ปีที่ 2 ฉบับที่ 829 ประจำวันพุธที่ 20 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

วิวาทะ

โลกแห่งความมุสานั้น ร้ายแรงกว่าเรื่องสุราเมรัย (ความเห็นส่วนตัวขอรับ)

คำโกหกหลอกลวงกลอกกลิ้ง อาจมองเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรง หรือร้ายแรงก็ได้ ทว่าหากคำมุสานั้น นำพาไปเพื่อประโยชน์ ต้องวงเล็บ (...!....) ไม่ใช่กลัวตายโหงตายห่าอะไรดอก ไม่ใช่เรื่องคามจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ไอ้คนที่พูดมันจะตายนะครับ

หลายคนอาจจะงงกับความเห็นของผม หรือว่าบางคนอาจจะมองว่า มันตรงกับจริตของผู้เขียน จึงทำให้มีอคติเอนเอียงเข้าข้างกับจริตของผู้เขียน จึงทำให้มีอคติเอนเอียงเข้าข้างกับจริตของตัวเอง

ต้องเรียนอย่างนี้...

ที่ว่า โลกแห่งความมุสา (โกหก) ร้ายแรงกว่าเรื่องของไอ้ขี้เหล้าสุราเป็นสรณะ ธัมมากู พวกสำเร็จมรรคด้วย "เมรัย"

ผมต้องขยายความว่า จริงๆ แล้วการละเมิดศีลทั้ง 2 ข้อ ไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแห่งการสรรเสริญด้วยประการทั้งปวง

คนโกหกตอแหลนั้น ก็ไม่ใช่วิญญูชน

และไอ้พวกขี้เหล้าเมาหยำเป ก็ยากที่จะหาใครนับถือศรัทธาได้ ส่วนใหญ่จะถูกขยายไปในทิศทางที่ต่ำช้ามากกว่าพวกมุสาเสียอีก

ทำไมหรือครับ?

เพราะผู้ที่ขยายความท่านอรรถาธิบายว่า....

ผู้ที่ละเมิดศีลว่าด้วย... สุราเมรยะนั้น เป็นผู้ที่ขาดสติ 

เมื่อขาดสติอันเป็นที่ตั้งแห่งความเป็นผู้คนแล้ว

ถือเป็นเรื่องใหญ่ และน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

เขาผู้นั้นจะละเมิด ธรรมะ เรื่องปกติธรรมดา นั่นคือศีล 5 ข้อที่เป็นสุข เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ ไปโดยง่าย

เมื่อขาดสติ การละเมิดศีลว่าด้วยเมรัย ย่อมกระทำเรื่องบาปหนักหนา อย่างผู้ที่โง่งมที่สุด

1 ใน 5 ข้อ ศีลคือข้อละเว้นของปุถุชนคนสามัญ ย่อมขยายความเดือดเนื้อร้อนใจไปสู่การละเมิดศีลต่างๆ จนครบองค์ เพื่อความที่ถูกต้องและชัดเจน

ต้องขยายไปด้วยว่า คำว่า ห้ามดื่มเครื่องดองของเมานั้น แท้จริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านรวมข้อละเมิดไว้หลายต่อหลายข้อด้วยกัน

ไม่จำเพาะเจาะจงแต่เรื่องของการดื่มเหล้าเมรัย หากแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไปถึงเครื่องดองของเมาทั้งปวง นั่นหมายถึงยาเสพติดทั้งหลายด้วย

ดังนั้นผู้ที่ติดเครื่องดองของเมาจนครองสติแห่งตนมิได้ ย่อมละเมิดศีลข้อต่างๆ ได้ทุกข้อ

แต่ผู้ที่มีเจตนาละเมิดแบบมีสติจำเพาะเจาะจงว่า กูจะโกหก เพื่อให้สำเร็จแห่งประโยชน์ จุดมุ่งหมาย และหรือวัตถุประสงค์แห่งตน

ผู้นั้นย่อมมีบาปครบองค์ โดยความเจตนา ตั้งใจ กระทำให้สมประสงค์ ที่ตนได้ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น มีสติสมบูรณ์เต็มร้อยตั้งแต่ต้นจนจบ

สิ่งที่ผมวิวาทะมานั้น เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ใครจะไม่เห็นด้วย หรือว่าเห็นด้วย ก็ถือเป็นวิจารณญาณของแต่ละปัจเจกชน

หยุดความเห็นแบบตื้นเขินเช่นนั้นไว้ก่อนดีกว่า

ผมจะพูดถึงประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ นั่นคือผลการประชุมของคณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) 

อังคารที่ 19 ตุลาคม มส. มีมติให้คฤหัสถ์สามารถฟ้องร้องพระภิกษุสงฆ์ได้ เป็นการลบล้างความเห็น หรือวินิจฉัยของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1

เป็นอันว่า ความเห็นของ มาณพ พลไพรินทร์ ผู้ชำนาญการพิเศษ กรมการศาสนา และ สมพร เทพสิทธา ประธานยุวธิกพุทธสมาคม จะดำเนินการขับเคลื่อนต่อไปนั่นเอง

คำวินิจฉัยไม่ใช่พระธรรมวินัย หรือตัวบทที่ตายตัว เป็นเรื่องของวามเห็น ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องกันทั้งสองฝ่าย กรณีนี้ ไม่ใช่เรื่องของการเสียหน้า หรือการตีความช่วยกัน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล คงเข้าใจมากกว่า เพราะเป็นบุคคลที่เป็นตัวตั้งตัวตี ให้มส.ตัดสิน หรือวินิจฉัยว่า คฤหัสถ์สามารถฟ้องพระได้

ความจริงคือความจริง สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีมนุษย์ อมนุษย์หน้าไหนหลบหนีไปได้พ้น 

ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไหวหวั่น สำหรับผู้ที่มีอารมณ์ศรัทธาในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ตั้งแต่ต้นจวนจบ ผมพูดถึงเรื่องสัจธรรม ความจริงล้วนๆ เป็นสิ่งไม่ตาย และไม่เคยมีอารมณ์เกรงกลัวด้วยว่า คนพูดมันจะตาย

อย่างไรก็แล้วแต่ ผมยังปรารถนาเห็นพฤติกรรมของผู้ที่เคยทรงศีล 227 ข้อ พูดแต่ความจริง

ไม่ใช่เรื่องตีรวน

แต่เป็นความจริงที่ท่านต้องยอมรับ ไม่ใช่เรื่องศีล 227 ข้อ

ทว่าเป็นเรื่องของศีล 5 ข้อ เลิกโกหกตัวเองเถิดครับ

บาปกรรมมันขยายไปถึงขุมข่ายนรก อเวจี แล้วรู้บ้างไหม?

โซตัส


[หน้าหลัก][หน้า1][วิวาทะ][การเมือง]