ปีที่ 2 ฉบับที่ 851 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 |
ทำอย่างไรชาวพุทธทั่วโลก จึงจะร่วมใจกันได้เป็นหนึ่ง
ทุกครั้งที่ผมไปต่างประเทศ ครั้งใดที่ได้เจอชาวพุทธในต่างประเทศ แม้จะเป็นคนชาติอื่นก็รู้สึกดีใจและอบอุ่น เมื่อต้นปีนี้ผมเองไปกรุงเฮกได้มีโอกาสคุยกับพระรัสเซีย
ซึ่งสวมจีวร สีเหลือง
แบบพระบ้านเรา แม้จริยาวัตรจะเป็นแบบฝรั่ง แต่ใจเคราก็น้อมรับความเป็นพระ ท่านแวะมาเยี่ยมซุ้มนิทรรศการของเรา
และถามเรื่องพุทธศาสนา
ในเมืองไทยด้วย ความ
แปลกใจและสนใจ
แต่เผลอแพลบเดียวตอนบ่าย ผมก็เห็นท่านปิดโปสเตอร์เรียกร้องอะไรไม่ทราบ พระสององค์ช่วยกันปิดประตู ตามเสา เชิญให้ไปฟัง ผมไปยืนอ่านก็ยังไม่เข้าใจ
แต่เราดูแล้วพระสงฆ์
ของเราเรียบร้อยกว่าเยอะ ก็ไม่ว่ากันนะครับ ต่างวัฒนธรรม ต่างจิตใจ
ที่ในอเมริกา หลวงพี่ทั้งหลายขับรถกันปร๋อ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะที่นั่นต้องช่วยตัวเองทุกอย่าง คนอเมริกาเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครถือ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่สวิตเซอร์แลนด์ ผมได้พบพระเยอรมันที่น่าทึ่ง ปรากฏว่า มีความรู้เรื่องพุทธศาสนาดีเยี่ยม เมื่อถามท่านว่า ทำไมท่านรู้ลึกซึ้ง และรู้จริง ท่านก็บอกว่า
ที่เยอรมัน
เขาสนใจพุทธศาสนามาก และคนเยอรมัน ถ้าสนใจอะไรก็จะศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง
ตำราพุทธศาสนาเป็นภาษาเยอรมันมีมากมาย เผลอๆ อาจจะมากกว่าของภาษาอังกฤษอีก แต่ท่านบอกว่า เสียดายวิธีการนำเสนอของพุทธศาสนายังโบราณมาก
และเก็บตัวมาก เกินไป ทั้งที่หลักของพุทธศาสนานั้น น่าสนใจที่สุด ลึกซึ้งที่สุด เป็นเหตุเป็นผลที่สุด
ผมจำได้ว่า วันนั้นท่านมาเข้าร่วมฟังการบรรยายเรื่องสมาธิของไทย ซึ่งมีคนฟังเต็มห้อง ฝรั่งมานั่นเต็มไปหมด ทุกคนให้ความสนใจมาก และได้มีการทดลองนั่งกันจริงๆ ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทุกคนนึกไม่ถึงว่า พระจากเมืองไทยที่เขาเห็นเป็นชาวเอเซียตัวเล็กๆ จะสามารถสอนวิชาสมาธิได้อย่างน่าสนใจ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
จำได้ตอนนั้นผมไปประชุมที่เมืองโคซ์ขององค์การเอ็มอาร์เอ ที่สวิตเซอร์แลนด์ ผมหอบไปทั้งสไตล์และเทปไปทำมัลติวิชั่นประกอบการบรรยาย
ทันทีที่ทุกคนเห็นภาพคนไทย
นั่งสมาธิเป็นหมื่นเป็นแสน คนดูทั้งห้องอุทานออกมาเสียงกระหึ่มด้วยความตกตะลึง และทันทีที่บรรยายจบก็ปรบมือให้สนั่นหวั่นไหว และจากวันนั้นพระไทยก็เป็นพระเอกในงาน
วันรุ่งขึ้นมีคนมากราบพระไทยของเราไม่ขาดสาย มีอยู่คนหนึ่งจำได้เป็นชาวพม่าท่าทางมีความรู้ ปรากฏว่าเป็นหมออยู่ออกเตรเลีย มานั่งคุยด้วยความชื่นชมเมืองไทยไม่ขาดปาก เขาบอกว่าเขาเสียดายประเทศของเขามาก ที่เดี๋ยวนี้ล้าหลังจนอายคนอื่น ยิ่งเขาเห็นพุทธศาสนาในเมืองไทยเจริญอย่างที่เขาไม่คาดคิด เขาบอกว่า เราทำให้เขาภูมิใจมาก ที่เป็นชาวพุทธ
ข้อคิดที่ทำให้ผมกลับมานั่งคิดตลอด คือ คำพูดของพระเยอรมันดังกล่าวที่บอกว่า ท่านเสียดายมาก เพราะที่ท่านมาบวชเป็นพระในพุทธศาสนา ก็ด้วยความรักอย่างจริงใจ แต่ชาวพุทธนั้น หัวโบราณ อนุรักษ์นิยมติดรูปแบบเดิมมาก ทำให้พุทธศาสนาโตยาก เพราะติดยึดและหลงตัวเอง ไม่ยอมเปิดตาดูโลกภายนอก ทิฏฐิสูง นึกว่าของตัวเองเก่งกว่า ดีกว่าคนอื่นเสมอ ใจก็เลยปิด
เพราะแต่ละประเทศก็จะมีความแตกต่าง ต่างคนก็คิดว่าของตัวเองดีที่สุด ไม่ยอมศึกษาของคนอื่น และดูถูกกันเอง
ผมว่าที่ท่านพูดนั้น น่าสนใจมาก เป็นความคิดจากคนภายนอกที่มองชาวพุทธที่เรียกตัวเองว่า เป็นพุทธแท้ ใครที่ไม่เหมือนตัวเอง ปฏิบัติไม่เหมือนตัวเอง ถือว่าเป็นพุทธเทียมบ้าง ไม่เคร่งบ้าง และความคิดของตัวเอง ถูกต้องที่สุด แปลตรงกับพระไตรปิฎกที่สุด ยิ่งเป็นหนอนหนังสือก็ยิ่งจะต่อสู้ขาดใจว่า ตนเองเก่งที่สุด มีภูมิมากที่สุด
จริงนะ พระไทยก็ดูถูกพระชาติอื่นว่าไม่เคร่ง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพระกินข้าวมื้อเย็น จะไปนิพพานได้อย่างไร ต้องพระไทยเคร่งที่สุด ดีที่สุดในโลก
พระจีนก็ส่ายหัวบอกว่า ตราบใดที่พระไทยยังกินเนื้อสัตว์ แล้วจะมุ่งไปหานิพพานได้อย่างไร เพราะตัวเองก็ยังทำให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ต้องพระจีนถึงจะแน่ เพราะมังสวิรัติตลอดชีวิต
ส่วนพระมหายาน ก็จะดูถูกพระสายเถรวาทแบบไทยว่า เห็นแก่ตัว นั่งสมาธิเอาแต่ตัวรอดคนเดียว ใจแคบ ประเทศก็เลยจนทั้งประเทศ
เพราะพุทธศาสนาทำให้คนถือสันโดษ
กันหมด ไม่เอาอะไรทั้งนั้น คิดช่วยแต่ตัวเอง ไม่ช่วยสังคม
ครับ ก็ว่ากันไปว่ากันมา ทั้งที่เป็นชาวพุทธด้วยกันแท้ๆ พ่อเดียวกัน แต่ลูกๆ ถือคัมภีร์คนละเล่ม ต่างคนต่างถือดี ก็เลยต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งกัน เพราะไม่รู้จะสังคายนากันได้อย่างไร ความแตกต่างนั้น ห่างกันไปไกลเกินไปเสียแล้ว
ในปี 1950 ได้มีความพยายามที่จะตั้งองค์กรประสานชาวพุทธทั่วโลกเกิดขึ้น ในนามขององค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก โดยความคิดของ ศ.จีพี.มาลาลาเซเกรา
และที่ตั้งของ
สำนักงานใหญ่ครั้งแรก อยู่ที่กรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ในพม่าอยู่พักหนึ่ง และสุดท้ายก็ย้ายมาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 1963
ถ้าจะนับถึงวันนี้ ก็อายุ 49 ปี แล้วถือว่าเก่าแก่พอดู จากนั้นก็มีการประชุมทุกระยะ เพื่อให้ชาวพุทธจากทุกประเทศทั่วโลก ได้ประสานไมตรี เริ่มแลกเปลี่ยนทัศนะกัน
เริ่มมีความ พยายามที่จะ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" อะไรที่ร่วมกันได้ก็ร่วมมือกัน อะไรที่แตกต่างกันมาก ก็ต่างคนต่างถือไม่ก้าวก่ายกัน
ในปี 1972 ได้มีการตั้งองค์กรยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกขึ้น เพื่อจูงใจให้คนรุ่นใหญ่
และคนหนุ่มสาวชาวพุทธให้เข้ามาร่วมมือกัน
สร้างสรรค์สามัคคีชาวพุทธ
และหาทาง ช่วยเหลือ
กันแลกเปลี่ยนความรู้กัน และพยายามช่วยกันจรรโลก และเผยแผ่พุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไป
และเมื่อวันที่ 1-7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้ บรรดาผู้นำเยาวชนชาวพุทธจากศูนย์ภาคีของยพสล. ก็มาร่วมการสัมมนา "ความเป็นผู้นำชาวพุทธ" จาก 12 ประเทศจำนวน 60 คน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต เป็นการสัมมนา และบรรยายเป็นภาษาอังกฤษตลอด
ผมคิดว่ามีข้อคิดที่น่าสนใจจากสัมมนาครั้งนี้มาเล่าให้ฟัง พรุ่งคุยต่อครับ
สิงห์ขาว