ปีที่ 2 ฉบับที่ 853 ประจำวันเสาร์ที่ 13 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 |
ถอดเจ้าคณะตำบล ฐานไม่สนองงาน
ชาวบ้านค้านไม่เป็นธรรม
พระครูปทุมชี้ทำดีที่สุดแล้ว
เร่งส่งฟ้องเจ้าคณะภาค1
ธรรมกายระอุ
พระสุเมธาภรณ์สั่งปลดพระครูปทุมกิจโกศล
พ้นตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลอง 1
โทษฐานไม่ยอมพักตำแหน่งเจ้าอาวาส
พระธัมมชโย
ชาวบ้านฮือต้านคำสั่ง ระบุ
ไม่เป็นธรรม
เตรียมกดดันปลดเจ้าคณะจังหวัดปทุมฯ
ขณะที่พระครูปทุมกิจโกศล พูดชัด
ไม่ขัดข้อง
ยันทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว
เพราะเห็นว่า วัดพระธรรมกาย
ไม่ได้มีความผิด ตามที่ กล่าวหา
เห็นว่าวัดพระธรรมกาย
ไม่ได้มีความผิดตามที่กล่าวหา
ขณะเดียวกัน
มส.มีมติให้เร่งเดินหน้านิคหกรรม
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 12 พ.ย.
วัดสว่างภพ อำเภอคลองหลวง
จังหวัดปทุมธานี พระมหาปัญญา
ขันติธัมโม เจ้าอาวาสวัดบางหลวง
รักษาการเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง
นำหนังสือ คำสั่งถอดถอนมามอบให้
พระครูปทุมกิจโกศล
เจ้าอาวาสวัดสว่างภพ
ในฐานะเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง
เพื่อยื่นหนังสือของพระสุเมธาภรณ์
เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และ
เจ้าอาวาส วัดมูลจินดาราม
มีคำสั่งถอดถอนพระครูปทุมกิจโกศล
ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง
เนื่องจากหย่อนความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่
ในตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง
กล่าวคือ
ไม่สามารถพิจารณาลงโทษตามกฎมหาเถรสมาคม
โดยเฉพาะประเด็นที่ยอมสั่งพัก
ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ถูกฟ้องร้องเป็นจำเลยในคดีอาญา
อาศัยกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24
(พ.ศ2541) ข้อ 41
ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนพระสังฆาธิการ
จึงสั่งให้ พระครูปทุมกิจโกศล
ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ระหว่างที่รักษาการเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง
ยื่นหนังสือถอดถอนพระครูปทุมกิจโกศล
ปรากฏว่า
มีชาวบ้านผู้เลื่อมใสศรัทธาพระครูปทุมกิจโกศล
จำนวน 30 คน
แสดงความไม่พอใจกับคำสั่งดังกล่าว
พร้อมกับโต้แย้งว่า
พระครูปทุมกิจโกศล
ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ถูกกลั่นแกล้ง
และว่าที่ว่าหย่อนความสามารถนั้น
เป็นอย่างไร ขณะที่
พระมหาปัญญาพยายามชี้แจงชาวบ้าน
แต่ก็ไม่ได้ทำให้กลุ่มชาวบ้านพึงพอใจแต่อย่างใด
ด้านพระมหาชัยยะ จันทสโม
พระเลขาอดีตเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง
กล่าวว่า
เจ้าคณะจังหวัดไม่ให้ความเป็นธรรม
ถือเป็นการกลั่นแกล้ง
ดังนั้นจะหารือกับชาวบ้าน
เพื่อรวมกลุ่มกัน
ไปประท้วงคำสั่งปลดเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
และร้องขอความเป็นธรรมกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ต่อไป
ขณะที่พระครูปทุมกิจโกศล
กล่าวว่า เรื่องการถอดถอนอาตมา
มาจากสาเหตุวัดพระธรรมกาย
ที่ผู้บังคับบัญชา
มีหนังสือมาให้พิจารณาถอดถอนเจ้าอาวาส
วัดพระธรรมกาย เนื่องจาก
ถูกดำเนินคดีอาญา
แต่อาตมาเห็นว่า
เป็นดุลพินิจของเจ้าคณะตำบล
ซึ่งเป็นเจ้าคณะผู้ใกล้ชิดวัดพระธรรมกาย
ซึ่งดูแล้ว เห็นว่า ไม่มีความผิด
และวัดพระธรรมกาย ก็มีพระสงฆ์
ที่มี
ความรู้ด้านปริยัติและปฏิบัติ
อย่างเคร่งครัด
มีกิจกรรมที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย
แต่ผู้บังคับบัญชาสั่งการมา
อาตมาก็ยอมรับ ไม่มีปัญหาอะไร
แล้วแต่ท่าน เราก็ยังทำหน้าที่
เป็น สมภารต่อไป
สำหรับบรรยากาศที่วัดมูลจินดาราม
ปรากฏว่า
มีเจ้าหน้าที่จากกรมการศาสนา
เดินทางมาสอบถามการปลดพระครูปทุมกิจโกศล
ต่อพระสุเมธาภรณ์ ขณะเดียวกัน
ได้มีการนำกำลัง
เจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลความสงบเรียบร้อยภายในวัดด้วย
เนื่องจากเห็นว่า
มีกลถุ่มชาวบ้านไม่พอใจต่อคำสั่งปลดเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง
พร้อมกับแจ้งให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
ทราบถึงแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ
และมีรายงานข่าวแจ้งว่า
กรมการศาสนาได้ขอให้เจ้าคณะจังหวัดส่งสรุปสำนวน
คำฟ้องนิคหกรรมไปยังเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
โดยไม่ต้อง ผ่านพระพรหมโมลี
เจ้าคณะภาค 1
เพราะก่อนหน้านี้ไม่ยอมรับหนังสือ
พระสุเมธาภรณ์กล่าวว่า
กรณีที่ชาวบ้านไม่พอใจจะเดินทางมาประท้วงนั้น
ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
เพราะเป็นเรื่องของการปกครองคณะสงฆ์
การปลดเจ้าคณะตำบล
มีสาเหตุมาจาก
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ถูกดำเนินคดีอาญา
พระเถระผู้ใหญ่เองก็มีคำสั่งลงไปให้ท่านเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งพิจารณา
ปรากฏว่า
เจ้าคณะตำบลกลับวางตัวไม่เป็นกลาง
และอาตมา
จะไม่ยอมทบทวนคำสั่งใหม่
ส่วนการตั้งรักษาการเจ้าคณะตำบลเป็นอำนาจของเจ้าคณะอำเภอ
สามารถดำเนินการได้ทันทีที่ตำแหน่งว่างลง
อีกด้านหนึ่ง
ที่สำนักงานอัยการสูดสุด
บ่ายวันเดียวกัน
พนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย
นำโดย พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ
ผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ
ได้นำสำนวนการสอบสวนที่มีความเห็นควรส่งฟ้องพระธัมมชโยกับลูกศิษย์อีก
3 คน คือนายมัยฤทธิ์ ปิตวณิค
นายถาวร พรหมถาวร และ น.ส.อมรรัตน์
สุวิภัทร หรือสีกาตุ้ย ไปส่ง
มอบให้พนักงานอัยการ มีนายอำพล
เหมาคม อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 5
รับมอบที่ห้องทำงาน
สำนักงานอัยการสูงสุด
ถนนรัชดาภิเษก
โดยคดีใหม่นี้พระธัมมชโย
ถูกตั้งข้อหาเป็น
เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบและเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์
ส่วนลูกศิษย์ 3
คนถูกตั้งข้อหาเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
และเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงาน
ยักยอกทรัพย์
โดยเป็นกรณีเกี่ยวกับการนำเงินของวัดพระธรรมกายไปกว้านซื้อที่ดินในจังหวัดเพชรบูรณ์
จากนั้นก็ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวต่ออัยการ
โดยอัยการอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง
4 ไปในวงเงินคนละ 3 ล้านบาท
และนัดผู้ต้องหามาฟังคำสั่งคดีในวันที่
16 ธันวาคมนี้ เวลา 14.00 น.
นายอำพล เปิดเผยว่า
สำนวนคดีที่พนักงานสอบสวนส่งมอบให้ครั้งนี้มีจำนวน
5 แฟ้ม หนาประมาณ 1,300 หน้า
ผู้ต้องหาทั้ง 4
ถูกตั้งข้อหาว่ายักยอกทรัพย์
และปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
ผู้ต้องหาบางคนยังถูกข้อหาปลอมแปลงเอกสาร
ตนได้กำชับผู้ต้องหาทั้งหมด
มาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 16
ธันวาคมนี้
โดยต้องมารายงานตัวตามนัดหมาย
ไม่ว่าอัยการ จะสั่งฟ้อง หรือ
สั่งไม่ฟ้อง สำหรับวันนี้
พระธัมมชโยไม่ได้พูดอะไรมาก
บอกเพียงว่ายังป่วยอยู่
และขณะนี้นายพันธ์ สุริยะพร
รองอัยการสูงสุด
ผู้ควบคุมดูแลคดีวัดพระธรรมกาย
ได้แต่งตั้งอัยการ
อีกจำนวนหนึ่ง
เป็นคณะทำงานเพิ่มเติม
เพื่อช่วยกันพิจารณาสำนวน
ที่ได้รับเพิ่มเติมจากตำรวจ
ซึ่งมีเอกสารจำนวนมาก
โดยอัยการจะพยายามเร่งตรวจสำนวน
และพิจารณาคดี ให้เร็วที่สุด
วันเดียวกันนี้
ได้มีการประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม
โดยนายไพบูลย์ เสียงก้อง
อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า
ที่ประชุมรับทราบการรายงานผล
การปฏิบัติงานตาม มติมหา
เถรสมาคม กรณีพระธัมมชโย
และพระทัตตชีโวแล้ว
ที่ประชุมได้มีมติให้ตน
ประสานกับพระพรหมโมลี
เจ้าคณะภาค 1
และผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ
โดยเร่งด่วน เพื่อให้มีการ
ดำเนินการไปตามมติมหาเถรสมาคม
ในชั้นนี้เท่าที่ทราบ
ท่านเจ้าคณะจังหวัดท่านบอกว่า
ท่านได้ประมวลเรื่องราวทั้งหลาย
แล้วก็จะนำส่งเจ้าคณะภาค 1
ก็จะประสานงานกับท่านดู
แล้วก็จะกลับไปปรึกษา
ท่านเจ้าคณะ จังหวัด
อธิบดีกรมการศาสนา กล่าว
อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวด้วยว่า
การเสนอวาระเรื่องวัดพระธรรมกาย
เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมเป็นวาระรับทราบ
ซึ่งพระพรหมโมลีก็เข้าประชุมด้วยแต่ไม่มีการสอบถาม
ในที่ประชุมว่ าเพราะเหตุใด
จึงยังไม่ยอมรับเอกสาร
และคำกล่าวหาของพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว
ซึ่งพระพรหมโมลีก็ไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้
ชี้เจ้าคณะภาค 1
ต้องตั้งศาลสงฆ์ขึ้นพิจารณาข้อกล่าวหาพระธัมมชโย
ตามมติมหาเถรฯ
นายสมพร เทพสิทธา
ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ
แถลงข่าวในฐาน
ะประธานองค์กรเครือข่ายชาวพุทธ
เพื่ออุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา
โดยระบุว่า องค์กร เครือข่าย
ชาวพุทธ ได้จัดพิมพ์หนังสือชื่อ
แฉกลวิธีทำลายพระพุทธศาสนาของกลุ่ม
ดร.เบญจ์ บารกุล จำนวน 50,000 เล่ม
เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนได้เข้าใจกรณีดร.เบญจ์
บารกุล แห่งวัด พระธรรมกาย
ที่เขียนหนังสือขบวนการล้มพุทธ
โดยมีเนื้อหาโจมตีพระธรรมปิฎกอย่างรุนแรงว่าบิดเบือน
และทำลายพระพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นคดีความอยู่ระหว่าง
การสอบสวนของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ
หนังสือขบวนการล้มพุทธ
ยังมีการจำหน่ายและเผยแพร่ทำให้ประชาชนอาจจะเข้าใจผิดและสับสนดังนั้นหนังสือที่จัดพิมพ์ครั้งนี้
จะมุ่งให้ประชาชน
ได้เปรียบเทียบ
และมีความเข้าใจกระจ่างขึ้น
นายสมพร
ยังได้เรียกร้องให้มหาเถรสมาคมพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของพระพรหมโมลี
เจ้าคณะภาค 1
ต่อการพิจารณาปัญหาวัดพระธรรมกาย
มิฉะนั้น จะทำให้มหาเถรสมาคม
เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ส่วนหนังสือที่จัดพิมพ์ 50,000 เล่ม
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ
โดยกรมการศาสนาได้ดำเนินการกรณีพระธัมมชโย
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และ
พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส
ไปตามมติมหาเถรสมาคมและกฏนิคหกรรมทุกอย่าง
และเอกสารที่นายเริงฤทธิ์
เบ้านุวงศ์
หัวหน้าฝ่ายสังฆการกรมการศาสนา
จัดส่งให้พระพรหมโมลี
เจ้าคณะภาค 1
เพื่อนำเรื่องเข้าสู่คณะผู้พิจารณาชั้นต้น
ถูกต้องครบถ้วนทุกอย่าง
เมื่อพระพรหมโมลีไม่ยอมรับก็ได้มอบหมายให้
ดร.วิชัย ตันศิริ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
อธิบดีกรมการศาสนา
เข้านมัสการรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์
เจ้าคณะใหญ่หนกลางทราบ
เพื่อหาแนวทางดำเนินการต่อไป
พร้อมกับนำเรื่อง
เข้าสู่ที่ประชุม
มหาเถรสมาคมในบ่ายวันนี้ (12 พ.ย.)
ด้วย
ยืนยันว่ากระทรวงศึกษาธิการไม่ได้กลั่นแกล้งใครกรณีนี้
และอยากเรียกร้องให้พระธัมมชโย
และพระทัตตชีโว
ยอมที่จะปฏิบัติตามกรอบทั้งกระบวนการทางโลกและสงฆ์
รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าว
ทางด้าน พระศรีปริยัติโมลี
รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
กล่าวถึงกรณีพระพรหมโมลี
เจ้าคณะภาค 1
ไม่รับสำนวนข้อกล่าวหา
พระธัมมชโยและพระทัตตชีโว
และรายงานของพระสุเมธาภรณ์
เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
ที่แจ้งให้ทราบถึงการดำเนินการตามกระบวนนิคหกรรม
โดยอ้างถึงการพิจารณา ตัดสิน
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมว่า
เป็นแง่มุมทางกฎหมาย
ที่จริงเมื่อมหาเถรฯ
มีมติออกมาให้ดำเนินการตามกระบวนการนิคหกรรมต่อไป
ควรจะเชื่อตามมติเพราะถือว่า
เป็นองค์กรสูงสุด
ถ้าเปรียบเทียบทางด้านศาล
ก็ถือว่าเป็นศาลฎีกา ดังนั้น
เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยออกม
าก็น่าจะปฏิบัติตาม
การที่เจ้าคณะภาค 1
ไม่รับสำนวนข้อกล่าวหา
เพราะเรื่องสิ้นสุดแล้ว
คงต้องให้มหาเถรฯ
มีมติกำชับไปที่
พระมหาธีราจารย์
เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ให้สั่งให้
เจ้าคณะภาค 1 ปฏิบัติตาม
มติมหาเถรฯ
พระศรีปริยัติโมลี กล่าวย้ำว่า
มหาเถรฯมีมติให้ดำเนินการตามกระบวนการนิคหกรรม
โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่แล้ว
ตั้งแต่การประชุมคราวก่อน
ส่วนความคิดเห็นของเจ้าคณะภาค 1
ที่เห็นว่าน่าจะมีแง่มุมทางกฎหมาย
ก็หานักกฎหมายทั้งฝ่ายฆราวาสและพระ
ชี้แจงให้ชัดเจน ให้เจ้าคณะภาค 1
เข้าใจว่าเรื่องยังไม่สิ้นสุด
เพราะว่าทางผู้ฟ้องก็ยังไม่ได้รับคำฟ้องมา
ฝ่ายศาลสงฆ์ก็ยังไม่ได้รับคำฟ้องเลย
กระบวนการยังไม่เริ่มแล้วจะสิ้นสุดได้อย่างไร
ส่วนกรณีที่วัดพระธรรมกาย
ให้เหตุผลและระบุว่าการเรียกธัมมชโยและพระทัตตชีโวมารับทราบข้อกล่าวหาเป็นการถูกกลั่นแกล้ง
เนื่องจากกระบวนนิคหกรรมสิ้นสุดแล้วนั้น
พระศรีปริยัติโมลี กล่าวว่า
เป็นความพยายามตีความกฎหมายแบบลักษณะที่เอาสีข้างเข้าถู
เพื่อเป็นการประวิงเวลามากกว่า
ความเป็นจริงแล้ว
กระบวนการยังไม่เริ่มเลย
ยังไม่ได้ตัดสิน ยังไม่มีถูกผิด
เพียงแต่มีการท้วงติงว่า
ชาวบ้านฟ้องได้ ฟ้องไม่ได้
ต้องรอการชี้ขาดจากมส.
เมื่อมส.มีมติชี้ชัด
ก็สามารถดำเนินการตามขั้นศาลสงฆ์ได้เลย