เรื่องแปล | กลับไปContent | ไปหน้าบ้าน | เรื่องถัดไป

กลมกลืน

แปลจาก "Solidarity" ของ Italo Calvino
โดย ริยา

ผมหยุดมองดูพวกเขา
พวกเขากำลังทำงานกันอยู่ท่ามกลางความมืด บนถนนสายเปลี่ยว ทำอะไรสักอย่างกับประตูปิดหน้าร้านค้า

มันเป็นประตูที่หนักเอาการ พวกเขาใช้ท่อนเหล็กแทนชะแลงงัด แต่ประตูก็ยังไม่ขยับเขยื้อน

ผมกำลังเดินเตร่ไปเตร่มาตามลำพัง ไม่มีจุดหมายปลายทางที่ไหน ผมเลยเข้าไปร่วมดึงท่อนเหล็ก ช่วยเขา อีกแรงหนึ่ง แล้วพวกเขาก็ขยับที่ให้ผม

เราไม่ได้ออกแรงดึงพร้อมๆกัน ผมเลยร้องบอก “เอ้า ยก” คนที่อยู่ทางขวามือ เอาข้อศอกกระทุ้งผม แล้วพูด เสียงเบาๆ “หุบปากน่า แกจะบ้าหรือเปล่าวะ อยากให้พวกมันได้ยินเราหรือไง”

ผมสั่นหัวเป็นเชิงว่า ผมเผลอหลุดปากไป

พวกเราใช้เวลาออกแรงสักครู่ใหญ่ จนเหงื่อออกมาเปียกชุ่ม แต่ในที่สุด เราก็งัดบานประตูเลื่อนขึ้นไปได้สูง พอที่จะลอดเข้าไปได้ พวกเรามองหน้ากันอย่างพึงพอใจ แล้วก็ลอดผ่านประตูเข้าไป ผมรับกระสอบมาถือใบหนึ่ง คน อื่นๆ ก็เอาข้าวของมาใส่ไว้

“ยังมีเวลาจนกว่าไอ้พวกตำรวจตัวสกั๊งค์ ยังไม่โผล่หัวมา” พวกเขาพูดกัน

“ใช่” ผมพูดบ้าง “พวกมันเหมือนสกั๊งค์จริงๆ” “เฮ้ยเงียบ แกไม่ได้ยินเสียงคนเดินหรือวะ” พวกเขาพูดทุก2-3 นาที ผมฟังอย่างตั้งใจ กึ่งๆกลัวนิดหน่อย “ไม่หรอก ไม่ ไม่ใช่พวกมัน” ผมบอก

“ไอ้พวกนั้น มันมักจะมา ตอนที่แกไม่คาดคิดเสมอล่ะ”

ผมส่ายหัว “ถ้าอย่างนั้นก็ ฆ่ามันให้หมดไปเลย” ผมตอบ

แล้วพวกเขาจึงบอกให้ผมออกไปข้างนอกระยะไม่ไกลมาก แค่ตรงหัวมุม ดูลาดเลาว่ามีใครมาหรือเปล่า ผม เลยออกไป

ข้างนอก ตรงหัวมุม มีคนกลุ่มอื่นกำลังเดินเลาะเลียบกำแพง ตรงมาที่ผม ซึ่งซ่อนตัวอยู่ตรงทางเข้าประตู

แล้วผมก็เข้าไปรวมกลุ่มกับเขา

“เสียงดังมาจากข้างล่าง ใกล้ๆกับร้านค้าทางโน้น” คนที่อยู่ถัดจากผมพูด

ผมมองดู

“ก้มหัวลงมาสิ ไอ้งั่ง เดี๋ยวพวกมันเห็นเราเข้า ก็จะหนีรอดไปอีก” เขาพูดน้ำเสียงเดือด

“ข้ากำลังมองดูอยู่” ผมอธิบาย และหมอบลงข้างกำแพง

“ถ้าเราล้อมกรอบมันได้โดยที่พวกมันไม่รู้ตัว” อีกคนพูดขึ้น “ที่นี้พวกมันก็จะติดกับ พวกมันมีกันไม่มาก หรอก”

พวกเราเคลื่อนตัวกระจายกันออกไป เดินด้วยปลายเท้า สะกดลมหายใจ ทุก 2-3 วินาที เราเหลือบมองกัน นัยน์ตาเป็นประกาย

“พวกมันหนีไม่รอดแน่ คราวนี้” ผมบอก

“ในที่สุด พวกเราก็จะจับมันได้คาหนังคาเขา” ใครคนหนึ่งพูด

“ได้เวลาแล้ว” ผมบอก

“ไอ้ชาติชั่ว สารเลวเอ๊ย เสือกพังประตูเข้าไปในร้านได้” อีกคนพูดขึ้น

“ไอ้ชาติชั่ว ไอ้ชาติชั่ว” ผมย้ำเสียงขุ่นแค้น

พวกเขาส่งผมออกหน้าไปเล็กน้อย เพื่อให้ไปดูลาดเลา ผมเลยได้กลับเข้ามาในร้าน

“พวกมันจับเราไม่ได้แล้วตอนนี้” คนหนึ่งพูดขึ้นขณะเหวี่ยงกระสอบพาดขึ้นบ่า

“เร็วเข้า” อีกคนร้องบอก “ออกทางข้างหลังดีกว่า ไปทางนั้นพวกเราจะหนีรอดไปจากปลายจมูกมันเลยที เดียว”

รอยยิ้มอย่างมีชัยปรากฏ บนริมฝีปากของพวกเราทุกคน

“พวกมันจะต้องเจ็บปวดแสนสาหัสเลยล่ะ” ผมพูด แล้วพวกเราจึงแอบหลบเข้าไปทางหลังร้าน

“เราหลอกไอ้งั่งพวกนั้น ได้อีกแล้ว” พวกเขาพูดกัน แต่ทันใดก็มีเสียงดังขึ้น “หยุดนะ ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” แล้ว มีแสงไฟส่องมา พวกเราหมอบลงข้างหลังอะไรสักอย่าง แต่ละคนหน้าซีด พยายามยึดมือกันไว้ กลุ่มคนกลุ่มอื่นเข้า มาที่ห้องด้านหลัง มองไม่เห็นพวกเรา แล้วก็เดินกลับไป พวกเราเผ่นพรวดออกมา วิ่งหนีกระเจิดเจิง “เราทำสำเร็จ แล้ว” พวกเราร้องตะโกน ผมสะดุดล้มไป 2 ครั้ง จนตกไปอยู่รั้งท้าย ผมจึงพบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มที่วิ่งไล่ตามพวกนั้น

“มาเร็ว” พวกเขาร้องบอก”เรากำลังจะไล่ตามมันทันอยู่แล้ว”

แล้วทุกคน ก็วิ่งแข่งกันไปบนถนนแคบๆ ไล่ตามพวกมัน “วิ่งมาทางนี้ จะตัดตรงไปทางนั้น” เราบอกกัน ทีนี้ พวกมันก็นำหน้าอยู่ไม่ไกลแล้ว เราจึงร้องตะโกนกันขึ้น “มาสิพวกมันหนีไม่รอดแล้ว”

ผมพยายามไล่ตามหนึ่งในพวกมัน เขาร้องบอกผมว่า “ดีมาก แกหนีรอดแล้ว มาทางนี้เราหลบมันพ้นแน่” แล้วผมก็วิ่งไปกับเขา หลังจากนั้นสักพัก ผมพบว่าตัวเองอยู่คนเดียวในตรอกแห่งหนึ่ง ใครบางคนวิ่งวนอยู่ตรงหัวมุม ถนน แล้วบอกว่า “มานี่ ทางนี้ ข้าเห็นมัน พวกมันยังหนีไปได้ไม่ไกล” ผมวิ่งตามเขาไปสักพักหนึ่ง

จากนั้น ผมจึงหยุดวิ่ง เหงื่อไหลออกมาชุ่มโชก ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว ผมไม่ได้ยินเสียงตะโกนอะไรอีกเลย ผม ยืนเอามือล้วงกระเป๋า แล้วเริ่มออกเดินตามลำพังไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายปลายทางแห่งใด