ปีที่ 2 ฉบับที่ 605 ประจำวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ
หน้า 1
สับสนคำสอนพระธรรมปิฎก หนังสือสองเล่มขัดแย้ง เหมาทั้ง "อัตตา-อนัตตา" |
ผู้ปฏิบัติธรรม สันสนคำสอนพระธรรมปิฎก พระนิพพานเป็นอนัตตา หรืออัตตากันแน่ เพราะผลงานหนังสือสองเล่มของพระธรรมปิฎก ขัดแย้งกันเอง ญาติธรรมประกาศมั่นคง "นิพพานํ ปรมํ สุขํ" หลังจากเปิดพระไตรปิฎก ไม่พบว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา
ท่ามกลางความสับสนของชาวพุทธ กรณีเรื่อง พระนิพพานเป็นอัตตา มีตัวตน เป็นธรรมที่ปรารถนา เป็นไปเพื่ออาพาธ เป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บไข้ ตาย หรือพระนิพพานเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนนั่น
โดยประเด็นดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาเมื่อวัดพระธรรมกาย ซึ่งกำลังถูกสังคมตรวจสอบ ถึงความถูกต้อง ในการดำเนินกิจกรรมพุทธศาสนา โดยเฉพาะวัดแห่งนี้ ประกาศอย่างชัดเจนว่า พระนิพพานเป็นอัตตา จนพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้จัดทำหนังสือมีความหนา 160 หน้า หัวเรื่อง กรณีธรรมกาย เอกสารเพื่อพระธรรมวินัย ออกมาเผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2542 และตีพิมพ์ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับ
ทั้งนี้พระคุณเจ้าพระธรรมปิฎก ให้เหตุผลว่า เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะไม่ให้มีการดัดแปลงพระไตรปิฎกจนเพี้ยนไปจากเดิม
เนื้อหาของหนังสือดังกล่าว พระธรรมปิฎกชี้ชัดว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน สร้างความสับสนให้กับพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก เพราะผู้ปฏิบัติธรรมหลายวัด หลายสำนัก ต่างยืนยันว่า พระนิพพานเป็นอัตตา ทำให้เกิดความกังขาต่อเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นพระธรรมขั้นสูงสุดของพระพุทธศาสนา
สิ่งที่สร้างความสับสน คือหนังสือเล่มล่าสุด ที่พระธรรมปิฎกเขียน กรณีธรรมกาย มีนัยยะ พระนิพพานเป็นอนัตตา ขณะเดียวกัน ผู้ปฏิบัติธรรมหลายคน ได้ส่งข้อเขียนและหนังสือเรื่อง จาริกบุญ - จารึกธรรม เขียนเรียบเรียงโดย พระธรรมปิฎก พิมพ์โดยบริษัทสหธรรมมิก จำกัด พิมพ์ครั้งแรก เดือนกันยายน 2539 จำนวน 10,000 เล่ม
เนื้อหาหนังสือดังกล่าว สืบเนื่องจากการเดินทางนมัสการสังเวชนียสถาน และสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาในชมพูทวีป เมื่อต้นปี พ.ศ. 2538 โดยคณะญาติโยม ทั้งนี้ได้นิมนต์พระธรรมปิฎก เดินทางไปแสดงธรรมแก่คณะบุญจาริกด้วย
หนังสือเรื่องจาริกบุญ-จารึกธรรม มีเนื้อหาข้ออรรถข้อธรรมทั้งหมด 11 บท เนื้อหาของหนังสือดังกล่าว ผู้ปฏิบัติธรรมระบุว่า รู้สึกสับสนต่อคำสอนของพระธรรมปิฎก ที่ขัดแย้งกับหนังสือเรื่องกรณีธรรมกาย โดยเฉพาะบทที่ 8 เรื่อง ถ้าสังเวชเป็น ก็จะได้เห็นธรรมกาย
โดยเนื้อหาของบทที่ 8 นี้ คณะจาริกบุญได้เดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ที่ปรินิพพาน และสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ในหน้าที่ 185 หัวข้อ "ปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไป ธรรมกายเจริญเอง" มีเนื้อหาพอสรุปได้ดังนี้...
"แม้พระวรกายหรือที่เราเรียกว่า รูปกาย ของพระพุทธเจ้าจะจากไปแล้ว แต่นามกายของพระองค์ในส่วนที่เรียกว่า ธรรมกาย ก็ยังคงอยู่ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา แต่ผู้ใดไม่เห็นธรรม แม้จะเกาะชายสังฆาฏิของเราอยู่ตลอดเวลา ก็หาชื่อว่าเห็นเราไม่"
เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะมาถึงสถานที่นี้ เราก็มาในแง่ของสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับรูปกายของพระพุทธเจ้า พูดมาถึงตอนนี้ก็เลยมีกาย 2 อย่าง ดังที่บอกว่า รูปกายของพระพุทธเจ้าจากไปแล้ว แต่ธรรมกายหาจากไปไม่ เราเห็นพระรูปกายของพระองค์ด้วยดวงตาเนื้อ แต่เราจะสามารถเห็น พระองค์ที่แท้จริง คือพระธรรมกายด้วยดวงตาปัญญา
รูปกายของพระองค์นั้น เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง แตกสลายไปเป็นธรรมดา เพราะเป็นรูปธรรม แต่ธรรมกายนั้นคงอยู่ ถึงแม้รูปกายของพระองค์ จะแตกสลายแล้ว ธรรมกายก็ยังหาแตกสลายไปด้วยไม่ ชาวพุทธเมื่อได้มาเรียนรู้พุทธประวัติ รำลึกถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับพระองค์แล้ว เราก็เห็นความเป็นไปเกี่ยวกับพระรูปกายที่มาจบสิ้น ณ สถานที่ปรินิพพาน แล้วมาถูกพระเพลิงเผาผลาญ ที่มกุฎพันธนเจดีย์ ที่เรานั่งอยู่ คือที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระนี้
พระรูปกายของพระองค์ กลายเป็นเถ้าเป็นอัฐิไปแล้ว แต่พระธรรมกายยังคงอยู่ พระองค์ได้สั่งสอนเราไว้แล้วว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา หมายความว่า เราจะต้องมองเห็นธรรม จึงจะเห็นธรรมกาย นัยยะ พระธรรมปิฎกสรุปว่า ธรรมกาย คือกองแห่งธรรม หรือชุมนุมแห่งธรรม ที่มารวมกันของธรรมทั้งหลายนั่นเอง จะเป็นโสดาปัตติมรรคก็ได้ หรือขั้นหนึ่งขั้นใดในโลกุตรธรรม 9 ก็ได้ ตลอดจนถึงนิพพาน
ธรรมกายคือกองธรรม หรือชุมนุมแห่งธรรมนี้ ย่อมเกิดแก่บุคคลทุกคน ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ จนกระทั่ง ตนเอง เป็นที่ชุมนุมแห่งธรรมต่างๆ หมายความว่า ชุมนุมแห่งธรรม คือมรรค ผล นิพพาน มาประชุมในผู้ใด ด้วยดวงตาปัญญาที่มองเห็นอริยสัจ ก็เกิดเป็น ธรรมกายขึ้นในผู้นั้น
เหมือนอย่างที่พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ตรัสทูลพระพุทธเจ้า เมื่อจะปรินิพพานว่า
"พระรูปกายของพระองค์นี้ หม่อมฉันได้เลี้ยงดู ให้เจริญเติบโตมา ส่วนธรรมกายของหม่อมฉันนี้ พระองค์ก็ได้ช่วยให้เจริญเติบโตขึ้นแล้ว"
(ขุ.อป.33/157)
สำหรับเนื้อหาที่มีความขัดแย้งระหว่างหนังสือจาริกบุญ-จารึกธรรม กับหนังสือกรณีธรรมกายของพระธรรมปิฎก จะได้นำเสนอ ในตอนต่อไป....
ขณะเดียวกันผู้ปฏิบัติธรรม ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง "อัตตา-อนัตตา ประสาชาวบ้าน" ดังมีเนื้อหาดังนี้
ไม่ว่าศาสนาใดๆ ในโลก ตลอดกระทั่งสมาธิ ความเชื่อทั้งหลายแหล่ ล้วนต้องการให้เป็นที่พึ่งทางใจ แก่ผู้คนที่ศรัทธาเชื่อถือ บางลัทธิ บางศาสนา ดูเหมือนศาสนิกหลงงมงาย ซึ่งชีวิตหลังความตายจะนำไปสู่อบายภูมิ 4 (นรก เปรต อสุรกาย เดรฉาน) ความหลงงมงายที่ว่านั้น เรามักจะมองกัน แต่พื้นต่ำๆ ได้แก่เรื่องที่เชื่อถือสืบต่อกันมาอย่างไร้เหตุผล หรือแม้สิ่งที่ขัดต่อค่านิยมใหม่ ตัวอย่างเช่น เรื่องไสยศาสตร์ การบูชาผีป่า แม่กาลี เดรฉานวิชา สุรานารี ฯลฯ เป็นที่รู้กันทั่วไป
แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น เรามักจะมองข้ามความหลงงมงายในเบื้องสูง ซึ่งมักเป็นกันมาก ในสังคมผู้ลาภมากดี มีการศึกษา มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นด็อกเตอร์หลายสำนักที่เป็นราชบัณฑิตก็มี ฯลฯ ชีวิตหลังความตายของคนเหล่านี้ มักหนีไม่พ้นโลกันต์นรก เพราะหลงงมงาย ติดยึด ในมิจฉาทิฏฐิ คือมีทิฏฐิชั่วนั่นเอง
ทำไมถึงต้องได้รับโทษทัณฑ์หนักหนาสาหัส กว่าพวกหลงงมงายเบื้องต่ำ ชนิดเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย การทนทุกข์ทรมานในอบายภูมิ 4 ยังมีวันกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้สร้างบารมีแก้ตัวกันใหม่ เสียเวลาไปในนรกสูงสุดแค่เพียง 1 อันตรกัปป์เท่านั้น แต่ชีวิตในนรกโลกันต์นั้น ยาวนาน เกินกว่าจะนับจะประมาณ ทุกข์ทรมานจนลืมไปเลยว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ทำไมถึงอยากไปกันนัก??
ในขณะที่คนยึดมั่นถือมั่นใน สัพเพ ธัมมา อนิจจา เสียเหลือเกิน กลับมองข้ามความเป็นอนิจจังไปได้ง่ายๆ เป็นไปได้อย่างไรกัน พระไตรปิฎกที่สืบทอดกันมานานกว่า 2300 ปี ตลอดจนคำสอนที่เล่าต่อกันมานานกว่า 2500 ปี จะไม่มีตกหล่นสูญหาย แถมยังผ่านการ ถูกเผาทำลาย ก็หลายครั้ง ประวัติพระพุทธศาสนา คงพอรู้อยู่บ้างมัง พระบรมศาสดาก็ทรงตรัสไว้แล้ว สิ่งที่พระองค์ท่านทรงนำมาสอบเวไนยสัตว์ ถ้าเปรียบไปแล้ว เสมือนในประดู่ ที่ทรงกำอยู่ในพระหัตถ์ เทียบกันไม่ได้เลย กับใบประดู่ในป่าประดู่ลาย
ที่สำคัญ พระองค์ท่าน ไม่ต้องการให้เชื่ออย่างงมงาย เพราะความรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ได้เกิดจากการท่องจำพระไตรปิฎก หรือเทศนาไพเราะ แตกฉาน หรือเทศน์มันๆ แบบไฮด์ปาร์คล้ำยุค แต่ทรงสรรเสริญการปฏิบัติ จนกระทั่งสามารถปฏิเวธ เพื่อมุ่งความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร ทำไมมัชฌิมาปฏิปทา จึงเป็นเรื่องสำคัญ มัชฌิมาปฏิปทาในความหมายที่แท้จริงคืออะไร มักรู้กันแค่อริยมรรคมีองค์ 8 ท่องกันคล่องแบบ นกแก้วนกขุนทองทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นราชบัณฑิตตนไหน รูปไหน ก็ตาม แต่มัชฌิมาปฏิปทาที่อยู่ในกลางท้องของตัวไม่รู้หรอก รู้จักแต่สะดือ แถมเป็นสะดือโบ๋ (กลวง) อีกต่างหาก
ดังนั้นการเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก ไม่สามารถพาตัวให้รอดได้ ต้องย้ำอีกทีว่า "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" รอดจากอะไร อบายภูมิ 4 และโลกันต์นรกซี ความจริงทุกฝ่ายล้วนหวังดีต่อพระพุทธศาสนา ต่างอ้างว่าจะรักษาจรรโลงให้เจริญรุ่งเรือง
ทั้งห่วงทั้งหวงเสียเต็มประดา เลยงัดไม้พายไล่ตีหัวชาวบ้าน ทำอะไรใหญ่โตไม่ใช่พุทธ แถมสำทับเอาอีกว่า ของข้าสิถูก ของเอ็งผิด เป็นพุทธปฏิรูป โถวิปริตแท้ๆ ฝ่ายที่รุมกล่าวหาอย่างสาดเสียเทเสีย รวมทั้งถูกใส่ร้ายป้ายสารพัดสี กลับสงบนิ่ง ปฏิบัติตนตามคำสั่งสอน ของพระบรมศาสดา ยึดมั่นในโอวาทปาฏิโมกข์อย่างเหนียวแน่น ท่านล่ะ รู้จักหรือรู้จำ แล้วรู้ทำบ้างหรือเปล่า ไม่กล่าวร้ายใคร ไม่เบียดเบียนใคร สำรวมอยู่ในอธิจิต อธิศีล ของตน ฯลฯ สั่งสอนอบรมพุทธศาสนิกให้ละเว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสเรื่อยไป
ไม่ได้สนใจเลย อัตตา-อนัตตา คนที่พร่ำแต่ นิพพานเป็นอนัตตาแต่ละคน แต่ละรูป อัตตาตัวใหญ่ๆ กันทั้งนั้น หลับตาเปิดใจเสียบ้างเถิด ท่านทั้งหลาย ของดีในพระพุทธศาสนาไม่ได้มีแต่ในพระไตรปิฎก เอาแค่คิดว่า พระไตรปิฎกผิดไม่ได้ แค่นี้ท่านก็ผิดมหันต์แล้วล่ะ เพราะท่าน ก็คงผิดไม่ได้เหมือนกัน
ท่านรู้แต่เพียงว่า ศาสนาพุทธมีอยู่แค่ในพระไตรปิฎก ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกแล้ว คงไม่มีพระสงฆ์ในโลก เอาแค่วัดในเมืองไทย สามหมื่นกว่าวัด มีพระไตรปิฎกกันสักกี่วัดเชียว
เท่าที่ทราบ อาจารย์ของเจ้าอาวาส วัดที่กำลังดังอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะฝีมือพวกท่าน พระเดชพระคุณท่านเป็นสุดยอดกัลยาณมิตร เผยแผ่ พระพุทธศาสนา มีคนนับถือไปทั่วโลก สร้างวัดใหญ่โตด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกล จะรวมใจชาวพุทธทั้งโลก ทำให้ศาสนาพุทธที่ตกต่ำมานาน ได้รับการกล่าวขาน และปฏิบัติได้ผลดียิ่งใหญ่ไปทั่วทุกทวีป กลายเป็นเพชรที่ได้รับการเจียระไนอีกครั้ง
อาจารย์ของท่านเป็นแค่ชาวนาบ้านนอก หนังสือสักตัวยังอ่านไม่ออก พระไตรปิฎกไม่ต้องพูดถึง แต่น่าแปลก ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ได้คล่องแคล่วแน่วแน่ต่อพระนิพพาน ชีวิตของท่านประพฤติพรหมจรรย์ทั้งกาย วาจา ใจ มาโดยตลอด อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียด้วย แถมสร้างวัด ได้สวยสมศักดิ์ศรีของชาวพุทธ เงินทองไม่รู้มาจากไหน ไหลมาเทมา แม้ยุคไอเอ็มเอฟ ที่คนแทบบ้า ยังหายบ้า ถ้าได้ไปร่วมบุญสร้าง มหาธรรมกายเจดีย์ เพราะมีแต่ของดี ไม่มีเรื่องซุบซิบนินทา ไม่มีของมือสองไว้ร้องขาย ไม่ต้องไปไฮปาร์คต่างจังหวัด วิ่งขายเทปกลางสี่แยก สร้างปัญหา เทศน์ด่าสกัดไม่ให้คนมาทำความดี
"83 หน้าในพระไตรปิฎก ที่กล่าวถึงพระนิพพาน รวมทั้งหลักฐานในคัมภีร์ต่างๆ ไม่มีคำว่า นิพพานเป็นอัตตา" แค่นี้ผู้เป็นปราชญ์ ก็สรุปว่า พระนิพพานเป็นอนัตตาซะแล้ว ทำไมรู้แค่ 83 หน้า กับคัมภีร์อีกไม่กี่เล่ม แล้วตรงที่มีความหมายว่า นิพพานเป็นอัตตาตั้งเยอะแยะ ในพระไตรปิฎก ฉบับเดียวกัน ไม่ทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งบ้างล่ะ ท่าน
1. ยัสส อุปปาโท ปัญญายติ วโย นัตถิ ตัสส ยัญญทัตถุ ปัญญายติ นิพพานัง นิจจัง ธุวัง สัสสติ อวิปริณามธัมมันติ อสังหิรัง อสังกุปปังฯ
แปลว่า ความเกิดขึ้นแห่งนิพพานใด ย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งนิพพานนั้นมิได้มี ย่อมปรากฏอยู่โดยแท้ นิพพานเป็นคุณชาติเที่ยง ยั่งยืนมั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงเชื่อว่า อะไรๆ นำไปไม่ได้ ไม่กำเริบ ฯ
(ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม 30 ข้อ 659 หน้า 315)
2. นิพพานัง ปรมัง สุขัง ฯ
แปลว่า พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง ฯ
(ขุททกนิกาย ธรรมบท เล่ม 25 ข้อ 25 หน้า 42)
3. ยทนิจจัง ตัง ทุกขัง ยังทุกขัง ยังทุกขัง ตทนัตตา...ฯ
แปลว่า ...สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา...ฯ
(สังยุตตนิกาย ขันธวาวรรค เล่ม 17 ข้อ 91 หน้า 56)
พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ชัดเจนดีแล้ว คงไม่ต้องให้หนูมาอธิบายราชสีห์ เพราะอธิบายอย่างไรๆ ก็คงไม่รับรู้อยู่ดี เหมือนแก้ว ที่มีน้ำเต็มปรี่ จะเอาน้ำดื่มอย่างดีมาเติมให้สักเท่าไร ก็คงล้นหมด ไม่ได้กิน ก็ขอให้อยู่เป็นสุขๆ กับอนัตตาไปเถอะ.. สิ่งใด เป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็น อนัตตา... นิพพานของพระคุณเจ้าเท่านั้นแหละหนา ที่เป็นเช่นนั้น นิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้า ทั้งหลาย ต้อง นิพพานัง ปรมัง สุขัง... ใครไม่อยากสุขก็แล้วไป จะไปอเวจีหรือโลกันต์นรก ก็เลือกเอา
จะมาบังคับอย่างที่กล่าวหา เรื่องสร้างพระบูชามหาธรรมกายเจดีย์ มันมีอีหรอบเดียวกันนั้นแหละ ถึงว่าสิ.... มหาบัณฑิตจึงได้ล่อกามา เมาสุราเช้ายันค่ำ เพราะขืนทำดี จนเข้าพระนิพพาน เจอนิพพานเป็นอนัตตาเข้า ทุกข์ตาย ขอแต่ให้รู้จริง ชนิดรู้แจ้งเห็นจริง
ก็จะแทงตลอดในพระธรรม ทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก ไม่ต้องอ่านก็ยังได้ เอาอย่างท่านยายอาจารย์ของ เจ้าอาวาสวัดดัง นั้นไง วิราคะธาตุวิราคะธรรม เป็นอย่างไรไปถามท่านดุ จะได้พิสูจน์ไปในตัวว่า ตัวปลอมหรือตัวจริง ว่าแต่จะมีบุญพอให้ได้พบท่าน หรือเปล่า เท่านั้น.... เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้.... สาธุ