ปีที่ 2 ฉบับที่ 604 ประจำวันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ

วิวาทะ

สังคมพุทธแบบไทยๆ

ถึงเวลาสังคายนา !!

ยุทธการสาวไส้ให้กากิน

สัจจะธรรมก็คือสัจจะธรรม ในหล้านี้ ไม่มีสัตว์โลกใด สามารถหักล้างคำสั่งสอนของบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

กรณีสังคมตรวจสอบวัดพระธรรมกาย ใช่จะมีแต่โทษต่อพระพุทธศาสนาเพียงถ่ายเดียว

ผมกลับเล็งเห็นว่า ในความไร้ค่าด้อยค่า หรือแม้แต่จะเป็นการกล่าวร้ายโจมตีวัด หรือพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง หรือหลายรูปในเวลาเดียวกัน ขอย้ำว่า มิใช่จะเป็นผลเสียต่อพระพุทธศาสนา เพียงอย่างเดียว

หากแต่จะนำมาซึ่งการตรวจสอบหมู่คณะสงฆ์ไทย ไม่เฉพาะเจาะจงแต่ วัดพระธรรมกายเท่านั้น รวมถึงสถาบันพระพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาท (หินยาน) ให้ดำรงคงอยู่ เป็นมหาสมบัติ ของพุทธศาสนิกชนต่อไป จนที่หาที่สุดมิได้

ที่ผ่านมาสังคมพุทธแบบไทยๆ เรา ส่วนใหญ่นับถือพุทธกันแต่ปาก จะเข้าวัดพูดจากับพระเจ้า ก็ยังเคอะเขิน ไม่รู้ว่า จะพูดกับพระอย่างไร รวมไปถึงการปฏิบัติต่อพระสงฆ์ โดยเฉพาะหน้าที่ของพุทธบริษัท

ฟังธงลงไปคือ นับถือกันแต่เปลือกกระพี้ สักแต่ว่า มีชื่อในทะเบียนราษฎร์ว่า นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น นี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ในสังคมพุทธแบบไทยๆ

ประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพุทธศาสนา ณ ห้วงเวลานี้ได้แก่ การดำเนินการเรื่องเงินๆ ทองๆ ในวัดพระธรรมกาย พฤติกรรมเจ้าอาวาส ธัมมชโย คำสอนที่ผิดเพี้ยน และเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์

สำคัญยิ่งคือ ดัดแปลงพระไตรปิฎกจนผิดเพี้ยน โทษร้ายแรงถึงขั้นปาราชิก มิใช่เพราะประพฤติผิด ต่อพระธรรมวินัย แต่เป็นการดัดแปลง ทำให้พระธรรมวินัยวิปริต

ปราชญ์แห่งพุทธ พระคุณเจ้าพระธรรมปิฎก ไขปัญหากรณีธรรมกายไว้อย่างชัดเจน และลึกซึ้ง ในหนังสือที่มีความหนา 160 หน้า

เป็นเรื่องใหญ่ ถึงขั้นต้อง "สังคายนา" กันทีเดียว

โดยเฉพาะการสั่งสอนเรื่องพระนิพพานเป็นอัตตา ความมีตัวตนจับต้องได้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขัดจากพระไตรปิฎกที่ว่า พระนิพพานเป็น อนัตตา ความไม่มีตัวตน

ประเด็นพระนิพพาน ถูกขยายวงกว้างออกไป ทางหน้าหนังสือพิมพ์ นับเป็นมติใหม่ ในวงการพุทธศาสนาบ้านเรา หลายคนพูดว่า เชื่อเถอะ เรื่องอย่างนี้ มีคนรู้ไม่กี่คน

แม้แต่พระสงฆ์ที่โกนผม คิ้ว นุ่งห่งเหลือง หลายท่านก็ไม่ได้สนใจ หรือน้อมนำตนที่จะปฏิบัติให้ได้มา ซึ่งมหาสมบัติคือ "พระนิพพาน"

รวมถึงตัวผมเอง ก็มิได้ใส่ใจถึงพระนิพพาน ช่วงที่บวชเรียนอยู่ ทราบแต่เพียงว่า... สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกล มหาสังฆปรินายก ทรงตรัสไว้ว่า ธรรมใดที่ไม่เป็นไป ตามอำนาจ ตามปรารถนา ไม่สามารถควบคุม ยับยั้ง ไม่ให้เกิด แก่ เจ็บไข้ ตาย เสื่อมสลายไป ธรรมนั้นเป็น "อนัตตา" หากเราสามารถสั่งได้ ตามปรารถนา ควบคุมไม่ได้เกิด แก่ เจ็บไข้ ตาย ไม่เสื่อมสลาย ก็ต้องเรียกว่า "อัตตา"

กว่า 3 เดือนที่ข่าววัดพระธรรมกาย ถูกหยิบยกขึ้นมา ขบเจาะ ผ่านสื่อมวลชน บทวิจารณ์ต่างๆ นักคิดนักเขียน รวมถึงพวก "มหาในเพศ ฆราวาส" ต่างยกเหตุผลขึ้นมา วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก สนุกมือ

ส่วนผมมองด้วยความสมเพช และไม่สนุกกับพวกคุณๆ ทั้งหลายที่พกพาตัณหา นั่งวาดภาพวัดพระธรรมกายล้ม เจดีย์ยักษ์ จานบินผีพัง ธัมมชโยถูกจับสึก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้มนุษย์เป็นผู้ทำลายล้างใคร โดยไม่มีเหตุผล

แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะสรรพสิ่งถูกกำหนดโดย "กรรม" ทว่าบทสรุปของวิวาทะครั้งยิ่งใหญ่หนนี้ มีคำถามที่ทุกฝ่าย ต้องตรองด้วย สติปัญญาอันแยบยล ไม่มีฝ่ายเขาฝ่ายเรา ดังที่พระธรรมปิฎกลิขิตไว้ พุทธศาสนา ได้อะไรจากบทเรียนนี้ (กรณีมีการชี้ผิดถูกเอาเป็นเอาตายกัน)

ที่ผ่านมาอดีตพระยันตระเป็นอย่างไร ก็เห็นมีหนังสือพิมพ์บางฉบับ เติบใหญ่ขึ้นมาแทน ส่วนนายวินัยหรืออดีตพระยันตระ ก็เสพสุขอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

ปฏิบัติการสาวไส้ให้กากิน

ขณะที่ศาสนาอื่น ที่เฝ้ารอคอยให้เกิดสังฆเภท ก็คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แทรกซึมความคิดการสั่งสอน ของศาสดาเขา อย่างเลือดเย็น ไม่เว้นแม้แต่ การใช้สรรพนาม แทนตนเอง ไม่ต่างอะไรจากสงฆ์ไทย

ถ้าศาสนาที่ว่านี้ ไม่เกรงกลัวการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา ก็ไม่แน่นะครับ อาจจะเปลี่ยน คำสั่งสอนศาสดาของเขา จากคำว่า "พระคัมภีร์" เป็น "พระไตรปิฎก"

การตรวจสอบสังคมสงฆ์หนนี้ ก็ขอให้อดทน อดกลั้น รอพระเดชพระคุณท่าน มหาเถรสมาคม ท่านดำเนินการ จะออกมาอย่างไร ก็ต้องน้อมรับ ในภูมิปัญญาของพระคุณเจ้า โดยสดุดี ไม่ช้าเกินรอแน่ครับ

โซตัส

[หน้าหลัก][ข่าวหน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา]