[ HOME ] [ สารบัญ ]

The Iron arm : ตามหาแขนเหล็ก Part. 1


กลางราตรีที่สวยงาม พระจันทร์นั้นเต็มดวง ส่องสว่างไปทั่วทุกมุมเมือง ร่างหนึ่งกระโดดไหวๆไปตามหลังคาเมือง เสื้อโค้ทสีดำยาวเกือบเข่าสะบัดไหวไปข้างหลัง

ชายหนุ่มผมสีน้ำมันจักรหยุดยืนอยู่บนยอดหอคอยสูงกลางเมือง เขาก้มมองลงไปในเมือง เพื่อสังเกตไปทั่วทุกบริเวณราวกับจะไว้อาลัยก็ไม่ปาน… แต่หลังจากยืนอยู่ไม่นานนัก เขาก็โยนเชือกเส้นหนึ่งคล้องยอดหอคอย ก่อนที่จะโหนตัวเองเข้าไปในหอคอย

เสียงปลายเท้าของชายหนุ่มกระทบพื้นดังตุ้บ ชายหนุ่มย่อตัวเล็กน้อย ก่อนยืดตัวยืนอย่างมั่นคง เขาล้วงนาฬิกาแบบเปิดฝาออกมาจากกระเป๋าอย่างช้าๆ พลางดีดฝาเปิดออก

"23 นาฬิกา 55 นาที" เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาคล้ายพูดกับตัวเอง หลังจากนั้นจึงสอดนาฬิกาเก็บเข้าไปในกระเป๋าเช่นเดิม แล้วเอนหลังพิงเสาต้นหนึ่ง ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเท้าระเบียง ข้างหนึ่งเป็นแขนจริงแต่อีกข้างหนึ่งเป็นแขนไม้….

ชายหนุ่มปริศนายืนไขว้ขาเคาะพื้นเป็นจังหวะ เขาเคาะปลายเท้ากับพื้นไปเรื่อย แววตาเลื่อนลอย จนกระทั้งเสียงนาฬิกาสุดชั้นล่างของหอคอยตีบอกเวลาเที่ยงคืน หนุ่มแปลกหน้าจึงค่อยผินใบหน้าไปช้าๆไปทางบันไดเวียนทางขึ้นของหอคอย

เสียงวิ่งขึ้นบันไดดังก้องเมื่อผสมกับเสียงหอบของเจ้าของเท้าแล้ว ทำให้หอคอยที่เงียบเชียบมีสีสันมากขึ้นทีเดียว

"ขอโทษ!" เสียงร้องปนเสียงกระหืดกระหอบดังขึ้น ร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่ออกมาจากเงามืดด้านบันไดขึ้น

"ผมมาช้า…ไป…หรือเปล่า? คุณเทร…เวน" ชายผู้มาใหม่พูดขาดเป็นห้วงๆ

"ไม่ครับ ตอนนี้เที่ยงคืนตรง" ผู้ที่ถูกเรียกว่าเทรเวนตอบ ทั้งคู่นิ่งไปช่วงครู่ก่อให้เกิดความเงียบสงัดในหอคอย ชายวัยกลางคนค้นอะไรบางอย่างออกจากเสื้อของเขา มันคือกระดาษโน้ตสีขาดสะอาดแผ่นหนึ่ง

"คุณฝากไอ้นี่ให้ผมตอนเย็นใช่ไหมครับ คุณเทรเวน"

"ใช่"

"อา…ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เพิ่งเสร็จเมื่อสักครู่เอง แล้วผมก็รีบบึงมาที่นี่ทันทีเลย" ชายวัยกลางคนชายตาขึ้นสบคู่สนทนา

"คุณต้องการข่าวแทนค่าจ้างจริงๆหรือ?"

"ผมจัดการเรื่องตุ๊กตาประหลาดของลูกสาวคุณตามข้อตกลงของเราแล้ว ผมมีสิทธิ์จะเรียก" เทรเวนตอบ

"งั้นก็ตามใจ" อีกฝ่ายล้วงซองสีขาวขึ้นมาจากกระเป๋าอีกซอง

"ข่าวเรื่องแขนกลไกอยู่ในนี้แล้วล่ะ" เขาส่งซองขาวให้เทรเวน

"ขอบคุณ"

"เออ…ผมว่าแขนไม้ของคุณก็ดีแล้วนา อย่าไปเสี่ยงเอาแขนกลไกนั้นเลยครับคุณเทรเวน ที่นั้นไม่มีคนที่เข้าไปโดยพลการแล้วออกมาได้สักคน!" ชายกลางคนตักเตือน ขณะที่เทรเวนแกะซองจดหมายออกอ่าน เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้แก่วัยกว่า

"ผมไม่ต้องการแขนไร้ประโยชน์อย่างนี้…" เขามือชี้ไปที่แขนไม้ พลางพูดเรียบๆแต่สุ้มเสียงน่ากลัว "ผมต้องการแขนที่ใช้การได้เหมือนแขนจริง!!!" เขาเค้นน้ำเสียงรอดไรฟัน ทำเอาคู่สนทนาที่สูงวัยกว่าเหงื่อแตกพลั่กๆ

"ครับๆ" ชายกลางคนรับคำ พลางเช็ดเหงื่อ "งั้นผมเห็นทีต้องไปก่อนแล้ว ป่านนี้เมียผมคงรอ"

"เชิญ…" ยังไม่ทันที่จะพูดจบดี ชายผู้มาใหม่ก็กลับไปก่อน เขาหายไปในเงามืดของบันได เสียงวิ่งลงดังหลังจากนั้นไม่นาน มันเป็นราวกับเสียงวิ่งของคนที่กลัวลนลาน เทรเวนปล่อยให้เสียงลงบันไดค่อยเงียบหายไป แล้วจึงกลับมาสนใจกระดาษในมือ…

"ศาลากลางเมืองเมเปิ้ล คือที่เก็บแขนเหล็กกลไกของยอดนักประดิษฐ์หรือ? อืม…" ชายหนุ่มพูดกับตัวเอง แล้วหันหน้าออกไปยังระเบียงที่เขากระโดดเข้ามา ปีนออกไปจับเชือกอีกครั้ง

"น่าสนใจ…"

ร่างของชายหนุ่มที่มีนามว่าเทรเวนเหวี่ยงตัวไปกับเส้นเชือก หายไปในแสงจันทร์แห่งราตรี โดยไม่ถูกผู้คนพบเห็น

#@#@#@#@#@#@#@#


เมืองเมเปิ้ลเป็นเมืองที่รายล้อมไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่ขึ้นเรียงรายตามคันนาทุ่งข้าวสาลีไปตลอดถนนที่ตัดเข้าสู่เมืองเมเปิ้ล

ภายในเองเมืองเมเปิ้ลเต็มไปด้วย ผู้คนที่อยู่อาศัยกันอย่างครึกครื้น ตึกราบ้านช่องตั้งเรียงรายกันมากมาย บ้างก็เก่าอายุร่วมร้อยปี บ้างก็เพิ่งก่อสร้างไม่นาน อิฐยังคงสะอ้านสะอ้านแข็งแรงและยังดูใหม่ ผิดกันกับตึกรามบ้านช่องที่ผ่านกาลเวลานานแล้ว อิฐเริ่มเป็นสีแดงสนิม มีตะไคร่ขึ้นเป็นหย่อมๆ ครั้นตอนเช้า ก็จะมีน้ำค้างเกาะตามตะไคร้เหล่านั้น ยามดวงอาทิตย์สอดส่องแสงลงมากระทบ น้ำค้างก็จะกลายเป็นสีทองระยิบระยับราวกับจะท้าทายแข่งกับรัศมีดวงตะวัน

ส่วนในตัวเมืองก็มีผู้คนขวักไขว้ไปมาครึกครื้นไม่แพ้กับน้ำค้างที่เต้นระบำท้าทายแสงอาทิตย์

เมืองเมเปิ้ลเหมือนเมืองทั่วไป มีร้านค้า มีเกวียนบรรทุกของเทียมวัวสัญจรไปมา แต่ยังต้องคอยหลบไก่ที่ชาวบ้านต้อนออกมาขายในตลาดนัด พากันกระโดดออกมานอกทางเป็นประจำ ไก่พวกนี้ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เฉพาะเกวียนเท่านั้น ยังสร้างปัญหาให้กับรถม้า คนหาบของขาย ตลอดจนผู้สัญจรไปมา ซึ่งนอกจากที่จะต้องคอยหลบฝูงสัตว์ที่พากันวิ่งให้วุ่นแล้ว ยังต้องคอยระวังไม่ให้สะดุดล้มแผ่นหินบนถนนที่มีระดับสูงต่ำไม่เท่ากันอีกด้วย แต่ในความวุ่นวาย ก็ยังมีทั้งเสียงหัวเราะของเด็ก และเสียงร้องตะโกนของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าดังมาไม่ขาดระยะ

เหตุการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน มันผ่านเข้ามาในสายตาของโคน่าจนชินชา เธอมองผู้คนพากันเดินไปมาเพราะกิจธุระด้วยความเหนื่อยหน่าย นิ้วจับดินสอออกแบบเคาะลงบนกระดานวาดภาพเอียงๆ ด้วยจังหวะเนิบๆ อย่างไม่เร็วนัก

โคน่า โอรีอา เป็นลูกสาวของ โคเปีย โอรีอา นักประดิษฐ์สติเฟื่องของเมืองเมเปิ้ล ชายแก่ร่างเล็กท่าทางผอมขี้โรค หลังโกง ศรีษะของเขาเถิกเสียจนจะเรียกว่าล้าน มีเพียงผมสีแดงเป็นกระจุกที่บ้องหูทั้งสองข้างเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นดวงตาหยีเล็กคมและจมูกที่ใหญ่เกินใบหน้า โคเปียเป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป ที่มักรักงานมากกว่ารักบ้านตัวเอง เป็นผลให้แม่ของโคน่าทิ้งเธอไปตั้งแต่โคน่ายังไม่หัดพูด แต่นั้นกลับไม่มีผลอะไรกับโคเปีย เพราะงานเป็นหัวใจของเขา จึงน่าแปลกมากที่โคน่าสามารถโตขึ้นได้อย่างเด็กปกติทั่วไป แม้เธอจะทำอะไรได้ช้ากว่าเด็กทั่วไปก็ตาม

ในสมัยที่โคเปียยังมีชีวิตอยู่ เขาสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เอาไว้มากมาย ทำให้ชาวเมืองเมเปิ้ลทั้งรักทั้งขยาด แต่ความขยาดมีมากกว่า โคเปียนักประดิษฐ์ผู้พ่อของโคน่ามีถิ่นพำนักคือห้องใต้หลังคาของตึกเก่าๆแห่งหนึ่งในเมืองเมเปิ้ล มันมีสภาพโทรมเต็มที หลังคาก็หลุดออกมาจะครบทุกแผ่นอยู่แล้ว ถึงกระนั้นโคเปียและบุตรสาวก็ยังอยู่ที่นั้น เนื่องจากว่ามันมีค่าเช่าถูกมากเสียยิ่งกว่าราคาฟักทองสักกิโลเสียอีก แต่โคเปียก็ใช้บริการอย่างคุ้มเงินเสียไปแต่ละเดือน ไม่ว่าจะเป็นการทดลองแปลกประหลาดในห้องใต้หลังคาตอนเที่ยงคืน เป็นผลให้เกิดเสียงดังไปจนถึงห้องใต้ดิน หรือแม้แต่ตอนที่แอ๊ปเปิ้ลซึ่งวางขายในตลาดนัดเกิดใหญ่เท่าลูกบอลลูนกระทันหันอย่างที่สาเหตุไม่ได้

ทำให้ชาวบ้านตั้งฉายา 'สติเฟื่อง' ต่อชื่อโคเปียทุกครั้งที่เอ่ยถึงเขา ชาวบ้านก็ต่างลำบากลำบนกับสิ่งที่โคเปียวร้างขึ้น จนกระทั้งเคยคิดจะขับไล่นายโคเปียออกจากเมือง แต่ก็ไม่สามารถทำได้สักที ก็คงเป็นเพราะความรักที่มีต่อนายโอรีอาคนนี้นั้นเองโดยเฉพาะความรักที่มาจากนายกเทศมนตรีของเมืองเมเปิ้ล

นายกเทศมนตรีมอริส เป็นนายกเทศมนตรีของเมืองเมเปิ้ล เขามีหนวดกระจุ๋มกระจิ๋มที่ใต้จมูก งอนเป็นเงาเรียบแป ซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันเกี่ยวกับอะไรกับการที่ทำให้เขาไม่มีคอหรือเปล่า? มอริสยังเป็นคนใกล้สติเฟื่องที่เข้ากันได้ดีกับนายโคเปียทีเดียว

มอริสชื่นชมโคเปียค่อนข้างมาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยยอมเสียเงินแม้แต่แดงเดียวให้กับโครงการประหลาดๆของโคเปีย สิ่งที่เขาสนใจคือสิ่งประดิษฐ์กลไกฟันเฟื่องประหลาดของโคเปียเท่านั้น

เป็นที่รู้กันว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งโคเปียได้รับว่าจ้างให้ออกแบบกลไกในศาลากลางเมืองเมเปิ้ล สร้างความยากลำบากเมื่อพวกขโมยคิดจะเข้าไป โคเปียทำงานที่ได้รับเป็นอย่างดี กล่าวกันว่าคนที่ถือพลการเข้าไป ไม่มีใครเลยที่สามารถกลับออกมาได้อีก งานนี้โคเปียได้รับค่าตอบแทนจำนวนมากจากนายกเทศมนตรี ทำให้เขาอยู่สุขสบายไปชั่วระยะหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องจนลงอีกเพราะนิสัยใช้เงินไม่เป็น

สมัยนั้นโคน่าต้องเริ่มช่วยงานของพ่ออันเนื่องมาจากฐานะยากจน ถึงกระนั้นก็ช่วยได้แค่อยู่ไปวันๆ ไม่สามารถช่วยโคเปียที่ล้มป่วยลงในเวลาต่อมา ร่างกายทรุดโทรมอยู่เป็นนานปี และเสียชีวิตลงในอีกหลายปีต่อมา ทรามกลางลูกสาวและฐานะที่ยากจน สิ่งที่เหลือเอาไว้เป็นมรดกให้แก่โคน่ามีเพียงที่อยู่ใต้หลังคาและกลไกเต็มห้อง

เรื่องนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่มันชัดเจนอยู่ในสมองของโคน่าราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ทุกครั้งที่เธอมองรูปของพ่อที่ติดเอาไว้ที่ผนัง

โคน่าเป็นหญิงผมแดงเช่นเดียวกับบิดา แต่ไม่ได้ล้านเถิกแต่ประการใด ผิวของเธอขาวซีดเนื่องจากไม่ค่อยโดนแดด ตัวผอมเล็กดูขี้โรค มีเพียงมือเท่านั้นที่ดูแข็งแรงราวกับคีมเหล็ก ดวงตาดำสนิทคมกริบ อยู่ขนาบจมูกเรียวเล็กผิดกับของพ่อ

โคน่าอยู่ในห้องใต้หลังคาของตึกมาตั้งแต่เกิด ชินตากับห้องรกๆและเครื่องจักรกลไกที่วางเกลื่อน ทุกๆวันเธอจะนั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนแบบข้างเตียง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามออกแบบเครื่องจักรกลไกเป็นของเล่นออกขาย เพื่อช่วยพยุงฐานะทางการเงินของเธอที่ตกต่ำอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

โคน่าลุกขึ้นจากม้านั่งตัวเก่ากึกที่ใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อ เดินฝ่ากองฟันเฟืองที่วางระเกะระกะ ไปยืนพิงหน้าต่างมองทัศนียภาพเบื้องล่าง มันช่างเป็นคนละโลกกันเหลือเกินในความคิดของโคน่า เหมือนเธอกำลังมองอีกโลกหนึ่งที่เธอไม่ได้อาศัยอยู่ มันประกอบด้วยสีเขียวสดใสและสีทองระยิบระยับ เสียงร้องเพลงและความครึกครื้น ผิดกับโลกสีเทาทึ่มๆที่เธออาศัยอยู่ ที่สร้างขึ้นมาจากความเงียบเชียบ ฟันเฟืองที่หมุนเป็นจังหวะดังเอี๊ยดอ๊าด กลิ่นฝุ่นของห้องเก่าๆ และเสียงอะไรบางอย่างหล่นกระทบพื้นหากหญิงสาวเดินแรงเกินไป

โคน่าดึงเสื้อให้กระชับตัว เธอมองสภาพห้องอีกครั้งพลางถอนใจ อดไม่ได้ที่จะแอบมองไปยังร้านขายพรม ถ้าเธอมีเงินมากกว่านี้อีกสักนิด เธอจะซื้อพรมซักผืน ปูมันเอาไว้กลางห้อง เวลาหนาวก็มานอนบนพรม มันคงทำให้อบอุ่นกว่านอนบนแผ่นไม้ปูผ้าบางๆเป็นแน่ หรือเธออาจมีเก้าอี้นุ่มที่บุด้วยนวมดี เวลานอนคงไม่ทำให้ปวดหลังเท่ากับนอนบนแผ่นไม้ หญิงสาวหัวเราะให้กับความคิดตัวเอง เธอเป็นนักประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยม พ่อของเธอก็เช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังจนอยู่ดี เพราะคนในเมืองนี้พอใจกับความดั้งเดิมที่พวกเขามีอยู่ มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า? ถ้านักประดิษฐ์ที่เก่งกาจอยู่ในเมืองที่เห็นกลไกเป็นของลึกลับน่าเกรงกลัวเหมือนมนต์ดำ นักประดิษฐ์ก็เลยไม่ต่างอะไรไปมากเสียกว่าคนบ้า

หญิงสาวมองไปตามร้านค้าที่เจ้าของต่างออกมายืนหน้าร้าน พากันอวดอ้างสรรพคุณของสินค้ากับลูกค้า เธอมองเลยเข้าไปยังสินค้าในร้าน ทั้งร้านเสื้อผ้าที่มีเสื้อผ้าสวยๆงามๆ มันเป็นความหวังอันสูงส่งของผู้หญิงทีเดียวกับการที่จะได้ใส่เสื้อผ้าสวยงาม ดูชุดราตรีสีบานเย็นนั้นสิ ถ้าเธอจะได้ใส่มันบ้าง เธอจะดูเป็นอย่างไร เธอจะมีสิทธิ์ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงน้ำชาบ้างรึเปล่า? บางทีโคน่าก็หัวเราะความฝันเล็กๆของตัวเอง มันงี่เง่า และฟุ้งซ่านสิ้นดี แต่ทว่าลึกๆ เธอก็ต้องยอมรับ ว่าบางครั้งเธอก็ต้องการจะมีมันบ้างเหลือเกิน แต่มันก็ไม่สามารถเป็นไปได้ไปมากกว่าความฝัน โคน่าไม่เคยใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่ เธอใส่ชุดต่อจากพ่อเสมอ แต่ละตัวหลวมโครกและเปื้อนน้ำมัน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อความฝันนั้นเราสามารถซื้ออะไรก็ได้ แต่พอตื่นขึ้นมามันน่าเจ็บใจ เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วเราไม่มีอะไรเลย…

เสียงนาฬิกายังเดินเป็นจังหวะ แล้วนกตัวเล็กก็กระโดดออกมาจากนาฬิการ้อง 'กุ๊กกู' หลายครั้งก่อนจะถูกดึงหายเข้าไปในนาฬิกาดังเดิม โคน่าสะดุ้งขึ้น ไม่ใช่เพราะเสียงของเจ้านกจากนาฬิกา แต่เป็นเพราะเสียงร้องลั่นโกลาหลจากถนน เธอชะโงกหน้ามองลงไปยังเบื้องล่างที่กำเนิดเสียง

ทันใดนั้นโคน่าก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งออกวิ่งไปตามถนนที่ปูด้วยหิน เสื้อคลุมของเขาปลิวสะบัดคลุมหน้าคลุมตา ขณะวิ่งแต่ที่เป็นจุดเด่นยิ่งกว่าอะไร คือการที่มีคนอีกเกือบโขยงวิ่งตามมาเป็นพรวน ยิ่งเสียงร้องตะคอกไล่ตามหลังชายผู้นั้นแล้วด้วยยิ่งทำให้โคน่าสนใจเหตุการณ์ยิ่งขึ้น

"พวกเขาไล่ตามกันทำไม?" โคน่าพึมพำ "นั้นคุณจอร์จเจ้าของร้านอาหารนี่นา ผู้ชายคนนั้นไปทำอะไรเอาไว้ล่ะเนี่ย?" โคน่าใคร่ครวญ สายตายังไม่ละไปจากเหตุการณ์ตรงหน้า เหล่าผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองดูกันเป็นตาเดียว ชายหนุ่มผู้ถูกตามวิ่งลัดหายไปในซอยแห่งหนึ่ง ขบวนผู้ตามล่าก็ตามเข้าอย่างไม่ลดละ พร้อมๆกับเสียงร้องอื้ออึงวิจารณ์กันสารพัด แต่ไม่นานนัก พวกเขาก็พากันลืมเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วหันมาจดจ่อกับงานของตัวเองอีกครั้ง

ส่วนโคน่านั้นมองดูเหตุการณ์เมื่อสักครู่ตั้งแต่ต้นจนจบ

"งี่เง่าชะมัด" เธอส่ายหน้า ความเซ็งก่อตัวขึ้นโดยที่ไม่สามารถหาเหตุผลทางฟิสิกส์ได้ เธอกลับมานั่งลงบนม้านั่งของตนอย่างเบื่อหน่าย หลังจากนั้นจึงจับดินสอออกแบบวาดแบบต่อ โคน่าเริ่มจมอยู่ในห้วงสมาธิ เธอค่อยๆวาดตัวเฟืองช้าอย่างตั้งอกตั้งใจเกินจำเป็น รู้สึกขุ่นเคืองน้อยลงเมื่อมาอยู่ต่อหน้ากระดาษออกแบบ ใช่แล้วมันนานแค่ไหนแล้วน่ะ นานสักเท่าไหนแล้วตั้งแต่พ่อยังอยู่ น้อยเสียจริงที่โคน่าจะได้เล่นกับพ่อ ในความทรงจำของเธอมีแต่ภาพพ่อที่นั่งอยู่ที่โต๊ะออกแบบ เด็กน้อยโคน่าที่ใส่เสื้อเปื้อนน้ำมัน สองแก้มเปื้อนฝุ่นเป็นดวง สองมือจับเฟืองหลายตัว เธอปามันลงกับพื้น แล้วเดินต้วมเตี้ยมไปหาพ่อ อ้อนให้พ่ออุ้ม โคเปียเหลือบมองลงมายังตัวลูกสาวเพียงชั่วครู่ ไม่แม้แต่ลดตาลงจากพิมพ์เขียว เขายกตัวโคน่าขึ้นไปนั่งบนต้นขา ก่อนจะวาดแบบฟันเฟืองต่อไป…

"พิมพ์เขียว" เด็กน้อยโคน่าเรียก วาดนิ้วเล็กๆลงบนนั้น

"ใช่…พิมพ์เขียว" โคเปียรับคำลูกสาว เขาเหลือบมองเธออีกครั้งพลางดึงเสื้อหลวมโครกขึ้นมาเช็ดน้ำมูกให้

"แล้วแกรู้รึเปล่า? โคน่า…ว่าอะไรอยู่ในพิมพ์เขียว"

"กลไก…"

"ในกลไกมีอะไร?"

"เฟือง…เล็กๆ…โตๆ…หลาย…อัน" โคน่าน้อยพูดช้าๆ อย่างเด็กหัดพูด ทั้งที่ตอนนั้นเธออายุเกือบ 5 ขวบแล้ว

"ใช่…แล้วมันทำเป็นอะไร?"

"เป็น…เป็น…" หนูน้อยโคน่าอึกอัก เพราะไม่รู้จักเกวียน เธอไม่สามารถบอกพ่อได้ว่าสิ่งที่เธอเห็นคืออะไร ทั้งที่เธอเห็นมันแล่นผ่านหน้าต่างทุกวัน เธออ้าปากพยายามจะพูดหลายครั้ง น้ำตาคลอออกมาตามดวงตา เนื่องด้วยความลำบากใจที่ไม่สามารถบอกได้ โคเปียถอนใจสั้นๆ อย่างคร้านจะบอก การเลี้ยงเด็กไม่เหมาะกับเขาเสียเลย

"มันคือเกวียน…แบบใหม่ล่าสุด"

"เกวียน!" หนูน้อยโคน่าได้ศัพท์ใหม่แล้ว "เกวียน! เกวียน"

"ใช่…เกวียน"

"พ่อ…อะไรคือ ใหม่ ล่า สุด"

"แกโตขึ้นเดี๋ยวก็รู้เองแหละ" โคเปียบอกปัดอย่างรำคาญ แล้วเขาก็วางเธอลงกับพื้นห้อง

"ไปอ่านหนังสือซะ พ่อสอนแกให้อ่านแล้วนี่ อย่ามากวนพ่อหน่อยเลย" ว่าแล้วโคเปียก็หันไปทำงานของตัวเองตามเดิม


ในตอนนั้นหนูน้อยโคน่ารู้สึกน้อยใจพ่อเป็นอย่างมากที่ชอบซักไซ้ไล่เรียงตน แถมยังชอบปล่อยเธอให้นั่งอยู่กับกองพิมพ์เขียวและประแจ แทนที่จะยอมซื้อตุ๊กตาให้อย่างเด็กผู้หญิงคนอื่น เธอเคยโกรธพ่อ เคยคิดจะไม่พูดกับพ่อ! แต่ทุกครั้งที่เธอไม่พูดกับพ่อ พ่อก็มีวิธีทำให้เธอพูดทุกที เธอเคยโกรธพ่อที่ชอบซักถามไล่เรียง แต่หลังจากนั้นหลายปีเธอถึงรู้ว่านั้นเป็นวิธีของพ่อที่จะสอนศัพท์ใหม่ๆให้กับเธอ พ่อสอนให้เธอค้นคว้าเอง โดยเริ่มจากคำว่า 'ใหม่ล่าสุด' แต่ทันทีที่เธอรู้ว่าคำว่าใหม่ล่าสุดแปลว่าอะไร พ่อก็ไม่มีเวลาฟังเธอบอกเสียแล้ว

….พ่อในสายตาเธอคือผู้ชายที่วุ่นวายที่สุดในโลก….

….พ่อคือผู้ชายที่ทำให้แม่หนีไป….

….และพ่อเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่คอยดูแลเธอตลอดเวลา….


โคน่าไม่อยากต้องยอมรับเลยว่า แม้ว่าพ่อจะตายไปหลายปีแล้ว แต่เธอคิดถึงเขามากแค่ไหน พ่อไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรกับความลำบากที่ตัวเจอ พ่อคือต้นไม้ที่เธอพึ่งได้ และการอยู่คนเดียวทำให้เธอเหงาเหลือเกิน

โคน่าแนบศรีษะลงไปบนโต๊ะเขียนแบบ พ่อนั่งอยู่ที่นี่หลายสิบปี น้ำตาของหญิงสาวค่อยๆเอ่อล้นออกมา เธอกัดหัวดินสอเขียนแบบด้วยความเคยชิน แล้วหลับตาลงพร้อมกับความรู้สึกปวดศรีษะหนึบๆ

แต่แล้วก็เกิดเสียงทุบประตูดังขึ้นเป็นอันต้องทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เสียงทุบรุนแรงราวกับจะพังประตูเสียให้ได้ หญิงสาวกระโดดลุกขึ้นอย่างตื่นตกใจ

'ให้ตายเถอะ!' เธอร้องในใจ ทั้งตกใจและละอายใจ

'ต้องเป็นเจ้าของตึกแน่ๆเลย จะบอกเขายังไงดีล่ะ? ในเมื่อเรายังไม่มีเงินเลย' โคน่าลุกขึ้นใช้หลังมือปาดน้ำตา ก่อนกระโดดข้ามเครื่องกลไกต่างๆ ไปยังประตู พลางหยุดลงอย่างนิ่มนวลหน้าประตู แล้วมองส่องเข้าไปในช่องโหว่ที่ประตู เพื่อดูว่าใช่เจ้าของตึกหรือไม่ แต่ผิดคาด เมื่อภาพที่เธอเห็นกลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขากำลังมองมายังช่องโหว่ของประตูเช่นเดียวกัน

"นาย?" โคน่าร้องอย่างแปลกใจ พลางยกมือขึ้นชี้ประตูตรงที่ชายหนุ่มยืนอยู่

แต่ชายแปลกหน้ากลับยิ้มให้โคน่า เขายกมือโบกไปมาเป็นสัญญาณให้เปิดประตูให้ ด้วยความแปลกใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดที่โดนรบกวนความสงบ เธอกระชากประตูเก่าๆออก

"ฉันว่านายมาผิดห้องแล้วล่ะ…" โคน่าเท้าสะเอว แล้วพูดออกไปด้วยเสียงอันดัง แต่ยังไม่ทันจะจบประโยคดี ชายหนุ่มก็ถือดีก็กระโดดเข้ามาในห้องเธอและยื้อลูกบิดออกไปจากมือของโคน่า ก่อนจะกระแทกประตูปิดด้วยความรวดเร็ว

Part. 2 >>>