สมัยนั้นป๋ายังหัวเกรียน โรงเรียนต่างจังหวัดเขาเข้มงวดกว่ากรุงเทพฯเยอะ แต่เสรีภาพวัยรุ่นสมัยนั้นมากกว่าสมัยนี้ เข้าไปฟังเพลง ไปดิ้นในบาร์ได้สบาย ขอให้มีเงินติดกระเป๋าแค่คนละ 15 บาทก็เข้าไป ดริ๊ง กันได้แล้ว แต่ก็ได้แค่น้ำขวดเท่านั้นนะ
คอฮาร์ดร็อคต้องนุ่งกางเกงบลูยีนส์ มีให้เลือก 2 ยี่ห้อ คือ ลีวายส์(ทรงกระดิ่ง)กับ แลงค์เลอร์(ขาเดฟ) ของพวกนี้ฝากฝรั่งหรือฝากเมียฝรั่งซื้อให้จาก PX ร้านขายของในแคมป์ ไซด์กางเกงเล็กสุดก็ใหญ่เบ้อเริ่มสำหรับพวกเรา จึงต้องใส่มันไปเสียงยั้งงั้น คนกรุงเทพฯเห็นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแฟชั่นนำสมัย เลยมาฮิตกางเกงทรงลุงกันใหญ่ นึกๆ แล้วก็ขำจริงๆ รองเท้าก็ด้วย ก็คู่เล็กมันไม่มีนี่หว่า อยากใส่ ของนอก เบอร์อะไรช่างมัน ขอให้มีกับเขาเป็นพอ ก็เลยไปกันใหญ่ คนกรุงเทพฯก็แห่ตาม (น่าสงสาร) รองเท้าต้องยี่ห้อ Converse เท่านั้น แต่ลาวตอนนั้นฮิตรองเท้านันยางพื้นเขียวมาก และฮิตมาจนกระทั่งยี่ห้อ Commondors เข้าไปเผยแพร่เมื่อสิบกว่าปีมานี้ถึงเปลี่ยน รองเท้าบูทก็เช่นกันที่นี่ก็นิยมไม่แพ้รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืดต้องสีขาวหรือสีเทายี่ห้อ Fruit & looms จากร้าน PX เหมือนกัน แต่ถ้าโตมาหน่อยก็ยี่ห้อ Grand Slam หรือไม่ก็เสื้อเชิ๊ตลายทางยี่ห้อ Airrows หาได้จากร้านหรูๆ ในเมือง แต่ต้องเก็บเงินหลายเดือนค่อยซื้อได้
ถ้าแต่งตัวอย่างนี้ถึงจะเรียกว่า เด็กสเตท ซึ่งคำว่า สเตท มาจากคำว่า United State of America ถ้าไม่แต่งตัวอย่างนี้ก็ไม่ทันสมัย ไม่ใช่พวก ขาร็อค
บาร์ที่จังหวัดอุดรฯมีเยอะมาก เอาแค่ริมถนนทหารหน้าฐานบินก็ไม่ต่ำกว่า 20 แห่งเข้าไปแล้ว ส่วนบาร์ดังๆ ที่วัยรุ่น(ชอบดนตรี)นิยมไปเที่ยวมี 2 แห่งและอยู่ในเขตตัวเมือง คือ บาร์ Golden Palace กับ บาร์ Golden Horse จะว่าไปแล้ว Can Can Bar ก็ดังเป็นพลุเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเป็นบาร์รำวง และตีหัวกันทุกคืน จนกระทั่งเจ้าของบาร์เปลี่ยนเก้าอี้ธรรมดาเป็นเก้าอี้เหล็ก ต่อให้ 3 คนช่วยยกก็ยังยกไม่ขึ้น เรื่องเอาเก้าอี้ฟาดหัวเป็นอันเลิกคิด
ถ้าอเมริกันผิวสีนิยมไปเที่ยว Blue Sky Bar บาร์นี้เคยแต่เดินผ่านไม่กล้าเข้าไปยุ่ง เพราะดูเหี้ยมๆ กันทั้งนั้น ไม่ใช่แหล่งที่คนไทยหรือเด็กจะไปข้องแวะด้วย อีกอย่างบาร์แห่งนี้ไม่เหมือนที่อื่นตรงที่เปิดแผ่น และมีแต่เพลงบลูส์ และบลูส์ร็อคเท่านั้น สมัยนั้นใครจะมีปัญญาเล่นเพลงบลูส์ สมัยนี้ก็ตามทีจะมีสักกี่คนที่เล่นและฟังแล้วมีจิตวิญญานบลูส์ การเข้าถึงบลูส์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกันคนอีสานทั่วไปอยากจะร้องเพลงหมอลำนั่นละ ถ้าไม่ Born to be ร้องให้ตายก็ร้อง เพี้ยนมันทุกพยางค์
ส่วนพวกเสี่ยใหญ่ หรือผู้ใหญ่อายุมากหน่อยจะเที่ยวไนต์คลับ Shiluette มีนักร้องลูกกรุง นักร้องสากล เล่นเพลง เฉิบ.... เฉิบ และปิดฟลอร์ด้วยเพลงจังหวะตะลุง โน้งเน่ง โน้งแกะ โน้งเน่ง โน้งแกะ ไปตามเรื่อง สักพักใหญ่ๆ เมื่อโรงแรมมาตรฐานสากลถูกสร้างขึ้นในจังหวัดอุดรธานีนามว่า เจริญโฮเต็ล โรงแรมนี้ก็มีมุมดนตรีดังชื่อ Yellow Bird ส่วนใหญ่จะเล่นดนตรีเพลง Pop ทั่วๆ ไป ฟังสบายๆ และยังเปิดบริการอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
บาร์ส่วนใหญ่เปิด 2 ทุ่มปิดตีหนึ่งตีสอง เพลงเปิดบาร์เกือบร้อยทั้งร้อยเล่นเพลง Time is Tight ของวง Booker T & The MGs และที่ไม่เต็มร้อยเหลือให้เพลงบรรเลงของ The Ventures ที่ดังมาก่อนหน้าอย่างเพลง Ghost Riders in The Sky ตอนหลังๆ พอวง Santana แพร่เข้ามาถึง ก็เปิดบาร์ด้วยเพลง Samba Pa ti ฝรั่งเวลาเข้าบาร์จะหิ้วเหล้ามาด้วยของใครของมัน อันนี้ดูแปลกๆ นะ มาหามิ๊กเซอร์หาพาร์ทเนอร์ในบาร์
โดยทั่วๆไปสมัยนั้นไม่ค่อยมีเรื่องชกต่อยกัน เพราะมี MP ( Military Police ) หรือสารวัตรทหารแวะเวียนมาตรวจเป็นประจำ มาทีมาเป็นโขยงนำโดย MP อเมริกัน และสารวัตรทหารจากนานาชาติ อาทิ ไทย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ซูดาน ถ้ามีเรื่องไม่ต้องห่วงมีคนแปลภาษาได้แน่นอน ก็บอกแล้วอุดรธานีเป็นแหล่งชุมนุมทหารรับจ้างที่คึกคักที่สุด
หน้าบาร์จะมีคิวแท็กซี่และสามล้อถีบคอยรับคอยส่ง แท็กซี่วิ่งทั่วอุดรฯคิดค่าบริการแค่เที่ยวละ 5 บาท สามล้อก็ไม่ต่าง และดูเหมือนจะเป็นประเพณีฝรั่งขี้เมาออกจากบาร์มักจะไล่สามล้อไปนั่ง ตูถีบเอง เฟ่ย ฝรั่งส่วนใหญ่ใจดีแจกทิปเป็นว่าเล่น เงินทองสะพัด ค่าครองชีพที่จังหวัดอุดรฯสูงกว่ากรุงเทพฯ เงินดอลลาร์สหรัฐฯใช้ได้ทุกที่

ตอนกลางวันก็มีที่ให้เที่ยวนะ แต่จะเป็นวันเสาร์วันอาทิตย์ มีสวนอาหารในสวนสัตว์ประจำจังหวัด วงที่นี่จะเป็นวงแบบสตริงคอมโบเล่นเพลงฝรั่งผสมเพลงไทย ยังมีสวนอาหารเอกชนอีกสองแห่งที่มีชื่อเสียงและเปิดได้หลายปี คือ สวนบันปาวันกับสวนเกษตรรังสรรค์ สวนอาหารและดนตรี 2 แห่งนี้เป็นที่นิยมโดยทั่วไป ผู้ใหญ่ทั้งไทย - ฝรั่งล้อมวงดื่มและฟังเพลง ส่วน เด็กๆ จะแยกไปกระโดดน้ำในสวนโครมๆ พอนักดนตรีอาชีพเล่นจบก็ถึงคิวนักดนตรีสมัครเล่น ใครมีฝีไม้ลายมือก็มาวาดกันเต็มที่
ขอบอก... เด็กอุดรฯไม่เหมือนใครตรงที่เล่นโน้ตไม่เป็น ไม่เหมือนนักดนตรีจากสกลนครกับหนองคาย ที่นั่นพื้นฐานดนตรีดีกว่ามาก สรุปแล้วส่วนใหญ่จะแกะเพลง... ฟาด...โลด ฝรั่งมันก็สนุกไปตามเรื่อง ร้องผิดร้องถูก ฟังไม่ออกก็ไม่เห็นว่าอะไร
ช่วงปี 2511 หรือ 1968 คลื่นวิทยุสนุกไล่บี้กันระหว่างเพลง Monkees ลิงทะเล้นคลื่นลูกใหม่ ซึ่งกำเนิดวงมาตั้งแต่ปี 1966 กับ The Rolling Stone เจ้าเก่า ทหาร GIs ร้องเพลงของคนอังกฤษวงนี้ได้ทุกเพลง สถานีวิทยุไทยก็คือ วปถ. 7 กับสถานีวิทยุ 09 ส่วนสถานีฝรั่งคือ สถานี AFTA ออกอากาศจากแคมป์เปิดเพลงมันทั้งวัน พูดแต่ภาษาฝรั่งเราฟังไม่ออก ได้แต่ฟังเพลงไปเพลินๆ
ตัวที่มา บี้ คลื่นวิทยุจริงๆ ทำให้ทั้ง 3 สถานีกระเจิงเป็นระยะ คือ เสียงเครื่องบิน แฟนธอม หรือ F-4 ไอ้เอฟ 4 บินนี่ชอบบินขึ้นลงแบบไม่ขาดเสียงในแต่ละวัน ตอนบินขึ้นหิ้วไข่ไปด้วยหลายลูก บางทีก็กลับ บางที่ก็ไม่ได้กลับ อย่างเพื่อนซี้ต่างวัยที่ขึ้นป้าย 77 Sunset Strip มีอยู่ 4 คน เครื่องบินตกและหายสาบสูญไป 3 คน สุดท้ายขอย้ายบ้านหนีไปอยู่ที่อื่น
สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุด เป็นฐานบินของเครื่องบิน B52 ขนระเบิดไปถล่มอย่างเดียว จัดอยู่ในจำพวก โคตรบอมพ์เบอร์ บินสูงข้าศึกจับตัวยาก ฐานบินอุดรฯกับฐานบินโคราชส่วนใหญ่ใช้ 3 รุ่นหลัก คือ รุ่น F- 102 นักบินเดี่ยวเป็นเครื่องบินประเภทขับไล่ทิ้งระเบิด รุ่น FF บินเดี่ยวประเภทขับไล่สกัดกั้นและทิ้งระเบิดถ้าจำเป็น และนี่เลย รุ่น F- 4D หรือ แฟนธอม ดุสุด นักบิน 2 คน ภารกิจ คือ ขับไล่และทิ้งระเบิด นอกจากนี้เครื่องบินขับไล่แบบเก่าใบพัดหน้าที่เรียกว่า รุ่น T-28 ("Trojan" fighters ) ก็มีบินอยู่
หน้ากองบัญชาการทหารอเมริกันในสนามบินอุดรธานี ขึ้นป้ายว่า Home of the "HUNTERS เห็นแค่ชื่อก็ขวัญกระเจิงแล้ว เพราะพวกนี้เป็นพรานล่า ยุง พันธุ์รัสเซียที่ชื่อว่า มิกส์ ป้วนเปี้ยนเหนือน่านฟ้าเวียดนาม ลาวและเขมร ฐานของมันอยู่ในฮานอยเมืองหลวงของเวียดนามเหนือ กองบัญชาการอเมริกันเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวแนวขวางถ้าไม่นับรวมตรงกลางยกสูงขึ้นไปอีกครึ่งชั้น เหนือป้ายข้อความดังกล่าวเป็นรูปอาร์มของกองบัญชาการ รั้วตะแกรงเหล็กรอบอาคาร หลังรั้วเป็นพันธุ์ไม้เลื้อย เจาะช่องเป็นประตูทางเข้าเล็กๆ ด้านซ้ายปักเสาธงชาติไทยด้านขวาปักธงชาติอเมริกัน ฝรั่งเรียกกองบัญชาการนี้ว่า UDORN RTAFB หรือ 432ndTacticalFighter/Reconnaissance Wing ซึ่งมีอยู่ 4 ฝูงบิน ได้แก่ฝูงบินที่ 13th ซึ่งย้ายมาจากโคราชเมื่อปี 1967 ฝูงบิน 555th TFS ประมาณปี 1972 มีหน่วย "NOMADS" มาเสริม อาร์ม เป็นรูปคิงคองโกรธกำลังไล่ขย่ำเครืองบินรูปสามเหลี่ยมเผ่นกระเจิง 2 ลำ หน่วยนี้ใช้เครื่องบิน F-4E Phantom II และฝูงบินที่ 14th TRS กองบัญชาการฝูงนี้มาแปลกพ่นสีอาคารเรือนไม้ชั้นเดียวเป็นรูปกระต่ายเพลย์บอย ทุกฝูงมีภารกิจ 3 ประการ คือ พิทักษ์น่านฟ้า ถ่ายภาพและ Kill MICs !!!
ในแคมป์ก็มีไนต์คลับเหมือนกัน นักดนตรีมีทั้งวงฝรั่งและวงไทยรับเชิญ ถ้าวันไหนเป็นวันสำคัญๆ เขาก็จะจัดงานใหญ่กัน และงานที่ขึ้นชื่อว่าสนุกสุดเหวี่ยงที่สุด เลี้ยงเหล้า - เบียร์ฟรี ก็คือ งานฉลองบินครบ 100 เที่ยวบินของนักบิน(ไป - กลับ นับหนึ่งเที่ยว) เพราะอีกวันสองวันหลังจากนั้น จะได้กลับบ้านในแผ่นดินแม่ งานนี้เขาเรียกว่า Hundred Sorties Victory ไม่ใช่เลี้ยงอย่างเดียว ก่อนเปิดขวดจะมีพิธีประกาศเกียรติคุณ และมอบเหรียญให้อย่างสมเกียรติ แต่ถ้าเศร้าที่สุดก็เห็นจะเป็นงานอาลัยแก่นักบินที่บินมาแล้ว 99 เที่ยวครึ่ง บินเที่ยวสุดท้ายได้ขาเดียว คือ ไปแล้วไม่กลับ ม่าง....เศร้าชิพ...

Home
|