โดย ริยา
ถ้าฉันยังมีงานทำ ฉันคงไปทำแล้ว ถ้าวันจันทร์นี้ เป็นเหมือนวันจันทร์ที่แล้ว ฉันคงต้องรีบออกไปทำงาน ไม่มีโอกาสมานั่งแกว่งขาเล่นอยู่ตรงระเบียงบ้านอย่างนี้หรอก
เมื่อเย็นวันศุกร์ ฉันคิดหาเหตุผลอยู่นานว่ากลับบ้านแล้วจะบอกกับพ่อแม่อย่างไรดีว่า ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไปฉันไม่ต้องมาทำงานแล้ว บริษัทที่ฉันฝากผีฝากไข้มายาวนานถึง 8 ปี จากตำแหน่งพนักงานตัวเล็กๆทำงานสารพัด ไต่เต้ามาถึงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์เป็นตำแหน่งสุดท้าย เหตุใดชีวิตการทำงานของฉันถึงต้องมีวันนี้
ภาพบริษัทในความทรงจำของฉันนับแต่เริ่มต้นช่างน่าประทับใจยิ่งนัก หลังจากเรียนจบก็ย่ำต๊อกหางานอยู่จนท้อแท้ พลันก็มีบริษัทเล็กๆบริษัทหนึ่งเรียกฉันไปสัมภาษณ์ และฉันก็ได้งาน ออฟฟิศเป็นตึกแถว 2 คูหา จากบริษัทนายหน้ารับขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ ก็มีแผนจะทำโครงการก่อสร้างของตัวเอง นี่คือเหตุผลที่ต้องเสริมทีมประชาสัมพันธ์ ฉันจึงได้เข้ามาเริ่มงานที่นี่ ฉันยิ้มเมื่อนึกถึงภาพวันทำงานอันแสนอบอุ่นเมื่อครั้งนั้น
"บริษัทเรายื่นเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้แล้วนะ คงต้องทำงานกันหนักหน่อย" พี่รุ่ง บอกกับทุกคนในการประชุมฝ่ายขายและการตลาด
ฉันรู้เรื่องนี้มาก่อนหน้านี้แล้วล่ะ เพราะตอนนั้นฉันมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย จึงมีโอกาสเข้าประชุมกับบรรดาผู้บริหารบ่อยครั้ง
เราเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน จะได้มีเงินมาทำโปรเจคดีๆให้ขายกันคล่องๆ ดีไหมจ๊ะปุ๊ก" พี่รุ่งพูดพร้อมแซวปุ๊ก เซลส์คนใหม่ที่ยังไม่มียอดขาย พวกเราในห้องฮากันครืน เพราะปุ๊กมักให้เหตุผลที่ไม่สามารถปิดการขายได้ว่า โครงการคอนโดหรูของเรายังหรูเลิศอลังการสู้โครงการของคนอื่นๆเขาไม่ได้
พี่รุ่งมักชอบแหย่ทีเล่นทีจริงกับลูกน้องแบบนี้เสมอ "เป็นวิธีหลอกด่าที่ฉลาดมาก" บอย หนุ่มมาดแมนใจหญิง จีบปากจีบคอเม้าท์กับเพื่อนๆ แต่พวกเราทุกคนก็รักและเทิดทูนบูชาพี่รุ่งสุดๆ เพราะเธอเป็นผู้หญิงทำงานที่เข้มแข็ง รักลูกน้อง รักงาน และรักบริษัท พี่รุ่งทุ่มเทให้กับงานราวกับว่าเป็นบริษัทของตัวเอง
"โอ้ย ก็พี่รุ่งแกเป็นรุ่นก่อตั้งบริษัท ทำงานกับนายใหญ่มาตลอด แกดูตำแหน่งสิผู้ช่วยเอ็มดี นะโว้ย ไม่ทำงานสายตัวแทบขาดแบบนี้ได้ไงล่ะ" เสียงนังบอยของพวกเราในความทรงจำ ยังแว่วเข้ามาในโสตประสาท
ก่อนวันเปิดขายหุ้น เราทำงานกันกันมาก ฉันตรวจปรู๊ฟหนังสือคู่มือการจองหุ้น หนังสือประวัติบริษัทจนตาลาย ไหนจะต้องส่งข่าวเรื่องการเปิดจอง จัดงานแถลงข่าว ต้องให้ข้อมูลบรรดาฝ่ายขาย ที่ต้องผันมาช่วยงานชั่วคราวในการให้รายละเอียดการขายหุ้นบริษัท วุ่นวายสารพัด ช่วงนั้นรู้สึกว่าจะทุ่มเทให้บริษัทแบบใจเกินร้อยเลย แทบจะนอนค้างที่บริษัท แทบจะทะเลาะกับพ่อแม่ ดีว่าโม้ไว้ว่าบริษัทจะแจกหุ้นให้กับพนักงานด้วย ได้ยินพ่องึมงำว่าอย่ากลับดึกมากละกัน เป็นห่วงกลัวจะไม่ทันอยู่ได้หุ้น ตอนนั้นฉันยังแอบยิ้มในคำพูดของพ่อ บริษัทเรา เปิดขายหุ้นแบบแรนดอมด้วยนะ เก๋ไม่เบา ตอนนั้นตลาดหุ้นกำลังเฟื่อง ใครๆก็อยากซื้อหุ้นแบบราคาเริ่มต้นกันทั้งนั้น พอมีคนสนใจมากเราก็ต้องให้เฉพาะรายที่โชคดี แรนดอมจริงบ้างไม่จริงบ้างนั่นแหละ แต่วิธีที่เก๋กว่า ก็คือ ใครจะจองหุ้นก็ต้องชำระเงินมาก่อน ถ้าไม่ได้หุ้นก็ค่อยมารับเงินคืนทีหลัง (หลายวันเหมือนกันกว่าจะได้) ฉันก็ได้หุ้นเหมือนกัน หลายร้อยหุ้นอยู่หรอก บริษัทให้ขายคืนได้ พอบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว ฉันคอยเปิดหนังสือพิมพ์ทุกวันเลยว่าหุ้นของเราจะขยับไปกี่บาท ช่วงต้นก็เป็นหุ้นน้องใหม่มาแรงเหมือนกัน มูลค่าหุ้น 10 บาท เปิดขาย 25 บาท พอเข้าตลาด ทำราคาขึ้นไปได้ถึง 38 บาท แล้วก็ค่อยๆแรงขึ้น แรงขึ้น แต่ลองดูวันนี้สิหลุดกระดานไปนานแล้ว วันชื่นคืนสุขมันอยู่กับเราไม่นานจริงๆ
แว่บแรกที่ปรายตาไปมอง ฉันไม่คิดจะซื้อหรอก หากใบหน้าคล้ำแดด มีเหงื่อไหลย้อยตกตามร่องรอยเหี่ยวย่น ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิด ชีวิตคนทำไมช่างลำบากลำบนอย่างนี้นะ ฉันครางอยู่ในใจ อายุปูนนี้แล้วยังต้องมาเดินตากแดดขายของ ขาของยายโค้งงอลงตามวัยชรา จะลุก จะนั่ง เดินเหินก็เชื่องช้า วัยนี้แกควรจะได้อยู่บ้านพักผ่อน มีลูกหลานคอยดูแล แต่แกยังต้องทำงานหนักอยู่เลย ไม่รู้ว่าแกต้องเลี้ยงใครอีกหรือเปล่า ถ้าลำพังเลี้ยงตัวคนเดียวก็ยังดีหรอก คะเนจากขนมที่กระเดียดมาแล้ว คงได้ไม่มากนัก จัดอยู่ในประเภทเศรษฐกิจพอเพียง ได้หรือเปล่า หรือจะเป็นประเภทเศรษฐกิจไม่พอเพียงในบางวัน แต่ที่แน่ๆ รายได้รวมทั้งวันของยายยังไม่ถึง เศษ1 ส่วน 4 ราคาไวน์ของนายเลย ฉันมองตามร่างเล็กๆของยาย ค่อยๆเดินจากไปด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ได้แต่สะท้อนใจหากวันหนึ่งที่ฉันอายุเท่านี้ แล้วก็ไม่มีงานอย่างตอนนี้ ฉันจะทำอย่างไร ถ้าฉันไม่มีจะกิน และยังพอมีแรงกระเดียดขนมไปขายอย่างยายได้ ฉันก็คงต้องทำให้ได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็คงอดตาย นับว่าโชคดีที่ได้เห็นชีวิตของยายเป็นตัวอย่างแล้วคิดได้ในตอนที่ยังแข็งแรงดีอยู่ เรายังมีเวลาต่อสู้ชีวิตอีกนาน
"เฮ้อ " ฉันถอนหายใจระทดระท้อ เกิดมาแล้วต้องเหน็ดเหนื่อยมากมาย ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางให้มีชีวิตอยู่ต่อ แล้วจะเกิดมาเพื่ออะไรกันนะ
"เกิดมาเพื่อเรียนรู้ไง" เสียงหนึ่งในใจตอบฉัน "รู้จักชีวิต ให้ปลงให้ได้ ตัดกิเลสให้ได้ ถ้าหมดกังวลไม่ยึดติดอะไรบนโลกนี้แล้ว จิตเธอก็ไม่มีห่วงกังวลให้กลับมาเกิดอีกแล้ว" "แล้วฉันต้องไปบวชรึเปล่า ฉันเป็นผู้หญิงบวชไม่ได้หรอก ฉันไม่อยากโกนหัวบวชชีนะ เดี๋ยวคนนินทาว่าฉันคงมีทุกข์มาก" "ถ้ายังคิดไม่ได้แบบนี้ ไม่ต้องบวชหรอก เธออย่าไปติดยึดกับภาพอดีตมากนัก ยอมรับกับสิ่งที่เกิดในปัจจุบันให้ได้สิ" "โอ้ย ฉันว่าฉันฟุ้งซ่านมากไปแล้วล่ะ" "นี่ไม่ใช่ความคิดฟุ้งซ่านนะ แต่เป็นความจริงที่เธอควรทำมากกว่า" "งั้นเหรอ"
ถ้าวันนี้ฉันยังมีงานทำ ฉันคงไม่ได้มานั่งทะเลาะกับตัวเองอย่างนี้หรอก วันนี้ฉันคงได้นั่งคิดประเด็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือไม่ก็แผนประชาสัมพันธ์ เผื่อว่าห้องที่เหลือในโครงการอาคารชุดของเราจะขายได้เพิ่มอีก บริษัทจะได้มีเงินมาปลดภาระหนี้ อย่างน้อยหากเราทำได้ ร่วมมือร่วมใจกันอีกสักครั้ง ขายโครงการได้หมดภายในเดือนนี้ เดือนหน้าบริษัทเราคงไม่ต้องยื่นหนังสือล้มละลาย แต่คงช้าไปแล้ว เพราะฉันเพิ่งส่งข่าวแจกเรื่อง บริษัทแจ้งล้มละลาย ไม่มี บริษัท เรียลเอสเตท โปร จำกัด มหาชน อีกต่อไป