สัตว์มหัศจรรย์ในตำนาน

: หน้าแรก :
: ฮอกวอตส์ :
: ห้องโถงรวม :
: ห้องสมุด :
: ลงนามในเพนชิพ :
: Gryffindor :
: Ravenclaw :
: Hufflepuff :
: Slytherin :

: โรงนกฮูก :
: ทำเนียบอาจารย์ :
: ทำเนียบผี :
: ทำเนียบนักข่าว :
: ทำเนียบนร. : 
: ทำเนียบพรีเฟ็ค :
: ห้องสอบ :
: ห้องการบ้าน :

: ห้องปรุงยา :
: ห้องคาถา :
: หอพยากรณ์ :
: สัตว์วิเศษ :
: เรือนสมุนไพร :
: หอประวัติศาสตร์ :
: ห้องดาราศาสตร์ :
: ห้องแปลงร่าง :
: หอตัวเลขฯ :
: สนามควิดดิช :
: หอมักเกิ้ลศึกษา :
: สนามฝึกบิน :
: หอกลอน :
: นิตรยาสารไม้ฯ :
: มหัศจรรย์สัตว์ฯ :
: แม่มดรายสัปดาห์:


เซ็นทอร์

          เซ็นทอร์เป็นสัตว์ในตำนานที่มีลำตัวและขาเป็นม้า แต่ศีรษะและแขนเป็นมนุษย์ ในหนังสือมหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่กล่าวว่า " เซ็นทอร์อยู่ห่างไกลจากพ่อมดแม่มดและมักเกิ้ล " ลักษณะเช่นนี้สอดคล้องกับตำนานที่ว่า เซ็นทอร์อาศัยอยู่ในภูเขาในกรีซ ความสัมพันธ์ระหว่างเซ็นทอร์กับคนในท้องถิ่นนั้นก็ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก เพราะเซ็นทอร์บางตัวชอบดื่มไวน์ พอเมาได้ที่ก็ชอบส่งเสียงเอะอะโวยวาย และมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนในละแวกนั้นอยู่ประจำ การต่อสู้ที่โด่งดังที่สุดระหว่างเซ็นทอร์กับมนุษย์นั้น เกิดขึ้นในงานแต่งงานแห่งหนึ่ง ซึ่งเซ้นทอร์พยายามจะลักตัวเจ้าสาวไป อย่างไรก็ตามเซ็นทอร์บางตัวก็มีจิตใจดี เปี่ยใด้วยคุณธรรมเช่น ศีลลอน ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดศิลปวิทยาการด้านดารแพทย์และการล่าสัตว์จากเทพเจ้าอพอลโล และเทพีอาร์ทิมิส ก็นำความรู้เหล่านี้มาถ่ายทอดแก่มนุษย์ จนหลายคนได้กลายเป้นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา

กลายเป็นกลุ่มดาว

          แม้ว่าศิลลอนจะเป็นอมตะ แต่บาดแผลจากลูกธนูอาบยาพิษนั้นก็ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานมาก เขาจึงเลือกที่จะตาย จอมเทพซูสยังระลึกถึงความดีที่ศิลลอนมีต่อมนุษย์จึงบันดาลให้เขาเป็นดาวดวงหนึ่งในกลุ่มดาวม้าหน้าคน กลุ่มดาวเซ็นทอร์ก็เป็นกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในโลกซีกใต้ ดาวสองดวงจากกลุ่มนี้คือ ดาวอัลฟา เซ็นทอรี่ และดาวเบต้า เซ็นทอรี่ จัดอยู่ในกลุ่มดาว 10 ดวงที่สว่างไสวที่สุดในท้องฟ้า ดาวอัลฟา เซ็นทอรี่ เป็นดาวที่อยู่ใกล้โลกและดวงอาทิตย์มากที่สุดคือ ห่างเพียง 4.3 ปีแสง ความสัมพันธ์ระหว่างเซ็นทอร์ที่มีต่อดวงดาวของพวกเขาเช่นนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเซ็นทอร์ที่อาศัยอยู่ในป่าต้องห้ามอย่างฟีเรนซี โรนัน และเบน จึงนิยมทำนายอนาคตของเหตุการณ์ต่างๆจากการอ่านตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้า

กัปปะ

          คำอธิบายในหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ กล่าวไว้ว่า กัปปะจะอาศัยอยู่ตามบ่อน้ำน้ำตื้นๆ และแม่น้ำ คล้ายลิง แต่มีเกล็ดปลาตามตัวแทนที่จะเป็นขน แม้จะฟังดูชอบกลแต่ก็เป็นไปตามตำนานเดิมของกัปปะทุกอย่าง กัปปะชอบดื่มเลือดคนและเต็มไปด้วยเล่ห์เลี่ยม การเอาชนะมันคงไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อมีคนโค้งคำนับให้อย่างสุภาพ กัปปะก็จำต้องโค้งคำนับตอบด้วยเช่นกัน ( นับเป็นปีศาจที่มีมารยาทดีที่สุด ) บนหัวของมันซึ่งมีน้ำบรรจุอยู่ตลอดเวลา เมื่อกัปปะก้มหัว น้ำเหล่านี้ก็จะหกออกมา และทำให้มันหมดสิ้นเรี่ยวแรงทันที  คนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้ว่า กัปปะชอบกินแตงกวาพอๆกับการดื่มเลือดมนุษย์ ถ้าอยากผูกมิตรกับกัปปะ ก็ควรเอาแตงกวาไปฝากมัน บางทีกัปปะก็อาจจะตอบแทนเราโดยการบอกความลับบางอย่างเกี่ยวกับการรักษาโรคก็ได้

กริฟฟิน

          กริฟฟิน เป็นสัตว์ในโลกเวทย์มนต์ มีหัวและขาคู่หน้าเป็นนกอินทรี ลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต ถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย กริฟฟินมีหน้าที่ในการเฝ้าขุมทอง เออีเลียน นักประวัติศาสตร์ในคริสตศตวรรษที่ 3 เขียนเกี่ยวกับตัวกริฟฟินไว้ดังนี้

          ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่าตัวกริฟฟินเป็นสัตว์สี่เท้าในอินเดีย มีรูปร่างคล้ายสิงโตอุ้มเล็บทรงพลังเหมือนกับอุ้มเล็บของสิงโต หลายคนบอกว่า กริฟฟินมีปีกสามารถบินได้ ขนบนหลังเป็นสีดำ ขนที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ส่วนขนปีกเป็นสีขาว นักประวัติศาสตร์กรีกโบราณบันทึกไว้ว่า ขนคอของกริฟฟินเป็นเฉดสีน้ำเงิน หัวและปากคล้ายนกอินทรี ตาลุกเป็นไฟ จิตรกรมักวาดรูปกริฟฟินไว้ในภาพเขียนหรือสร้างเป็นงานปั้น

          กริฟฟินอาศัยอยู่ในถ้ำตามภูเขา นักล่าสัตว์วิเศษส่วนใหญ่ ไม่สามารถจับตัวกริฟฟินที่โตเต็มที่ได้มักจะจับได้แต่ลูกกริฟฟินเท่านั้น กริฟฟินสามารถต่อสู้เพื่อเอาชนะสัตว์อื่นได้ไม่ยาก แต่มันจะไม่ยอมต่อสู้กับสิงโต และช้าง

ปีกาซัส

          ปิกาซัส เป็นม้าสีขาว มีปีก เป็นสัตว์ในเทพนิยายของกรีก เชื่อกันว่าปิกาซัสนั้นบินได้เร็วมาก

ฟีนิกซ์

          ฟีนิกซ์เป็นนกวิเศษ มีชีวิตยืนนานหลายร้อยปี บางคนกล่าวว่าถึง 500 ปีทีเดียว กวีชาวละตินชื่อโอวิส แต่งคำประพันเกี่ยวกับนกฟีนิกซ์ไว้ดังนี้

นกโบราณ ในนิยายชาวอียิปต

     เป็นนกทิพย์เกิดและตายได้หลายหน

อายุยืน 500 ปีเหมือนมีมนต์

     ชื่อฟีนิกซ์นกแห่งชนพ้นกาลเวลา

ไม่กินพืชเมล็ดพันธ์ธัญญาหาร

     ดื่มน้ำหวานสมุนไพรมีในป่า

ครบวงจรชีวิตลิขิตมา

     จะสร้างรังรอท่าบนยอดไม้

ใช้อุ้งเท้าประจงทำที่เผาศพ

     วางเครื่องเทศอวลตลบอบเชยใส่

เปลือกและยางไม้หอมกรุ่นละมุนละไม

     กลางควันหอมชีพลับไปให้คนลือ

          นกฟีนิกซ์มีสีแดงปนทอง ชาวอียิปต์โบราณรู้จักกันในนามของ เบนู พวกเขาใช้นกฟีนิกซ์เป็นสัญลักษณ์ของเมือง เทวิโอโปลิส ( เมืองแห่งพระอาทิตย์ ) มีตำราศาสนาเล่มหนึ่งของอียิปต์ ชื่อว่า คำภีร์แห่งความตาย แต่งขึ้นเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตศักราช กล่าวถึงนกฟีนิกซ์ไว้ว่า ข้าคือผู้เก็บรักษาคัมภีร์แห่งสิ่งทั้งมวล ทั้งที่เป็นอยู่ในขณะนี้และที่จะเป็นไปภายหน้า

          จากการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของอียิปต์โบราณ พบว่า นกฟีนิกซ์เป็นตัวแทนการผ่านพ้นแห่งกาลเวลา และกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอมตะ ในปัจจุบัน นักประพันธ์มักใช้นกฟีนิกซ์เป็นสัญลักษณ์ ของรักนิรันดร์ และความจงรักภักดีที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย เช่น ในเรื่อง The Canon Ization บทประพันธ์ของจอห์น ดอลนี่ กวีในยุคศตวรรษที่ 17 ได้เขียนถึงความรัก ที่เขามีต่อภรรยาเอาไว้ว่า

อนุภาพความรักแสนศักดิ์สิทธิ์

     สองชีวิตร่วมศรัทธาภาษาสวรรค์

เราจะเกิดและตายไปพร้อมกัน

     ดุจฟีนิกซ์คงมั่นนิรันดร

          นอกจากนี้นกฟีนิกซ์ยังเข้ามามีบทบาทกับเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์อีกมากมายในตอนที่ 5 คือ Harry Potter And The Order of Phoenix ชื่อของฟอกซ์ เกี่ยวข้องกับตำนานนกฟีนิกซ์และก็เกี่ยวพัน กับประวัติศาสตร์ทางการเมืองของอังกฤษด้วย กล่าวคือ กายฟอกซ์ ซึ่งสมาชิกผู้หนึ่งในกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่พยายามจะระเบิดตึกรัฐสภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1605 ภายใต้แผนการที่ชื่อว่า กันเดอ พอต ผู้ก่อการร้ายได้ทำการซุกซ่อนดินระเบิดจำนวน 36 ถัวไว้ในที่ลับแห่งหนึ่ง แต่แผนการนี้เกิดรั่วไหลเข้าหูของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เนื่องจากมีจำนวนผู้เข้าร่วมก่อการมากเกินไป ทำให้เก็บความลับเอาไว้ไม่ได้ หลายคนรวมถึงกายฟอกซ์ จึงถูกจับกุมและถูกศาลตัดสินประหารชีวิต เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้กลายเป็นชนวน ของการก่อจลาจลโดยชาวอังกฤษ ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกาย คาทอลิก ในเวลาต่อมา ............ในปัจจุบันนี้ทุกวันที่ 5 พฤศจิกายนของทุกปี ชาวอังกฤษจะถือเป็นวัน Guy Fawkes Day เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น มีการเฉลิมฉลองด้วยการก่อกองไฟเหมือนกองไฟที่นกฟีนิกซ์ใช้เผาตนเอง เมื่อสิ้นอายุไข

สฟิงซ์ เจ้าแห่งปริศนา

          สฟิงซ์เป็นสัตว์ในเทพนิยายของชาวอียิปต์รูปปั้นสฟิงซ์ที่มีขนาดมหึมาในทะเลทรายกีร์ซ่า ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 2500 ปี ก่อนคริสตกาล ( นานกว่า 4000 ปีมาแล้ว ) เป็นหลักฐานที่แสดงถึงแหล่งกำเนิดและความสำคัญของสฟิงซ์ที่มีต่อวัฒนธรรมอียิปต์ มีสฟิงซ์เล็กๆจำนวนนักพันถูกสร้างขึ้นอยู่ทั่วไปในอียิปต์ บางแห่งก็มีหัวเป็นนก

          หลังจากสฟิงซ์ได้ถูกสร้างขึ้นมานับพันปี ตำนานของสฟิงซ์ได้ถูกเผยแพร่ไปยังกรีซ ที่นั่นมีการสร้างให้สฟิงซ์มีปีกเพิ่มขึ้นมา สฟิงซ์แห่งธิเบต ตำนานสฟิงซ์ของกรีก เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่ามันเป็นสัตว์ที่ถูกส่งมาโดย เทพีเฮล่า เพื่อมาลงโทษกษัตริย์ไลอัส แห่งธิเบต ซึ่งได้ลักพาตัวชายหนุ่มคนหนึ่งมาด้วย สฟิงซ์ได้ตั้งคำถาม แก่ผู้ที่เดินทางไปยังธิเบตด้วยปริศนา สาม ข้อ สัตว์อะไรที่เดิน สี่ขาในตอนเช้า  สองขาในตอนเที่ยง แลบะสามขาในตอนค่ำ ไม่มีนักเดินทางคนไหนได้รับอนุญาตให้หันหลังกลับจนกว่าจะตอบคำถามของมันเสียก่อน ถ้าตอบผิดก็จะโดนมันฆ่าอีกด้วย จนวันหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อ โอดิอุส เดินทางผ่านมา เขาเป็นโอรสของกษัตริย์ไลอัส ( แต่เขาก็เหมือนกับแฮร์รี่ที่ไม่ทราบชาติกำเนิดดั้งเดิมของตนเอง ) โอดิอุส ได้แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะภาพของเขา โดยการตอบคำถามของสฟหิงซ์ได้อย่างถูกต้อง มนุษย์คลานสี่ขา ตอนเป็นทารก เดินตัวตรงตอนเป็นผู้ใหญ่ และใช้ไม้เท้าตอนแก่ชรา เมื่อถูกหยามหน้าเช่นนั้น สฟิงซ์จึงฆ่าตัวตายโดยทันที 

วีล่า

          วีล่าเป็นวิญญาณของธรรมชาติที่ยั่วยวนใจชาย เธอเป็นหญิงรูปงามที่มิอาจพรรณนาได้ ความงามของเธอสามารถบันดาลให้ชายหนุ่มทั้งหลายลุ่มหลงอย่างโงหัวไม่ขึ้น ตำนานวีล่ามาจากยุโรปตอนกลาง บางตำนานกล่าวว่า วีล่าคือปีศาจหญิงสาวที่ไม่ได้ผ่านพิธีกรรมทางศาสนาอย่างถูกต้อง ดวงวิญญาณจึงไม่อาจละไปจากโลกนี้ได้

          ชาวเซอร์เบียนมีนิทานอยู่เรื่องหนึ่งชื่อว่า เจ้าชายมาร์โก กับวีล่า เป็นเรื่องราวความอิจฉาของวีล่าที่ชื่อว่า ลาวิออยล่า เรื่องมีอยู่ว่า มีพี่น้องสองคนคือ เจ้าชายมาร์โก และดุคมิโรช ขี่ม้ามาด้วยกัน ตามเทือกเขามิโรช เจ้าชายมาร์โกง่วงนอนเป็นกำลังจึงสั่งน้องชายเขาว่า มิโรชเอ๋ย ข้าง่วงเสียเหลือเกิน ช่วยร้องเพลงเป็นเพื่อนข้าไม่ให้หลับทีเถิด ฝ่ายน้องชายคือดุคมิโรช ก็ตอบว่า พี่ท่าน ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถร้องเพลงให้ท่านฟังได้เนื่องจาก เมื่อคืนนี้มีวีล่านางหนึ่งชื่อ ลาวิออยล่า มาร่วมดื่มสุรากับข้า ข้าเมามาก จึงตะโกนร้องเพลงเสียงดัง นางไม่พอใจและขู่ว่า หากได้ยินเสียงร้องเพลงของข้าอีก นางจะเอาลูกศรมายิงใส่ข้าให้ตาย

          เจ้าชายมาร์โกได้ยินดังนั้น จึงพูดว่า โธ่เอ๋ย เจ้าน้องชายไม่ต้องกลัววีล่าไปหรอก ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ขวานวิเศษของข้าจะป้องกันอันตรายทั้งปวงได้ เมื่อฟังคำจากพี่ชายแล้ว ดุคมิโรช จึงร้องขับลำนำเพลง เกี่ยวกับเรื่องราวของพระราชาและความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรต่างๆ ทว่า เจ้าชายมาร์โก ช่างง่วงนอนมากยิ่งนักจึงเผลอหลับไป 

          ขณะนั้น วีล่า ลาวิออยล่า ซึ่งได้ยินเสียงเพลงของดุคมิโรช เธอจึงร้องเพลงตอบกลับด้วยสำเนียงอันไพเราะ ดุคมิโรชก็ร้องตอบเธอมาด้วยสำเนียงอันไพเราะยิ่งกว่า วีล่าตนนี้จึงเกิดความริษยาในน้ำเสียงของเขา เธอจึงใช้ลูกดอกยิงใส่ดุคมิโรช2ดอก ดอกแรกยิงเข้าที่ลิ้นเพื่อไม่ให้เขาร้องเพลงต่อไปได้อีก ดอกที่สองยิงเข้าที่หัวใจเพื่อให้เขาตาย เมื่อม้าหยุดเดินชายมาร์โกก็ตื่น เห็นน้องชายตนเองถูกยิงด้วยลูกดอก ก็พยายามจะช่วยชีวิต ก่อนตายน้องชายของเขาก็พูดว่า พี่ท่าน ข้าโดนวีล่าชื่อ ลาวิออยล่า สังหาร เนื่องจากร้องเพลงบนภูเขามิโรช แต่สุดท้ายวีล่า ลาวิออยล่า ก็มาช่วยชุบชีวิตให้แก่ดุคมิโรช พร้อมทั้งบอกแก่วีล่าตนอื่นๆไม่ให้มารบกวนชายทั้งสองอีกต่อไป

          จากนิทานเรื่องนี้ แสดงว่า วีล่านอกจากจะมีความสวยงามแล้ว ( และมีนิสัยขี้อิจฉา ) ยังมีความสามารถในการรักษาพยาบาลอีกด้วย ตามตำนานกล่าวว่าการที่วีล่าทำดีกับชายใด ก็เพราะเธออยากแต่งงานกับชายหนุ่มผู้นั้นนั่นเอง  

: 1 : 2 : 3 :