เรื่องสั้น | กลับไปContent | ไปหน้าบ้าน | กลับไปเรื่องแรก

บทเพลงที่เปลี่ยนไป

โดย Isariya C.

No I can't forget this evening
Or your face as you were leaving
But I guess that's just the way the story goes

เสียงเพลงคุ้นหูในวันวาน แว่วผ่านมาจากเครื่องรับวิทยุ ฉันจำเพลงนี้ได้ดี Without You เสียงร้องของ Mariah Carey ด้วยครั้งหนึ่งเพลงนี้เคยกรีดลงบนใจดวงร้าวให้เจ็บปวดเหลือทน โดยเฉพาะท่อนสร้อยที่ว่า

I can't live
If living without you
I can't live
I can't give anymore

ความหมายของเพลงกอปรกับเสียงที่ร้องที่เข้าถึงอารมณ์ เสียดแทงลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เจ็บเป็นริ้วๆ น้ำตาร่วง โหยไห้ถึงความรักที่ผิดหวัง ฉันจำได้…ก่อนนั้นฉันไม่อาจทนฟังเพลงนี้ได้เลย เพราะมันทำให้ฉันเรียกน้ำตาฉันได้ทุกครั้ง แม้ขณะที่ฉันกำลังหัวเราะร่าเริงอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆมากมาย ณ มุมโปรดในร้านอาหารประจำ พลันเมื่อเจ้าของร้านเล่นเพลงนี้ขึ้นมา ฉันถึงกับหยุดชะงัก อารมณ์ที่กำลังสนุก สะดุดกึก แปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าเข้าไปนั่งอยู่ในใจแทนที่ จนเพื่อนๆงงงันและวิตกกับอาการซึมเศร้าอย่างฉับพลันของฉันในวันนั้น

ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นเพลงเศร้าหรอกนะ ทว่าความทรงจำแต่หนหลังระหว่าง'ฉัน'กับ'เขา'ก็ด้วย ที่ย้อนรอยมาตอกย้ำให้ใจเจ็บ…..ฉันและเขาเคยฟังเพลงนี้ด้วยกัน เราชอบเพลงของ Mariah เหมือนกัน ไม่ว่าเราจะนั่งรถไปไหนด้วยกัน เรามักจะเปิดฟังเพลงของนักร้องสาวผู้นี้ และยิ่งเมื่อถึงเพลงนี้ "Without You" ฉันมักจะร้องและแกล้งทำท่าทางใส่อารมณ์เพลง ให้เขาได้หัวเราะเสมอ เขาบอกว่าเขารักฉันก็เพราะฉันบ๊องๆ ต่างจากผู้หญิงทั่วไปที่เขาเคยคบ ฉันทำให้เขายิ้ม หัวเราะได้เต็มที่ ไม่ต้องปั้นหน้า เก๊กหล่อ ทำตัวให้ดูดีตลอดเวลา ฉันทำให้เขาหลุดมาดขรึม เปลี่ยนวันที่น่าเบื่อให้กลายเป็นวันที่แสนสุข ฉันยิ้มปลื้มใจ พลางซุกตัวเขาสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา

"ปริม เองก็ไม่เคยเป็นตัวของตัวเองมากแบบนี้มาก่อนเลยนะ" ฉันบอกความในใจกับเขา

เราคุยกันได้ทุกเรื่อง เราไปด้วยกันได้ทุกที่ อะไรที่เขาชอบก็เป็นสิ่งที่ฉันชอบ แม้บางอย่างฉันไม่เคยชอบ เมื่อเขาชอบ ฉันก็ทำใจให้ชอบตามเขาได้อย่างไม่ลังเล ในใจฉันตอนนั้น เขาคือคนที่ฉันฝันและรอมานาน และฉันก็มั่นใจว่าเขาก็รักฉันมากพอๆกับที่ฉันรักเขา

ทุกเย็นเขาจะมารออยู่ที่หน้าประตูออฟฟิศ คอยฉันเลิกงาน แล้วเราก็จะไปทานข้าวเย็นด้วยกันบ้าง ไปดูหนังบ้าง ไปเดินเล่นบ้าง เป็นกิจวัตรตลอดเวลา 6 เดือนที่คบกัน จนเขาเกิดแรงบันดาลใจเอากิจวัตรของเราไปแต่งเป็นเพลง

"ฟังเพลงสิ ปริม เอ็มนึกถึงเราสองคนแล้วก็แต่งเพลงนี้ขึ้นมาเลยนะ" เขาแตะปุ่มเปิดเทป อย่างกระตือรือร้น สีหน้าเขาระบายยิ้มสดชื่น

'กว่าจะเลิกงานก็นานเต็มที กะไว้วันนี้ไปที่เดิมเช่นก่อน
โทรนัดเธอเพื่อความแน่นอน ตอนเย็นค่อยเจอเธอคงว่างใช่ไหม๊'

ฉันฟังเพลงของเขาแล้วก็อมยิ้มอย่างเป็นสุข

"เอ่..ถ้าเอาเพลงนี้ไปเสนอค่ายเทปไหน ใครเขาอยากจะรับกันนะเพลงแบบเนี๊ยะ" ฉันเย้า

"ไม่มีทาง เอ็มไม่ให้ใครร้องหรอกเพลงนี้ เอ็มจะร้องเอง เอาไว้ให้ปริมฟังคนเดียว"

"แหวะเสียงเพราะตายแล้ว ไม่เห็นอยากฟังเลย" ฉันสัพยอก แต่หน้านั้นยิ้มชื่น เขาแกล้งร้องเพลงของเราแข่งกับเสียงเทป ที่เขาอัดเองร้องเอง เราหัวเราะให้กัน แล้วเขาก็ดึงมือฉันขึ้นไปแนบแก้ม

"เอ็มรักปริมมากที่สุดเลย ปริมเป็นคนที่เอ็มอยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต"

ฉันได้แต่ยิ้ม ก้มหน้าด้วยเขินอาย

เมื่อรถจอดถึงหน้าบ้านฉัน เอ็มโน้มตัวมาหอมแก้มแดงระเรื่อ ฉันยินดี ไม่ขัดขืน คล้ายรอวันนี้มานาน และหอมแก้มเขาตอบ เรามองตากันอย่างแสนรัก และโหยหาวันเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกัน

เรารู้ว่าเราทั้งสองต่างยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน ฉันยังมีภาระต้องส่งน้องเรียน ส่วนเอ็ม ฐานะทางบ้านจัดว่าดี แต่เขายังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง เป็นนักดนตรีอิสระ รับจ้างเล่นตามห้องอัดบ้าง แต่งเพลงให้ค่ายเทปบ้าง เขารักอิสระเกินกว่าจะยอมไปทำงานกินเงินเดือน

หลังทานอาหารในค่ำนั้นเรียบร้อย เขาเล่นกีต้าร์ และร้องเพลงที่เพิ่งเรียบเรียงเสร็จให้ฉันฟัง ฉันยิ้มปลื้มและทึ่งในพรสวรรค์ของเขา แล้วเราก็ร้องเพลงด้วยกันหลายเพลง ทุกเพลงล้วนเป็นเพลงที่เราชอบ โดยมีเขาทั้งร้องทั้งเล่นกีตาร์ Hotel California ของ The Eagles , More Than Word ของ Extreme และมาถึง Without You ของ Mariah Carey พอถึงเพลงนี้เขาบอกว่าขอเปิดซีดี คลอตามเพราะ "เอ็มทนฟังเสียงปริมไม่ไหว" แล้วเปิดปากหัวเราะร่า

ฉันกระเง้ากระงอดโถมตัวเข้าไปหมายจะทุบไหล่เขาให้จั๋งหนับ ทว่ากลับถูกเขาดึงแขนทั้งสองไว้แล้วรวบตัวฉันเข้ามากอด ฉันอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างแนบแน่นที่สุด….เป็นครั้งแรก รับรู้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่รดลงบนใบหน้าของฉัน แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามธรรมชาติหลังสัมผัสริมฝีปากอุ่น….เนิ่นนาน

ไม่หรอก ฉันไม่ร้องไห้เสียใจเหมือนนางเอกหนังไทยเลย ตรงกันข้ามฉันกลับรู้สึกอบอุ่น วางใจ นี่เป็นการพิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่า ฉันรักเขามากเพียงใด คืนนั้นฉันบอกตัวเองว่าฉันจะรักเขาคนเดียว และในชีวิตนี้จะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ฉันยินยอมให้ล่วงล้ำเส้นได้ แม้จะเป็นสิ่งไม่ควรสำหรับสังคมไทยก็ตาม

"ปริม เราแต่งงานกันนะ" เขาบอกกับฉันซื่อๆ ง่ายๆ หลังจากคืนนั้น "เอ็ม ตกลงจะไปเป็นนักดนตรีสังกัดค่ายแล้วล่ะ อย่างน้อยก็มีเงินเดือนประจำ รายได้ก็ดีเลยล่ะ เราจะได้เก็บเงินไว้ซื้อบ้านหลังเล็กๆอยู่ด้วยกันไง"

ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข ฉันซุกตัวเขาอ้อมกอดเขาอีกครั้ง กอดเขาแนบแน่นอย่างรักใคร่และหวงแหน เขาจูบหน้าผากฉันอย่างอ่อนโยน รับรู้ได้ถึงความรักผ่านสัมผัสนั้น
……………..

เขาเข้าทำงานประจำได้หลายเดือนแล้ว เราเริ่มออกตระเวนดูบ้าน ที่เปิดโครงการใหม่ เราฝันร่วมกันที่จะจัดตกแต่งห้องแบบนั้น แบบนี้ แต่ในที่สุดก็ไม่มีที่ไหนถูกใจเราสักที่ จนฉันรู้สึกร้อนใจ ด้วยอยากอยู่กับเขาอย่างจริงๆจังๆสักที ฉันยอมรับว่า ฉันไม่อยากนอนคนเดียว ยิ่งระยะหลังเขาทำงานหนัก เวลาพบกันแทบจะไม่มี จากที่เคยเจอกันทุกวัน กลายเป็น 3 วัน ครั้ง แล้วเป็นอาทิตย์ละครั้ง กระทั่งเดือนละครั้ง และเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป

ฉันฟุบหน้าลงกับหมอนน้ำตาร่วง นี่ฉันคงทำให้เขาโกรธ รำคาญใจมากเลยใช่ไหม ฉันคงต้องไปหาเขา ไปขอโทษ ฉันรู้ว่าถ้าเขาเห็นฉันร้องไห้เขาต้องหายโกรธ และโอบกอดฉันเหมือนเคย

ไม่กี่นาที ฉันจึงพาตัวเองมาถึงที่บ้านเขา 'อย่ากดกริ่ง'ฉันบอกตัวเอง อาจจะทำให้เขาเสียสมาธิ

ฉันค่อยๆผลักบานประตูห้องที่ถูกดัดแปลงเป็นสตูดิโอส่วนตัวของเขาอย่างแผ่วเบา

ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว และเสียงลมหายใจหอบกระชั้น พลันหัวใจฉันเต้นระทึก มือไม้สั่นเทากับภาพที่เห็นตรงหน้า

ผู้ชายที่ฉันรัก ผู้ชายที่ฉันชื่นชมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับสาวแรกรุ่น ฉันจำได้ว่าเคยเห็นภาพเธอในหนังสือพิมพ์หน้าบันเทิง เธอกำลังเตรียมตัวเป็นศิลปินในค่ายเทปที่คนรักของฉันทำงานอยู่ เพื่อนๆเคยพูดว่ามีข่าวซุบซิบว่าเธอกำลังมีความสัมพันธ์กับหนุ่มนักดนตรีร่วมค่าย แต่ฉันไม่เคยใส่ใจว่าเป็นใคร แต่ในที่สุดได้เห็นด้วยสองตาของตัวเอง

ฉันยืนนิ่งตัวแข็งเหมือนถูกสะกด เมื่อเขาถอนริมฝีปาก'ที่เคยสัมผัสฉัน' ออกจากเด็กสาวคนนั้น แล้วถึงเหลือบมาเห็นฉัน ฉันยังจำได้ ใบหน้าเขาซีดเผือดลงทันที รีบผละจากร่างอวบอิ่มนั่น ครางชื่อฉันเบาๆ

น้ำตาฉันไหลซึมออกมาช้าๆ 'ฉันรู้ถ้าเขาเห็นฉันร้องไห้เขาต้องหายโกรธ และโอบกอดฉันเหมือนเคย' แต่เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์โกรธ และฉันก็ไม่ต้องการอ้อมกอดของเขา

ฉันเดินจากที่นั่นมาอย่างเลื่อนลอย โบกแท๊กซี่ที่แล่นผ่านมากลับบ้านทันที

No I can't forget tomorrow
When I think of all my sorrow
When I had you there
But then I let you go
And now it's only fair
That I should let you know
I can't live if living without you
I can't live
I can't give anymore
I can't live

เสียงเพลงแห่งความหลังแว่วผ่านมาตอกย้ำอีกครั้ง ฉันซุกหน้ากับหมอนที่เปียกชื้น ฉันเอาแต่นอนซมร้องไห้เขียนบันทึกคร่ำครวญถึงความรักที่แตกสลาย กอดตัวเองในคืนเหงากับหัวใจดวงร้าว ไม่มีอีกแล้วเรื่องราวระหว่างฉันกับเขา ไม่มีเสียงเพลงที่เขาแต่งให้ฉัน ไม่มีเสียงเพลงที่ร้องร่วมกัน เพราะเขาลืมสิ้นทุกคำที่พูดไว้ เขาทรยศ ขยี้หัวใจฉันอย่างไม่ใยดี ความฝันที่เคยมีสลายไปหมดแล้ว เจ็บปวด เคว้งคว้าง ไม่รู้จะดำเนินชีวิตอย่างไรดีกับวันพรุ่ง ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

วันคืนผ่านไปเป็นเดือน เป็นปีฉันมีชีวิตอยู่อย่างซังกะตาย เหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ พยายามฮึดสู้เอาชนะแต่พอกลับถึงบ้าน เข้าห้องนอนทีไร ภาพเก่าๆก็พลันปรากฏเข้ามาในห้วงคำนึง ฉันกรีดร้องในใจ ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันทนสภาพนี้ไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นเดินออกจากห้องนอน

"ปริม กินข้าวหรือยังลูก ยายตำน้ำพริกแมงดาที่หนูชอบไว้ให้นะ" เสียงของยายร้องบอก เมื่อฉันก้าวลงบันไดขั้นสุดท้าย เออหนอ มีคนรัก และห่วงใยฉันอยู่ใกล้ๆแท้ๆ แต่ฉันกลับไม่ยอมเหลียวมาดู มัวแต่เฝ้าฟูมฟาย ถึงสิ่งที่เรียกคืนมาไม่ได้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉันปาดน้ำใสๆที่ปริ่มอยู่ขอบตา แล้วตรงเข้าไปกอดยาย

มืออันเหี่ยวย่นลูบไล้ไปทั่วศีรษะ ยายไม่ถามสักคำว่าฉันร้องไห้เพราะเหตุใด หากโอบกอดด้วยความรัก สัมผัสนี้ต่างหากที่อุ่นไปถึงหัวใจและรับรู้ได้ว่าจะไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าจะกี่เดือน กี่ปี

จากวันนั้น ฉันเริ่มส่องกระจกมองดูตัวเอง ฉันปล่อยให้ชีวิตจ่อมจมกับความเศร้ามานานเกินไปแล้ว ฉันมัวเอาชีวิตไปผูกไว้กับผู้ชายแย่ๆคน แค่เขาย่ำยีหัวใจก็เจ็บช้ำพอแล้ว นี่ฉันยังปล่อยให้เขาถึงชีวิตทั้งชีวิตไปอีกหรือ ชีวิตเป็นของฉันนะ ฉันยังมีความฝัน มีอะไรที่ต้องทำอีกมากมาย ยังมีอีกหลายคนรอบข้างที่พร้อมจะให้ความรัก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะกับฉัน ใช่ฉันควรตั้งต้นชีวิตใหม่ ฉันจะไม่ให้อดีตมาทำลายปัจจุบัน และอนาคตของฉันอีกต่อไปแล้ว มันก็แค่เหตุการณ์ เหตุการณ์หนึ่ง …ใช่และมันก็จะผ่านไป

'เป็นเพราะมัวดำดิ่งในวังวนแห่งความเศร้า จึงทำให้เราหมองหม่นอยู่อย่างนี้ หากเพียงแค่แหงนมองขึ้นไปบนฟ้า ดีดตัวให้พ้นจากทะเลน้ำตา ฟ้าสดใสยังรออยู่ข้างหน้า ดวงดาวอีกร้อยพันดวงรอให้เราเอื้อมมือคว้า อย่าเสียเวลาว่ายวนในทะเลดำมืดนี้อีกต่อไปเลย…. ก็แค่ลุกขึ้นมา แล้วเดินออกมานอกห้องเท่านั้น' ฉันจรดถ้อยคำลงในสมุดบันทึก…หน้าสุดท้าย
……………

วันนี้ ฉันสามารถปรับเสียงเพลง Without You เพลงโปรดของฉันให้ดังขึ้นได้แค่ไหนก็ได้เท่าที่ใจต้องการ .ซ้ำยังร้องคลอตามไปได้โดยไม่รู้สึกหม่นเศร้า แต่วันนี้เนื้อร้องเพลงนี้สำหรับฉันได้เปลี่ยนไปแล้ว

I can live if I have to live without you
I can live
I can live anyway!

ฉันหัวเราะ และส่ายหน้าให้กับอดีตอันเจ็บปวด ถึงอย่างไรฉันก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และคนรอบข้างที่รักฉัน ไม่มีประโยชน์แล้วที่ฉันจะเก็บความทุกข์มาอัดไว้ในหัวใจ ฉันยิ้มยินดีกับตัวเองที่สามารถซ่อมหัวใจดวงร้าวของตัวเองให้กลับมาเข้มแข็งและใช้การได้ดีเหมือนเดิม
…………………………..


copyright ©2001 by Isariya C

กลับไปด้านบน