HeaVy – HardRocK มันส์โคตรรุ่นป๋า
- 24 -
x

Status Quo

ในยุคสมัยที่ดนตรีสไตล์ฮาร์ดร็อคเริ่มเป็นที่นิยม ก็มีวงร็อควงหนึ่งที่ “ แหวกม่าน ” มาด้วย นั่นก็คือวง Status Quo ซึ่งเพลงติดหูคนก็มีเพลง “Pictures Of Matchstick Men” เพราะเพลงนี้ขึ้นเพลงสะดุดหูด้วยเสียงสะบัดปิคสายกีตาร์นำเพลง และในเพลงมีเสียง Wah Wah ของกีตาร์ด้วย ซึ่งเสียง “Wah Wah” นี้พวกเรานักดนตรีสมัครเล่นจะเรียกว่าเสียง “ วาว ”

เมื่อปี 1991 สมาชิกวงได้จัดงานครบรอบ 25 ปี โดยจัด “Quo Express” หรือจัดทัวร์ดนตรีรถไฟไปทั่วเกาะอังกฤษ คือ จะบอกประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าจะไปถึงสถานีไหน วันไหน เวลาไหน คอนเสิร์ตจะเริ่มกี่โมง เมื่อถึงเวลานั้นหมายค่อยพบกัน การทัวร์รถไฟครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีแฟนเก่าแฟนใหม่ไปฟังพวกนี้กระหน่ำกันถ้วนหน้า

สมัยเป็นวัยรุ่นฟังเพลงพวกนี้ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ทั้งๆที่เล่นดนตรีฝีมือดีเยี่ยม ที่ไม่ค่อยประทับใจและไม่แกะเพลงวงนี้เล่นก็เพราะยุคสมัยเดียวกันมีเพลงมันๆ เจ๋งๆ ให้แกะเล่นเยอะแยะ แต่ถ้าถามว่ารู้จักวงนี้ดีไหม ต้องตอบว่ารู้จักดี รู้เพลงเจ๋งๆ หลายเพลง แต่ “ อั๊ว ไม่ได้แกะเพลงมันเล่นเลยฟะ ”

ความจริงก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะก็ไม่เห็นมืออาชีพแกะเพลงวงนี้เล่นเหมือนกัน

สไตล์วงนี้ส่วนใหญ่จะเล่นเพลงแนว Rock ‘n' Roll มากกว่า

เพลงเด่นๆ จากวงนี้ อาทิ เพลง Rollover Lay Down, Rain, Ice In The Sun, PaperPlane, Caroline, Break The Rules, Down Down( เพลงนี้ก็ดังมากเพราะดนดรีดีมาก ), Whatever You Want, What you're Proposin', Rock ‘n' Roll (แต่ดนตรีไม่ Rock ‘n' Rooll ) , In The Army เป็นต้น

สมาชิกวงรุ่นเก่าประกอบด้วย Francis Rossi กับ Alan Lancaster ซึ่งตอนแรกตั้งวง The Scorpions ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น The Spectres จากนั้นก็ได้ John Coghlan มาตีกลองให้ และได้ Rick Parfitt มาร่วมด้วย จากนั้นออกแผ่นในนามวง The Spectres

ปี 1967 ได้เปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น “Traffic” พร้อมกับมีมือออร์แกนเข้ามาเพิ่ม ชื่อ Roy Lynes และออก Single ชื่อ “Almost But Not Quite There” แต่คนก็อาจจะหลงกับวง “Traffic” ของ Steve Winwood ได้ เลยเปลี่ยนชื่อวงเสียใหม่เป็น Status Quo ซึ่งมาจากภาษาละติน ความหมายของชื่อก็น่าจะหมายถึง สถานการณ์คับขันอะไรทำนองนั้น วงนี้เล่นกีตาร์ลีดกัน 2 คน เพลงดังเพลงแรกก็เพลง “Pictures Of Matchstick Men” นั่นล่ะครับ

Ted Nugent

คนบ้ากีตาร์นอกเสียจาก Jimi Hendrix ก็ต้องเป็นนี่เลย “Ted Nugent” มือกีตาร์และร้องชาวอเมริกัน เพราะเล่นกีตาร์มันทั้งวันทั้งคืนหลายวันติดต่อกัน ส่วน Jimi Hendrix นั้น พ่อเคยเล่าให้รายการพิเศษในทีวีต่างประเทศให้ฟังว่า เจ้า Hendrix นี่ถ้าจะบ้ากีตาร์เอามากๆ เพราะเปิดประตูห้องเข้าไป เห็นมันนอนกอดกีตาร์เป็นประจำ

Ted Nugent เกิดที่เมืองดีทรอยท์ หัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เล่นกีตาร์เลี้ยงชีพมาตั้งแต่อายุ 17-18 ปี เคยทำแผ่นเสียงชุดแรกในนามวง The Amboy Dukes และใช้ชื่อวงเป็นชื่ออัลบั้ม ส่วน ชุดที่ 2 ออกมาเมื่อปี 1968 ชื่อ “Journey To The Center Of The Mind” ชุดที่ 3 ออกวางตลาดในปีถัดมาชื่อชุด “Migration” และออกตระเวนแสดงดนตรีมาเรื่อย ผลงานเพลงของเจ้ามนุษย์บ้าเลือดคนนี้กวาดมา 6 แผ่นเสียงทองคำขาว คือ ชุด “Ted Nugent(1975), Free For All, Cat Scratch Ferver, Double Live Gonzo, Weekend Warriors และชุด Scream Dream(1980)

ตอนดูหนังเรื่อง School Of Rock จะนึกถึงหน้าเจ้าหมอนี่ทุกที เพราะอารมณ์มันคล้ายๆ กัน บ้า ดีเดือด

สมัยที่ดังๆ อยู่ เวลาคนไปสัมภาษณ์เจ้าหมอนี่ก็ไม่เคยนั่งนิ่งๆ ให้สัมภาษณ์ มันจะเล่นกีตาร์ไปด้วย เดี๋ยวผุดลุกผุดนั่ง ตะโกนสุดเสียง กระโดดไปกระโดดมา เวลาไปออกคอนเสิร์ตก็หายห่วง มันบ้าสิ้นดี แต่ก็ดูแล้วเพลิน

ชีวิตส่วนตัวชอบล่าสัตว์ ตระเวนไปทั่วอเมริกาและแคนาดา ข่าวบอกว่าหมอนี่ท่าจะบ้าจริงๆ เพราะจะให้เครื่องบินไปส่งกลางป่า วันหลังค่อยไปรับ ที่เหลือมันจัดการของมันเอง อุปกรณ์เครื่องมือที่ติดตัวไปก็มีแค่คันธนู ลูกธนูกับปืนพก

มีอยู่คราวนึงระหว่างที่ออกไปเป็นพรานเบ็ด บังเอิญไปเจอเขาเล่นดนตรี มันทนเขาเล่นดนตรีไม่ไหวเลยขอไปแจมด้วย

ก็มันมีดนตรีร็อคแอนด์โรลในสายเลือดนี่นา ยังไงก็ต้องขอขยับด้วยคน

ถ้าแวะเข้าไปดูเว็บไซด์ของ Ted Nugent วันนี้ ก็จะเห็นมีให้คลิ๊ก “Music” กับ “Hunting” ตรงนี้แสดงว่าเขายังรักในการล่าอยู่เช่นเดิม และทำธุรกิจนายพรานขึ้นมา ทุกวันนี้ย้ายบ้านช่องมาอยู่ใกล้ๆ กับบ้านประธานาธิดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บูช ที่ครอวฟอร์ด เท็กซัส

สไตล์ Ted Nugent ก็เหมือนนักดนตรีร็อค แอนด์ โรลยุคสมัยเดียวกัน คือ ปล่อยผมยาวเฟื้อย แต่มีหนวดเคราครึ้ม

ความจริงสมัยหนุ่มๆ หมอนี่หน้าตาหล่อเหลา เกลี้ยงเกลา นิสัยเป็นนักล่าฝัน ไม่เดินตามรอยพ่อที่เป็นจ่าทหารอเมริกันเก่า ออกจากบ้านแสวงโชคทางดนตรีและก็ทำได้สำเร็จดีทีเดียว

เพลงทุกเพลงจะใส่ลูก “ โซโล ” กีตาร์ ซึ่งเพลงอย่างนี้แทบจะไม่เคยมีใครแต่งเล่นในบ้านเรา ไม่รู้ว่าคนไทยยังเข้าไม่ถึงดนตรี หรือไม่ชอบแบบนี้ก็ไม่รู้

สมัยที่ทำกับวง The Amboy Dukes ก็เอาเพลง “Baby Please Don't Go” ของคนอื่นมาอัด ซึ่งอยากจะให้หาเพลงนี้มาฟัง เพราะลีดกีตาร์ “ หนึ่งในตองอู ” เหมือนกัน

เพลงดังๆ ของเจ้าหมอนี่ก็มีเพลง Journey To The Center Of The Mind, Colors, Night Time, Wang Dang Sweet Poontang,Cat Scratch Fever, Motor City Madhouse, Great White Buffalo , Stranglehold, Wango Tango

และเพลง "Scottis Tea" ซึ่งเป็นเพลงบรรเลง

เพลงแนวบลูส์เพราะๆ ก็มี แต่เนื้อหาหนักหน่วง คือ เพลง “Mississippi Murderer” , “Dr.Slingshot” เพลงนี้ลีดกีตาร์ไหลเป็นน้ำ และใช้เสียงกีตาร์เมโลดี้คลุมเกือบทั้งเพลง อีกเพลงที่เล่นกันสุดฤทธิ์ตามสไตล์คนชอบป่าก็คือเพลง “Loaded For Bear”

ตอนหลังนักดนตรีแบ็คอัพก็มี Travis Whipple เล่นกีตาร์และร้อง Rob Grange เบส กับได้ Cliff Davies เล่นกลองให้

ช่วงปี 1980 Ted Nugent ได้ตั้งวงใหม่ชื่อวง “Damn Yankees” ก็ตัวเขาเองนั่นหล่ะเป็นสมาชิกหลักของวง คนอื่นก็มี Jack Blades จากวง Night Ranger มาเล่นเบสและร้อง ได้ Tommy Shaw จากวง Styx มาเล่นกีตาร์และร้อง และได้ Michael Cartellone เล่นกลองให้ ผลงานเพลงก็ขายระเบิดเทิดเทิงเหมือนกัน หลังจากนั้นอีก 10 ปีก็กลับมาออกอัลบั้มเดี่ยวเหมือนเดิม

เจ้าหมอนี่ยังดังเสมอต้นเสมอปลาย !

T. Rex

นักดนตรีผมฟูเอกลักษณ์แห่งยุคก็ใช่เลย “Marc Bolan” แห่งวง(ไดโนเสาร์) T.Rex เพราะทั้งฟูทั้งหยิก แต่ไม่ใช้ผมแบบ “Afro” นะ เพราะแบบนั้นต้องฟูและดูกลม แต่นี่ดูกลมก็จริงแต่ดัดแปลกๆ ฟะ สมัยก่อนหน้าเจ้าหมอนี่ดูคล้ายผู้หญิง คือ ดูหวานและนักรัก แต่ฝีมือดนตรีเหี้ยมไม่เบาเลยโดยเฉพาะเพลง “Children Of The Revolution” ที่ใส่ท่วงทำนองเพลงมันๆ ผสมกีตาร์ไฟฟ้าฟาดกับกีตาร์โปร่ง

ดนตรีวงนี้ดีไม่แพ้ใครในยุคสมัย แต่ก็ไม่มีเพลงที่ดังเปรี้ยงปร้าง ! ติดหูคนฟังไปทั่วโลกเหมือนกับวงอื่นๆ ในยุคสมัยเดียวกัน

ก็น่าเสียดายนะที่คนไม่ค่อยรู้จักเพลงของวงนี้เท่าไหร่ ยกเว้นหนุ่มรูปหล่ออย่าง Marc Bolan นักร้องและมือกีตาร์ ไม่รู้เป็นเพราะว่าเสียงร้องฟังดูหวานเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้คนส่วนใหญ่มีเพลงวงนี้เอาไว้ฟังเพลินๆ ไม่ได้ซื้อมาแกะเพลงเล่น ทั้งๆ ที่เอามาแกะเล่นได้ตั้งหลายเพลง อย่างเพลง “I Love To Boogie” แกะมาเล่นก็มันดี ร้องก็ไม่ยาก ดนตรีมีจังหวะจะโคนดี โซโลกีตาร์ก็เป็นรูปแบบ

T.Rex เป็นชื่อย่อมาจาก “Tyrannosaurus Rex” หรือ ไดโนเสาร์สุดยอดนักล่านั่นหล่ะ Marc Bolan เล่นดนตรีมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 1960 แต่ไปคว้า Steve Peregrin Took มือ Percussion มาเล่นด้วยกันช่วงปี 1967-1969 แนวเพลงมาในสไตล์ “Glam Rock” ถัดมา Steve Peregrin Took ก็ออ ก ไปได้ Mickey Finn มาเล่นแทน จากนั้นค่อยรวมกันเป็นวงเป็นเรื่องเป็นราวในปี 1970 สมาชิกประกอบด้วย Mard Bolan ร้องและกีตาร์ Steve Currie เล่นเบส Mikey Finn เล่นคองกา และมี Bill Legend เล่นกลอง ได้ Gloria Jones มาเล่นคีย์บอร์ดให้ และได้ Jack Green มาเล่นกีต้าร์ให้อีกคน

ไอ้ “ แกลม ร็อค ” นี่เขาหมายถึง ร็อคแบบแต่งตัวประกวดประขัน เสื้อผ้าที่สวมใส่สวยงาม แต่งหน้าแต่งตา ไม่ใช่ร็อคแบบขาโจ๋เหี้ยมๆ ที่นุ่งบลูยีนส์หรือทำตัวแบบแมนเต็มตัว ต้นแบบเขาว่ามาจากอังกฤษ มาพร้อมๆ กับยุคสมัยฮิปปี้ เฟื่องสุดช่วงปี 1971-1973 แนวเพลงที่ผลิตออกมาก็เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แนวคิดวิทยาศาสตร์ กับแนวคิดปฏิวัติทางความคิดในหมู่ของคนหนุ่มสาว

ถ้าจะพูดให้ชัดๆ ก็แนว “ แต๋วแหว ” (glitter rock) หัวขบวนกลุ่มดนตรีแนวนี้ก็มี David Bowie, Gary Glitter, Queen, Slade, Sweet, Roxy Music, Alice Cooper หรือแม้กระทั่ง Mott The Hoople

เพลงของ T. Rex เป็นแบบผสมผสานทดลองแนวใหม่ๆ เข้าไปในเพลง ซึ่งดูต่างจากวงฮาร์ดร็อควงอื่นๆ ที่มีรูปแบบและความชัดเจนของจังหวะจะโคน ตรงไหนเห็นว่าไพเราะหรือเห็นว่าแปลกดี มันดี วงนี้ก็ใส่ไปหมด

ดนตรีวงนี้ต่อต้านแนวดนตรีพาณิชย์และต้านยาเสพย์ติดด้วย

เพลงดังในอังกฤษช่วงปี 1970 คือเพลง “Ride A White Swan” เพลง Single ที่ 2 ที่ออกตามกันมาคือ “Hot Love” ก็ติดตลาดเหมือนกัน ถ้าจะให้เดาก็น่าจะเป็นแฟนเพลงสไตล์ “ สาวกรี๊ด ” ทั้งหลายนั่นหล่ะ

อัลบั้มที่ 2 คือ “Electric Warrior” ออกวางแผงเมื่อเดือนกันยายนปี 1971 มี Steve Currie เล่นเบส มี Bill Legend เล่นกลองให้ ส่วน Marc Bolan เล่นกีตาร์และร้อง เพลงดังจากชุดนี้ก็คือ “Get It On” ดังทั้งยุโรปและอเมริกา

ขึ้น riff กีตาร์ตามด้วยเบส กลองและร้อง จังหวะเสมอต้นเสมอปลาย คนส่วนใหญ่จะจำท่อนร้อง “Get It On….” ได้ เพราะสั้นๆ ติดหูดี

ฝีไม้ลายมือดีขนาด Ringo Star กับ Elton John มาร่วมงานด้วย

ถ้าสนใจอยากจะฟังเพลงจากวงนี้ลองไปหา CD ชุด Marc Bolan & T. Rex The Essential Collection มาฟัง แค่แผ่นเดียวก็คุ้มเหลือหลาย หรือถ้ายังไม่จุใจหากชุด The Very Best Of T.Rex มาฟังอีกชุดก็ได้ มีหลายเพลงต่างกันไปใน CD สองชุดนี้

David Bowie

เขียนถึงพวก “ แกลม ร็อค ” ก็ต้องข้ามมาที่ David Bowie เลย เพลงของเจ้าหมอนี่ป๋าเคยแกะเล่นอยู่เพลงเดียง คือ เพลง “Rabel Rabel” เพลงอื่นฟังแล้วไม่ค่อยโดน ความจริงก็ไม่ใช่ดนตรีสไตล์ฮาร์ดร็อค แต่เป็นเพลงป็อป

เชื่อไหม ทุกวันนี้ก็ยังหา CD เพลงนี้ไม่ได้สักแผ่น แต่ก็ยังจำท่วงทำนองเพลงและเสียงกีตาร์ได้เลาๆ เพลงนี้ “ คอฮาร์ดร็อค ” ก็แกะเพลงมาเล่นได้สบาย เพราะกลิ่นอาจไม่ใช่ Pop จ๋า ที่สำคัญเพลงนี้ไม่ใช่เพลงฮิตเสียด้วย อยู่ในอัลบั้มชื่อ “Diamond Dogs” ใครหาเจอก็ลองเปิดฟังดูนะ !

David Bowie กลายเป็นตำนานไปโดยปริยาย เพราะอยู่แถวหน้าวงการ “ แกลม ร็อค ”

สมัยนี้ไปไหนก็เห็นคน “ ไฮท์ ไลท์ ” ทรงผม ก็บอกได้เลยว่า “ นี่หล่ะต้นตำรับ ” ทรงผมชี้ๆ ก็ใช่เลย

ออก Single แรก “Space Oddity” ไม่เท่าไหร่ แต่ออก Single ที่ 2 ทำให้คนรู้จักมากขึ้น คือ “Changes” จากชุด Hunky Dory ( 1971)

คนส่วนใหญ่จะฟังเพลงยุคหลัง ๆ ประมาณปี 1980

ศิลปินเดี่ยวคนนี้ดังในวงการป็อป สาวๆ ชอบ

ดังจนมีฉายาว่า “Chameleon Of Pop” และมีโปสเตอร์ขายเยอะด้วย หนังสือเพลงก็ชอบเอามาลงกันจัง แต่มีไม่เท่าไหร่หรอกที่จะร้องเพลงของ David Bowie ได้ นอกจากแฟนเพลงตัวจริงเท่านั้น

David Bowie ออกผลงานเพลงมาเยอะมาก และมีชื่อเสียงข้ามยุคสมัยมาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับ “ ป๋า ” แล้ว ได้เพลง “Rebel Rebel” เพลงเดียวก็เกินพอ

 

Next

Home