ปีที่ 2 ฉบับที่ 851 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542

หน้า 1

นิคหกรรมเหลว งัดกฎมส.สู้
ธัมมชโยรับไม่ได้ ผิดกฎมส.-วินัยสงฆ์ชัด 
"ธรรมกาย" ฮึดฟ้องอาญา เจ้าคณะปทุมเฝ้าสังฆราช

วัดพระธรรมกายสู้สุดฤทธิ์ พระธัมมชโย-พระทัตตชีโว ยืนยันหนักแน่นรักษาพระธรรมวินัย-กฎมส. ปฏิเสธนิคหกรรมเถื่อน เจ้าอาวาสระบุถึงที่สุดแล้ว แต่กลับมีการนำมา พิจารณา ใหม่ ซ้ำยังไม่มีคำสั่งยกเลิกมติเดิม พร้อมส่งทนายฟ้องอาญาผู้ที่เกี่ยวข้อง เสี่ยตือ กรมการศาสนา และเจ้าคณะปทุมฯ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ด้านเสี่ยตือสะดุด วิ่งซบ "เสฐียรพงษ์" แก้เกม ขณะที่พระสุเมธาภรณ์เตรียมเข้าเฝ้าพระสังฆราชวันนี้ เผยตั้งกรรมการสอบวินัยปลดจากพระสังฆาธิการ

วัดมูลจินดาราม จังหวัดปทุมธานี 10 พ.ย. พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอ (สภ.อ.)ธัญญบุรี แจ้งให้ทราบว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก มีพระบัญชาให้อาตมาเข้าเฝ้า แต่ยังไม่มีการกำหนดเวลาแน่นอน เบื้องต้นกำหนดไว้ในวันนี้ (11 พ.ย.) และหาก สมเด็จ พระสังฆราชทรงสอบถามเรื่องวัดพระธรรมกาย ก็พร้อมจะกราบทูลถึงขั้นตอนปฏิบัติและรายละเอียดต่างๆ แต่กำหนดการเข้าเฝ้ายังไม่ชัดเจน 

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อาตมาได้เข้าเฝ้าสมเด็จ พระสังฆราช เมื่อตอนที่ไปรับประทานพระไตรปิฎก ฉบับมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่ไม่ได้มีรับสั่งใดๆ เพราะเป็นการประทานแก่เจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ 

เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า วันนี้จะยุติการรอพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระธัมมชโย)และพระภาวนาวิริยคุณ (พระทัตตชีโว) เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มารับทราบข้อกล่าวหาของนายสมพร เทพสิทธิา ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ และนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมการศาสนา ฟ้องไว้คือ อวดอุตริ มนุสธรรม บิดเบือนคำสอนและฉ้อโกง

โดยกำหนดเวลา 14.00 น.เท่านั้น หากไม่มารับทราบ ข้อกล่าวหา ขั้นตอนต่อไปคือ การรวบรวมสำนวนของโจทก์ผู้กล่าวหา เสนอยังคณะสงฆ์ผู้พิจาณาชั้นต้น ซึ่งจะต้องมีการ ชี้แจง ด้วยว่า จำเลยมารับทราบหรือไม่อย่างไร

สำหรับบรรยากาศที่วัดมูลจินดาราม ได้เตรียมสถานที่บนอาคารฉลองสิริราชสมบัติ ครบรอบ 50 ปี พ.ศ.2539 ของวัด เป็นสถานที่แจ้งข้อกล่าวหาพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว ตั้งแต่เช้ามีการจัดเตรียมตามแผนการรักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจกระจายกำลังตำรวจ สภ.อ.ธัญญบุรีและกองร้อยควบคุมฝูงชน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดูแล รอบ บริเวณวัด รวมทั้งจัดทำแผงเหล็กกั้นทางเดินตั้งแต่หน้าวัด จนถึงอาคารฉลองสิริราชสมบัติ มีการตรวจตรารถและบุคคลที่ผ่านเข้าออกภายในวัด อย่างเข้มงวด

แจงเหตุไม่มารับคำฟ้อง
เมื่อถึงเวลากำหนดนัดหมายคือ 13.30 น. พระธัมมชโยและพระทัตตชีโวไม่ได้มา แต่ได้ส่ง พล.อ.ท วีรวุธ ลวะเปารยะ ประธานไวยาวัจกรของวัดพระธรรมกายและพระ 4 รูป นำโดยพระภาณุมาศ เดินทางมาเข้านมัสการเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ภายในอาคารฉลองสิริราชสมบัติ 50 ปี โดยไม่มีมวลชนหรือศิษยานุศิษย์ติดตามมาด้วย

โดยพระทั้ง 4 รูป ได้นำหนังสือชี้แจงเหตุที่พระธัมมชโย และพระทัตตชีโว ไม่มารับฟังข้อกล่าวหา มีรายละเอียด ดังนี้

1) ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองถูกกลั่นแกล้งจากเรื่องนิคหกรรมที่เสร็จสิ้นเด็ดขาดไปแล้ว เพราะกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ข้อ 15 วรรคสอง (2) ได้ระบุว่า "ให้เป็นอันถึงที่สุด" หลังจากที่ผู้พิจารณา ได้สั่งไม่รับคำกล่าวหา โดยความเห็นชอบจากคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งจะอุทธรณ์ ฎีกาไม่ได้ และมติมหาเถรสมาคม ที่ออกมาในภายหลังนั้น ก็ไม่ใช่คำตัดสินวินิจฉัยของคณะผู้พิจารณาฎีกา จึงไม่สามารถลบล้างสิ่งที่ได้ตัดสินวินิจฉัยไปแล้ว และจะรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ ก็ไม่ได้

2) ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้เคารพ และรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎมหาเถรสมาคม เพราะการรื้อฟื้นนิคหกรรมขึ้นมาใหม่ และการเรียกตัวให้มาพบนั้น ทำโดยไม่ถูกต้องและไม่มีอำนาจ ซึ่งจะเห็นได้จากกฎมหาเถรสมาคม ไม่ให้อำนาจรองรับไว้เลย ดังนั้นผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง จึงมีความละอายและหดหู่ใจอย่างมาก ถ้าหากจะฝ่าฝืนกฎและยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎนี้ ทั้งที่ได้อบรมและสั่งสอนผู้อยู่ในความปกครองและสาธุชนทั้งหลาย ให้เคารพแลปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัย และกฎหมายบ้านเมือง

3) เมื่อเรื่องนิคหกรรมได้ถึงที่สุดแล้ว การกระทำต่างๆ ที่มีมาในภายหลังวันที่มีคำสั่งถึงที่สุด จึงเป็นการกระทำนอกบทบัญญัติของกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมทั้งหมด

4) เรื่องนิคหกรรมนี้ ได้ปฏิบัติสอดคล้องกับมติมหาเถรสมาคม วันที่ 16 ส.ค.2542 แล้ว กล่าวคือ มติข้อที่ 1 ให้คฤหัสถ์เป็นผู้กล่าวหาพระภิกษุได้ ซึ่งเรื่องนี้ ไม่มีคำคัดค้านหรือ โต้แย้งแต่ประการใด ส่วนมติข้อที่ 2 ให้ผู้พิจารณาและคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมอย่างเคร่งครัด ซึ่งในกฎมหาเถรสมาคม ข้อ 15 วรรคสอง กำหนดให้ผู้พิจารณาต้องตรวจลักษณะ คุณสมบัติของผู้กล่าวหาเสียก่อน จึงจะดำเนินการขั้นอื่นต่อไปได้ และกำหนดว่า ให้ตรวจเฉพาะ ผู้กล่าวหา ตามข้อ 4 (8) ก. คือ พระภิกษุสามเณณ เท่านั้น ไม่มีการตรวจคุณสมบัติของผู้กล่าวหาที่เป็นคฤหัสถ์ 

ดังนั้น ผู้พิจารณาจึงดำเนินขั้นตอนอื่นเพื่อดำเนินกระบวนการต่อไปไม่ได้ จึงต้องสั่ง ไม่รับคำกล่าวหา เพราะกฎไม่ได้ให้อำนาจไว้ 

5) การพิจารณานิคหกรรมเป็นสังฆกรรมอย่างหนึ่ง ที่ทำกันเฉพาะสงฆ์เท่านั้น ดังนั้น ฆราวาสหรือคฤหัสถ์ที่เข้าเกี่ยวข้องด้วย เป็นการสมควรหรือไม่ เพราะในสิกขาบทได้ กล่าวไว้แล้วว่า ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของพระภิกษุแก่อนุปสัมปันคือ ผู้ที่ไม่ใช่พระภิกษุ ดังนั้น ผู้ที่บอกอาบัติชั่วหยาบนั้น ถือว่ากระทำผิดพระธรรมวินัย 

6) การเรียกให้มาพบในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น หรือมีขึ้นในวงการสงฆ์ เพราะเป็นการประพฤติผิดกฎมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัย และกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดแจ้ง

จากใจพระธัมมชโย
ขณะเดียวกัน เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ส่งหนังสือ เรื่องยืนยันไม่ไปพบ ถึง เจ้าคณะจังหวัดปทุม มีสาระใกล้เคียงกับหนังสือชี้แจงข้างต้น โดยมีสาระสำคัญ ที่น่าสนใจตอน หนึ่ง ระบุว่า เมื่อคดีนิคหกรรมถึงที่สุดแล้ว ย่อมเป็นผลว่า ไม่มีเรื่องค้างในกระบวนการพิจารณา ส่วนเหตุการณ์ตั้งแต่นายมาณพ นายสมพร ผู้กล่าวหาทั้งสอง ไม่ยอมรับ คำวินิจฉัยของผู้พิจารณา ได้พยายามโต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้พิจารณา และพยายามรื้อเรื่องขึ้นใหม่ โดยผ่านทางกรมการศาสนา ผู้บังคับบัญชาของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น และมหาเถรสมาคม จนท่านเจ้าคุณ มีหนังสือให้มาฟังข้อกล่าวหาใหม่ ล้วนแต่เป็นเรื่องนอกบทบัญญัติในกฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการลงนิคหกรรมทั้งสิ้น

ดังนั้น กระผมขอเรียนมาด้วยความเคารพว่า การออกหนังสือดังกล่าว เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการลงนิคหกรรมและพระธรรมวินัย ตลอดจน กฎหมาย บ้านเมือง เพราะเป็นการกระทำในฐานะเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากเหตุดังกล่าวข้างต้น กระผมจึงขอคัดค้าน การปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ และยืนยันปฏิเสธการมาพบตามหนังสือที่อ้างถึงข้างต้น เพราะกระผมยึดมั่นเคารพในกฎมหาเถรสมาคม และเชื่อมั่นใน ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎมหาเถรสมาคม อย่างยิ่ง

"กระผมเป็นเจ้าอาวาสธรรมดา แต่ต้องอบรมสั่งสอนให้บรรดาพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ในความปกครอง ตลอดทั้งสาธุชนทั้งหมาย ให้มีความเคารพในพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคมและกฎหมายบ้านเมือง อย่างเคร่งครัด ดังนั้น กระผมจึงมีความละอายและหดหู่ใจอย่างยิ่ง หากจะฝ่าฝืนหรือปฏิบัติผิดไปจากกฎมหาเถรสมาคม จึงขอกราบเรียนมาด้วยความเคารพว่า หากกระผมยังได้รับการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมหรือไม่ถูกต้อง ตามกฎมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัย และกฎหมายบ้านเมือง ก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลยุติธรรม ต่อท่านเจ้าคณะ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์และความถูกต้องของกฎมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัย และกฎหมายบ้านเมืองต่อไป"

เสนอปลดเจ้าอาวาส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระสุเมธาภรณ์ได้รับหนังสือทั้งสองเรื่องไว้ พร้อมกับเซ็นชื่อกำกับรับหนังสือไว้ด้วย พระสุเมธาภรณ์ กล่าวถึงแนวทางในการดำเนินการต่อไปว่า อาตมาต้อง ขอเวลา ปรึกษาหารือกับพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาคหนึ่ง และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ให้รอบคอบ เพื่อสั่งตั้งคณะกรรมการ สอบวินัยสงฆ์ต่อ พระธัมมชโย และพระทัตตชีโว โทษฐานเป็นพระสังฆราธิการขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และไม่เคารพกฎมหาเถรสมาคม เมื่อผลสอบออกมา อาตมาจะใช้ดุลยพินิจพิจารณา สั่งปลด หรือถอดถอนพระทั้งสอง ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาส ทั้งนี้ อาตมาจะสั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยสงฆ์ ไม่น้อยกว่า 3 รูป

"อาตมาจะรวบรวมคำกล่าวหาและเอกสารหลักฐานในคดีทั้งหมด ที่เป็นข้อมูลฝ่ายโจทก์ด้านเดียว ส่งให้คณะสงฆ์ผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งมีพระพรหมโมลีเป็นประธานพิจารณาทันที โดยจะไม่มีการการนัดให้พระทั้งสองมารับฟังข้อกล่าวหาอีกแล้ว" เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีกล่าว

ด้านพระปริยัติวโรปการ พระเลขาเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีครั้งนี้ ได้ยึดถือกฎและมติมหาเถรสมาคม ถูกต้องทุกประการ แล้ว เรื่องวัดพระธรรมกายส่งทนายความ ยื่นฟ้องต่อศาล กล่าวหาเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น ก็คิดว่า ดีแล้ว ที่เราจะได้เห็นกิเลสของคน

เสี่ยตือรุดถกเสฐียรพงษ์
มีรายงานว่า ทันทีที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับรายงานว่า พระธัมมชโยและพระทัตตชีโว ไม่มารับฟังข้อกล่าวหา ได้มีคำสั่งเชิญ นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก และเจ้าหน้าที่กรมการศาสนา เข้าหารือเพื่อดำเนินการ นายสมศักดิ์ ระบุด้วยว่า วันที่ 11 พ.ย. ตนได้มอบหมายให้ นายวิชัย ตันศิริ รัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงศึกษา และเจ้าหน้าที่ระดับสูง กรมการศาสนา เดินทางไปกราบถวายสักการะให้กำลังใจ พระสุเมธาภรณ์ ที่วัดมูลจินดาราม เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และจะไป กราบนมัสการพระมหาธีราจารย์ เพื่อหาแนวทางและขอคำแนะนำในการนำเรื่องดังกล่าว เข้าสู่ในการพิจารณาต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมในวันที่ 12 พ.ย.นี้ 

นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีวัดพระธรรมกาย ได้ยื่นฟ้องคดีอาญาเขาในฐานะปฏิบัติหน้าที่มิชอบว่า ถือว่าเป็นสิทธิของวัด เมื่อตนถูกฟ้องดำเนินคดี ตนก็พร้อมที่จะชี้แจงต่อศาล เพราะตนเป็นคนที่เคารพกฎกติตาของสังคม ส่วนสังคมสงฆ์เป็นอย่างไร ก็ควรจะปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคม

ธรรมกายฟ้องกลับ
ขณะที่นางรัญญา โพธิ์สว่าง เจ้าหน้าที่ธุรการฝ่ายรับฟ้องคดีแพ่ง ศาลจังหวัดธัญบุรี เปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อต่อจากวัดพระธรรมกายว่า จะส่งทนายความ มายื่นฟ้องนาย สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและพวกรวม 6 คน โดยจะยื่นฟ้องเป็นคดีอาญา ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่ให้มีการรื้อฟื้น กระบวนการพิจารณาตามกฏนิคหกรรมขึ้นมาอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลธัญญบุรี ว่า ทางวัดพระธรรมกาย ได้มอบหมายให้นายวิเชียร เพชรจำนง ทนายความของวัด เดินทางไปยื่นฟ้องร้องคดีอาญาต่อศาลธัญญบุรี ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ 6 คน ประกอบด้วย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา นายเริงฤทธิ์ เบ้านุวงศ์ หัวหน้าฝ่ายสังฆการ กรมการศาสนา และพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม พระปริยัติวโรปการ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต โดยศาลมีวินิจฉัยรับฟ้อง และได้นัดไต่สวนมูลฟ้องภายใน 12 วัน

โยกวาสนานั่งเลขาฯ ป.ป.ง.
ด้านนายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา ได้ให้ความเห็นกรณีการเปลี่ยนหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีวัดพระธรรมกายว่า เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาใด เพราะตำรวจมีการประสานกันโดยตลอด การรวบรวมสำนวนคงดำเนินการต่อไปอย่างครบถ้วน การที่ พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ หัวหน้าพนักงานสืบสวน สอบสวนคดีวัด พระธรรมกาย จะไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ยิ่งจะเอื้อต่อการพิจารณานำกฎหมายฟอกเงินมาใช้กับคดี วัดพระธรรมกายด้วย หากมีความเกี่ยวข้อง


[หน้าหลัก][หน้า1][สหัสวรรษ]