ปีที่ 2 ฉบับที่ 847 ประจำวันอาทิตย์ที่ 7 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542

ปุจฉา วิสัชนา

เรียน คุณไอ้ทิด และชาวหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" ทุกคน

ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ใช่ลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกาย แต่ผมก็รู้สึกอดสูใจ ที่เห็นพฤติกรรมของผู้ที่อ้างตนเองว่า ปกป้องพระพุทธศาสนา ปกป้องสถาบันสงฆ์ ห่วงใย สถาบันหลัก แล้วออกมาแสดงพฤติกรรมต่างๆ สุดแต่ใจจะนึกได้ว่า อันไหนจะสะใจที่สุด อันไหนจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเจ็บใจที่สุด จนบางครั้งลืมนึกไปว่า ตัวเองยังเป็น ชาวพุทธอยู่ ยังมีญาติพี่น้องนับถือพุทธอยู่ ผู้ให้กำเนิดก็ยังไหว้พระและนับถือพุทธอยู่

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นด้วยตาของตนเอง ฟังด้วยหูของตนเอง ผมจึงทำตัวเหมือนชาววัดพระธรรมกาย เข้าไปวัดไม่เฉพาะแต่ในวันพระ หรือวันอาทิตย์เท่านั้น แม้วันธรรมดา ผมก็เข้าไป จึงพอจะรู้อะไรหลายๆ อย่าง แม้จะไม่ละเอียดนัก ก็พอที่จะนำมาเล่าสู่ผู้ที่อยากรู้ว่า วัดพระธรรมกาย มีอะไรบ้างที่ผิดจากที่อื่น

แห่งแรกที่ผมเดินตามคนของวัดพระธรรมกายเข้าไป เป็นสถานที่โอ่โถงรายล้อมด้วยมวลไม้นานาชนิด สีเขียวชอุ่ม อากาศบริสุทธิ์ มีศาลามุงจากทรงสูงหลังใหญ่หลายหลังติดต่อกัน เพดานติดพัดลมแบบแขวน ไม่มีเครื่องปรับอากาศ อาสน์สงฆ์สำหรับให้พระภิกษุ-สามเณรนั่นฉันภัตตาหาร เป็นแบบไม้กระดานยกพื้นสูงเรียงรายกันหลายแถว พอที่จะให้ พระภิกษุ สามเณร ประมาณพันกว่ารูปได้นั่ง ผมกระซิบถามคนที่ผมอาศัยเข้าไปว่า สถานที่แห่งนี้ชื่อว่าอะไรเขาก็ตอบค่อยๆ ว่า ชื่อ "สภาธรรมกาย" พอถึงเวลาที่จะฉันภัตตาหารเพล พระภิกษุ สามเณร จะอยู่ในชุดห่มดอง (ห่มแบบมีผ้ารัดอก) เดินเรียงแถวลงมาสู่สภาอย่างสำรวม พอพระท่านนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก็จะมีศิษย์ของวัด ซึ่งไม่จำเพาะเจาะจง ว่าจะเป็นผุ้ใดผู้หนึ่ง โดยเฉพาะออกมาเชิญชวนให้พุทธศาสนิกร่วมกันอาราธนาศีล 5 แล้วก็สมาทานศีลพร้อมกัน หลังจากสมาทานศีลแล้ว ก็กล่าวพิธีถวายข้าวพระพุทธ และถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ สามเณร ซึ่งแต่ละคนที่ไปหรือที่อยู่ในสภานั้น ก็กล่าวพร้อมกันได้อย่างคล่องแคล่ว โดยไม่เคอะเขิน ผมจึงอดไม่ได้ ที่จะถามคนใกล้ตัวว่า ทุกคนที่มาที่นี่ สามารถอาราธนาศีล 5 อุโบสถศีล หรือศีล 8 ได้ทุกคนหรือเปล่า เขาตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ทุกคนจะได้ ผมจึงนึกในใจว่า เออ อย่างนี้ซิ ถึงจะเป็น ชาวพุทธโดยแท้ และตั้งใจที่จะสมาทานศีลจริง ไม่เหมือนกับคนบางคน อาราธนาศีลยังไม่ได้ คนอื่นให้ว่าตามก็ว่าตาม เขาให้รักษาศีลก็รักษา โดยที่ยังไม่รู้เลยว่า ถ้ารักาศีลแล้ว อานิสงส์ แห่งศีลนั้น จะมีอะไรบ้าง รับศีลมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เวลาผิดศีลหรือล่วงละเมิดศีลก็ผิดด้วยความตั้งใจ

ขณะที่พระภิกษุ สามเณร กำลังฉันอาหารนั้น ก็จัดการอ่านรายชื่อ ผู้ที่เป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหาร จะด้วยการทำบุญคล้ายวันเกิดของตนก็ดี ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี หรือคน ที่มีจิตศรัทธาถวายในวันนั้นก็ดี มันทำให้ผมนึกว่า การกระทำบุญวันคล้ายวันเกิดนั้น ถ้าเลือกทำแบบนี้ ก็จะเป็นการประหยัดมากทีเดียว และได้กระทำความดีล้วนๆ ไม่มีความชั่ว เจือปน ผิดกับผู้ที่จัดงานคล้ายวันเกิดของตนที่ภัตตาคารที่โรงแรมหรูๆ เจือด้วยกลิ่นอายแห่งสุรา ยาเมา อันเป็นต้นเหตุแห่งกิเลสตัณหา เป็นการยั่วยุแห่งกามารรมณ์ แต่ที่วัดนี้ ทุกคน ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาไม่กระโชกโฮกฮาก ทุกคนเรียกชื่อกันตามที่บรรพบุรุษตั้งให้ ตามที่พ่อแม่พิจารณาแล้วว่า เพราะจึงตั้งให้เพื่อเป็นสิริมงคล เราฟังแล้วก็สบายใจ

ในส่วนของฆราวาสก็จะเข้าไปจองโต๊ะที่เขาจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ลักษณะเป็นโต๊ะเตี้ยๆ นั่งที่พื้น เหมือนจะทานขันโตก อาหารมีพร้อม โต๊ะหนึ่งจะมีผู้ร่วมทานด้วย 4 ท่าน มองหาว่า โต๊ะไหนที่ยังไม่ครบ 4 ท่าน ก็จะเข้าไปนั่งเสริม โดยไม่ต้องคำนึงว่า เขาผู้นั้น เรารู้จักหรือสนิทชิดเชื้อด้วยหรือเปล่า ก่อนจะเข้าไปทานร่วมกับเขายังนึกถึงคำภาษาบาลีว่า วิสาสา รสา แปลว่า ความคุ้นเคย ทำให้อาหารมีรสชาติดี แปลง่ายๆ ก็คือ ถ้าคนที่ทานอาหารร่วมกับเรานั้นสนิทสนมกัน การทานอาหารก็มีรสชาติยิ่งขึ้น คือทานอาหารอร่อยนั่นเอง

แต่ที่วัดพระธรรมกายนี้แปลก แม้ว่าเราจะไม่สนิทกับเขา ไม่รู้จักเขาเราก็ทานได้อย่างสนิทใจ และมีรสอร่อยด้วย เพราะทุกคนทำเหมือนกัน คือก่อนจะทานอาหาร เราจะนั่งนิ่ง แล้ว พิจารณาอาหารที่เราจะทานในขณะนั้นว่า "อาหารที่เราจะทานนี้ เราทานเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อทาน" แปลอีกนัยหนึ่งก็คือ เราทานเพื่อยังชีพ เราจะไม่ติดในรสอาหาร แล้วทุกคน ก็จะทาน อาหารอย่างเอร็ดอร่อย เหมือนกับว่า ทุกคนที่ร่วมโต๊ะนั้น เป็นญาติสนิทกัน พอทานเสร็จทุกคนก็จะนำกระดาษทีเตรียมไว้เช็ดจานที่ตนเองใส่อาหารทานพอสะอาดเล็กน้อย แล้วก็รวบ รวม ไปเก็บในที่เขาเตรียมไว้ เพื่อรับภาชนะที่ใช้แล้ว ทุกคนทำในลักษณะเดียวกัน ไม่มีใครถือยศถือศักดิ์ ไม่ว่าผู้นั้นจะมาจากตระกูลใด ฐานะเป็นอย่างไร ทุกคนยินดีที่จะทำ มันจึงดู กลมกลืนสวยงามเป็นระเบียบ พอเห็นคนอื่นทำ คนที่เข้าไปใหม่ แม้ไม่เคยทำก็กล้าที่จะทำ พอไปบ่อยๆ เข้า ทำบ่อยๆ เข้า ก็เกิดความเคยชิน จึงสังเกตได้ว่า ใครคือคนธรรมกาย ใคร ไม่ใช่ยิ่งการพูดจา กิริยามารยาทที่แสดงต่อกัน ความเป็นภราดรภาพในวัดพระธรรมกาย มีอยู่เหลือเฟือ การพูดการกระทำ เป็นภาษาเดียวกัน ทุกครั้งที่เข้าไป จะมีความรู้สึก อบอุ่นใจ เหมือนเข้าไปสู่อ้อมอกแห่งญาติสนิท เมื่อวันไหน อาทิตย์ไหน ไม่ได้ไปวัด จะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง แต่พอได้ไปวัดแล้ว มันสบายใจ

ผมก็เลยถามคนที่ไปวัดบ่อยกว่าผมว่า ทุกคนที่มาวัดพระธรรมกายนี้ ต้องรักษาศีล 5 ศีล 8 ทั้งหมดไหม และทำอย่างไร จึงสามารถรักษาศีลได้ถึงขนาดนี้ เขาก็บอกว่า ตอนแรกๆ ทุกคน ก็ทำใจลำบาก เพราะการรักษาศีลนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ยิ่งเป็นอุโบสถศีลด้วย (ศีล 8) ยิ่งลำบาก แต่อาศัยว่า เห็นคนอื่นทำได้ เราก็น่าจะทำได้ เขาถือสุภาษิตว่า ความชั่ว อันคนดี ทำได้ ยาก ความชั่ว อันคนชั่วทำได้ง่าย ความดี อันคนชั่วทำได้ยาก และความดีอันคนดีทำได้ง่าย เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราก็เลือกได้ว่า เราจะเลือกอันไหน ถ้าเราจะเลือกความดี เราก็ต้องรู้ก่อน ว่า เราเป็นคนดีหรือไม่ ถ้าเราเป็นคนดี แน่นอน เราน่าจะทำความดีได้ง่าย จึงค่อยๆ ทำไป แล้วมันก็กลายเป็นคนดีขึ้นมาเอง

การรักษาศีลก้เหมือนกัน ตอนแรกก็พยายามรักษาศีล 5 ก่อน เมื่อรักษาศีล 5 ได้แล้ว ก็รักษาศีล 8 หรืออุโบสถศีล เขายังคุยให้ฟังอีกว่า ถ้าเรารักษาศีล 8 ได้ ก็เท่ากับว่า เราสามารถ ประพฤติพรหมจรรย์ได้เช่นกัน ผมก็อดสงสัยอีกไม่ได้เหมือนกันว่า การรักษาพรหมจรรย์นั้น จะต้องทำอย่างไร เขาก็แนะนำว่า การประพฤติพรหมจรรย์นั้น ก็คือการเว้นจากการฝักใฝ่ ในกามารมณ์ หรือบางคนถึงขนาดเว้นขาดจากการเสพกามไปเลยก็มี

พอคุยมาถึงตอนนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ที่สังคมกำลังนำมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้นักศึกษาขายตัว หรือในสังคมไทยเรานั้น วัยรุ่นซึ่งอยู่ใน วัยกำลัง ศึกษาหาความรู้ กลับหันมามั่วเรื่องกามารมณ์กันเป็นจำนวนมาก หญิงชายที่มีอายุ 13-15 ปี ที่มั่วในเรื่องนี้ก็มีไม่น้อย สังคมสับสนวุ่นวาย เพราะเรื่องอย่างนี้ แต่ถ้าเราสามารถ ที่จะนำ วัยรุ่นเหล่านี้เข้าวัดบ้าง ก็อาจจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ลงได้บ้าง แล้วใครล่ะ ที่จะเป็นผู้นำเด็กเหล่านี้เข้าวัดได้ นอกจากบิดามารดาของเขาเอง คือพ่อแม่ของเขาต้องเข้าวัดก่อน เป็น อันดับแรก ต่อจากนั้นก็ค่อยๆ ดึงลูกๆ ตามเข้าไป คาดว่าจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้

อย่างว่าละนะ ตราบใดที่ประเทศเรายังได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาที่มีวิสัยทัศน์เช่นปัจจุบันนี้ ก็อย่าไปหวังอะไรให้มากเลย ฯพณฯ ท่านคงไม่มีเวลามาใส่ใจ ในการปลูกฝังจิต สำนึกที่ดี ให้กับเด็กวัยรุ่น หรือนุชนหรอก เพราะมันต้องใช้ระยะเวลานาน กว่าจะสร้างขึ้นมาได้ สู้ทำดีในสิ่งมันเห็นปรากฏชัดอย่างรวดเร็ว เพราะกรรมดีมันให้ผลช้า

ไอ้ทิด


[หน้าหลัก][หน้าหลัก][วิวาทะ][ปุจฉา]