|
|||
เว็บไซท์ที่น่าสนใจ |
![]() ปล่อยเลี้ยงแบบธรรมชาติ (ไก่คุณสมหวัง)
ไก่ที่เกิดมาจากพ่อ-แม่ที่เป็นไก่ชนนั้นไม่ใช่จะใช้ชนได้ทุกตัว ดังนั้นไก่ชนต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้ทั้งความละเอียดถี่ถ้วน ใช้ทั้งศาสตร์ ศิลป์ ประสบการณ์ ความรู้ความฉลาดที่ลุ่มลึกและซับซ้อน มาพิจารณาคัดเลือกเพื่อให้ได้ไก่ชนที่ดีและชนเก่ง จากข้อมูลภาคสนามพบว่าชาวบ้านในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มีหลักการ คัดเลือกไก่ชนดังต่อไปนี้ 3.3.9.1 คัดเลือกจากสายเลือด (เหล่ากอ) เป็นการดูจากการถ่ายทอดสายเลือด ว่าไก่ตัวนั้นมีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นตัวไหน มีประวัติการชนเป็นอย่างไร จิตใจสู้ทรหด อดทนเพียงใด เป็นไก่เชิง ตีเจ็บ ตีแผล ตีหักหรือไม่ เพราะไก่ที่เป็นลูกเป็นหลานจะต้องได้รับการถ่ายทอดลักษณะดีเช่นนั้นออกมาด้วย (สงกรานต์ อภัยชา, สัมภาษณ์,14 มีนาคม 2545) ดังนั้นการคัดไก่ชนต้องเลือกเอาตัวที่มาจากเหล่ากอที่ดีและมีชื่อเสียงในการชนมาก่อน 3.3.9.2 คัดเลือกจากลักษณะภายนอก เป็นการดูจากรูปร่าง หน้าตา ท่าทางโดยพิจารณาอย่างละเอียด จากอวัยวะภายนอกของไก่ทุกส่วนตั้งแต่จะงอยปากเลยไปจนเล็บเท้า(สงกรานต์ อภัยชา, สัมภาษณ์ : 14 มีนาคม 2545) เพื่อเปรียบเทียบกับตำราและความเชื่อของคนโบราณที่ได้รับการพิสูจน์ซ้ำมาแล้วว่าเป็นลักษณะไก่ชนที่ดี ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดในหัวข้อต่อไป 3.3.9.3 คัดเลือกจากลักษณะภายใน เป็นการดูจากความสามารถในการชนของไก่ให้ประจักษ์แก่สายตา โดยการซ้อมหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ปล้ำไก่ ว่ามีเชิงชนและ ลำหักลำโค่นพอที่จะนำไปเลี้ยงชนได้หรือไม่ก่อนที่จะนำไปเลี้ยงชน (วิรัตน์ เจียมเมืองปัก, สัมภาษณ์, 14 มีนาคม 2545) จะเห็นว่าแม้จะคัดไก่ส่วนที่มีองค์ประกอบทางร่างกายไม่เหมาะที่จะนำมาเป็นไก่ชนได้ออกไปส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนที่ เหลือต้องนำมาคัดอีกโดยดูจากเหล่ากอ เมื่อได้เหล่ากอที่ดีแล้วก็มาคัดจากดูลักษณะภายนอก จากนั้นจะต้องนำมาทดลองปล้ำดูให้เห็นจริง กระบวนการคัดไก่นั้นเป็นการคัดแล้วคัดอีกเพื่อให้ได้ไก่ชนที่มีคุณภาพ จึงทำให้เกิดภูมิปัญญาที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงไก่ชนในขั้นตอนนี้มากมาย หากผ่านกระบวนการนี้แล้วชาวบ้านจึงจะนำไปบำรุงเลี้ยงและฝึกซ้อมเพื่อชนต่อไป 3.3.9 การซ้อมเพื่อออกบ่อน ไก่ชนหากเปรียบกับคนก็เหมือนนักมวย ต่างกันที่ไก่ชนมีเชิงชนติดตัวมาโดย สายเลือด แต่นักมวยเรียนรู้เชิงมวยด้วยการฝึกหัด การเอาคนมาต่อยมวยโดยไม่ได้ผ่านการฝึกซ้อมมาก่อนนั้นย่อมมีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ ดังนั้นนักมวยจึงต้องมีการฝึกซ้อมและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเหตุผลเดียวกันไก่ชนจะต้องมีการลงนวม ฝึกซ้อม ปล้ำนวมและ ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรง มีพละกำลังและมีความอดทน เพราะไก่ชนต้องใช้กำลังในการปะทะสูงและเอาร่างกายเข้าแลกกับความเจ็บปวด (วิรัตน์ เจียมเมืองปัก, สัมภาษณ์, 14 มีนาคม 2545) ดังนั้นการฝึกซ้อมไก่ชนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้แพ้-ชนะได้ ชาวบ้านจึงมีวิธีการฝึกซ้อมและปล้ำไก่อยู่หลายวิธีดังนี้ 3.3.10.1 การซ้อมลงนวม นำไก่ชนมาถ่ายพยาธิ อาบน้ำตากแดด วิ่งสุ่มและให้อาหารบำรุงไก่ชนครบ 7 วันแล้ว จะนำไก่ไปซ้อมลงนวม โดยหาคู่ต่อสู้ที่มีอายุและน้ำหนักใกล้เคียงกัน การซ้อมครั้งนี้ไก่ชนจะต้องสวมสนับที่จะงอยปากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลจากการจิกตีกันและพันแข้งด้วยผ้านุ่มๆหรือฟองน้ำ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หลังจากนั้นปล่อยไก่ชนกัน 2 ยกๆละ 15 นาที ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง (สงกรานต์ อภัยชา, สัมภาษณ์, 14 มีนาคม 2545) เนื่องจากการซ้อมไก่ต้องใช้ไก่สองตัวสมมุติสถานการณ์ให้เป็นคู่ต่อสู้กันชาวบ้านจึงนิยมเลี้ยงไก่สองตัวเพื่อจะใช้ปล้ำนวมกันได้โดยไม่เสียเวลาเดินทางไปหาคู่ซ้อมกับซุ้มอื่นหรือค่ายอื่น 3.3.10.2 การซ้อมจริง หลังจากที่ซ้อมลงนวมได้ประมาณ 3 ครั้งหรือ 6 ยกแล้วปล่อยให้ไก่พัก 3 วัน หลังจากนั้นให้หาคู่ซ้อมที่มีน้ำหนักและอายุไล่เรี่ยกันไม่นิยมนำไก่เหล่าเดียวกันซ้อมกัน เพราะไก่เหล่าเดียวกันจะมีชั้นเชิงคล้ายกันจะทำให้ไม่รู้ว่าไก่ของเราดีอย่างไร แค่ไหน มีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร จึงต้องหาไก่ต่างซุ้มคนละ เหล่าเป็นคู่ซ้อม ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์โยงใยในสังคมของคนเลี้ยงไก่ชนได้เป็นอย่างดี การซ้อมจริงจะต้องใช้ผ้าปิดตอเดือยเพื่อป้องกันการแทงกันก่อนส่วนมากใช้ผ้ายีนส์ตัดให้กว้างประมาณ 1 นิ้ว ยาว 10 นิ้ว พันรอบขาและเดือย 4-5 รอบแล้วใช้ยางรัดไม่ให้ผ้าหลุดก็เป็นอันใช้ได้ การซ้อมควรปล่อยให้ซ้อมไม่เกิน 2 ยก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของไก่ การซ้อมจริงจะต้องเปลี่ยนคู่ซ้อมไปเรื่อยๆ เว้นช่วงห่างกันประมาณ 10 15 วัน จึงซ้อม 1 ครั้งและเมื่อนับจำนวนยกที่ซ้อมจริงแล้ว รวมกันได้ 8 10 ยกจึงถือว่าไก่พร้อมที่จะออกบ่อนได้ (สงกรานต์ อภัยชา, สัมภาษณ์, 14 มีนาคม 2545) 3.3.10.3 การล่อไก่ การล่อจะเป็นการฝึกให้ไก่ออกกำลังโดยการวิ่งและบิน ซึ่งการล่อไก่นี้จะทำหลังจากที่ผ่านลงนวมมาแล้ว ส่วนมากจะทำการล่อในช่วงเช้า โดยล่อเป็นทางตรงหรือทางอ้อมแล้วแต่สะดวก จุดประสงค์เพื่อให้ไก่ได้ออกกำลังกาย เพื่อให้ไก่มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง กล้ามเนื้อทุกส่วนมีความแข็งแกร่ง การล่อไม่มีวิธีที่ดีที่สุด การเลี้ยงไก่ออกบ่อนหนึ่งตัวอาจใช้การล่อหลายๆวิธีผสมผสานกัน (สงกรานต์ อภัยชา, สัมภาษณ์, 14 มีนาคม 2545) ซึ่งการล่อไก่มีหลายวิธีดังนี้ 1) วิธีให้ไก่ว่ายน้ำ เป็นวิธีแบบโบราณ ซึ่งได้สัมภาษณ์นายเพ็ชรผล พันธ์ผาง กล่าวถึงวิธีนี้ว่า เคยเห็นคนเลี้ยงไก่ในสมัยก่อนทำกันมา การล่อไก่วิธีนี้ทำโดยปล่อยไก่ให้ลงในสระหรือห้วยที่อยู่ใกล้บ้าน ไก่จะบินและใช้เท้าพุ้ยน้ำเพื่อที่จะเข้าฝั่งหรือใช้เรือพายนำไก่ออกจากฝั่งไกลประมาณ 10 เมตร แล้วปล่อยไก่ให้ว่ายน้ำข้ามไปฝั่ง ไก่จะใช้เท้าพุ้ยน้ำพร้อมกับกระพือปีกบินเพื่อพยุงตัวเองให้พ้นน้ำ ทำเช่นนี้ทุกวันพร้อมกับเพิ่มจำนวนครั้งในการว่ายน้ำขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นว่าไก่เหนื่อยพอสมควร วิธีนี้ได้กำลังขาและปีกไปพร้อมๆกัน แต่มีข้อเสียคือ ปีกไก่จะเปียกน้ำเป็นสาเหตุให้ขนปีกเปราะหักง่าย ใช้ชนได้ไม่นาน (เพ็ชรพล พันธุ์ผาง, สัมภาษณ์, 12 มีนาคม 2545) และมีข้อจำกัด คือ ต้องมีแหล่งน้ำด้วย 2) วิธีโยนไก่ ใช้มือหนึ่งจับที่ขาไก่รวบเข้ากันไว้ แต่จับแบบหลวมๆ เพื่อไม่ให้ไก่เคล็ดขัดยอก ส่วนอีกมือหนึ่งจับชูที่อกไก่พร้อมกับโยนไก่ขึ้นไปพอสุดปลายแขน โดยที่ยังไม่ปล่อยไก่ แล้วให้ตกลงมาพร้อมกับเรานั่งลงโดยที่มือยังพยุงอยู่ไก่ก็จะกระพือปีกเป็นการบริหารปีก การล่อไก่วิธีนี้ต้องทำด้วยความนุ่มนวลที่สุดและทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าไก่มีอาการเหนื่อยหอบพอสมควรจึงหยุด วิธีนี้อาจทำให้ไก่ขัดยอกตามเนื้อตัวได้ง่าย จึงมีการเปลี่ยนมาใช้ผ้าโยนแทน โดยใช้ผ้าใบตัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 2.5X2.5 เมตร หรืออาจดัดแปลงใช้กระสอบป่านแทนก็ได้ ให้คนสี่คนจับคนละมุม แล้วเอาไก่วางบนผ้า ดึงผ้าให้ตึง แล้วโยนขึ้นพร้อมๆกัน ไก่จะลอยขึ้นไปบนอากาศแล้วจะกระพือปึก ตกลงมาที่ผ้าเหมือนเดิม เมื่อตกลงมาแล้วให้ดึงผ้าโยนขึ้นไปอีก ทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าไก่เริ่มมีอาการเหนื่อยหอบจึงหยุด วิธีนี้จะเน้นให้ไก่บินได้เฉพาะกำลังปีกเท่านั้น (สงกรานต์ อภัยชา, สัมภาษณ์, 14 มีนาคม 2545) 3) วิธีผลักอก ใช้มือข้างที่ถนัดชูอกไก่ไว้ และมืออีกข้างหนึ่งวางบนโคนหางไก่ แล้วมือที่อกให้ผลักขึ้นพร้อมๆกับมืออีกข้างกดโคนหางลง ไก่จะกระพือตีปีกเหมือนกับตอนไก่จิกตีกัน ทำไปเรื่อยๆจนไก่เหนื่อยหอบแล้วจึงหยุด วิธีนี้มีข้อเสียคือ เมื่อพบกับคู่ต่อสู้ที่ตีตัวแล้วมักจะออกอาการได้ง่ายๆ แต่ก็มีผู้นิยมทำพอสมควรเพราะทำได้ง่าย ประหยัดเวลาและใช้แรงงานน้อย ไก่ได้ทั้งกำลังปีกและขา( นายสงกรานต์ อภัยชา , สัมภาษณ์ : 14 มีนาคม 2545 ) อย่างไรก็ตามการผลักอกจะทำให้ไก่ระบมบริเวณหน้าอกเมื่อถูกคู่ต่อสู้บริเวณนี้จะทำให้ไก่แพ้ได้ง่ายเช่นกัน 4) วิธีบินหลุม ขุดดินให้เป็นบ่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.20 เมตร ลึกประมาณ 1.50 เมตร แล้วจับไก่ลงในบ่อแล้วใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นไม้แส้ไล่ให้ไก่บินขึ้นจากหลุม จำนวนครั้งการบินตั้งแต่ 30 ครั้งไปจนถึง 100 ครั้ง แล้วแต่สภาพของไก่ ถ้าเห็นว่าไก่เหนื่อยหอบพอสมควรแล้วจึงหยุด วิธีนี้มีคนใช้ถังซีเมนต์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตรมาตั้งเรียงกันขึ้นไปก็จะได้ความสูง 1.50 เมตร มาใช้แทนหลุม แล้วใช้กระสอบป่านพาดรองรอบขอบบ่อเพื่อป้องกันขอบบ่อซีเมนต์บาดเท้าไก่ ก็ใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน วิธีนี้มีคนนิยมทำกันมากพอสมควร ไก่ได้ทั้งกำลังปีกและขา( นายเพ็ชรพล พันธุ์ผาง , สัมภาษณ์ : 12 มีนาคม 2545 ) ( นายสงกรานต์ อภัยชา , สัมภาษณ์ : 14 มีนาคม 2545 ) |
||
|