ปีที่ 2 ฉบับที่ 830 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 21 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542

หน้า 1

มส.ลักลั่น มติเก่าใหม่เลอะ มติเก่าใหม่เลอะ นิคหกรรมป่วน
เจ้าคณะภาค1 ดับเครื่องชน ย้ำวินิจฉัยโจทย์-ผู้กล่าวหา
สำนวนอ่อนซ้ำเป็นเรื่องเก่า

กรมการศาสนาสารภาพมติมส.ยังลักลั่น เผยมติมส.สุดขัดแย้ง เตรียมหาทางออก เสี่ยตือ-วิชัย สับสนระหว่างคำว่า โจทก์-ผู้กล่าวหา เตรียมส่งมติมส.ให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมฯ นิคหกรรมพระธัมมชโย และพระทัตตชีโว ด้านพระสุเมธาภรณ์ระบุกิจนิมนต์ยาว ถึงวันที่ 25 ต.ค. พร้อมกดดันพระครูปทุมกิจโกศล สั่งพักเจ้าอาวาสอีกรอบ ชำแหละนิคหกรรม ไม่หมูอย่างที่คิด สำนวนสุดอ่อน อีกทั้งข้อกล่าวหายังขัดแย้งกับกฎมส.หลายจุด รวมถึงเป็นความในคดีอาญา ศาลสงฆ์จะนำมาพิจารณาไม่ได้ ส่วนคำสอนนิพพาน ยากยิ่งกว่า ไข่เกิดก่อนไก่ หรือไก่เกิดก่อนไก่

หลังที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) มีมติให้ฆราวาสกล่าวโทษพระสงฆ์ได้ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ปรากฏว่า หลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง 

เร่งส่งมติมส.ให้เจ้าคณะจว.
โดยดร.วิชัย ตันศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ว่า หลังจากมติมหาเถรสมาคมระบุว่าชัดเจนว่า ฆราวาสสามารถกล่าวหาพระได้ พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีต้องเรียกพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระทัตตชีโว และรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไปรับฟังข้อกล่าวหา ถ้าไม่ไป รับฟัง จะยิ่งเสียเปรียบ และถือเป็นการยอมรับตามข้อกล่าวหาของนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนาและนายสมพร เทพสิทธา ประธานสภา ยุวพุทธิก สมาคมแห่งชาติ

ส่วนเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีจะเรียกพระธัมมชโยกับพระทัตตชีโวมารับฟังข้อกล่าวหากี่ครั้งก็แล้วแต่ดุลพินิจ สำหรับกรณีพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เคยระบุว่า ฆราวาส ไม่สามารถกล่าวหาพระได้นั้น ดร.วิชัย กล่าวว่า ถือเป็นเพียงความเห็น และขณะนี้ในทางปฎิบัติ ต้องทำตามมติมหาเถรสมาคม หากไม่ปฎิบัติตาม ถือว่ามีความผิด นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า กำลังร่างหนังสือรายงาน มติมหาเถรสมาคมให้ พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีรับทราบ

กรณีพระทัตตชีโว จะกระทบต่อการรักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาสหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับสำนวนและคำกล่าวหา ซึ่งผู้พิจารณาต้องพิจารณาว่า สมควรที่จะดำรงตำแหน่งหรือไม่

เสี่ยตือตีขนดกดดันเถระ
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า มติมหาเถรสมาคม (มส.)วานนี้ (19 ต.ค.) เป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะต่อไปนี้จะต้องดำเนินการ ให้เห็น เป็นรูปธรรมชัดเจน ถึงตอนนี้ สังคมไม่ให้โอกาสแล้ว เพราะนักกฎหมายที่สำคัญของประเทศอย่างนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสภา ก็ออกมาชี้ชัด

ถ้ายังไม่เคารพกติกากันอีกก็ถือว่าอยู่ร่วมกับคนในสังคมต่อไปไม่ได้แล้ว และเชื่อว่าการติดตามของสังคม จะมีส่วนให้การดำเนินการได้เร็วขึ้น ไม่ใช่ปล่อยไว้เมื่อใดจะเสร็จก็ได้ และขอยืนยันว่า ถ้าตนยังอยู่ในตำแหน่ง จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน และวันนี้ (20 ต.ค.)จะเร่งให้อธิบดีกรมการศาสนา ส่งหนังสือ มติมส.ให้เจ้าคณะจังหวัด ปทุมธานี รับทราบ และดำเนินการทันที

“ก่อนนี้ก็บิดพลิ้วได้ อ้างโน่นอ้างนี่ แต่เมื่อชัดเจน ก็ไม่ต้องรอการรับรองการรายงาน การประชุม จากมหาเถรสมาคมอีก ให้ดำเนินการได้เลย”นายสมศักดิ์ กล่าว 

สารภาพมติมส.ลักลั่น
นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ตามข้อกล่าวหาของ นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนา และนายสมพร เทพสิทธา ประธานสภายุวพุทธิกะสมาคมแห่งชาติ ได้ระบุว่า พระธัมมชโยและพระทัตตชีโว เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย บิดเบือนคำสอนนั้น พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เคยเรียกให้พระธัมมชโยและพระทัตตชีโว ไปรับทราบข้อกล่าวหาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2542 แต่ทั้งสอง ไม่ไปตามวันเวลานัดหมาย และทำหนังสือคัดค้านว่า ฆราวาสกล่าวหาพระไม่ได้ และพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ก็วินิจฉัยออกมาว่า ฆราวาสกล่าวหาพระสงฆ์ไม่ได้ และจากนั้น มติมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2542 ก็ออกมาระบุว่า ฆราวาสกล่าวหาพระได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ยังค้านกันอยู่ และยังไม่มีการพิจารณา 

เมื่อมติมหาเถรสมาคมออกมาอีกวานนี้ (20 ต.ค.) ว่า ฆราวาสกล่าวหาพระได้ และให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้นดำเนินการตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 ว่าด้วยกฎนิคหกรรม ทันที ดังนั้น เรื่องนี้จึงต้องส่งไปยังเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีอีกครั้ง เพื่อเรียกพระธัมมชโย และ พระทัตตชีโวไปรับทราบข้อกล่าวหา

เริ่มนับหนึ่งอีกครั้ง
รองอธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า หากพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว ยอมรับคำกล่าวหา ก็สามารถตัดสินลงโทษได้ แต่หากไม่ยอมรับ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ในฐานะ ผู้พิจารณา ต้องรวบรวมเรื่องเสนอ เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะหัวหน้าผู้พิจารณาขั้นต้น ซึ่งเจ้าคณะภาค 1 จะต้องไต่สวนว่า คำกล่าวหามีมูลหรือไม่ หากไต่สวนพบว่ามีมูล ก็ต้อง เริ่มต้นสืบพยานฝ่ายโจทย์และฝ่ายจำเลย หมายถึงว่า เรื่องได้เข้าสู่กระบวนการตามกฎนิคหกรรมแล้ว และถือว่าพระธัมมชโยต้องอธิกรณ์แล้ว ซึ่งผู้บังคับบัญชาใกล้ชิด ก็สามารถ สั่งพักตำแหน่งเจ้าอาวาสได้

“ตอนนี้พระทัตตชีโวรักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้ เพราะขณะนี้ พระธัมมชโยยังไม่ถูกสั่งพักจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เมื่อพระธัมมชโยป่วย จะเสนอให้มารักษาการแทน ก็เป็นสิทธิของท่าน แต่หากเข้าสู่กระบวนการแล้ว ผู้พิจารณาขั้นต้นก็ต้องวินิจฉัยกันอีกครั้ง” นายสุทธิวงศ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาได้โทรศัพท์มาเลื่อน เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ขอนำหนังสือมติมหาเถรสมาคม วันที่ 19 ตุลาคม มามอบให้ในช่วงเช้าวันนี้(21 ต.ค.) แทน จากเดิมที่จะเดินทางมาวานนี้ (20 ต.ค.) เนื่องจากติดขัดในเรื่องเอกสารไม่เรียบร้อย โดยเฉพาะมิตของมส. ที่ขัดแย้งกันเอง ทั้งมติเก่า และมติล่าสุด อีกทั้งกรมการ ศาสนา ได้พิจารณาถึงกฎระเบียบมหาเถรสมาคม ซึ่งยังลักลั่นกันอยู่พอสมควร

เจ้าคณะอ.รอคิวพระสุเมธาฯ
พระมหาปัญญา ขันติธัมโม เจ้าอาวาสวัดบางหลวง เจ้าคณะอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีพระชั้นปกครองคณะสงฆ์วัดพระธรรมกาย กล่าวว่า เมื่อฆราวาสสามารถ กล่าวหา สงฆ์ได้ ขั้นตอนต่อไป เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีสามารถเรียกพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว มารับทราบข้อกล่าวหาได้ทันที เนื่องจากโจทก์ที่เคยยื่นกล่าวหาไว้ทั้ง 2 ราย ปฎิเสธการรับคืนข้อกล่าวหา ขณะนี้ข้อกล่าวหายังอยู่ที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ขึ้นอยู่กับเจ้าคณะจังหวัดฯ จะสะดวกกำหนดวันเรียกผู้ถูกกล่าวหา มารับข้อกล่าวหาได้ทันที 

หากพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว มารับทราบข้อกล่าวหา จึงจะถือว่าต้องอธิกรณ์ หากไม่มา เจ้าคณะจังหวัดมีสิทธิ์โดยชอบ ที่จะสั่งพักหรือถอดถอนจากเจ้าอาวาส ถ้าอ้างว่า เจ็บป่วยแล้วไม่มารับฟังคำกล่าวหา ขึ้นกับดุลพินิจของเจ้าคณะจังหวัดว่า จะให้ผัดผ่อนได้กี่ครั้ง 

ทันทีที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีได้รับหนังสือมติมหาเถรสมาคม จากกรมการศาสนาจะเริ่มเรียกผู้ถูกกล่าวหาได้ทันที เป็นการเริ่มต้นกระบวนการนับหนึ่งใหม่ เป็นการยกประโยชน์ ให้กับผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากมติมหาเถรสมาคมเพิ่งจะสมบูรณ์

วัดใจพระครูปทุมฯ
ทั้งนี้หากพระธัมมชโยและพระทัตตชีโวมารับทราบข้อกล่าวหา และต้องอธิกรณ์แล้ว พระครูปทุมกิจโกศล เจ้าคณะตำบลคลองหลวง ต้องพิจารณาอีกครั้งว่า จะสั่งพักการเป็น เจ้าอาวาสของพระธัมมชโยหรือไม่ เนื่องจากกฎมหาเถรสมาคมระบุว่า ถ้าพระสงฆ์ตกเป็นจำเลย หรือต้องอธิกรณ์ เมื่อครั้งที่แล้ว เจ้าคณะตำบลวินิจฉัยกรณี ที่ต้องเป็นจำเลย ในคดีอาญา แต่ครั้งนี้หากต้องอธิกรณ์ เจ้าคณะตำบลต้องวินิจฉัยอีกครั้ง และต้องให้สิทธิ์ขาดเจ้าคณะตำบลในการวินิจฉัยก่อน หากยืนยันไม่สั่งพักเจ้าอาวาสพระธัมมชโย ด้วยเหตุผลไม่เสื่อมเสียต่อวงการพุทธศาสนา ณ เวลานี้ เจ้าคณะตำบลยังไม่มีความผิด แต่ถ้าในอนาคต พระธัมมชโยได้รับการพิสูจน์ว่า เป็นผู้กระทำผิด เจ้าคณะตำบล ต้อง รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

มั่นใจธัมมชโย-ทัตตชีโว ไม่หนี
เจ้าคณะอำเภอคลองหลวง กล่าวว่าต้องการให้พระธัมมชโยกับพระทัตตชีโว มารับทราบข้อกล่าวหา ส่วนจะปฎิเสธหรือรับข้อกล่าวหา ให้ดำเนินไปตามขั้นตอน กระบวนการ การไต่สวน เพื่อจะได้หาข้อยุติ หากไต่สวนแล้ว ผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา ยังมีสิทธิ์ที่จะยื่นอุทธรณ์ได้ ศาลที่จะไต่สวนประกอบด้วยพระพรหมโมลี วัดยานนาวา ในฐานะเจ้า คณะภาค 1 พระราชปริยัติบดี เจ้าอาวาสวัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปุทมธานี ถือเป็นศาลชั้นต้น ในการไต่สวน หากผู้ถูกกล่าวหา และผู้กล่าวหายื่นอุทธรณ์ นั้น พระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ในฐานะ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง จะเป็นผู้พิจารณา 

อย่างไรก็ตาม เจ้าคณะอำเภอคลองหลวงเห็นว่า เชื่อมั่นว่า ถึงเวลานี้ พระธัมมชโยยังไม่หนีออกนอกประเทศ หรือใช้ช่องโหว่ของกฎมหาเถรสมาคม ยื้อการไต่สวนออกไปอีก 

พระสุเมธาภรณ์ยังไม่ว่าง
พระสุเมธาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยว่า แม้จะมีการเผยแพร่มติมหาเถรสมาคมวันที่ 19 ตุลาคม 2542 แล้วว่า ฆราวาสสามารถ กล่าวหาสงฆ์ได้ แต่เมื่อยังไม่ได้รับหนังสือ อย่างเป็นทางการ จากกรมการศาสนา ก็ยังไม่สามารถกำหนดวันที่จะเรียกพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มารับทราบข้อกล่าวหาได้ เพราะการกำหนดวัน ต้องประสานกับทางกรมการศาสนา ตำรวจ และหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 20-25 ตุลาคมนี้ อาตมาติดกิจธุระ จะสะดวกคือ หลังจากวันที่ 25 ตุลาคม เป็นต้นไป หลังจากได้รับหนังสือจากกรมการศาสนาแล้ว ก็พร้อมที่จะดำเนิน การโดยทันที 

เสี่ยณพแกว่งปากต่อ
ด้านนายมาณพ พลไพรินทร์ ในฐานะผู้กล่าวหาพระทั้งสองรูป หลังจากเก็บตัวเงียบหายไปนาน โดยก่อนหน้านี้ ได้ตกเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับกับเรื่องเทปลับ นางจารุวรรณ พลไพรินทร์ อดีตภรรยา โทรศัพท์พูดคุยกับผู้อ้างว่า เป็นศิษย์ธรรมกาย เพื่อล้มคดี โดยมีเรื่องของเงินๆ ทองๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง และตำแหน่งอธิบดี จนถูกนายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ขณะนั้น มีคำสั่งให้ทำหนังสือชี้แจง ระบุว่า

มติมส.ออกมาเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า การตีความกฎนิคหกรรมของคณะสงฆ์ผู้พิจารณาคดีวัดพระธรรมกายชั้นต้น ใช้เวลากว่า 3 เดือน ตีความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง คณะสงฆ์ผู้พิจารณาต้องแสดงสปริตต่อคำวินิจฉัย เช่น ลาออกจากตำแหน่ง แล้วสมเด็จพระมหาธีราจารย์ รักษาการเจ้าคณะภาค 1 ไว้ชั่วคราว จนกว่าคดีจะสิ้นสุด

ยุปลดพระพรหมโมลี
"ประชาชนจะพอใจไหม ที่จะให้คณะสงฆ์ผู้พิจารณาชุดเดิม เป็นผู้พิจารณาอีก ผมเห็นว่า มีใจเอนเอียงเข้าข้างวัดพระธรรมกาย ตัดสินตรงข้ามกับมติมส. หากคณะสงฆ์ชุดนี้ วินิจฉัย ยืนกรานว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดตั้งแต่เรื่องยักยอกทรัพย์ บิดเบือนคำสอน ไม่มีมูลยกฟ้องอีกจะทำอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องให้มส.พิจารณา" นายมาณพกล่าว อย่างมีอารมณ์ พร้อมกับยุให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ลงโทษพระผู้พิจารณาชั้นต้น

นิคหกรรมไม่หมู
พระเถระรูปหนึ่ง แสดงความเห็นว่า การที่มส.มีมติให้คฤหัสถ์กล่าวโทษพระภิกษุได้นั้น ยังไม่ถือว่า เป็นการลบล้างคำวินิจฉัยของพระพรหมโมลี เพราะมติมส.ไม่ได้ระบุ เป็น โจทก์ฟ้องร้องพระได้ แต่เป็นเพียงผู้กล่าวหาเท่านั้น อีกทั้งกฎมหาสมาคม ฉบับที่ 11 ก็ได้ระบุไว้ว่า ผู้ที่เป็นโจทก์ จะต้องเป็นพระภิกษุ และสามเณร ตามคุณสมบัติ ... เท่านั้น ส่วนคฤหัสถ์เป็นเพียงผู้กล่าวหาพระเท่านั้น

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เชื่อว่าพระพรหมโมลี จะยืนยันในคำวินิจฉัยเดิม โดยเฉพาะกรณีคฤหัสถ์เป็นเพียงผู้กล่าวหาภิกษุ และหากจะเข้าสู่กระบวนการนิคหกรรมจริงๆ ก็ต้องนำ พระภิกษุ มาเป็นโจทก์รับข้อกล่าวหาของคฤหัสถ์ไปพิจารณา

ชำแหละข้อหาสุดฝืด
สำหรับสำนวนข้อกล่าวหา อาทิการยักยอกทรัพย์ เรื่องคำสอนผิดเพี้ยนจากพระพุทธศาสนา ความเห็นนิพพานเป็นอัตตานั้น ก็ต้องให้พระภิกษุสงฆ์ เป็นผู้วินิจฉัย เพราะเป็นเรื่อง ละเอียดอ่อน อีกทั้งในพระไตรปิฎก ก็ไม่ปรากฏว่า พระนิพพานจะมีสภาพเป็นอัตตาหรืออนัตตา พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวถึงพระนิพพานแบบเจาะจงลงไปว่า จะเป็นเช่นไร เพียงแต่ ตรัสไว้ว่า พระนิพพานเป็นยอดบรมสุขเท่านั้น ดังนั้น ผู้ที่นำบรรทัดฐานที่ว่า พระนิพพานต้องเป็นอนัตตา จึงเป็นเรื่องที่ยากจะหาข้อยุติแห่งปัญหาได้

ส่วนประเด็นการยักยอกทรัพย์นั้น ก็เป็นประเด็นที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องในคดีอาญา ต้องรอให้ศาลทางโลกพิสูจน์ให้ถึงที่สุดเสียก่อน กรณีนี้กฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยกฎนิคห กรรม ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เรื่องที่จะนำมาฟ้อง ต้องไม่ใช่เรื่องเก่า ต้องเป็นเรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องที่ค้างคาอยู่ในศาลทางโลก หรือไม่ใช่เรื่องที่ศาลพิจารณาถึงที่สุดแล้ว จะนำมา สู่นิคหกรรมไม่ได้อีกเช่นกัน

แหล่งข่าวระบุด้วยว่า พระธัมมชโย และพระทัตตชีโว พร้อมที่จะพิสูจน์ตนเองในเรื่องนิคหกรรมอยู่แล้ว และมีแนวทางที่จะสู้ตามกฎระเบียบมหาเถรสมาคมที่กำหนดไว้


[หน้าหลัก][หน้า1][วิวาทะ][ปุจฉา]