ปีที่ 2 ฉบับที่ 830 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 21 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2542 |
ปัญหาวัดพระธรรมกาย ร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคณะกรรมการมหาเถรสมาคม มีมติให้คฤหัสถ์กล่าวหาพระได้ ส่งผลให้นิคหกรรม พระธัมมชโย และ พระทัตตชีโว
เดินหน้า ต่อไป
ทันทีที่ มส.มีมติออกมาเช่นนั้น ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1
ที่ระบุว่า คฤหัสถ์ไม่สามารถฟ้องพระได้
ก็พุ่งเป้าถล่มแบบไม้ยั้งมือ ไปที่เจ้าคณะภาค 1 และรองเจ้าคณะภาค 1 รวมถึงพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ชนิดเต็มๆ
สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาแสดงท่าทีดังกล่าวอย่างชัดเจน พร้อมเรียกร้องให้พระผู้พิจารณาทั้ง 3 รูปแสดงความรับผิดชอบ
รัฐมนตรีผู้นี้ออกแอ็คชั่นอย่างเห็นได้ชัด ยำพระเถระว่า ซื้อเวลามามากพอสมควร
ขณะที่ วิชัย ตันศิริ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาสำทับว่า มือกฎหมายมือหนึ่งตีความแล้วว่า คฤหัสถ์สามารถกล่าวโทษพระได้ พร้อมกับขู่ว่า มติมส.ออกมาอย่างนี้แล้ว หากพระพรหมโมลี ไม่ปฏิบัติตาม สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ก็สามารถพิจารณาโทษ โดยที่ไม่ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมมส.
ยังมีความเห็นอีกคนหนึ่ง คือ เสี่ยมาณพ พลไพรินทร์ เทพบุตรสุดหล่อ
ในฐานะผ็กล่าวหาพระทั้งสองรูป เก็บตัวหายเงียบไปนาน
หลังตกเป็นข่าวเรื่องผัวๆ เมียๆ อดีตเมีย เดินแผนแบล็กเมล์ สินบนมัดวัดพระธรรมกาย จนต้องทำหนังสือชี้แจง ต่ออธิบดีกรมการศาสนาคนก่อน
วันนี้กลับมาเสียงดังอีกแล้ว ประกาศว่า จะดำเนินการฟ้องร้องพระทั้งสองรูปให้ถึงที่สุด
ก็ต้องเร่งทำผลงานให้เข้าตา เอาให้ถึงที่สุดเลยนะคร้าบ
เสี่ยณพ
วันหน้าฟ้าใหม่ ฝันที่อยู่แค่เอื้อมเก้าอี้อธิบดีกรมการศาสนา จะไปไหนเสีย
ว่าแต่วา อย่าเพิ่งเดินสะดุดขาตัวเองล้มหงายท้อง เหมือนครั้งที่ผ่านมาก็แล้วกัน
อย่าเพิ่งดีใจไป ทั้งคนที่เป็นรัฐมนตรี และคนที่กระสันอยากจะเป็นอธิบดีจนตัวสั่น
อย่ามั่วตีความเข้าข้างหมู่คณะตัวเอง
เลิกเถิดครับ ความเห็นพวกมากลากไป เพราะฉิบหายกันมานักต่อนักแล้ว
กรณีคำวินิจฉัยของผู้พิจารณาชั้นต้น โดยเฉพาะพระพรหมโมลี ยืนยันว่า คฤหัสถ์ ไม่มีสิทธิ์เป็น "โจทก์" ผู้ที่มีปัญหาน่าจะเข้าใจไว้ตามนี้
ท่านไม่ได้วินิจฉัยว่า เสี่ยมาณพกล่าวโทษพระไม่ได้นี่หว่า
มึนเอง สับสนกันไปเอง แล้วจะไปโทษใคร
ความหมายของคำว่า "ผู้กล่าวหา" กับคำว่า "โจทก์" เขียนก็ยังไม่เหมือน จะให้ความหมายเหมือนกันได้อย่างไร
ในกฎมหาเถรสมาคม ก็ระบุไว้ชัดเจน
และยังลงลึกถึงคุณสมบัติของโจทก์ด้วยว่า จะต้องเป็นพระภิกษุ หรือสามเณร ตามคุณสมบัติ
ในกฎมหาเถรสมาคมอีกเช่นกัน ก็ได้ระบุถึงคุณสมบัติของผู้กล่าวหา ซึ่งเป็นคฤหัสถ์หัวดำ หัวหงอกทั้งหลายนี่แหละ
จะตะแบงสับสนปัญญานิ่มกันไปถึงไหน
พูดให้ชัดๆ ได้ความว่า หัวหงอก หัวดำทั้งหลาย
ที่มีคุณสมบัติ
ตามกฎมหาเถรสมาคม มีสิทธิ์กล่าวโทษพระได้
ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ไม่มีความเข้าใจในกฎมส. และเอาอารมณ์ของตัวเองเป็นใหญ่
ที่สำคัญคนรักพระพุทธศาสนา แม้จะมีอายุเป็นปู่คนแล้ว ยังติดนิสัยวัยรุ่นใจร้อน เรื่องมันเลยสับสนกันไปหมด
ไปๆ มาๆ ผมจะต้องกลับมาเขียนถึงเรื่องเก่าอีกแล้ว
ถ้าจะนิคหกรรมก็ต้องมาพิจารณาถึงข้อกล่าวหา ว่าเป็นอย่างไร ผมอยากให้นำเรื่องพระนิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา เข้าสู่นิคหกรรมด้วย
สงสัยสนุกแน่ !
แต่กว่าจะถึงตรงนั้น ยังมีอีกหลายขั้นตอน บอกได้เลย อย่าคิดว่าจะเร็วด่วนเหมือนพวกวัยรุ่นปู่ชอบคิดกัน
ต้องมองไปที่เรื่องของคุณสมบัติของคฤหัสถ์ผู้กล่าวโทษพระ ว่าเป็นผู้ที่เสียหายโดยตรงหรือไม่ มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือได้กี่มากน้อยเพียงใด
อย่าให้มีเรื่องฉาวเมียหลวงเมียน้อยตบทรัพย์พระเป็นใช้ได้
นี่ไงครับ ขนาด พ.ร.บ.หัวดำปกครองสงฆ์ ยังไม่ผ่าน ฆราวาสก็เข้าไปป่วน จนกระบวนการสงฆ์ สถาบันสงฆ์ ระส่ำระสาย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
โซตัส