[ HOME ] [ สารบัญ ]

The Iron arm : ตามหาแขนเหล็ก Part. 5


โคน่าหยุดอยู่ตรงหน้าตึก เธอออกแรงวิ่งเสียเต็มที่เสียจนแทบจะหมดแรง มอริสมีอะไรด่วนหนักหนา ถึงต้องให้เธอทำงานด่วนอย่างนี้! โคน่าทรุดตัวลงจับเข่าตัวเอง มอริสเป็นคนแปลก ไม่เป็นไร! เธอเจอคนแปลกมาเยอะ เยอะจนไม่คิดว่าเธอจะเจอคนแปลกได้มากขนาดนี้

โคน่ากำลังจะก้าวเข้าไปในตึก ในตอนแรกในหัวของเธอคิดเพียงแต่ว่า 'กลับห้องไปเอาของ' แต่เมื่อเธอเห็นประตูตึก ก็นึกได้ว่าเธอไปทำอะไรเอาไว้ตอนออกมา

"ฉันเห็นด้วยกับแกโคน่า" เธอพูดขึ้น "ฉันว่าแกเข้าประตูหลังจะดีกว่า…" ว่าแล้วโคน่าก็เดินอ้อมกำแพงของตึกไปด้านหลัง เปิดประตูไม้ผุๆออกแล้วเดินเข้าไปทางนั้น

หญิงสาวเจอห้องครัวเป็นที่แรก โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ ไม่อย่างนั้นเธอคงถูกกล่าวหาว่าเข้าไปขโมยอาหารเป็นแน่ หญิงสาวค่อยๆก้าวอย่างแผ่วเบาไปในห้องครัว และออกมาได้โดยไม่มีใครพบเห็น คนน้อยแปลกพิลึก แต่โคน่าก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เธอรีบวิ่งไปยังห้องใต้บันไดที่เธอจากมาเมื่อเช้าอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เธอเริ่มไต่ไปบนบันได หญิงสาวก็เห็นสิ่งแปลกปลอมวางพาดอยู่ สิ่งนั้นคือร่างมนุษย์…ร่างมนุษย์ผู้ชายที่ถูกอัดยับเยิน…

โคน่าเบิกตาโตด้วยความตกใจ เธอกอดราวบันไดไว้แน่น ค่อยๆก้าวขึ้นบันไดช้าๆจนกระทั้งถึงร่างที่นอนพาดอยู่ เธอจึงเห็นว่าไม่ได้มีเพียงร่างเดียว แต่มีถึง 2 ร่างด้วยกัน

หญิงสาวใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างที่นอนสลบอยู่บนบันได แต่ร่างนั้นก็ไม่ไหวติง เธอจึงเดินไปบนบันไดอีกหลายขั้น และไปหยุดยืนอยู่หน้าร่างที่ 2 ที่นอนพาดขวางทางบันไดจนหญิงสาวไม่สามารถผ่านได้ เธอใช้ปลายเท้าเขี่ยอีก แต่ร่างนั้นก็ไม่ขยับ หญิงสาวใช้มือจับปลายจมูกด้วยความเคยชิน เธอหันไปมองร่างแรกที่เดินผ่านมาแล้วจึงหันไปมองร่างที่อยู่ตรงหน้า ทั้งสองร่างมีส่วนที่เหมือนกันคือ…ตาเขียวเลือดอาบเหมือนกันทั้งคู่ โคน่าเริ่มสงสัยว่า ชักมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วสิ…

นักประดิษฐ์ออกแรงดันร่างที่ขวางบันไดอยู่ให้ออกไปนอกทาง แต่ร่างนั้นหนักเกินไปที่เธอจะเคลื่อนย้ายได้ หญิงสาวจึงใช้วิธีปีนข้ามร่างนั้นไปแทน

ทันทีที่ปีนข้ามร่างที่พาดบันไดอยู่ได้สำเร็จ ร่างที่ว่าก็เกิดเขยื้อน กลิ้งลงไปตามบันได ไปทับชนร่างที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้ทั้งสองพากันกลิ้งตามขั้นตกไปอยู่ที่เชิงบันไดด้วยกัน โคน่ามองเหตุการณ์ด้วยความสยอง ถ้าเธออยู่ที่นั้นคงถูกทับเสียแบน ทำไมช่วงนี้มันถึงได้มีเหตุการณ์ยุ่งยากมากมายเสียจริง!

นักประดิษฐ์เดินขึ้นบันไดต่อจนกระทั้งมาถึงประตูห้องใต้บันได เธอค่อยๆเปิดมันออก และเดินเข้าไปข้างใน แต่แล้วเธอก็ต้องผงะถอยกับมาข้างนอกใหม่เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้า ภาพห้องของเธอมีคนร่างยักษ์นอนไม่ได้สติอยู่หลายคน และที่แปลกเหนือสิ่งใดนั้น…คือภาพคนแขนไม้นั่งอย่างสงบอยู่บนเตียงของเธอ!

หญิงสาวพยายามสงบอารมณ์ เธอมองไปยังร่างที่นอนเกลื่อนกลาด จากนั้นจึงวาดสายตามายังภาพของชายที่นั่งอยู่บนเตียง

เขาคนนั้นเหลือบมองโคน่าเพียงแวบเดียวแล้วจึงหันไปมองยาสมานแผลที่หญิงสาววางไว้บนหัวเตียงคนแขนไม้หยิบมันขึ้นมา จากนั้นจึงมองอย่างพินิจพิเคราะห์

คนผมแดงก็มองชายหนุ่มสักพัก จึงหันไปมองหลายร่างที่นอนพังพาบอยู่ มีร่องรอยการบาดเจ็บปรากฏอย่างเห็นได้ชัด เธอเดินเข้าไป ก้มลงใช้มือสะกิด แต่ร่างเหล่านั้นก็ไม่ไหวติง
….เขาอัดพวกนี้หรือ?…. โคน่ามองร่างในโค้ทดำด้วยหางตา
….หาเรื่องให้เราแท้ๆเลย….

ชายหนุ่มผมสีน้ำมันจักรลุกขึ้นยืน ในมือของเขายังถือยาสมานแผลกลิ่นบลูฟาวเวอร์ไว้ในมือ

"ยาสมานแผลใช้ได้ดีหรือ?" เขาพูดขึ้นเป็นประโยคแรก โคน่ามองเขาด้วยสายตาหยั่งภูมิตั้งแต่หัวจรดเท้า

"ดี!…ขอบคุณ…คุณโด-มิ-นิก" เธอเน้นชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

"ดีแล้ว" คนที่อุปโลกน์ตัวเป็นอาคันตุกะกล่าวเบาๆ ราวกับมันเป็นเพียงเหตุบังเอิญของลมหายใจ "ฉันชอบกลิ่นบลูฟาวเวอร์…" เขานิ่งไป

"อีกอย่างหนึ่ง…ฉันชื่อจริงว่าเทรเวน"

"มันก็เหมือนกัน" โคน่าว่า น้ำเสียงเต็มไปด้วยโทสะ "มันไม่สำคัญอะไรกับฉัน ทีนี้บอกฉันหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น?" ครั้งนี้เทรเวนเป็นฝ่ายกระตุกยิ้ม เขาก้าวช้าๆมาหาโคน่า ด้วยทีท่าสง่า เต็มไปด้วยความมั่นใจ เหมือนตอนที่ยังเป็นชายที่ใช้ชื่อว่า โดมินิก

"แต่เรื่องของเธอเกี่ยวกับฉันแล้ว" เขาโคลงศรีษะ พูดเสียงเย็น โคน่าถอยห่างออกจากเทรเวนแทบในทันที กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเมื่อครั้งเขาชักมีดออกมาจ่อลิ้นปี่เธอโดยไม่ได้ตั้งตัว

"เกี่ยว?" โคน่าทวน "ช่วยแจกแจงทีเถอะ" เทรเวนร้องฮึออกมาทีหนึ่ง แล้วเดินไปที่หน้าต่าง ก่อนนั่งลงบนขอบมัน บานเดียวกับที่เขาเคยนั่งครั้งแรกที่เขามา ชายผมสีน้ำมันจักรกวักมือไหวๆให้เจ้าของห้องเดินเข้ามาหา โคน่าเดินข้ามสิ่งกีดขวางเข้าไปที่หน้าต่าง ไม่ลืมเว้นระยะกันการประทุษร้ายด้วย

"นั้น!" เทรเวนใช้แขนไม้ชี้ไปนอกหน้าต่าง "เห็นอะไรแล้ววิเคราะห์เอาเอง หรือจะดูแล้วฟังฉันเล่าก็ได้ มีให้เลือก" โคน่าชะโงกหน้าออกไปดู สิ่งที่เห็นคือฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าตึกตรงประตูด้านหน้า คนที่โด่เด่นอยู่ด้านหน้าคือเอสเน็กที่เธอมีเรื่องด้วยเมื่อเช้า ข้างๆหญิงสาวคือมาดามผู้ป้า ทั้งสองยืนขนาบถังใบใหญ่ซึ่งบรรจุของเหลวไว้เต็มเปี่ยม นักประดิษฐ์ผินหน้าออกจากหน้าต่างมาหาคนผมสีน้ำมันจักร

"พอจะเข้าใจ แต่ฟังนายพูดจะดีกว่า" โคน่าว่า เทรเวนหันใบหน้าไปทางหน้าต่างสักครู่ จากนั้นจึงลุกจากขอบหน้าต่าง

"คนพวกนั้นเป็นแม่บ้านแม่ครัวที่นี่ บางคนเป็นคนของที่นี่ บางคนเป็นแขก เขามารุมรอเธอที่ประตูหน้าสักพักแล้วล่ะ"

"ดีน่ะ ที่ฉันเข้าประตูหลัง"

"อืม" เทรเวนรับคำ "ถ้าเธอเจอรุมขนาดนั้นแล้วรอด ฉันยกย่องเชียวล่ะ…เขาว่าเธอไปหาเรื่องเอสเน็ก เอาน้ำราดหัวหล่อนเชียวเรอะ"

"ไม่ค้าน"

"ใจนักเลงนี่นา แต่จู่ๆเอาน้ำไปราดหัวชาวบ้านเขามันไม่ถูกนา"

"ฉันไม่เคยหาเรื่องใคร!" โคน่าร้อง "ยัยนั่นว่าพ่อฉัน พ่อฉันน่ะ เข้าใจไหม?"

"ปานกลาง" เทรเวนยกมือเกาหัวคิ้ว

"แล้วพวกนั้นแห่กันมาเพราะคิดว่าฉันรังแกยายนั้นเรอะ!"

"ถูกแล้ว"

"เยี่ยมเลย" โคน่าวางมือลงบนขอบหน้าต่าง

"คนพวกนั้นกะเอาคืนเธอเป็นสิบเท่าเชียวล่ะ คุณหญิงเอสเน็กใส่ไฟเธอเสียสนุกเชียวล่ะ แต่มันก็น่าเชื่ออยู่หรอกน่ะ ท่าเธอก็บอกแล้วนี่!"

"งั้นนายคงเป็นผู้คว้ารางวัลนำจับฉันสิน่ะ" หญิงสาวกลอกตาเซ็งๆ

"ทำไมฉันต้องทำเรื่องไร้สาระขนาดนั้นด้วยล่ะ ฉันดูโง่ขนาดนั้นเชียว?"

"นายไม่ได้ดูโง่ แต่นายดูไร้สาระมากกว่า ขอโทษทีน่ะที่พูดตรงๆกับผู้มีพระคุณ แต่ฉันไม่ถนัดอ้อม"

"ไม่เป็นไร...ฉันทำใจไว้แล้วตั้งแต่มาเจอหน้าเธอ" เทรเวนกระโดดลงจากขอบหน้าต่าง เดินตามโคน่าที่ผละจากขอบหน้าต่างมายังกลางห้อง เธอกระโดดข้ามเตียงแล้วไปที่กล่องเก็บเครื่องมือ

"จะไม่ถามเรื่องก้อนเนื้อ 4-5 ก้อนในห้องนี้หน่อยหรือ?"

"ยังไงนายก็ต้องเล่า"

"โอ้! อูรีตี้ที่เคารพ ฉันอยู่กับแม่สาวพลังจิตอ่านใจคนได้"

"แล้วมันถูกไหมล่ะ?" นักประดิษฐ์เหลือบตามองชายหนุ่มชั่วครู่ก่อนหันกลับมาสนใจกับการเลือกเครื่องมือลงย่าม เธอหยิบของแทบกวาดมันลงไปหมด เพราะประเมินได้ว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้มาที่นี่

"แหม...ครึ่งหนึ่งน่ะ" คนแขนไม้โคลงศรีษะแสร้งกระแอมไอ

"ฉันไม่สนว่าพวกก้อนเนื้อพวกนี้มาวางเกะกะห้องนี้ได้ยังไง แต่สิ่งที่ฉันสนใจคือมันจะไม่ตื่นขึ้นมากระทันหันระหว่างที่ฉันอยู่ในห้องนี้"

"อันนี้ฉันรับประกัน เฉพาะพวกในนี้น่ะ แต่พวกมนุษย์พลังแค้นข้างนอก คงเอาแน่ไม่ได้ว่าจะตามล่าขึ้นมาข้างบน แล้วเธอว่าไงล่ะ?"

"ประกันภัยของนายมีช่องโหว่ ต้องปรับปรุงซะบ้างไม่อย่างนั้นจะสู้บริษัทอื่นไม่ได้" โคน่าตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย เธอคุ้ยกล่องเครื่องมืออีกกล่องออกมาแล้วเริ่มหยิบมันออกมา จากนั้นก็ลากกล่องพิมพ์เขียวจากใต้ชั้นวางของมาปัดฝุ่น

"ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…ฉันหมายถึง…จะหนี..." ชายผมสีน้ำมันจักรผินหน้าไปทางหน้าต่างที่ยังมีเสียงโหวกเหวกของฝูงชนลอยขึ้นมา "หรือเธอจะอยู่" คนผมแดงยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก เรื่องยุ่งยากนี้น่ารังเกียจนัก! ลำบากยังพอว่าแต่ยุ่งยากไม่อยากเจอเลย โคน่าค้นพิมพ์เขียวต่างๆออกมา ใส่บางแผ่นในย่าม ก่อนจะหันไปที่ชั้นหนังสือ

"ถ้าหนูเอากระพรวนไปผูกคอแมวไม่ได้ก็อย่าอยู่กับแมว!"

"โอ้โห! หนังสือเคมีมีนิทานแบบด้วยเรอะ"

"ฉันไม่ใช่เก้าอี้ที่อยู่แต่ในห้อง"

"เข้าใจ..." ชายหนุ่มถอยหลัง 2-3 ก้าวให้หญิงสาวที่ผละจากชั้นหนังสือมายังผนังห้อง....ที่กรอบรูป...ที่มีรูปพ่อของเธอ...

โคน่าปลดกรอบรูปลงจากผนังห้อง มองดูรูปของโคเปีย

"ไปด้วยกันน่ะ พ่อ" เธอพูดเบาๆ "หนูอยู่ที่นี้ไม่ได้แล้วล่ะ... แต่ไม่ใช่ความผิดหนูน่ะ พ่อคงไม่ดุหนูใช่ไหม?" หญิงสาวใช้มือเล็กๆลูบไปบนกระจกกรอบรูปที่เกรอะด้วยฝุ่น กองฝุ่นไปกองบนภาพของโคเปียที่มุมปาก...กลายเป็นภาพเขายิ้ม โคน่ายิ้มบ้าง...

"หนูรักพ่อค่ะ" สาวผมแดงกระซิบ ก่อนจะกลับด้านกรอบรูป แล้วแกะรูปออกมาสอดมันไว้อย่างระมัดระวังในหนังสือเล่มหนึ่ง โคน่ายกย่ามขึ้นอีกครั้ง...อืมหนักอึ้งทีเดียว สงสัยต้องเอาอะไรออกบ้างแล้ว นักประดิษฐ์หันขวับไปที่เตียง เธอวางย่ามลงแล้วเริ่มจัดย่าม เทรเวนมองดูหญิงสาว เขาละสายตาออกปสักครู่

"ฉันเป็นคนล้มพวกเขาเองแหละ พวกนี้เข้ามาดักรอเธอ อืม...รู้สึกว่าจะเป็นการแก้แค้นส่วนตัว กะเอากันถึงตายเชียว แต่ฉันมาเจอเข้าก่อน ก็เลย...ออกกำลังกายนิดหน่อย"

"นายพูดเรื่องอะไร?" โคน่าเงยหน้าขึ้น เธอกำลังสอดเครื่องมือบ้างชิ้นลงในกระเป๋าโค้ท

"ฉันเล่าสาเหตุของก้อนเนื้อหุ้มผ้าพวกนี้ไง! ก่อนที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้เล่า ท่าทางฉันคงไม่ได้อยู่เฉยๆ แน่ตอนเธอหนี"

"มีน้ำใจกว่าหน้าตานี่"

"ฉันเรอะ?" เทรเวนยิ้ม ยิ้มแปลกๆ ยิ้มอย่างซ่อนเล่ห์ "ฉันก็หวังผลเหมือนกัน เธอมีประโยชน์กับฉันนี่นา"

"แล้วก็พูดมากกว่าหน้าตาด้วย" โคน่าต่อ

"ถ้าเธอจะเอาการพูดมาเปรียบกับหน้าตาฉันละก็ ฉันคงจะหล่อมากทีเดียว" เทรเวนพูดยิ้มๆ โคน่าถอนหายใจอย่างเซ็งๆ

"ไม่นึกว่าฉันจะมีประโยชน์กับใครนอกจากมอริส แต่เสียใจจริงๆที่ต้องมามีประโยชน์ให้คนไร้สาระอย่างนาย!" ชายผมสีน้ำมันจักรยิ้ม

"งั้นเสียใจด้วย" โคน่าเลิกคิ้วอย่างเบื่อหน่าย เธอกระชากประตูเปิดออก หญิงสาวหันกลับมามองเทรเวนเป็นครั้งสุดท้าย

"เรื่องที่ฉันว่านายไร้สาระน่ะ..." นักประดิษฐ์พูดกับชายแขนไม้

"ทำไม? จะกลับคำเรอะ?"

"ใช่!" สาวผมแดงเดินลงบันได มีเทรเวนเดินตามมาติดๆ "ฉันจะกลับคำพูดว่า นอกจากนายจะไร้สาระแล้ว นายยังอภิมหางี่เง่าแบบสุดๆด้วย!" ทั้งคู่ลงมาถึงเชิงบันได

บริเวณเชิงบันไดเงียบสงัด ไม่มีเสียงหัวเราะออกมาจากห้องต่างๆ เช่นครั้งอื่นๆที่โคน่าเคยลงมา แต่ถ้ามีก็นับเป็นโชคร้ายของเธอ คงหนีไม่ทัน...

ทั้งคู่ต่างคนต่างเดินโดยไม่ต้องนัดกันแต่อย่างไร เดินไปตามทาง ลงบันไดเรื่อยๆจนกระทั้งถึงชั้นล่าง ห้องครัวว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิตมาสิงสู่ โคน่ากระชับย่ามที่ตุงด้วยสัมภาระ ก้าวออกนอกประตูหลังของห้องครัว

หญิงสาวมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นไม่มีใคร เธอก็เดินฉิวออกไปทันที ไม่มีการรอใคร อีกคนก็เหมือนกัน ท่าทางราวกับไม่สัมผัสถึงการดำรงอยู่ของอีกร่าง

ทั้งคู่ลัดเลาะไปตามถนนดินเปียกที่ห้อมล้อมด้วยถังขยะ ก่อนจะไปออกประตูไม้ข้างหลัง แล้วจึงอ้อมกลับมาบนถนน ใกล้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่มาออกันที่ประตูไม้ อันตรายเหลือเกินที่จะถูกพบ…

"นายคิดเดินทางนี้จริงเรอะ?"

"เธอก็เดินไม่ใช่เหรอ?" โคน่ายักไหล่

"ฉันเดินมั่ว แล้วนายก็โง่พอจะตามมาซะด้วย!"

"ไม่ว่าไปทางไหนสำหรับฉันมันก็เหมือนกันแหละ ไม่มีทางไหนที่โง่หรือฉลาดกว่ากันหรอก" คนแขนไม้ใช้มือข้างปกติแตะมีดที่ชายพก นักประดิษฐ์ยิ้มเยาะ

"มีอาวุธรึเปล่า?" ชายหนุ่มหยิบมีพกขนาดเล็กเล่มหนึ่งออกมา ควงมันไปมาต่อหน้าเธอ

"ประแจบล็อก ค้อน สว่าน ตะปู ฯลฯ…เยอะไปหมด เอาเป็นว่าถ้าฉันถูกล่าฉันสู้ได้ก็แล้วกัน"

"มั่นใจจริงน่ะ" ชายหนุ่มเก็บมีดลงในโค้ทตามเดิม ทั้งคู่เดินก้าวฉับๆโดยไม่มองใคร แต่ระยะก็ยังไม่พ้นอันตราย

"โคน่า!!!" เสียงร้องมาจากข้างหลังของทั้งคู่ ไม่รู้เสียงใครแต่ไม่ใช่จุดประสงค์ดีแน่

"โคน่า โอรีอา!!! หยุดเดี๋ยวนี้! ฉันสั่งให้แกหยุด!!" เสียงร้องตวาดยังดังขึ้นอีก "ฉันรู้ว่าเป็นแกหยุดเดี๋ยวนี้!!!" ทั้งคู่ไม่หยุด เริ่มเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ

"ตามไป" เสียงร้องมาจากข้างหลัง เทรเวนอดเหลียวไปมองไม่ได้

"เอาล่ะ!" เขากระชับโค้ทและหันมาพูดกับโคน่า "ได้เวลาพิสูจน์สัจพจน์ของเธอแล้ว"

"…..."

"….."

"วิ่งเลย" ทั้งคู่ออกวิ่งสุดฝีเท้าทันที ฝ่าฝูงชนที่เดินขวักไขว่อยู่ในเมืองที่พากันหันมามอง และสบถด่าเมื่อถูกชนอย่างรุนแรงจากคนใส่โค้ททั้งสอง กลุ่มของเจ้าของตึกยังคงตามมา เสียงเท้าหลายสิบคู่กระทบพื้น ตะคอกไล่หลังและตะโกนเรียกช่วยจับโคน่า ทำให้กลุ่มที่ไล่ล่าทั้งสองไม่ได้มีเท่าเดิม แต่บวกชาวบ้านเข้าไปด้วย

โคน่าและเทรเวนวิ่งผ่านตรอกซอกซอยมากมาย พวกเขาเลือกเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆตรอกหนึ่ง ทันทีที่เข้าไปเท้าก็เหยียบเปลือกผลไม้และเศษอาหาร ทั้งคู่วิ่งผ่านถังขยะและผลักมันให้ล้ม กลุ่มผู้ไล่ล่ายังตามมาไม่ลดละ กลุ่มผู้ถูกตามวิ่งฝ่าราวตากผ้าที่ขึ้งข้ามตรอกจากตึกสู่ตึก โคน่ากระชากชุดกระโปรงสีฟ้าที่ติดหน้าออก เธอหยิบมันขึ้นมามองสักครู่แล้วจึงเหวี่ยงทิ้งไปข้างหลัง หญิงสาวหันไปมองเทรเวนที่วิ่งนำอยู่เล็กน้อย บนหัวของเขามีหมวกเด็กติดอยู่ ด้านหน้ามีผ้ากันเปื้อนของแม่บ้านที่ยังเปียกอยู่คาดไว้ เทรเวนมองตามสายตาหญิงสาว ก่อนก้มสำรวจตัวเองสักครู่ จากนั้นจึงกระชากหมวกเด็กและผ้ากันเปื้อนออก…

เท้าของทั้งสองท่องไปบนพื้นดินที่มีสภาพคล้ายโคลนเหลว มันกระเซ็นออกเป็นจังหวะทุกครั้งที่เท้าสองคู่ย่ำลงไป แสงตะวันส่องจ่อที่กลางหัว มีเงามืดเป็นช่วงหากเบื้องบนมีกันสาด ตรอกเล็กๆราวกับจะยาวไปชั่วกัลป์ โคน่าหันไปมองข้างหลังทีหนึ่งก็พบว่ายังถูกตาม แต่เป็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่เธอไม่รู้จัก คงเป็นพลเมืองดีที่เข้าใจผิด

แต่แล้วเบื้องหน้าทั้งสองก็ปรากฏเป็นทางตัน มีเพียงกำแพงสูงเกือบ 6 เมตรที่ก่อด้วยอิฐแดงเก่าคร่ำคร่ากั้นเอาไว้ มีตะไคร่น้ำขึ้นเป็นหย่อม จึงไม่สามารถปีนข้ามไปได้แต่อย่างใด เมื่อเทรเวนวิ่งเข้าไปถึง เขาชะงักหน้ากำแพงสีแดงมึนทึม ชายหนุ่มเหลียวมองมันและหันควับกลับไปมองกลุ่มผู้คนที่ไล่ล่าตามมา จึงหันไปมองโคน่าซึ่งบัดนี้พบกับประตูบานเล็กๆ สีเทาเกรอะสนิมบานหนึ่ง เธอกำลังพยายามเปิดมันออก ทั้งเคาะเรียก ทั้งเขย่า แต่กลับไม่มีปฏิกริยาใดตอบกลับมานอกเสียจากสนิมที่ร่วงเพราะแรงเขย่ากราวกรู

"ที่นี้มันที่ไหน?" เทรเวนถามพลางใช้หูแนบไปที่ประตู

"ไม่รู้!" โคน่าใช้เท้ายันประตูแต่ก็ไม่ช่วยอะไร

"เรามาชนมันพร้อมกันดีกว่า อย่าน้อยก็ดีกว่าแรงเดียว! ท่าว่ามันจะหลุดแล้วนี่!"

"ดูเหมือนว่าฉันมีทางอื่นงั้นแหละ!"

"พวกนั้นมาแล้ว…เอาล่ะ…1…2 ชน!" ทั้งคู่กระโจนชนประตูด้วยหัวไหล่พร้อมกัน ประตูสนิมหลุดพลัวะออก ทั้งโคน่าและเทรเวนถลาไปหลายก้าว หน้าแทบจะทิ่มลงกับพื้น คนแขนไม้พยุงตัวไว้ได้ ส่วนโคน่าต้องจับถังข้างมือไว้ทรงตัว

ข้างหน้าของทั้งสองเป็นห้องทึบ รโหฐานแต่ไม่ใหญ่นัก ไม่ค่อยมีแสงลอดมาได้ เพราะหน้าต่างหลายบานที่มีอยู่ถูกปิดไว้ จะมีไม่กี่บานที่แง้มเพียงเล็กน้อย มีบันไดเหล็กเห็นอยู่ไม่ไกล แต่กว่าไปถึงได้คงยาก เพราะถังไม้บาร์เรลซึ่งมีอยู่มากมาย พร้อมกับแท่นบ่มเหล้าใหญ่ยักษ์ตั้งกลางห้อง ส่งกลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปทั่วห้อง หญิงสาวกุมหัว เธอแพ้กลิ่นแอลกอฮอล์ขนาดเป็นตัน ส่วนชายหนุ่มสูดจมูกฟุดฟิด ก่อนกวาดสายตาไปทั่วห้องที่ว่า โคน่าและเทรเวนหันมามองหน้ากัน แล้วออกวิ่งไปยังบันไดที่เห็น

"ที่นี่เป็นโรงบ่มเหล้า!" เทรเวนว่าขณะก้าวกระโดดข้ามถังไม้ ส่วนโคน่าใช้วิธีผลักมันให้พ้นทางแทนการกระโดด

"ไม่ใช่โรงเผาถ่านก็แล้วกัน!" โคน่าร้องอย่างหงุดหงิด แท่นบ่มเหล้านั้นไม่ได้อยู่เฉย เครื่องจักรด้านบนส่งเสียงงี้ดงาดราวกับเสียงหายใจของคนนอนกรน เฟืองตัวเขื่องหมุนช้าๆเหมือนกับคนไร้จุดมุ่งหมายซึ่งออกเดินอย่างอ้อยสร้อย โคน่าเบี่ยงตัวหลบไม้ท่อนโตที่ต่อมาจากแท่นบ่ม เมื่อมันแวะเวียนมาผ่านในเส้นทางหนีของเธอ ซึ่งทำให้การหนีช้าลง ขณะที่ผู้ล่าติดตามเข้ามาใกล้ทุกที

"เร็วหน่อยซี!" นักประดิษฐ์หันหน้าไปตามเสียง พบคนแขนไม้ซึ่งไปถึงชานบันไดแล้ว ยกมือกวักเรียกไหวๆ ขาข้างหนึ่งของเขาเหยียบอยู่บนบันไดขั้นแรก เตรียมวิ่งขึ้นไปได้ทุกเมื่อ

"ฉันไม่เร็วเหมือนนายนี่!!!" โคน่าตวาด เทรเวนถอนหายใจ ก่อนถอนเท้าออกจากขั้นบันไดเดินตรงไปหาตัวโคน่า สายตามองผ่านไปข้างหลังกลุ่มคนแหวกถังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

"ตายล่ะ! อูรีตี้เป็นพยานซิ พับผ่าเอ๋ย!" เทรเวนสบถพลางชักตะขอขนาดกะทัดรัดออกมาจากแขนเสื้อ กระโดดไต่ด้วยตะขอไปบนถังบ่ม ห้อยโหนโยนตัวเหนือแท่นบ่มเหล้า เทรเวนก้มลงคุกเข่า กวาดตามองเฟืองสักครู่ก่อนที่จะใช้ตะขอที่อยู่ในมือเสียบคั่นไประหว่างซี่เฟือง เสียงเฟืองขัดกับตะขอเหล็กดังสนั่น แท่นบ่มหยุดหมุนแทบในทันที!

โคน่ารีบวิ่งออกมาทันที มือของกลุ่มผู้ไล่ตามเริ่มใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดมือนั้นก็คว้าได้หลังโค้ทของนักประดิษฐ์ โคน่ารู้สึกได้ถึงแรงดึงข้างหลัง เธอหันหน้าไปแล้วพยายามแกะมือออก แต่กลับถูกคว้าตัวมากกว่าเดิม โคน่าสะบัดและหันหลังอีกครั้ง แต่ไหล่ของเธอถูกจับไว้ หญิงสาวร้องตวาดใส่หน้าคนเหล่านั้น เธอล้วงมือเข้าไปในย่าม คิดว่าจะหยิบอะไรสักอย่างออกมา แล้วโคน่าก็คว้าได้ไขควง เธอเหวี่ยงมันใส่คนที่อยู่ใกล้เธอที่สุดก่อนที่จะหันหลังวิ่งหนีไปยังบันได

เทรเวนซึ่งอยู่บนแท่นบ่มเหล้าคว้าแขนแท่นบ่มก่อนจะโหนตัวลงมาด้วยแขนข้างปกติ เขาใช้แขนไม้ฟาดใส่ศรีษะคนอยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะเหวี่ยงตัวเองลงพื้นแล้วถอยไปจนอยู่ใกล้บันได โคน่าซึ่งขึ้นบันไดไปได้หลายขั้นแล้วหันกลับมาดู

"ขึ้นไป!!!" เทรเวนโบกมือไล่ "อย่าเกะกะ" เขาว่า นักประดิษฐ์เม้มปากอย่างฉุนเฉียว เธอไต่ขึ้นบันไดเวียนเหล็กไปจนถึงชั้นบน เหนือหัวของหญิงสาวมีแผ่นเซรามิกสีขาวที่เปรอะไปด้วยฝุ่นแผ่นหนึ่ง มีรอยแยกจากแผ่นอื่นอย่างเห็นได้ชัด โคน่ายกมือขึ้นดันแผ่นเซรามิก มันเคลื่อนที่อย่างง่ายดาย เธอยกมันแล้วโผล่ศรีษะขึ้นไป โดยไม่ได้คิดอะไร และไม่คิดว่าจะได้พบคนยืนค้ำอยู่ที่นั้น

โคน่ามองเงาที่ปรากฏอยู่ที่พื้นก่อนแหงนหน้าขึ้น ทั้งมาดามและเอสเน็กอยู่ที่นั้น…โชคดีที่ไม่มีถังใบเขื่องอยู่ด้วย

"เฮอะ…" โคน่าหัวเราะ แต่ได้เพียงทีเดียวตัวของเธอก็ถูกยกขึ้นโดยสิ้นไร้ทางขัดขืนด้วยมือของแม่ครัวร่างยักษ์ และถูกหิ้วปีกเอาไว้ไม่ให้ขาแตะพื้น

พอเริ่มจะตั้งตัวได้มือข้างหนึ่งก็ตบฉาดมาที่หน้าของเธอเสียแล้ว…

"อย่าเพิ่ง เอสเน็ก" มาดามกราดเข้าไปจับมือของเอสเน็กที่เพิ่งตบโคน่าไปหยกๆ แก้มเป็นรอยนิ้วประทับไว้ นักประดิษฐ์หลับตา และกัดฟันแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด

"แกราดน้ำใส่ฉัน!" เอสเน็กตวาด

"ใช่!" โคน่ารับง่ายๆ ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมองคู่อริ "และฉันจะตบแกกลับอย่างแน่นอน…2 เท่าด้วย"

"หุบปาก!!!" มาดามกราดนิ้วชี้หน้าโคน่า "ฉันจะไล่แกออก!"

"อ้อ" โคน่าสวนด้วยน้ำเสียงโอหังอย่างที่เธอชอบใช้เมื่อถูกทำให้หงุดหงิด "คุณนี่เองที่ส่งนักเลงไปที่ห้องหนู"

"ส่งหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่เธอออกไป แค่นั่นก็พอ"

"หนูไปแน่!" โคน่ากระซิบเบาๆแต่เต็มไปด้วยความขึ้งโกรธ ก่อนจะกระชากหัวไหล่ตัวเองลง คนที่หิ้วไหล่ของโคน่ารีบปล่อยหญิงสาวลงเพราะน้ำเสียงที่แสนน่ากลัวของเธอเมื่อสักครู่ โคน่าย่อเข่าเล็กน้อยเมื่อถูกปล่อยลงพื้นดิน นักประดิษฐ์ยืดตัวขึ้นปัดโค้ทอย่างไว้ท่า เธอก้มลงหยิบย่ามอยู่ข้างๆกายขึ้นมาสะพาย แล้วเดินออกไป ทุกร่างที่ยืนอยู่ที่นั้นหลีกทางให้เธอ โคน่าก้าวออกไปโดยไม่ได้หันกลับมามองข้างหลัง หลายคนตีค่าเธอว่าหยิ่งโอหัง แต่โคน่าไม่สนใจหรอก ตอนนี้เธอไม่อยากให้ใครรู้หรอก….ว่าโคน่าน้อยในส่วนลึกของจิตใจกำลังร้องไห้ เพราะเธอต้องจากมันไปแล้ว….ห้องใต้หลังคาเก่าคร่ำคร่าที่เธออยู่มาชั่วชีวิต…

เทรเวนวิ่งด้วยความเร็วสูงตามบันไดเวียนทันทีที่เขาจัดการคนข้างล่างเสร็จ เขาดีดตัวขึ้นไปบนพื้นดินขึ้นจากรูด้วยแขนทั้งสองข้างที่เท้าไว้บนแผ่นเซรามิก…

สิ่งที่ม่านตาส่งเข้ามาหาประสาทให้เขารับรู้อย่างแรกคือเขาเห็นกลุ่มที่หญิงสาวเพิ่งวิ่งหนีมาหยกๆยืนเกาะกลุ่มเป็นแนวแหวกเป็นทางเดิน สายตาจับไปที่ร่างโค้ทแดงที่เดินออกไป ชายเสื้อตวัดตามสายลม ภาพเช่นนี้ช่างไม่เหมาะกับเวลาแดดเปรี้ยงเที่ยงตรงอย่างนี้เลย

เทรเวนไม่ได้โผล่ขึ้นอย่างเอะอะ เขาค่อยๆโยนตัวขึ้นช้าๆอย่างเงียบเชียบแล้วเดินหายไปในฝูงชนที่ยังไม่คลายจากการเฝ้าสังเกตเหตุการณ์เมื่อสักครู่!

Part. 6 >>>