HeaVy – HardRocK มันส์โคตรรุ่นป๋า
- 2 -
x

สมัยนั้นป๋ายังหัวเกรียน โรงเรียนต่างจังหวัดเขาเข้มงวดกว่ากรุงเทพฯเยอะ แต่เสรีภาพวัยรุ่นสมัยนั้นมากกว่าสมัยนี้ เข้าไปฟังเพลง ไปดิ้นในบาร์ได้สบาย ขอให้มีเงินติดกระเป๋าแค่คนละ 15 บาทก็เข้าไป “ ดริ๊ง ” กันได้แล้ว แต่ก็ได้แค่น้ำขวดเท่านั้นนะ

คอฮาร์ดร็อคต้องนุ่งกางเกงบลูยีนส์ มีให้เลือก 2 ยี่ห้อ คือ ลีวายส์(ทรงกระดิ่ง)กับ แลงค์เลอร์(ขาเดฟ) ของพวกนี้ฝากฝรั่งหรือฝากเมียฝรั่งซื้อให้จาก PX ร้านขายของในแคมป์ ไซด์กางเกงเล็กสุดก็ใหญ่เบ้อเริ่มสำหรับพวกเรา จึงต้องใส่มันไปเสียงยั้งงั้น คนกรุงเทพฯเห็นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแฟชั่นนำสมัย เลยมาฮิตกางเกงทรงลุงกันใหญ่ นึกๆ แล้วก็ขำจริงๆ รองเท้าก็ด้วย ก็คู่เล็กมันไม่มีนี่หว่า อยากใส่ “ ของนอก ” เบอร์อะไรช่างมัน ขอให้มีกับเขาเป็นพอ ก็เลยไปกันใหญ่ คนกรุงเทพฯก็แห่ตาม (น่าสงสาร) รองเท้าต้องยี่ห้อ Converse เท่านั้น แต่ลาวตอนนั้นฮิตรองเท้านันยางพื้นเขียวมาก และฮิตมาจนกระทั่งยี่ห้อ Commondors เข้าไปเผยแพร่เมื่อสิบกว่าปีมานี้ถึงเปลี่ยน รองเท้าบูทก็เช่นกันที่นี่ก็นิยมไม่แพ้รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืดต้องสีขาวหรือสีเทายี่ห้อ Fruit & looms จากร้าน PX เหมือนกัน แต่ถ้าโตมาหน่อยก็ยี่ห้อ Grand Slam หรือไม่ก็เสื้อเชิ๊ตลายทางยี่ห้อ Airrows หาได้จากร้านหรูๆ ในเมือง แต่ต้องเก็บเงินหลายเดือนค่อยซื้อได้

ถ้าแต่งตัวอย่างนี้ถึงจะเรียกว่า “ เด็กสเตท ” ซึ่งคำว่า “ สเตท ” มาจากคำว่า United State of America ถ้าไม่แต่งตัวอย่างนี้ก็ไม่ทันสมัย ไม่ใช่พวก “ ขาร็อค ”

บาร์ที่จังหวัดอุดรฯมีเยอะมาก เอาแค่ริมถนนทหารหน้าฐานบินก็ไม่ต่ำกว่า 20 แห่งเข้าไปแล้ว ส่วนบาร์ดังๆ ที่วัยรุ่น(ชอบดนตรี)นิยมไปเที่ยวมี 2 แห่งและอยู่ในเขตตัวเมือง คือ บาร์ Golden Palace กับ บาร์ Golden Horse จะว่าไปแล้ว Can Can Bar ก็ดังเป็นพลุเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเป็นบาร์รำวง และตีหัวกันทุกคืน จนกระทั่งเจ้าของบาร์เปลี่ยนเก้าอี้ธรรมดาเป็นเก้าอี้เหล็ก ต่อให้ 3 คนช่วยยกก็ยังยกไม่ขึ้น เรื่องเอาเก้าอี้ฟาดหัวเป็นอันเลิกคิด

ถ้าอเมริกันผิวสีนิยมไปเที่ยว Blue Sky Bar บาร์นี้เคยแต่เดินผ่านไม่กล้าเข้าไปยุ่ง เพราะดูเหี้ยมๆ กันทั้งนั้น ไม่ใช่แหล่งที่คนไทยหรือเด็กจะไปข้องแวะด้วย อีกอย่างบาร์แห่งนี้ไม่เหมือนที่อื่นตรงที่เปิดแผ่น และมีแต่เพลงบลูส์ และบลูส์ร็อคเท่านั้น สมัยนั้นใครจะมีปัญญาเล่นเพลงบลูส์ สมัยนี้ก็ตามทีจะมีสักกี่คนที่เล่นและฟังแล้วมีจิตวิญญานบลูส์ การเข้าถึงบลูส์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกันคนอีสานทั่วไปอยากจะร้องเพลงหมอลำนั่นละ ถ้าไม่ “Born to be” ร้องให้ตายก็ร้อง เพี้ยนมันทุกพยางค์

ส่วนพวกเสี่ยใหญ่ หรือผู้ใหญ่อายุมากหน่อยจะเที่ยวไนต์คลับ Shiluette มีนักร้องลูกกรุง นักร้องสากล เล่นเพลง “ เฉิบ.... เฉิบ ” และปิดฟลอร์ด้วยเพลงจังหวะตะลุง “ โน้งเน่ง โน้งแกะ โน้งเน่ง โน้งแกะ ” ไปตามเรื่อง สักพักใหญ่ๆ เมื่อโรงแรมมาตรฐานสากลถูกสร้างขึ้นในจังหวัดอุดรธานีนามว่า “ เจริญโฮเต็ล ” โรงแรมนี้ก็มีมุมดนตรีดังชื่อ “Yellow Bird” ส่วนใหญ่จะเล่นดนตรีเพลง Pop ทั่วๆ ไป ฟังสบายๆ และยังเปิดบริการอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

บาร์ส่วนใหญ่เปิด 2 ทุ่มปิดตีหนึ่งตีสอง เพลงเปิดบาร์เกือบร้อยทั้งร้อยเล่นเพลง “Time is Tight” ของวง Booker T & The MGs และที่ไม่เต็มร้อยเหลือให้เพลงบรรเลงของ The Ventures ที่ดังมาก่อนหน้าอย่างเพลง “Ghost Riders in The Sky” ตอนหลังๆ พอวง Santana แพร่เข้ามาถึง ก็เปิดบาร์ด้วยเพลง “Samba Pa ti” ฝรั่งเวลาเข้าบาร์จะหิ้วเหล้ามาด้วยของใครของมัน อันนี้ดูแปลกๆ นะ มาหามิ๊กเซอร์หาพาร์ทเนอร์ในบาร์

โดยทั่วๆไปสมัยนั้นไม่ค่อยมีเรื่องชกต่อยกัน เพราะมี MP ( Military Police ) หรือสารวัตรทหารแวะเวียนมาตรวจเป็นประจำ มาทีมาเป็นโขยงนำโดย MP อเมริกัน และสารวัตรทหารจากนานาชาติ อาทิ ไทย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ซูดาน ถ้ามีเรื่องไม่ต้องห่วงมีคนแปลภาษาได้แน่นอน ก็บอกแล้วอุดรธานีเป็นแหล่งชุมนุมทหารรับจ้างที่คึกคักที่สุด

หน้าบาร์จะมีคิวแท็กซี่และสามล้อถีบคอยรับคอยส่ง แท็กซี่วิ่งทั่วอุดรฯคิดค่าบริการแค่เที่ยวละ 5 บาท สามล้อก็ไม่ต่าง และดูเหมือนจะเป็นประเพณีฝรั่งขี้เมาออกจากบาร์มักจะไล่สามล้อไปนั่ง “ ตูถีบเอง เฟ่ย ” ฝรั่งส่วนใหญ่ใจดีแจกทิปเป็นว่าเล่น เงินทองสะพัด ค่าครองชีพที่จังหวัดอุดรฯสูงกว่ากรุงเทพฯ เงินดอลลาร์สหรัฐฯใช้ได้ทุกที่

ตอนกลางวันก็มีที่ให้เที่ยวนะ แต่จะเป็นวันเสาร์วันอาทิตย์ มีสวนอาหารในสวนสัตว์ประจำจังหวัด วงที่นี่จะเป็นวงแบบสตริงคอมโบเล่นเพลงฝรั่งผสมเพลงไทย ยังมีสวนอาหารเอกชนอีกสองแห่งที่มีชื่อเสียงและเปิดได้หลายปี คือ สวนบันปาวันกับสวนเกษตรรังสรรค์ สวนอาหารและดนตรี 2 แห่งนี้เป็นที่นิยมโดยทั่วไป ผู้ใหญ่ทั้งไทย - ฝรั่งล้อมวงดื่มและฟังเพลง ส่วน เด็กๆ จะแยกไปกระโดดน้ำในสวนโครมๆ พอนักดนตรีอาชีพเล่นจบก็ถึงคิวนักดนตรีสมัครเล่น ใครมีฝีไม้ลายมือก็มาวาดกันเต็มที่

ขอบอก... เด็กอุดรฯไม่เหมือนใครตรงที่เล่นโน้ตไม่เป็น ไม่เหมือนนักดนตรีจากสกลนครกับหนองคาย ที่นั่นพื้นฐานดนตรีดีกว่ามาก สรุปแล้วส่วนใหญ่จะแกะเพลง... “ ฟาด...โลด ” ฝรั่งมันก็สนุกไปตามเรื่อง ร้องผิดร้องถูก ฟังไม่ออกก็ไม่เห็นว่าอะไร

ช่วงปี 2511 หรือ 1968 คลื่นวิทยุสนุกไล่บี้กันระหว่างเพลง Monkees ลิงทะเล้นคลื่นลูกใหม่ ซึ่งกำเนิดวงมาตั้งแต่ปี 1966 กับ The Rolling Stone เจ้าเก่า ทหาร GIs ร้องเพลงของคนอังกฤษวงนี้ได้ทุกเพลง สถานีวิทยุไทยก็คือ วปถ. 7 กับสถานีวิทยุ 09 ส่วนสถานีฝรั่งคือ สถานี AFTA ออกอากาศจากแคมป์เปิดเพลงมันทั้งวัน พูดแต่ภาษาฝรั่งเราฟังไม่ออก ได้แต่ฟังเพลงไปเพลินๆ

ตัวที่มา “ บี้ ” คลื่นวิทยุจริงๆ ทำให้ทั้ง 3 สถานีกระเจิงเป็นระยะ คือ เสียงเครื่องบิน “ แฟนธอม ” หรือ F-4 ไอ้เอฟ 4 บินนี่ชอบบินขึ้นลงแบบไม่ขาดเสียงในแต่ละวัน ตอนบินขึ้นหิ้วไข่ไปด้วยหลายลูก บางทีก็กลับ บางที่ก็ไม่ได้กลับ อย่างเพื่อนซี้ต่างวัยที่ขึ้นป้าย “77 Sunset Strip” มีอยู่ 4 คน เครื่องบินตกและหายสาบสูญไป 3 คน สุดท้ายขอย้ายบ้านหนีไปอยู่ที่อื่น

สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุด เป็นฐานบินของเครื่องบิน B52 ขนระเบิดไปถล่มอย่างเดียว จัดอยู่ในจำพวก “ โคตรบอมพ์เบอร์ ” บินสูงข้าศึกจับตัวยาก ฐานบินอุดรฯกับฐานบินโคราชส่วนใหญ่ใช้ 3 รุ่นหลัก คือ รุ่น F- 102 นักบินเดี่ยวเป็นเครื่องบินประเภทขับไล่ทิ้งระเบิด รุ่น FF บินเดี่ยวประเภทขับไล่สกัดกั้นและทิ้งระเบิดถ้าจำเป็น และนี่เลย รุ่น F- 4D หรือ “ แฟนธอม ” ดุสุด นักบิน 2 คน ภารกิจ คือ ขับไล่และทิ้งระเบิด นอกจากนี้เครื่องบินขับไล่แบบเก่าใบพัดหน้าที่เรียกว่า รุ่น T-28 ("Trojan" fighters ) ก็มีบินอยู่

หน้ากองบัญชาการทหารอเมริกันในสนามบินอุดรธานี ขึ้นป้ายว่า Home of the "HUNTERS” เห็นแค่ชื่อก็ขวัญกระเจิงแล้ว เพราะพวกนี้เป็นพรานล่า “ ยุง ” พันธุ์รัสเซียที่ชื่อว่า “ มิกส์ ” ป้วนเปี้ยนเหนือน่านฟ้าเวียดนาม ลาวและเขมร ฐานของมันอยู่ในฮานอยเมืองหลวงของเวียดนามเหนือ กองบัญชาการอเมริกันเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวแนวขวางถ้าไม่นับรวมตรงกลางยกสูงขึ้นไปอีกครึ่งชั้น เหนือป้ายข้อความดังกล่าวเป็นรูปอาร์มของกองบัญชาการ รั้วตะแกรงเหล็กรอบอาคาร หลังรั้วเป็นพันธุ์ไม้เลื้อย เจาะช่องเป็นประตูทางเข้าเล็กๆ ด้านซ้ายปักเสาธงชาติไทยด้านขวาปักธงชาติอเมริกัน ฝรั่งเรียกกองบัญชาการนี้ว่า UDORN RTAFB หรือ 432ndTacticalFighter/Reconnaissance Wing ซึ่งมีอยู่ 4 ฝูงบิน ได้แก่ฝูงบินที่ 13th ซึ่งย้ายมาจากโคราชเมื่อปี 1967 ฝูงบิน 555th TFS ประมาณปี 1972 มีหน่วย "NOMADS" มาเสริม “ อาร์ม ” เป็นรูปคิงคองโกรธกำลังไล่ขย่ำเครืองบินรูปสามเหลี่ยมเผ่นกระเจิง 2 ลำ หน่วยนี้ใช้เครื่องบิน F-4E Phantom II และฝูงบินที่ 14th TRS
กองบัญชาการฝูงนี้มาแปลกพ่นสีอาคารเรือนไม้ชั้นเดียวเป็นรูปกระต่ายเพลย์บอย ทุกฝูงมีภารกิจ 3 ประการ คือ พิทักษ์น่านฟ้า ถ่ายภาพและ Kill MICs !!!

ในแคมป์ก็มีไนต์คลับเหมือนกัน นักดนตรีมีทั้งวงฝรั่งและวงไทยรับเชิญ ถ้าวันไหนเป็นวันสำคัญๆ เขาก็จะจัดงานใหญ่กัน และงานที่ขึ้นชื่อว่าสนุกสุดเหวี่ยงที่สุด “ เลี้ยงเหล้า - เบียร์ฟรี ” ก็คือ งานฉลองบินครบ 100 เที่ยวบินของนักบิน(ไป - กลับ นับหนึ่งเที่ยว) เพราะอีกวันสองวันหลังจากนั้น จะได้กลับบ้านในแผ่นดินแม่ งานนี้เขาเรียกว่า “Hundred Sorties Victory” ไม่ใช่เลี้ยงอย่างเดียว ก่อนเปิดขวดจะมีพิธีประกาศเกียรติคุณ และมอบเหรียญให้อย่างสมเกียรติ แต่ถ้าเศร้าที่สุดก็เห็นจะเป็นงานอาลัยแก่นักบินที่บินมาแล้ว 99 เที่ยวครึ่ง บินเที่ยวสุดท้ายได้ขาเดียว คือ ไปแล้วไม่กลับ “ ม่าง....เศร้าชิพ... ”

 

Next

Home