ปราสาทเมืองสิงห์มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี เพราะเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงอารยธรรมช่วงหนึ่งของมนุษย์
ซึ่งเคยมีบทบาทในดินแดนแถบจังหวัดกาญจนบุรีมาแล้วในอดีต
ปราสาทเมืองสิงห์เป็นโบราณสถานซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของประเทศไทยที่ได้รับรูปแบบทางศาสนาและวัฒนธรรม
จากขอมเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-19 หรือประมาณ 800 ปีมาแล้ว รูปแบบทางสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมเหล่านี้
มีลักษณะคล้ายคลึงกับศิลปแบบบายนในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1720-1780) แต่มีลักษณะของท้องถิ่นผสมอยู่ด้วย
โบราณสถานนี้เป็นโบราณสถานในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ศิลปกรรมรูปเคารพที่สำคัญที่พบได้แก่ พระพุทธรูปนาคปรก
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และนางปรัชญาปารมิตา ซึ่งรูปเคารพทั้งสามนี้ รวมเรียกว่า "รัตนตรัยมหายาน"
นอกจากนี้ยังพบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง มีลักษณะคล้ายคลึงที่พบ ณ ปราสาทเปรียถกลในประเทศกัมพูชา
ศิลาจารึกพบที่ปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ซึ่งพระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ทรงจารึกข้อความสรรเสริญพระราชบิดานั้น ได้กล่าวถึงชื่อเมืองต่างๆจำนวน 23 เมือง ที่พระราชบิดาประดิษฐานพระชัยพุทธมหานาถ
มีชื่อเมืองหนึ่ง คือ "ศรีชยสิหบุรี" ซึ่งนักวิชาการส่วนหนึ่งเชื่อว่าคือปราสาทเมืองสิงห์ในปัจจุบัน
ส่วนเมืองอื่นๆที่มีชื่อปรากฏอยู่ในจารึก รวมทั้งมีหลักฐานจากโบราณสถานร่วมสมัยเดียวกันได้แก่
ลโวทยปุระ คือเมืองละโว้หรือลพบุรีมีพระปรางค์สามยอด,
สุวรรณปุระ คือเมืองโบราณที่เนินทางพระ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี,
ศรีกัมพุกปัฏฏนะ คือเมืองโบราณที่สระโกสินารายณ์ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี,
และศรีชยวัชรปุรี คือวัดกำแพงเลง จังหวัดเพชรบุรี
ชื่อของเมืองสิงห์ จากหลักฐานทางด้านเอกสารที่พบในประเทศไทย เพิ่งมีปรากฏในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ว่าทรงตั้งเมืองสิงห์เป็นเมืองหน้าด่านขึ้นอยู่กับเมืองกาญจนบุรี แต่เนื่องจากที่เป็นกันดาร เจ้าเมืองสิงห์ขณะนั้นจึงไปอยู่ที่บ้านโป่ง
โดยส่งหมวดลาดตระเวณไปตรวจตราแทน ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เจ้าเมืองสิงห์จึงจะขึ้นไปดูแลระยะหนึ่ง
ต่อมาในรัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานนามเจ้าเมืองสิงห์ว่า "พระสมิงสิงห์บุรินทร์"
เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงได้ยุบเมืองสิงห์ เป็น ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี จนกระทั่งปัจจุบัน
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทเมืองสิงห์เป็นโบราณสถานแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478
ต่อมาในปี พ.ศ. 2517 กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งและบูรณะจนแล้วเสร็จ และทำพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์
อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2530 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
จุดเด่นและสถานที่เที่ยวชม
|
ภายในบริเวณกำแพงเมืองมีโบราณสถานที่ปรากฏหลักฐานเรียงตามลำดับการขุดแต่งและบูรณะดังนี้
เป็นอาคารขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุด สร้างด้วยศิลาแลงฉาบปูน มีลวดลายปูนปั้นประกอบ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ทางขึ้นด้านทิศตะวันออกอยู่แนวเดียวกับประตูเมือง ยกพื้นเป็นชานรูปกากบาทปูด้วยศิลาแลง
ตัวปราสาทประกอบด้วย ระเบียงคต ซุ้มประตู (โคปุระ) ทั้ง 4 ทิศ ที่มีร่องรอยของการตั้งรูปเคารพอยู่โดยรอบ
ภายในระเบียงคตทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง เจาะช่องหน้าต่างเล็กๆ
พบจารึกอักษรขอมที่แท่นฐานรูปเคารพหินทรายแท่งหนึ่ง อ่านความว่า "พรญาไชยกร" เป็นอักษรเขมรเขียนในรูปภาษาไทย
โบราณสถานหมายเลข 2
ตั้งอยู่ใกล้โบราณสถานหมายเลข 1 เยื้องไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่บนฐานสูงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
โบราณสถานนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก สภาพพังทลายมาก มีปรางค์ประธานตั้งอยู่ตรงกลางอาคาร
บางส่วนใช้เครื่องไม้ประกอบเพราะพบหลุมเสารูปกลม และกระเบื้องดินเผามุงหลังคา
โบราณสถานหมายเลข 3
เป็นซากโบราณสถานขนาดเล็กก่อด้วยอิฐและศิลาแลง อยู่ในสภาพพังทลาย
โบราณสถานหมายเลข 4
ซากโบราณสถานก่อด้วยศิลาแลง ลักษณะเป็นฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบ่งเป็นห้อง 4 คูหา ภายในอัดแน่นด้วยทราย
และหินกรวดแม่น้ำ พบแท่นฐานรูปเคารพหินทรายในอาคารด้านทิศเหนือ โบราณสถานนี้คงเป็นอาคารที่เกี่ยวกับศาสนา
|