ปีที่ 2 ฉบับที่ 824 ประจำวันศุกร์ที่ 15 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 |
สมเด็จพระสังฆราช ทรงประทานพระวรธรรมคติ เตือนพระนอกรีต ยังไม่สายที่จะกลับตัวกลับใจ ขอให้มีจิตแน่วแน่ ทำให้จริงจัง ยกพระเทวทัต - องคุลีมาล มาเตือนสติ ด้าน "ส.ศิวรักษ์" ฟ้องพิมพ์ไทย-ดร.เบ็ญจ์ ให้เด็กมูลนิธิโกมลคีมทอง เป็นโจทก์ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ด้านกระทรวงศึกษาธิการฯ เตรียมส่งนักวิชาการ
เกลี้ยกล่อม เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ให้กลับคำวินิจฉัย พร้อมเดิมเกมหาทางปลด พระธัมมชโย ให้พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสให้ได้ กระทรวงศึกษาฯ เต้น ผวาพระรวมตัวตื๊บ ปฏิเสธพัลวัล ไม่ได้ร่างกฎหมายหัวดำคุมพระ เพียงแต่มีเจตนา "อุปถัมภ์" พระศาสนาเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานจากวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆมหาปริณายก
ทรงประทานเปิดประชุมนวกภิกษุ
คณะธรรมยุตส่วนกลาง ณ ห้องประชุมมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ในวโรกาสนี้ ทรงประทานพระวรธรรมคติ แก่นวกภิกษุ มีความว่า
"ยินดีที่ได้มาพูดกับนวกภิกษุในวันนี้ ที่อยู่ในช่วงวิกฤติของโลก วิกฤติของไทย โลกกำลังมืด กำลังร้อน และมิได้ยกเว้นไทย ที่ควรได้มีการยกเว้น เพราะไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา นี้ น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และควรน่าอายเป็นอย่างยิ่งด้วย เพราะการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ให้จริงให้ถึงใจ
จะปกป้องคุ้มครองให้พ้นภัยทั้งปวงได้ ไม่ว่าจะเป็นภัยที่ใหญ่ยิ่งเพียงใด ก็จะไม่อาจพ้นอานุภาพบริสุทธิ์สูงส่งของการปฏิบัติพระพุทธศาสนาได้ แม้ใจของผู้คนมีอานุภาพนั้น เพียงพอ เหตุการณ์ร้ายแรงที่กำลังผจญ เราชาวพุทธไทยอยู่ในทุกวันนี้ ชี้ชัดว่า เรามีจิตใจที่ปราศจากพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้คือความน่าอายอย่างยิ่ง
แสดงความโฉดเขลาเบาปัญญามากมาย จนกระทั่งยอมให้พระธรรมคำทรงสอน ถูกปล่อยละเลย ปล่อยให้อำนาจชั่วร้ายของกิเลสโลภโกรธหลงเข้าครอบงำ ทำอำนาจ
บีบบังคับ
ให้ทำความชั่วช้าได้สารพัน ควรเป็นคนดี ก็กลับเป็นคนเลว ควรเป็นพระดี ก็กลับเป็นพระเลว เป็นความเลวที่ท่วมทับจิตใจ เพราะยอมให้โอกาสแก่ความชั่วร้าย ทั้งที่บรรพบุรุษ เป็นผู้มีปํญญา รักษาพระพุทธศาสนา ให้สืบต่อมาถึงเราเป็นลูกหลาน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สายเกินไป ยังกลับตัวกลับใจได้ทัน เรื่องของใจเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ และมหัศจรรย์ในพริบตาเดียว ก็อาจเปลี่ยนจากใจชั่วร้ายให้เป็นใจที่ดีได้
สำคัญอยู่ที่ต้องมี
ความตั้งใจจริงจัง มิใช่เหลาะแหละ ลังเล ต้องตั้งใจใจให้แน่วแน่จริงจัง ว่าจะเอาชนะกิเลสโลภโกรธหลงให้ได้ตั้งแต่บัดนี้ จะไม่ยอมได้ชื่อว่า เป็นคนไม่ดี เป็นพระไม่ดี
ตั้งแต่บัดนี้
ต่อไปจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่ความจริงจังแห่งจิตใจเรา เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ
สมเด็จพระสังฆราชทรงประทานด้วยว่า ความตายรออยู่ข้างหน้า อาจเป็นนาทีหน้าเงินบาทเดียว ยศฐาบรรดาศักดิ์ต่ำสูงเพียงใด ตายแล้วเอาไปไม่ได้ ควรทำความดี
ละความชั่ว ทั้งปวง โดยเฉพาะการปกป้องพระพุทธศาสนา เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ และจะมิให้ได้ชื่อว่า เป็นยอดอกตัญญู เพราะเนรคุณต่อพระพุทธศาสนา ที่มีพระคุณยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีพระคุณใดเปรียบได้ ....
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2542 มูลนิธิโกมลคีมทอง (นายส.ศิวรักษ์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง) โดยนางสาวฐิติมา คุณติรานนท์ ผู้รับมอบอำนาจ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บ.หนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" จำเลยที่ 1 บ.สยามบิสซิเนส แอนด์ พริ้นติ้ง จำเลยที่ 2 นายทวีป จงกลรอด บรรณาธิการ จำเลยที่ 3 และนายเบ็ญจ์ บาระกุล อาชีพหมอดู จำเลยที่ 4
ในข้อหาหมิ่น ประมาท โดยการโฆษณา
โดยอ้างว่า นสพ.พิมพ์ไทย ฉบับวันที่ 11 ก.ค.2542 โดยนายเบญจ์ ได้เขียนบทความพิเศษหัวข้อ "เทวทัตยุคไฮเทค" โดยมีข้อความว่า "ทราบว่า มูลนิธิดังกล่าว
มีพฤติกรรมที่เป็น ภัยต่อชาติ ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างชาติ มีเครือข่ายและสมาชิกทั่วประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันภาวะอันตราย อันอาจเกิดขึ้นได้ จึงได้นำรถถัง 2 คัน
ไปปิดล้อมที่ทำการ มูลนิธิฯ และ ตรวจค้นจับกุม
ได้เอกสารใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อมากมาย หนังสือเผยแพร่ลัทธิอันมีนโยบายทำลายชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ หลายแสนเล่มจริง
เจ้าหน้าที่ต้อง ใช้รถ บรรทุก 10 ล้อ ขนถึง 2 เที่ยว เพื่อนำไปเผาทำลาย ไม่ได้เผยแพร่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ต่อไปภายหน้า ส่วนตัวหัวหน้าและผู้ร่วมเป็นสมาชิก หลบหนีออกนอกประเทศ บัญชีรายชื่อผู้ร่วมกิจกรรมได้ถูกเก็บไว้ เพื่อดำเนินการต่อไป
ข้อความดังกล่าว หมายความว่า โจทก์มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อชาติ ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากต่างชาติ มีเครือข่ายและสมาชิกทั่วประเทศ ได้จัดทำแผ่นปลิวโฆษณาชวนเชื่อ และหนังสือเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ จำนวนมากมาย ซึ่งเป็นนโยบายของโจทก์ ที่จะทำลายชาติ และพระมหากษัตริย์
ความจริงแล้ว โจทก์ดำเนินการกิจกรรมตามขอบวัตถุประสงค์ของมูลนิธิทุกประการ ไม่เคยกระทำการเป็นภัยต่อชาติ และไม่เคยจัดทำ หรือมีแผ่นปลิวโฆษณาชวนเชื่อ
และหนังสือ เผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ จำนวนหลายแสนเล่ม เพื่อทำลายสถาบันดังกล่าว นอกจากนี้ โจทก์ไม่เคยถูกจับกุมตามที่จำเลยทั้งสี่กล่าวหา ในทางตรงกันข้ามโจทก์
ให้การสนับสนุน และ
ส่งเสริมให้สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีความมั่นคง
นอกจากนี้ นสพ.พิมพ์ไทย ฉบับวันที่ 18 ก.ค. ได้เสนอข้อความในคอลัมน์ ปุจฉา วิสัชนา หัวข้อ "จดหมายเปิดโปงขบวนการท่านปยุต" มีข้อความตอนหนึ่งว่า
"ภายใต้มูลนิธิโกมลคีมทอง (เป็นมูลนิธิที่ตั้งขึ้นภายใต้ชื่อ สมาชิกศึกษิตเสวนา ซึ่งได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคง และถูกยิงเสียชีวิตในเขตปฏิบัติการสุราชธานี)"
ข้อความดังกล่าวหมายความว่า มูลนิธิโจทก์จัดตั้งขึ้นมาภายใต้สมาชิกศึกษิตเสวนา ซึ่งฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และมีเขตปฏิบัติการที่ จ.สุราษฎร์ธานี
และได้ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่าย
ความมั่นคงยิงเสียชีวิต
ความจริงโจทก์มิได้ฝักฝ่ายคอมมิวนิสต์ มูลนิธิของโจทก์จัดตั้งขึ้นมา เพื่อส่งเสริมให้บุคคลทั่วไป ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ จึงได้ใช้ชื่อของนายโกมล คีมทอง
ซึ่งเป็นบุคคล ที่อุทิศตน เป็นครูสอนหนังสือที่ จ.สุราษฎร์ธานี จนถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ยิงเสียชีวิต เป็นชื่อมูลนิธิของโจทก์
ก่อนหน้านี้ ทางพิมพ์ไทย ก็เคยถูกฟ้องร้องในคดีเดียวกันมาแล้ว ซึ่งผู้ฟ้องร้องคือ นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก โดยฟ้องทั้งคดีแพ่งและอาญา ส่วนคดีแพ่ง
นายเสฐียรพงษ์เรียกร้อง
ค่าเสียหายเป็นเงิน 58 ล้านบาท และยังมีมูลนิธิพุทธธรรม ก็ได้ฟ้องร้องพิมพ์ไทย ในคดีเดียวกันอีกด้วย
ด้านนายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนขอเป็นกำลังใจให้กับพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ที่ท่านยังคงมีแนวคิด ยืนยันในหลักการเดียวกับกระทรวงฯ ในการสั่งพักตำแหน่งพระธัมมชโย ก็ขอให้ท่านยืนยันในหลักการที่ถูกต้อง และเหมาะสม ตนอยากให้เจ้าคณะจังหวัด อยู่ในฐานะคนกลาง วินิจฉัยความถูกต้อง
เกี่ยวกับ เจ้าคณะตำบล ที่ได้มีการพิจารณาไม่พักตำแหน่งพระธัมมชโย อยากให้ท่านได้ชี้แจงเหตุผลของท่านว่า ควรเป็นอย่างไร
ส่วนกรณีที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.ศึกษาธิการ ได้สั่งการให้กรมการศาสนา ทำหนังสือทบทวนคำวินิจฉัย ของเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง ดูเหมือนว่า กระทรวงฯ
ไปกดดัน ท่านนั้น ตนเห็นว่า เรื่องการกดดันตรงนี้ ประชาชนที่เฝ้าจับตามอง คงรู้ว่า เป็นอย่างไร กดดันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการนั้น อยู่ในความพอดี
ถ้าเราไม่ทำสังคม ก็จะคิดว่า เราหย่อนยาน หากฝ่ายคณะสงฆ์กับฆราวาสทำงานประสานร่วมกัน ปัญหาต่างๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น หรือมีการวินิจฉัยกันเองแบบนี้
ขณะนี้กรมศาสนาก็คอยติดตามเรื่องอย่างใกล้ชิด ไม่ได้ละทิ้ง แต่อำนาจการตัดสินใจ อยู่ที่คณะสงฆ์ ส่วนวิธีการที่ให้กรมการศาสนาดำเนินการนั้น มีทั้งแบบเป็นทางการ
และ ไม่เป็น ทางการ ส่วนเป็นทางการเรากำลังดำเนินการอยู่ แต่ไม่เป็นทางการนั้น คิดว่า จะให้ผู้มีความรู้ในเรื่องพระวินัย ได้เสวนากับเจ้าคณะตำบล
เพื่อให้ท่านได้ตัดสินใจ
เปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยดังกล่าว รวมทั้งจะให้กรมการศาสนา พยายามแถลงจุดยืนให้ประชาชนได้รับทราบ และประมวลเรื่องต่างๆ เสนอ มหาเถรสมาคมต่อไป
นายสมภพ โรจนพันธ์ ที่ปรึกษานายวิชัยกล่าวว่า เนื่องจากมีจดหมายจากวัดต่างๆ หลายแห่ง และชุมชน บางชุมชนได้มีจดหมายมาถึงกรมการศาสนา
รวมทั้งมีการรวมตัวกัน ต่อต้าน เพราะเกิดความวิตกกังวล เนื่องจากเข้าใจผิดเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ว่า ทางกระทรวงได้จัดพิมพ์ พ.ร.บ.ขึ้นใหม่ เปิดโอกาสให้ฆราวาสปกครองพระ ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง กระทรวงมิได้เป็นผู้ร่างกฎหมายแต่อย่างใด เพียงแต่ได้มีการแสดงความคิดเห็น และได้มีการเตรียมคณะทำงาน เพื่อศึกษาปัญหาต่างๆ
ให้สอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญ มาตรา 73 ที่บัญญัติให้รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาเท่านั้น นอกจากนี้ กรมการศาสนาได้มีหนังสือชี้แจง ไปยังวัดทั่วประเทศแล้ว
แต่ยังมี บางวัด ไม่เข้าใจ จึงได้ประชาสัมพันธ์อีกครั้ง จะได้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
จากกรณีที่นายมนตรี วาฤทธิ์ อาจารย์ระดับ 6 และหัวหน้าภาควิชาศาสนาเปรียบเทียบ สำนักงานวิทยาเขตล้านนา ม.มหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นกรรมการตรวจสอบเอกสาร ผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อ พบว่า มีการปลอมแปลงเอกสารทางราชการ หลายประการ ในการออกใบรบ.2-ป. หรือ ใบแสดงการจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ปีการศึกษา 2537 ของโรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน และได้มีการร้องเรียนมาที่กรมการศาสนา
ดังนั้น ตนเห็นว่า โรงเรียนสามัคคีวิทยาทาน ซึ่งได้รับความเสียหาย ควรแจ้งความดำเนินคดีกับ ผู้ที่ปลอมวุฒิการศึกษา รวมทั้งให้โรงเรียนแจ้งยกเลิก ใบรบ.2-ป ในปีการศึกษา 2537 ในลำดับที่ 29-43 และควรมีการตั้งคณะกรรมการการสอบสวนหาบุคคล ที่ทำผิด ซึ่งขณะนี้ ยังไม่ทราบว่า ทางเจ้าหน้าที่ภายในโรงเรียน มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่