ปีที่ 2 ฉบับที่ 607 ประจำวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ

วิวาทะ

พระพุทธเจ้าตรัส

บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหวต่อคำติฉินนินทา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหว ต่อคำติฉินนินทา" คุณเสฐียรพงษ์ วรรณปก เป็นถึงราชบัณฑิต เป็นครูบาอาจารย์ สอนเด็กคราวลูกคราวหลาน ท่านคงจำพุทธพจน์ของพระองค์ได้ดี

คุณเสฐียรพงษ์ ด่าหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" กระจอกมาเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย

แปลความได้ว่า สถาบันแห่งนี้กระจอก มีคนกระจอก ไร้ภูมิปัญญาเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมสื่อสารมวลชน แต่เราก็มิได้หวั่นไหว ต่อลมปากคำดูหมิ่นของคนสูงอายุ หัวหงอกด้วยอนิจจัง สังขารคือสิ่งไม่เที่ยงของคุณเสฐียรนั่นเอง

อย่าลืมนะครับ เรื่องพระพุทธศาสนา ไม่ใช่มหาสมบัติของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ของคนไทย แขกกินโรตี ลาวปั้นข้าวเหนียว ฝรั่งแทะแซนวิส แต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นมหาสมบัติอันล้ำค่าที่พระองค์ประทานไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ

คำพูดทำนองดูหมิ่นของคุณเสฐียร เป็นภาพสะท้อนถึงแสดงถึงวุฒิภาวะ ความเป็นราชบัณฑิตโดยแท้ ไม่เฉพาะแต่เรื่องกระจอกของ "พิมพ์ไทย" แต่คุณเสฐียรยังเสนอข้อเขียนดูหมิ่นภูมิปัญญาของชาวตะวันตก ฝรั่งมันเกี่ยวอะไรกับศาสนาพุทธหรือพระไตรปิฎก

ความคิดอย่างนี้ หรือครับ ราชบัณฑิต ผมงงจริง อย่างน้อยท่าน กัลตระศรีโร ก็บวชเรียนมาหลายพรรษา ท่านก็เป็นฝรั่งผมสีทอง เป็นพระ เป็นเนื้อนาบุญอยู่ที่วัดบวรนิเวศฯ

วันนี้ "อัตตา" มันสำแดงฤทธิ์ พุ่งเป้าใส่คุณเสฐียรอย่างเต็มแรง ซ้ำยังเป็นอัตตาตัวใหญ่โตเสียด้วยซิ.. มิเช่นนั้น คงไม่มีความคิดว่า "แล้วหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย" กระจอก รวมถึงเรื่องการดูถูกฝรั่งหัวแดงด้วย

อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า วิวาทะที่หลั่งไหลออกมาเช่นนี้ เป็นเรื่องของสัตว์มนุษย์ที่ยังเวียน ว่าย ตาย เกิด เจ็บไข้ ป่วยตาย ข้าวปลากินได้ แต่ยังมิอาจกำหนดวันตายวันตายพรุ่งของตนเองได้ ดังพระอรหันต์ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ขอยกธรรมะของหลวงพี่พยอม กัลยาโณ แห่งวัดสวนแก้ว เพื่อเตือนสติพุทธศาสนิกชน เพื่อเป็นแนวทางในการครองสติ ยามที่สังคม บ้านเรา มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน นั่นคือการวางเฉย "อุเบกขา" โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า" ตามที่หลวงพี่พยอมเคยสั่งสอน น่าจะใช้ได้ดี ในห้วงเวลาเช่นนี้

ผมขอหยุดเรื่องความเห็นเกี่ยวกับคุณเสฐียรไว้แค่นี้ เริ่มจะเบื่อ และก็เซ็งเต็มทนที่ โดยเฉพาะกับท่าทีของคุณเสฐียร ที่ส่งจดหมายเปิดผนึก ถึงมหาเถรสมาคม อย่าใจร้อนซิครับ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น

คุณไพรัช เขียนจดหมายถึงผม บอกว่า เข้าวัดพระธรรมกายเพื่อปฏิบัติธรรม มาตั้งแต่ปี 2530 มีความมั่นใจว่า วัดแห่งนี้ดี เป็นวัดที่ทันสมัย เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการศึกษาธรรมะ ควบคุมไปกับความจริงแห่งเทคโนโลยี มีการประยุกต์ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการมองอนาคตของสังคม โดยเฉพาะการอยู่รวมกันอย่างมีความสุขที่แท้จริง

ผมอ่านข้อเขียนของคุณไพรัช เรื่องพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ พิจารณาแล้วว่า เป็นแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจ จึงได้นำมาลงไว้ เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อเป็นกรณีศึกษา ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในยามนี้ ดังนี้

คำสอนทางพุทธศาสนาเป็น "อกาลิโก" คือสัจจธรรมความจริงทุกช่วงเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พุทธศาสนาต้องไม่ขัดกับ หลักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งคณิตศาสตร์ เป็นคำสอนที่เที่ยงแท้ เป็นสูตรเป็นกฎเกณฑ์แน่นอน สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้

สรุปพระพุทธศาสนาล้ำหน้าทันสมัยอยู่เสมอไม่มีเก่า

แสงสว่างขจัดความมืด เทียบกับพุทธศาสนาเท่ากับ "นิจจัง"

ยกตัวอย่าง การต้มน้ำ ต้มให้น้ำเดือดจนเป็นไอพวยพุ่งออกมา ต้มจนน้ำเหือดแห้งหมด ผู้ไม่รู้ พินิจน้ำในกา ชี้ลงไปทันทีเลยว่า น้ำในกาหายสาบสูญไปเสียแล้ว ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกต่อไป เข้าหลักการเป็น "อนัตตา" ทันที

ตรงนี้เป็นความคิดเห็นที่ผิดอย่างมหันต์ทีเดียว

หากเป็นบุคคลที่ช่างสังเกต ตามหลักของวิทยาศาสตร์ จะต้องเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎี และการปฏิบัติด้วยตนเอง ก็จะพบว่า น้ำในกา ที่ถูกความร้อนจากการต้มระเหยเป็นไอน้ำ ลอยขึ้นไปในอากาศ รวมตัวกันเป็นกลุ่มเมฆ เมื่อเกิดภาวะทางอุณหภูมิที่เหมาะสม ก็จะกลั่นเป็นหยดน้ำ ตกลงมายังพื้นแผ่นดิน พื้นน้ำ มหาสมุทร ตรงนี้เทียบเป็น "อัตตา"

เมื่อรู้ว่า กระบวนการการต้มน้ำ ไม่ได้ทำให้น้ำในกาสูญหายไปไหน แต่ระเหยกลายเป็นไอ จึงนำมาซึ่งทฤษฎีเครื่องจักรไอน้ำ ในเวลาต่อมานั่นเอง

หลักวิทยาศาสตร์ ไม่มีทฤษฎีใดยืนยันว่า สสารจะสูญหาย แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนรูป สถานที่อยู่เท่านั้นเอง

ถ้ามีใครสรุปเอาจากตำราว่า พระนิพพานของสูงส่งทางพระพุทธศาสนา เป็นอนัตตา พระนิพพานคือการดับสูญ ก็ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ อย่างแน่นอน ดังนั้นชาวพุทธทั้งหลาย ต้องตั้งสติให้ดี เป็นชาวพุทธแบบนักวิทยาศาสตร์ ลงมือค้นคว้าและทดลองปฏิบัติด้วยตัวเอง ส่วนนิพพาน จะเป็น "อัตตา" หรือ "อนัตตา" ย่อมรู้เห็นได้ด้วยตนเอง

โซตัส

[หน้าหลัก] [ข่าวหน้า1] [วิวาทะ] [ปุจฉา] [สหัสวรรษ]