ปีที่ 2 ฉบับที่ 604 ประจำวันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ

ปุจฉา - วิสัชนา

ลูกศิษย์คิดล้างครู

หลังจากที่มีข่าวเกี่ยวกับกรณีวัดพระธรรมกายออกมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายปี 2541 เป็นต้นมา คงจะปฏิเสธกันไม่ได้ว่า กระแสสังคม ส่วนใหญ่เริ่มเอนเอียง ที่จะพิพากษาลงทัณฑ์ พระราชภาวนาวิสุทธิ์หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรมกาย ว่าน่าจะมีมูลความจริง
เหตุเนื่องจาก พระภิกษุ 2 รูป ได้ออกมาแฉ พฤติกรรมที่น่าสงสัย ของพระธัมมชโย ทางข่าวไอทีวี คือพระอดิศักดิ์ วิริยะสักโก อดีตพระรุ่นบุกเบิก และเหรัญญิก ของวัดพระธรรมกาย พร้อมด้วย พระเมตตานันโท อดีตกรรมการบริหารอาวุโส ของวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นพยานบุคคลสำคัญ ที่ออกมาให้ปากคำ อย่างไม่หวั่นเกรงต่ออิทธิพลใดๆ

แน่ใจแล้วหรือว่าพระ 2 รูปนี้พูดความจริง?

แหล่งข่าวซึ่งเป็นศิษย์วัดพระธรรมกายคนหนึ่ง กล่าวว่า ตนเองได้รู้จักกับพระทั้ง2 รูปเป็นอย่างดี เนื่องจาก เป็นผู้มีส่วนช่วยสนับสนุน การดำเนินงาน ของวัดพระธรรมกาย มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง

ที่ต้องมาให้ข้อมูลแก่พวกคุณ เพราะทนอัดอั้นตันใจไม่ไหว ก็หวังว่าทางวัดจะได้รับความยุติธรรมบ้าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มี สื่อมวลชนใดเลย ที่จะตรวจสอบกลับไปว่า จริงๆ แล้วพระอดิศักดิ์ กับพระเมตตา ออกมาจากวัดพระธรรมกายนั้น เพราะสาเหตุที่ทนพฤติกรรม ของเจ้าอาวาสไม่ได้

แน่ใจหรือกับที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง?

หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น ที่เขาทำผิด จนต้องอัปเปหิตัวเองออกมาจากวัดกันแน่?

สื่อมวลชนดูเหมือนจะชูเขาทั้งสอง เป็นตัวนำร่อง นำประเด็นที่จะชี้ว่า

วัดพระธรรมกายเป็นองค์กรที่อันตรายต่อพระพุทธศาสนา

โดยลืมที่จะย้อนกลับไปมองว่า พฤติกรรมและเจตนาของพวกเขาเองนั้น ก็มีบางอย่างที่ส่อความมีพิรุธ อยู่ไม่น้อยเลย เช่นกัน

ข้อมูลที่ได้ตีพิมพ์ต่อไปนี้ มาจากคำบอกเล่าของแหล่งข่าว ต่อทีมเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นความลับของ พระอดิศักดิ์ วิริยสักโก โธ่! ถึงไม่น่าเลยหนอ เป็นพระเป็นเจ้าแท้ๆ

ประการแรก ความเจ้าชู้และไม่รับผิดชอบ

แหล่งข่าวเล่าว่า ได้รู้จักกับ พระอดิศักดิ์ มาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส ชื่อเดิมว่า อดิศักดิ์ อารยะวัฒนาพงศ์ โดยนิสัยดั้งเดิมแล้ว พระอดิศักดิ์ มีนิสัยเจ้าชู้และไม่รับผิดชอบ มาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม สมัยมาปฏิบัติธรรมที่ บ้านธรรมประสิทธิ์

แต่เมื่อครองผ้าเหลืองคิดว่า พระอดิศักดิ์จะเลิกประพฤติตัวเช่นเดิม

แต่พระอดิศักดิ์ก็ยังทำตัวเป็นพ่อไก่แจ้กับ อาสาสมัครหญิงที่ช่วยงานในครัว จนอาสาสมัครคนนั้น ต้องออกจากวัดไป โดยไม่อาจประจานตัวเอง ต่อหน้าหมู่ชนได้

พระอดิศักดิ์ ปฏิเสธความรับผิดชองบเอาตนเองรอดได้อย่างลอยนวล

จนกระทั่งมีเรื่องการสูญหายของอัญมณี ที่สาธุชนนำมาทำบุญสร้างพระ ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาว

ซึ่งต่อมาพระอดิศักดิ์ต้องเผ่นออกจากวัดพระธรรมกายไปอย่างถาวร

ประการที่ 2 ความเจ้าโทสะอย่างแรงและอาฆาตพยาบาท

เพื่อนๆ และหมู่คณะที่สนิท ทราบกันดีว่า พระอดิศักดิ์เป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรง โดยมีเหตุการณ์หนึ่งที่พระภิกษุรุ่นแรกๆ ทราบกันดี แต่ไม่มีใครอยากเอ่ยถึง เพราะเรื่องดังกล่าวได้ล่วงเลยมาแล้ว ไม่เหมาะที่จะฟื้นฝอยให้ องค์กรและพระพุทธศาสนามัวหมอง แต่ที่นำมาเล่านี้ เพื่อให้สาธุชนได้นำมาพิเคราะห์ว่า บุคคลคนนี้น่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะมีความจำเป็น จะต้องให้ความยุติธรรม ต่อวัดพระธรรมกาย

เรื่องมีอยู่ว่า อุบาสกท่านหนึ่ง ชื่อ ขจร (ภายหลังบวชเป็นพระภิกษุ และได้มรณภาพไปแล้วด้วยโรคเบาหวาน) เล่าให้ฟังว่า

ในการประชุมแสดงความคิดเห็น ในการทำงานครั้งหนึ่ง อุบาสกขจร มีความเห็นไม่ตรงกับพระวิริยสักโก ได้ยกเหตุผลมากล่าวอ้างได้
พระอดิศักดิ์ โกรธจัดจนขาดสติ ตรงเข้าตบหน้านายขจร อย่างแรง ท่ามกลางความตะลึงของคณะประชุม

ความเจ้าโทสะจนขาดสติและอาฆาตพยาบาท ได้ทำให้พระอดิศักดิ์ถึงขั้นลงมือทำร้ายอาจารย์ ผู้มีพระคุณของตนเอง คือ อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

พระอดิศักดิ์มีความแค้นที่คุณยายจันทร์ เคยทักท้วงพระธัมมชโยว่า ไม่ควรบวชให้กับพระอดิศักดิ์ เพราะมองเห็นทะลุปรุโปร่งว่า พระอดิศักดิ์มีนิสัยที่ไม่เรียบร้อย ไม่สมควรที่จะเป็นบรรพชิต และอาจนำพาความเสื่อมเสีย มาสู่หมู่คณะ แต่เจ้าอาวาสอ้อนวอนขอบวช เพราะเล็งเห็นว่า พระอดิศักดิ์เป็นผู้มีส่วนช่วยเหลือในการก่อสร้างวัด และมั่นใจว่า ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกล่อมเกลา ให้กิเลส เบาบางได้ โดยท่านจะเป็นผู้ดูแลตักเตือนเอง

จากสาเหตุดังกล่าว ประจวบกับในราวปี พ.ศ.2530 คุณยายจันทร์ได้กล่าวตักเตือนเรื่องความประพฤติที่ไม่สมควร ของพระอดิศักดิ์ต่อสตรี ที่ช่วยงานโรงครัว เพราะฝ่ายหญิงได้มาสารภาพผิด เรื่องความประพฤติฉันท์ชู้สาว ที่ไม่เหมาะสม แล้วขอลาออกไป แต่ฝ่ายชายปฏิเสธ อย่างหนักแน่น และได้เก็บความโกรธแค้นไว้ เมื่อได้โอกาสเหมาะ พระอดิศักดิ์ได้เดินชน คุณยายจันทร์ พร้อมเอามือสองข้าง ทุบเข้าที่หน้าอก ซึ่งเป็นอาจารย์ของตนเอง ที่มีวัยสูงถึง 80 ปี เมื่อท่านธัมมชโยทราบเรื่อง ก็ได้ขอร้องให้ไปขอโทษคุณยายฯ ถึงแม้นพระอดิศักดิ์จะอ้างว่า เดินไปชนท่าน ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายก็ตาม พระอดิศักดิ์ได้ไปหาคุณยายฯ ช่วงเวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม ซึ่งช่วงนั้นท่านพักอยู่ตามลำพัง

แล้วใช้มือเคาะ รอบๆ กุฏิ พูดเสียงดังๆ ว่า ยาย... จะมาขอขมา ยาย จะมาขอขมา! จนคุณยายเกรงว่า จะมีการทำร้ายร่างกายขึ้นอีก

ซึ่งเรื่องนี้มีพยานคือ พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ณ สงขลา สถานีตำรวจคลองหลวง เป็นผู้รับแจ้งความ ขณะนี้นายตำรวจผู้นี้ได้ย้ายไปอยู่ที่ สถานีตำรวจภูธรหัวหินแล้ว

ประการที่ 3  มีแรงริษยาที่ไม่เปลี่ยนแปลง

แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวต่อว่า คนส่วนใหญ่มักมาขอพบท่านธัมมชโย ท่านทัตตชีโว และคุณยายญ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา แต่ไม่มีใคร มาขอพบพระอดิศักดิ์เท่าใดนัก แม้ว่าทางวัดจะได้แต่งตั้ง ให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส และจะเปิดโอกาส ให้ต้อนรับแขก ได้ตามอัธยาศัยก็ตาม
พระอดิศักดิ์ ไม่สามารถเด่นดัง ได้ตามความปรารถนา ด้วยความที่ไม่ได้รับการยอมรับจากญาติโยม จึงเกลี้ยกล่อมพระภิกษุอีก 2 รูป เข้าเป็นพวก ก่อนออกจากวัด และได้อัดเทปตำหนิติเตียน สร้างข้อกล่าวหา ใช้ถ้อยคำสำนวนและน้ำเสียงที่เย้ยหยัน จำนวน 8-9 ม้วน ส่งไปประจาน ตามสถานที่ราชการ ทางคณะสงฆ์และรัฐบาล ด้วยทราบว่าโดยอัธยาศัยของท่านธัมมชโย จะไม่เคยตำหนิติเตียนใคร ไม่ว่าเขาจะคิดร้าย กล่าวว่าเพียงใด ทำให้พระทั้ง 3 รูปย่ามใจ จาบจ้วงอย่างขาดความละอาย

สำหรับเรื่องนี้ ดูได้จากคำให้สัมภาษณ์ของ พระอดิศักดิ์ วิริยสักโก ในรายการถอดรหัสของไอทีวี ในการสัมภาษณ์ตอนแรกนั้น จะเรียกชือ ไชยบูรณ์ อันเป็นชื่อฆราวาสของ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย แทนการใช้ตำแหน่ง เป็นสรรพนามว่า เจ้าอาวาส หรือพระธัมมชโย ซึ่งเป็นการ ไม่ให้เกียรติต่อความเป็นสมณเพศ โดยมารยาทของพระสงฆ์ ที่พึงสำรวม กาย วาจา และใจ

แม้แต่น้ำเสียงและการพูดจาที่มีท่าทีก้าวร้าวในตอนแรกๆ แต่เมื่อมีการสัมภาษณ์ต่อมา ท่าทีของพระอดิศักดิ์กลับเปลี่ยนแปลง เป็นนุ่มนวลขึ้น ก่อให้เกิดความสะกิดใจไม่น้อย ในพฤติกรรมของพระรูปนี้

ประการที่ 4   มีความสามารถในการใช้คำพูดบิดเบือนความจริง หาข้อมูลเชื่อมโยงได้สมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ

พระอดิศักดิ์ได้ให้ข้อมูลเรื่องผ้าจีวรของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในประเด็นที่ว่า ซื้อหาผ้าราคาแพงนับหมื่นบาท มาทำจีวร เสริมบุคคลิกนั้น แหล่างข่าวอรรถาธิบายว่า ราวปี พ.ศ.2512 ท่านธัมมชโยบวชเป็นพระภิกษุได้ราว 1 สัปดาห์ คุณเข่งแข แซจิง อายุแก่กว่าท่านธัมมชโย ราว 6 ปี และนับถือกันฉันท์พี่สาว เวลานั้นมีอาชีพเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ฝีมือประณีต และเป็นสมาชิกผู้หนึ่งในกลุ่ม ตั้งสัจจะประพฤติพรหมจรรย์ ได้ปวารณาตน ขอเป็นเจ้าภาพถวายผ้าไตรจีวร ที่ทำด้วยตัวเอง จนตลอดชีวิต และเจ้าอาวาส ได้อนุญาต ตามคำขอ คุณเข่งแข ซึ่งในขณะนั้น เป็นผู้มีฐานะปานกลาง ได้ซื้อผ้ามัสลิน มาตัดเย็บและย้อมทำจีวรถวาย ต่อมาภายหลังญาติโยมทราบข่าว ต่างร่วมสมทบ ทำบุญด้วย คุณเข่งแขจึงสามารถหาผ้าเนื้อดี มีความทนทานมาตัดเย็บและย้อม

แต่ไม่ได้ถวายพระอดิศักดิ์ด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องความศรัทธาของคน ห้ามกันได้ แต่พระอดิศักดิ์กลับพูดในทำนองว่า ท่านธัมมชโย กำหนดเนื้อผ้าเอง ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง มาจากความปรารถนาของเจ้าภาพ และท่านธัมมชโยได้ใช้ผ้านั้น อย่างประหยัดมาก พระภิกษุสามเณร ที่อยู่ใกล้ชิดท่าน จะเห็นท่านปะชุนผ้าจีวร ด้วยมือตนเองเสมอ จนเนื้อผ้าเปื่อยยุ่ย ซ่อมแซมไม่ได้ จึงนำผ้านั้นไปใช้งานอย่างอื่นแทน

ประการที่ 5 มีอาการโรคจิตอ่อนๆ หวาดระแวง

ช่วงหลังที่พระอดิศักดิ์อยู่ในวัดพระธรรมกาย จิตใจที่มีกิเลสครอบงำ โดยเฉพาะความรู้สึกแรงกล้าว่า ตนเองควรมีอำนาจและสิทธิ ในการปกครองวัด มากกว่านี้ เพราะเป็นผู้ร่วมก่อสร้างบุกเบิกวัด เคียงคู่มากับ เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาส เมื่อไม่ได้อำนาจดังใจ เนื่องจาก หมู่คณะและญาติโยมไม่ให้ความศรัทธาไว้วางใจ เพราะพฤติกรรมที่ส่อออกมา กดดันให้พระอดิศักดิ์ เริ่มมีอาการทางประสาท คือ ควบคุมตนเองไม่อยู่ ย้ำคิดย้ำทำ พูดจาวกไปวนมา ก้าวร้าวต่อคณะสงฆ์ วันสุดท้ายก่อนออกจากวัด ตามที่คณะกรรมการ พิจารณาขับออก ได้กล่าวคำอาฆาตต่อหน้า พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสว่า กูจะทำให้วัดพระธรรมกายฉิบหายให้ได้

เมื่อออกจากวัดไปอยู่ในวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีหลายคนให้การสังเกตว่า เก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใคร และเมื่อออกจากวัดปากน้ำนั้น ก็ไม่สงสัยในพฤติกรรมที่เหมือนไอ้โม่ง จำวัดเป็นหลักแหล่งที่ใดไม่มีใครแน่ใจได้

ข้อมูลลับพระเมตตานันโท

พระรูปนี้เรียนจบปริญญาตรีทางแพทยศาสตร์ แล้วจึงบวช พระธัมมชโยเห็นว่า เป็นผู้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่เป็น นักเรียนมัธยม มีสติปัญญาดี ชอบศึกษาเล่าเรียน จึงคิดสนับสนุนให้ได้มีโอกาสเล่าเรียน จนถึงระดับปริญญาเอก เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ประสบการณ์ที่แหล่งข่าวสัมผัสมาด้วยตนเองคืออะไร?

แหล่งข่าวกล่าวว่า พระเมตตาเป็นคนมีสติปัญญาดี ฉลาด ความจำดี สามารถอธิบายความต่างๆ ให้เข้าใจง่าย แต่ส่วนที่บกพร่องคือ ขาดความเกรงใจ ไม่รู้คุณคน เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว เอาแต่ใจตัว ขาดวิจาณญาณและฝักใฝ่ทางการเมือง

1. ขาดความเกรงใจ เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน

เรื่องนี้อาจารย์วัลลภา ชาติประเสริฐ เล่าให้ฟังว่า ได้พยายามสนับสนุนพระรูปนี้ เพราะคิดว่าจะเป็นกำลังของพระศาสนาได้ เมื่อพระเมตตา จะไปศึกษาต่อ ได้ออกปากขอเงินซื้อเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งในสมัยนั้นมีราคาแพงมาก รายได้ข้าราชการ ของอาจารย์ที่มีอยู่ บางครั้งไม่เพียงพอ เพราะสามีเสียชีวิต และตนเองต้องส่งเสียเลี้ยงดูบุตร การขอร้องของพระเมตตา ทำให้อาจารย์วัลลภา ขาดแคลน จนต้องมาปรึกษากับแหล่งข่าว

แหล่งข่าวได้ให้คำแนะนำว่าอาจารย์ควรขัดใจพระบ้าง เพราะจะเกิดความเคยตัวแก่พระ และไม่ยอมเป็นหนี้ผู้อื่น ซึ่งอาจารย์ ไม่ทันได้ปฏิบัติ ตามคำแนะนำ ก็มาป่วยหนักเป็นอัมพฤกษ์ไปเสียก่อน

อีกเรื่องหนึ่งคือ ในราวปีพ.ศ.2527-2528 พระเมตตาได้ขึ้นไปปฏิบัติธรรมร่วมกับหมู่คณะ ที่ดอยสุเทพ เมื่อถึงเวลาที่หมู่คณะเดินทางกลับ พระเมตตายังคงต้องอยู่ เพื่อฝึกตนเองให้หนัก เตรียมพร้อมเผชิญกับกิเลส เมื่อต้องไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่พระเมตตากลับขอให้คุณเสถียร และภรรยา พาไปเที่ยวน้ำตกและสถานที่ต่างๆ ซึ่งย้ายที่พักแต่ละครั้ง ต้องขนย้ายเครื่องครัว เครื่องใช้และคนงาน เพื่อไปดูแล เรื่องความเป็นอยู่ ของพระ ทั้งเรื่องต้มน้ำร้อนให้ เพราะอากาศเย็นเหลือ 2-3 องศาเซลเซียส ทำให้คุณเสถียร ซึ่งเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ ดอยอินทนนท์ ในเวลานั้น สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายส่วนตัวทุกครั้ง ทั้งที่เขามีภาระเรื่องลูกถึง 3 คน

ในเรื่องนี้แหล่างข่าวมีความเห็นว่า พระเมตตาไม่มีความเมตตาสมชื่อ ถือเอาความเพลิดเพลินของตนเอง เป็นใหญ่ ใครจะทักท้วงก็ไม่ยอม ทุกคนเห็นแก่ข้อที่ว่า ได้รับฝากฝังจากท่านธัมมชโย และมีศักยภาพทางด้านสติปัญญาสูง จะมาช่วยพระพุทธศาสนาได้มากในภาคหน้า จึงต้องอดทนตามใจ

2.   ความไม่รู้คุณคน

อาจารย์หญิงท่านหนึ่งมีสามีเป็นนักธุรกิจอาวุโส ให้รายละเอียดว่า ก่อนที่พระเมตตาจะไปศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ มีปัญหาเรื่องที่พัก อาจารย์ปรารถนาจะสงเคราะห์ จึงขอร้องสามีซึ่งรู้จักกับท่านสุเมโธ ที่วัดจิตตวิเวก หรือ ชิตเฮิร์สท์ (Chithurst Forest Monastery) ติดต่อขอความอนุเคราะห์ที่พัก ให้แก่พระเมตตา แต่พระเมตตาเมื่อพบเห็นตนและสามี ไม่เคยที่จะขอบคุณ หรือเอ่ยถึง ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่และช่วยวิ่งเต้นให้ในต่างประเทศ

ส่วนแหล่งข่าว เคยช่วยหาตำรา ส่งไปต่างประเทศ ตามที่พระเมตตาเคยขอมา แต่ก็ไม่เคยได้รับคำขอบใจแต่อย่างใด คล้ายกับว่าเรื่องเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของพวกญาติโยม ที่จะต้องให้ความช่วยเหลือแก่ท่าน

สำหรับหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในจิตใจของพระเมตตานั้น มีปรากฏเป็นจดหมายที่เขียนถึงพระทัตตชีโว และได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ จดหมายจากอังกฤษ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2530 มีเนื้อความกล่าวถึง ท่านทัตตชีโว ภิกขุ รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกายว่า

เป็นผู้เปรียบประหนึ่งบิดาให้กำเนิดในเส้นทางธรรม...   และผู้เป็นต้นแห่งแรงบันดาลใจทั้งหมด ของการประพฤติปฏิบัติธรรม คือ ท่านธัมมชโย ภิกขุ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

หากได้อ่านเนื้อความในจดหมาย ซึ่งเปรียบเสมือนบุตรเขียนถึงบิดาแล้ว เปรียบเทียบกับคำสัมภาษณ์ของพระเมตตา ในรายการถอดรหัส ของไอทีวี ผู้เป็นบุตรกำลังกระทำปิตุฆาตอย่างแน่นอน

3. พัวพันการเมืองทำให้ต้องออกจากวัด

ในกรณีแรกนั้น อาจารย์หญิงซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง ได้เล่าเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่พระเมตตา ได้ศึกษาระดับปริญญาโท จากต่างประเทศแล้ว พระเมตตามีความรู้สึกว่า ตนเองมีความรู้สูงและวิจารณญาณกว้างไกลกว่า พระอื่นๆ ในวัด ไม่เว้นแม้แต่ หลวงพ่อทั้งสอง
วันหนึ่งพระเมตตาได้ขอวัดพระธรรมกาย ให้ช่วยสนับสนุน นางอองซาน ซูจี ในการต่อสู้ที่พม่า แต่รองเจ้าอาวาสได้ปฏิเสธ อย่างนุ่มนวล ในทำนองที่ว่า ไม่ใช่กิจของสงฆ์พึงกระทำ

กรณีที่สอง เป็นคดีของโจนาธาน ดูดี้ ลูกครึ่งชาวไทย สังหารพระสงฆ์ไทยที่วัดในสหรัฐอเมริกา ราวปีพ.ศ.2536 ซึ่งในขณะนั้น เป็นช่วงที่ทางวัด เตรียมการก่อสร้าง มหาธรรมกายเจดีย์ พระเมตตาได้ทำจดหมาย ออกโรงเรี่ยไรเงิน จากญาติโยม โดยอ้างว่า ได้รับไฟเขียว จากเจ้าอาวาสให้ดำเนินการ ทั้งที่กองทุนมนุษยธรรมที่อเมริกา รับผิดชอบดูแลคดีอยู่

พระเมตตาได้ดื้อดึงออกเรี่ยไรเงิน โดยอ้างว่า จะนำมาเป็นค่าทนายความ จำนวนเงิน 20 ล้านบาท เมื่อได้เงินนับล้านบาท ประกอบ มติของวัด ไม่เห็นชอบกับการกระทำ อันเป็นการก้าวก่ายทางการเมือง จึงเป็นสาเหตุใหญ่ ทำให้พระเมตตาต้องออกจากวัดพระธรรมกาย ไปในที่สุด และไม่รู้ว่าเงินจำนวนนี้ได้ถูกใช้ไปเพื่อการใด เรื่องนี้สามารถหาเอกสารอ้างอิงได้ จากคณะกรรมการผู้เกี่ยวข้องกับคดี เพราะ เป็นคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศที่ครึกโครม

ความจริงแหล่งข่าวกล่าวชี้แจงเรื่องเหล่านี้ เพราะไม่สามารถจะสอบถาม เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้เลย เพราะโดยนิสัยส่วนตัว แต่ไหนแต่ไร ท่านธัมมชโยจะไม่พูดถึงความเลวทรามของใครๆ ถ้าไม่พอใจท่านก็จะใช้วิธีนิ่ง ไม่พูดด้วย ท่านถือว่า จิตใจของผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรเกลียดชังผู้ใด ทำใจให้เศร้าหมอง อาจเกิดผลร้ายบางประการแก่ทั้งสองฝ่าย

[หน้าหลัก][ข่าวหน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา]