ปีที่ 2 ฉบับที่ 606 ประจำวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ

วิวาทะ

เสฐียรพงษ์ พึ่งบารมีศาล

ค่าเสื่อมชื่อเสียง 58 ล้าน

เราก็พุทธ - เขาก็พุทธ

ครับเดินอยู่ท่ามกลางสายฝน มีหรือที่ร่างกายเราจะไม่เปียกปอน คนหนังสือพิมพ์ทำงานเพื่อมวลชน ก็ไม่มีอะไรผิดไปจากนิยามข้างต้น

ที่สุด คุณเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต สาขาศาสนศาสตร์ ก็ประกาศฟ้องหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" หนังสือพิมพ์ที่ท่านระบุว่า เป็นหนังสือกระจอก ทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญา เรียกค่าเสียหายในเกียรติยศ ชื่อเสียงเป็นจำนวนเงินกว่า 58 ล้านบาท

ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

บ้านเมืองมีขื่อมีแป พวกทุศีลโกหกมดเท็จ มุสาวาท ต้องได้รับโทษทัณฑ์ ตามกรอบกฏระเบียบของสังคมนั้นๆ

งานนี้ ผมหวังใจยิ่งว่า คุณเสฐียรพงษ์ คงจะไม่บังอาจเข้าไปก้าวก่ายกระบวนการพิจารณาของศาล

เหมือนอย่างที่คุณเสฐียรพงษ์ เข้าไปยุ่มย่ามต่อพระเถรานุเถระ และคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ให้เร่งรีบตัดสินเรื่องคำสอนของ วัดพระธรรมกาย หรือกรณีเรื่องสูงอย่างพระนิพพาน เป็นอนัตตาหรืออัตตา

เพราะคุกไม่ได้มีไว้ขัง "สุนัข" สัตว์ผู้มีเล็บสง่างามเท่านั้น

ผมก็ต้องตั้งอธิษฐานจิตให้คุณเสฐียรพงษ์ เจริญงอกงาม ตามบุญตามกรรม ที่ท่านสั่งสม มาตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ทั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิจิตร และประเทศอังกฤษ จงหนุนเนื่องตามอัตภาพนั้นๆ ด้วยเถิด

ท่านคงจำได้ใช่หรือไม่ครับ ท่านพุทธศาสนิกชน ผู้มากภูมิรู้ภูมิธรรม...?...

ผมได้อ่านคำฟ้องของคุณเสฐียรพงษ์ รู้สึกงงพอสมควร ที่จู่คุณเสฐียรพงษ์ ก็โยงพฤติกรรมของมหาส. หรือมหานอกวัด มาเป็นรูปกายรูปตน สรุปก็คือตัวท่าน

เรื่องนี้คงพูดอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว

จุดยืนของ "พิมพ์ไทย" ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก คุณเสฐียรพงษ์ ที่ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน ปกป้องสถาบันอันเป็นที่เคารพบูชา ดังนั้น ในเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงถือเป็นหน้าที่ของสื่อมวลชน ที่จะต้องช่วยกันขบคิด เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้อง ยุติธรรมที่สุด เท่าที่แต่ละฝ่าย จะมีข้อมูลนำเสนอต่อสาธารณชน อันมีเป้าหมายเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา ให้สืบทอดไป

คุณเสฐียรพงษ์มองว่า วัดพระธรรมกายเพี้ยนวิปริต ตั้งแต่หัวยันหาง ก็เป็นความคิดเห็นของคุณเสฐียรพงษ์ แต่ "พิมพ์ไทย" ต้องการให้ สถาบันปกครองสูงสุด แห่งคณะสงฆ์ไทย เป็นผู้ชี้ผิดชี้ถูกเท่านั้น เราจึงไม่อาจเชื่อถือความคิดเห็นของคุณเสฐียรพงษ์เป็นที่สุดได้

มันก็มีอยู่แค่นี้จริงๆ คนหนังสือพิมพ์ มีข้อวัตรกันอย่างนี้ รู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัย ไม่เห็นจะเสียหายอะไร กับความคิดเห็นที่แตกต่าง หรือจะให้ กระแสสังคมบิดเบี้ยวลื่นไหล ตามกระแสคนหมู่มาก โดยที่ยังไม่รู้ว่า กระแสนั้นผิดหรือถูก

สังคมบ้านเมืองเรา สันสนวุ่นวายก็เพราะ เราบ้าตามตัวบุคคล เชื่อถือเครดิตบุคคลนั้น บุคคลนี้ โดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตนเองว่า วิชาการ หรือกรอบวัฒนธรรมของเขานั้น มันเหมาะสมกับเราถูกต้องหรือไม่

ภาพกว้างๆ อย่างการพัฒนาประเทศไทย ให้เป็นเสือตัวใหญ่ในภูมิภาค ฝันไกลเป็น "นิคส์" แต่ไปไม่ถึง สุดท้ายก็ต้องจบลง ด้วยการแบมือ ขอยืมเงินฝรั่งตาน้ำข้าว

บรรพบุรุษอวยพรให้ลูกหลานของตนเป็นแต่เจ้าคนนายคน แต่น้อยคนนักจะสอนให้ลูกหลานตน เป็นคนดีมีคุณธรรม ให้กับสังคม บ้านเมืองจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

"ตัณหา" เนี่ยแหละตัวร้าย หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด พูดไว้ชัดเจนว่า ตัณหาความอยากตัวนี้สำคัญ หากตกอยู่กับใครแล้ว ไม่ว่า จะเป็นสงฆ์ชี หญิงหรือชาย หากยอมตนเป็นข้าทาสให้มันแล้ว ก็รังแต่จะเป็นไปเพื่อความเสื่อมถ่ายเดียว

โซตัส

[หน้าหลัก][ข่าวหน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา]