำเร็จแล้วซึ่งมีดังนี้

๑. ขอให้หม่อมฉันได้รับพระบรมราชาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

๒. ขอให้พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบเสด็จมาสู่พระนครของข้าพองค์

๓. ขอให้ข้าพองค์ได้นั่งใกล้พระอรหันต์องค์นั้น

๔. ขอให้พระอรหันต์องค์นั้น ทรงแสดงธรรมแก่ข้าพองค์เถิด

๕. ขอให้หม่อมฉันได้รู้ทั่วถึงธรรมของพระอรหันต์องค์นั้น

เมื่อสนทนาปราศรัยตามสมควรแก่เวลาแล้ว พระเจ้าพิมพิสารก็อาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมกับภิกษุ ให้ไปฉันที่ไปพระราชวัง เมื่อพุทธเจ้าทรงรับแล้วด้วยอาดุษณีภาพ (การนิ่งสงบ) ก็ทรงอำลาเสด็จกลับพระราชวัง

 

วัดแห่งแรกในพุทธศาสนา

ครั้นรุ่งเช้าของวันใหม่มาถึง พอได้เวลาพระพุทธเจ้าพร้อมกับเหล่าภิกษุก็ได้ก็เสด็จไปฉันภัตตาหารในพระราชวัง พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงถวายภัตตาหารด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เมื่อฉันภัตตาหารเป็นที่เรียบร้อย พระเจ้าพิมพิสารก็ปรารภกับพระพุทธเจ้าว่า ที่สวนตาลหนุ่มนั้นไม่สะดวกแก่ผู้มีศรัทธาซึ่งมีธุระจะพึงไป เพราะมีความกันดารและก็ไกล ข้าพองค์ขอถวายอุทยานเวฬุวันอันเป็นที่รื่นรมมีความสงบเงียบไม่พลุกพล่าน ด้วยผู้คนการคมนาคมก็สะดวกแก่พระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับและก็อนุโมทนาแล้ว ก็ได้เสด็จไปประทับที่นั่นพร้อมกับภิกษุสงฆ์ เวฬุวันนับได้ว่าเป็นวัดแห่งแรกในพุทธศาสนา ตั้งแต ่นั้นมามหาชนก็พากันหลั่งไหลมาฟังธรรมที่เวฬุวันนั้นและกิตติศัพท์พุทธศาสนาก็แพร่กระจายไป สู่ทิศน้อยทิศใหญ่ ผู้ที่เลื่อมใสแล้วบวชก็ไม่ใช่น้อย

ทรงโปรดอัคครสาวก

ในที่ไม่ไกลจากนครราชคฤห์มีหมู่บ้าน ๒ หมู่บ้านอยู่ใกล้กันคือ หมู่บ้านหนึ่งชื่ออุปติสสคาม นายบ้าน(ผู้ใหญ่บ้าน)ชื่อวันคันตะภรรยาชื่อนางสารี มีบุตรสาว 3 คน เป็นชายหนึ่งคนชื่อว่าอุปติสส ส่วนมากคนนิยมเรียกบุตรชายตามชื่อแม่ของเขาคือสารีบุตร ส่วนอีกหมู่บ้านหนึ่งชื่อ โกลิตะคามมีนายบ้านชื่อว่าโกลิตะ ภรรยาชื่อนางโมคคัลลี มีบุตรคนเดียวชื่อว่าโกลิตะ ส่วนมากคนนิยมเรียกชื่อบุตรตามชื่อของมารดาว่าโมคคัลลานะ
ทั้งสองหมู่บ้านน ี้มีความสนิทสนมกันและก็มีบุตรมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อบุตรทั้งสองเจริญเติบโต ก็ได้เข้าเรียนที่เดียวกันเมื่อโตขึ้นมาก็เป็นเพื่อนกันไปไหนก็ไปด้วยกัน วันหนึ่งทั้งสองไปดูมหรสพ ก็มีความรู้สึกไม่มีความสนุกสนานเหมือนวันก่อนจึงปรึกษากันในที่สุดก็เห็นว่าคนเรานั้นมีอายุ ไม่ถึงร้อยปีก็ตาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไร้สาระควรที่เราจะแสวงหาความหลุดพ้น เมื่อตกลงกัน ดังนั้นก็ไปขอลาพ่อแม่แล้วบวชเป็นนักพรตพร้อมทั้งบริวารไปศึกษาอยู่กับสำนักอาจารย์สัญชัย เมื่อเรียนจนหมดความรู้แล้วเห็นว่ายังไม่พอใจจึงปรึกษากันว่าเราควรหาท่านที่มีความรู้กว่านี้ เมื่อใครหาเจอก่อนควรที่ควรจะบอกกันและกัน แล้วทั้งสองก็แยกออก
มาวันหนึ่งสารีบุตรได้พบพระอัสสชิที่เป็นหนึ่งในจำนวนของปัญจวัคคีย์ก็ได้สนทนาพระอัสสชิ ๆ

เมื่อจะแสดงธรรมก็บอกว่าเป็นผู้บวชใหม่ไม่อาจแสดงธรรมให้พิสดารได้จึงได้แสดงธรรมแต่ย่อ ๆ เมื่อแสดงเสร็จสารีบุตรก็ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วก็ถามว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ไหน เมื่อทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นครราชคฤห์ ก็บอกลาแล้วก็มาบอกแก่โมคคัลลาน ๆ เมื่อได้ฟังธรรมจากเพื่อนก็ได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วทั้งสองก็พร้อมใจกันไปชวนอาจารย์พร้อมกันศิษย์คนอื่น ๆ ที่จะไปหาพระพุทธเจ้า อาจารย์สัญชัยปฏิเสธ ดังนั้นทั้งสองพร้อมกับเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งไปที่ราชคฤห์แล้วขอบวชที่นั่น เมื่อบวชแล้วเมื่อได้ฟังธรรมก็ได้บรรลุอรหันต์ ส่วนโมคคัลลานะหลังจากบวชได้เจ็ดวันก็ได้บรรลุอรหันต์ ส่วนสารีบุตรบวชได้ 15 วันจึงบรรลุอรหันต์ เมื่อบรรลุแล้วทั้งสองก็มีความชำนาญจนได้รับตำแหน่งอัคครสาวก โดยโมคคัลลานได้รับทางมีฤทธิ์มาก ส่วนพระสารีบุตรได้รับทางเป็นผู้มีปัญญามาก

 

ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์

ตั้งแต่ที่พระองค์ที่พระองค์ได้ตรัสรู้มาก็เป็นเวลาได้ ๙ เดือน ในขณะที่ประทับอยู่ที่วัดเวฬุวันนั้น วันหนึ่งเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ก็ได้มีพระอรหันต์ที่พระองค์ได้บวชให้เองทั้งสิ้นเดินทางมาที่พระเวฬุวัน เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์โดยมิได้นัดหมายมีจำนวนพระอรหันต์ถึง ๑๒๕๐ รูป นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่อัศจรรย์ ในการประชุมในวันนั้นเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต (ปัจจุบันคือวันมาฆบูชา) เพราะการประชุมนั้นประกอบองค์ คือ

๑. วันนั้นเป็นวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ขึ้น ๑๕ ค่ำ

๒. ภิกษุสาวก ๑๒๕๐ รูป ที่มาประชุมกันนั้นโดยมิได้นัดหมาย

๓. สาวกเหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖

๔. สาวกเหล่านั้นล้วนพระพุทธเจ้าบวชให้เองทั้งสิ้น


ในวันนั้นพระองค์ได้แสดงพระโอวาทปาฏิโมกข์ อันเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา หรือสรุปคำสอนย่อ ๆ คือ

- ห้ามทำความชั่วทุกอย่าง ทั้งทางกาย วาจา และใจ

- ให้ทำแต่ความดี

- ทำจิตใจของตนให้ผ่องใสคือทำจิตใจให้สบาย

 

เสด็จนิวัตติกลับมาตุภูมิ

นับตั้งแต่พระสิทธัตถะเสด็จหนีออกบวชแล้ว นครกบิลพัสดุ์ซึ่งเคยอบอวลไปด้วยความ ครึกครื้นและเสียงดีดสีตีเป่า เหล่าเสียงสนมกำนัลต่าง ๆ นา ๆ มาบัดนี้กลับเศร้าสร้อย มองไปทางไหนก็เงียบเหงาไม่รื่นรมณ์เหมือนแต่ก่อน พระเจ้าสุทโธทนะมีความกลุ้มพระทัยเป็น อย่างมาก ในเมื่อสิทธัตถะอันเป็นยอดดวงใจจากไป พระองค์ก็ให้อำมาตย์เที่ยวเสาะหาข่าว แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว
ยิ่งพระนางพิมพายิ่งเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างมหันต์ยากที่จะอธิบาย ไม่ได้เห็นพระสวามีอีกทั้งไม่ได้ข่าวไม่รู้ว่าเป็นร้ายดีอย่างไร ได้แต่คอยหาเมื่อไรหนอ ยอดพระภัสดาจะกลับมา บางครั้งทั้งสองพระปรางอาบไปด้วยน้ำตาเพราะคิดหาแต่ยอดพระภัสดา ผู้เป็นดวงใจวันแล้ว วันเล่าคืนแล้ว คือเล่าผ่านไปๆ
วันหนึ่งของเหมันต์ฤดู หมอกเต็มไปทั่วยามรุ่งมองไปทางไหนน้ำค้างก็แพรวพราวเหมือนเพชร กำลังจรัสแสงในยามที่ต้องแสงอาทิตย์ในยามเช้า พระนางยโสธราจุงมือพระโอรสลาหุลน้อยออกจากตำหนักด้วยดวงใจเหงาหงอยสู่อุทยาน พระกุมารน้อยซึ่งมีพระชนมายุ 7 พรรษามีความร่าเริงยินดีมองนัยตาเป็นแววประกายวิ่งเล่นอย่างมี ความสุขในขณะที่มารดากำลังครุ่นคิดหาใครสักคน ขณะนั้นก็ได้มีนางสนมซึ่งทราบข่าวของสิทธัตถะกุมารก็งวิ่งมาด้วยอาการตื่นเต้นดีใจมากกราบทูลให้ พระนางยโสธราว่าได้มีพ่อค้าสองคนเดินทางมาจากเมืองราชคฤห์และพบพระพุทธเจ้าขณะนี้ได้ประทับอยู่ที่นครราชคฤห์ ซึ่งเป็นพระสวามีพระนางพิมพา คำว่าพระสวามีเท่านั้นพระนางพิมพาถึงกับลืมทุกข์ทุกอย่างที่ผ่านถึง ๗ ปี ความตื้นตันใจบวกกับความดีใจถึงกับสั่งได้พ่อค้าสองคนเข้าเฝ้าและถามเรื่องราวต่าง ๆ แล้วกราบทูลให้พระเจ้าสุทโธทนะทราบ พระเจ้าสุทโธทนะทรงโสมมนัสจึงได้ส่งราชบุรุษไปที่กรุงราชคฤห์เจ็ดคนเจ็ดครั้ง แต่ละครั้งที่ราชบุรุษไป แต่พอไปถึงเวฬุวันป่าไผ่อันร่มรื่นย์พร้อมกับเห็นจีวรสะพรั่งตระการตาเต็มไปหมดเห็น ผู้คนต่างก็มีมือถือดอกไม้เพื่อมาฟังธรรมก็ลืมพระราชโองการกลับทรุดกายนั่งฟังธรรมด้วยเสียงอันกังวานไพเราะดัวยกิริยาอันสงบ ครั้นรสพระธรรมไหลรินเข้าโสตเกิดศรัทธาหาออกจาที่นั้นไปไม่สุดท้ายก็ครองสบงจีรวบวชเป็นภิกษุในที่สุด และแล้วก็ส่งกาฬุทายีอามาตย์ไป อำมาตย์เอาสำลีอุดหูไว้มิให้เสียงธรรมเข้าสุดท้ายก็กราบอาธนาให้ทราบว่า พระเจ้าสุทโธทนะกราบทูลเชิญเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อพระองค์รับแล้วต่อมาก็เสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์

 

ทรงโปรดพระราชบิดาและพระประยุรญาติ

พระพุทธเจ้าเมื่อทรงรับเชิญแล้ว จึงพร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์อีกเป็นจำนวนมากเสด็จออกจากเมืองราฃคฤห์ สู่เมืองกบิลพัสดุ์ในการเดินทางทรงใช้เวลาทั้งสิ้น 2 เดือน ฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนก็ประดับตกแต่งนครด้วยดอกไม่นานาพันธุ์ ประดับธงต่าง ๆ นา ๆ ปลิวไสว พร้อมทั้งริ้วขบวนต้อนรับ ในนั้นทุกคนต่างก็คอยเสียงตีระฆังอันเป็นสัญญาณการเสด็จมา แล้วขบวนพระพุทธเจ้าก็เสด็จมาถึงกบิลพัสดุ์ ทุกคนต่างก็ยินดีปรีดาเสียงโห่ร้องก้องไปทั่วพระนคร เหล่าภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขก็เสด็จมาที่พลับพลาที่พระเจ้าสุทโธทนะจัดต้อนรับ ยิ่งพระนางพิมพายิ่งตื่นเต้นถึงกับสะดุ้งผวาร้องหวีดว่า พระสวามีเสด็จมาแล้ว คราวนั้นพระญาติต่าง ๆ ที่มีอายุมากกว่าก็มีความถือตัวบ้างก็ทำการอภิวาทบ้างก็ไม่ทำ เพราะเห็นพุทธเจ้าไม่มีสภาพของลูกกษัตริย์
ไม่ว่าจะเป็นการห่มจีวร ถือบาต พระพุทธเจ้าก็แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ นา ๆ จนพระญาติคลายทิฎฐิมานะ เมื่อพระประยุรญาติเห็นดังนั้นก็พากันทำความเคารพ แล้วพุทธเจ้าก็ทรงแสดงมหาเวสสันดร เมื่อจบลงแล้วพระประยูรญาติก็นมัสการลากลับ


ครั้นรุ่งเช้าของวันใหม่ พระพุทธเจ้าพร้อมกับเหล่าภิกษุสงฆ์ออกบิณฑบาตประชาชนที่เลื่อมใสก็ออกมาใส่บาต อีกอย่างก็อยากชมพระบารมีด้วย บางคนถึงกับประหลาดใจมากที่บุตรพระมหากษัตริย์ออกเที่ยวบิณฑบาต (ขอ) กะบุคคลทั่วไปก็ออกมามุงดูกัน ส่วนพระเจ้าสุทโธทนะเมื่อทรงทราบเหตุก็มีความอดสูยิ่งนัก จึงรีบเสด็จดำเนินออกไปประทับยืนเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าที่กลางถนนพร้อมกับตรัสว่า "เพราะเหตุใดพระองค์ถึงได้ทำอย่างนี้ พ่อละอายเหลือเกิน วงค์ของเราเป็นอย่างนี้หรือ"
ตถาคตตรัสว่า "นี้เป็นวงค์ของหม่อมฉัน ๆ จึงต้องทำอย่างนี้" "อะไรกันลูกรัก พระองค์เอาอะไรมาพูด วงค์ศากยะมีมาช้านานไม่เห็นมีใครทำอย่างนี้" "สกูลของหม่อมฉันมิใช่ฉากยะวงค์หรอก แต่เป็นอริยวงค์ ซึ่งพระพุทธเจ้าในปางก่อนก็กระทำอย่างนี้ทุกพระองค์" พระพุทธเจ้าพลางก็เดินไปพระเจ้าสุทโธทนะก็เสด็จพลางไปด้วยแล้วพรางตรัสเล่าให้ฟังถึงจุตุราริยสัจสันติปฏิปทา

 

สุดท้ายพระะเจ้าสุทโธทนะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมพร้อมกับรับบาตของพระพุทธเจ้าและอาราธนาให้เข้าไป ในพระราชวังแล้วอังคาสพระพุทธเจ้าพร้อมกับภิกษุสงฆ์ เมื่อฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตรัสเทศนาแก่พระญาตตลอดถึงพระนางพิมพาและชาวพระนครก็ได้ดวงตาเห็นธรรมน้อมขอนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่กบิลพัสดุ์เป็นเวลา ๗ วันก็กลับที่นครราชคฤห์

 

สามเณรองค์แรกในพุทธศาสนา

ในวันที่เจ็ดมารดาของราหุลที่เป็นราชโอรสผู้มีพระชนมายุ 7 พรรษา ซึ่งพระนางพิมพาพา เฝ้าเพื่อทูลขอขุมทองซึ่งเป็นของอันราหุลควรได้รับเป็นสันติวงค์ พระศาสดาก็ตรัสว่าเดี๋ยวถ้าไปถึงวิหารจะประทาน แล้วก็พาเอาราหุลไปที่วิหารเสร็จแล้วก็ตรัส ให้พระสารีบุตรจัดการบรรพชาราหุลกุมารเป็นสามเณร
พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ ก็โทมนัสเสียพระหทัยเป็นอย่างยิ่ง ครั้นจะให้นันทะกุมารสืบราชกูล
พระพุทธเจ้าก็ทรงพาไปบวชเสีย ครั้นหวังราหุลกุมาร พระองค์ก็ทรงพา ไปบวชเสีย จึงเสด็จไปที่พระวิหารแล้วขอประทานพรว่า แต่นี้ต่อไปภายหน้ากุลบุตรผู้ใด ประสงค์จะบวชต้องได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาเสียก่อน หากมารดาบิดาไม่ยอมพร้อมใจอนุญาตแล้ว ขอให้ทรงงดไว้ก่อน พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตตั้งแต่นั้นมาจนปัจจุบัน

 

เสด็จรัฐโกศล

เมื่อเสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์แล้วก็ประทับอยู่ที่นั่น ครั้งนั้นก็มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อว่าอนาถบิณฑิกซึ่งเป็นชาวเมืองสาวัตถีมาที่เมืองราชคฤห์ด้วยธุรกิจบางอย่าง และพักที่นิเวศราชคฤห์เศรษฐีผู้เป็นน้องชาย น้องชายของเศรษฐีอนาถได้นิมนต์ พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งภิกษุเพื่อให้มาฉันในวันรุ่งขึ้นก็มัวแต่เตรียมการต่าง ๆ ไม่ได้พูดคุยพี่ชายเท่าควรเมื่อเศรษฐีพี่ชายถามก็ตอบว่าเตรียมเพื่อจะทำบุญเลี้ยงพระ ในวันรุ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าพุทธเจ้าก็งงเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน พอรุ่งเช้าพระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุก็มาที่บ้านพออนาถเศรษฐีเห็นกิริยาอาการอันสงบของ พระพุทธเจ้าก็เกิดความเลื่อมใสและเมื่อได้ฟังธรรมคืออนุบุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุโสดาบันและได้ประกาศตนเป็นอุบาสก และได้อาราธนานิมนต์ พระพุทธเจ้าให้ไปประกาศศาสนาที่แคว้นโกศล หลังจากนั้นก็อำลาพุทธเจ้ากลับไปเมืองสาวัตถี จากนั้นก็ได้ซื้อที่อันเป็นอุทยานของพระเจ้าเชต พระเจ้าเชตก็ขอให้เศรษฐีสร้างวัดโดยให้ชื่อว่า เชต เมื่อสร้างเสร็จก็ให้ชื่อว่า เชตวันวิหาร และทูลเชิญเสด็จให้พระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาที่นครโกศล

 

Home

Next : Page 5>>

 
 
หน้าแรก I บททำวัตรเช้า-เย็น แปล I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I มงคลชีวิต ๓๘ ประการI การฝึกใจ l ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ

&Non; Copyright 2002. Buddhamamaka. All Rights Reserved. Comment or suggestion : webmaster@yahoo.com